ปกิณณกธรรม ตอนที่ 729


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๒๙

    สนทนาธรรม ที่ โรงแรมอิมพีเรียลแม่ปิง จ.เชียงใหม่

    วันที่ ๒๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๘


    ท่านอาจารย์ อยากให้ไม่โกรธใช่ไหม ไม่โกรธต้องดีแน่ มีเรื่องคิดมากมายเลย โกรธไปทำไมเดือดร้อนตัวเอง กำลังทำร้ายจิตใจ คิดว่าขณะนั้นชนะแล้วคือไม่โกรธ แต่ว่าเป็นเรา ไม่ชนะอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ความเป็นเราลึกมาก สิ้นสุดยาก อาจจะชนะอื่นได้ ไปอ่านภาษิตอะไรมาหนังสือเล่มไหนที่เขาพูดก็รู้สึกจะคล้อยๆ ไป แต่ไม่รู้ความจริงว่าไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้น โลภะเกิดแรงมากเลย ไม่ชอบเลย หาทางดับไม่ให้เกิด แต่ลืมว่าไม่ใช่เรา แล้วเมื่อไร จะรู้ว่า ต่อให้จะเป็นโลภะ โทสะหรือสภาพธรรมใดๆ ทั้งสิ้น เป็นธรรมไม่ใช่เรา อันนี้ต่างหาก ที่จะทำให้สามารถค่อยๆ ละอกุศลได้ ใช้คำว่า เป็นสมุจเฉท คือดับแล้วไม่เกิดอีกเลย มิฉะนั้นจะไม่มีคำว่า พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์

    สนทนาธรรม ที่ เรือนทองทิพย์ จ.เชียงราย

    วันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๘


    ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่เราได้มีโอกาสได้พบ บางท่านก็เพิ่งจะรู้จักกันวันนี้เอง คงจะมีหลายท่าน บางท่านก็คุ้นเคยมาแล้ว ในสมัยพุทธกาล การสนทนาธรรมเป็นมงคลอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่าแต่ละท่าน ก็มีโอกาสได้ฟังพระธรรมมาแล้ว จากที่ต่างๆ บางท่านก็อยู่ต่างเมือง บางท่านก็มาจาก พาราณสี เวสาลี มาถึงพระวิหารเชตวัน แล้วก็ได้สนทนาธรรมกัน เพราะฉะนั้น การสนทนาธรรมเพื่ออะไร เพื่อที่จะเข้าใจความจริง ซึ่งเป็นความจริงแท้ ถึงที่สุดคือเปลี่ยนแปลงอีกไม่ได้ ใครก็ไม่สามารถที่จะคิดเองได้ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม เมื่อไรที่ได้ฟังพระธรรม แล้วมีความเข้าใจ เราจะรู้ได้ทันทีว่า ชาตินี้ตั้งแต่เกิดจนตายพูดคำที่ไม่รู้จัก ไม่ว่าคำไหนทั้งสิ้น ลองพูดมา ก็คือคำที่เราไม่รู้จัก เพราะเราไม่รู้ แต่เมื่อได้ฟังพระธรรมแล้วก็สามารถที่จะเข้าใจ แม้สิ่งที่มีโดยไม่ต้องพูด และถ้าจะพูด ก็พูดวาจาสัจจะคือพูดคำจริง ซึ่งสามารถจะเข้าใจได้เดี๋ยวนี้ด้วย ว่าคำนั้นหมายความถึงสิ่งที่มีจริงๆ ไม่ใช่ให้ไปคิดถึง ข้างหน้าที่ยังไม่เกิดขึ้น หรือว่าสิ่งที่ผ่านมาแล้ว เพราะเหตุว่าตามความเป็นจริงที่ไม่รู้ก็คือว่า ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ซึ่งจริงยิ่งกว่าเมื่อกี้นี้ เมื่อวานนี้ หรือว่าสิ่งที่ผ่านไปแล้ว แล้วก็จริงยิ่งกว่าสิ่งที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น เพราะทุกคนคิดได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่จะเกิดอย่างที่คิดหรือเปล่า นี่ก็เป็นสัจจธรรม ความจริงแน่นอนซึ่งพิสูจน์ตั้งแต่เกิด บางคนก็มีโอกาสได้ฟังพระธรรมบางคนก็ไม่มีโอกาสเลยจนตาย เพราะฉะนั้น ชีวิตก็สั้นมาก มรณสติ ให้รู้ว่าความตายอยู่ใกล้ที่สุด เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วเราเกิดมา เราได้อะไรจริงๆ จากการมีชีวิตอยู่ในโลก ซึ่งต้องจากไปแน่นอน ไม่มีใครที่จะอยู่ได้ตลอดไป แต่ว่าเกิดมาแล้ว ได้อะไรจากที่เกิดมา บางคนได้โลภะ ความติดข้องมหาศาล ลืมตาเห็นอะไร หูได้ยินอะไร รับประทานอาหาร จมูกได้กลิ่น ทุกอย่าง แม้แต่ดอกไม้สวย เกิดแล้วปรากฏให้เห็น แต่ไม่มีใครรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา ได้ฟังอย่างนี้แล้วคิดอย่างไร คิดละเอียด หรือว่าก็ธรรมดา พูดเรื่องสิ่งที่มีธรรมดา แต่ความจริงถ้าธรรมดาก็คือว่ากว่าดอกไม้จะเหี่ยวอีกหลายวัน กว่าคนจะตายก็อีกหลายวัน หลายเดือน หลายปี เพราะไม่รู้ความจริง ไม่เคยได้ฟังความจริงว่า แม้แต่คำเดียวที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เป็นสิ่งซึ่งควรที่จะไตร่ตรองให้เข้าใจความจริง ชีวิตสั้นมากชั่วขณะที่เกิดตั้งอยู่แสนสั้นแล้วก็ดับไป ขณะแรกที่เกิด ไม่ได้อยู่มาจนถึงเดี๋ยวนี้เลย เกิดมาอยู่เพียงชั่วหนึ่ง ขณะสืบต่อจากจุติจิตคือจิตขณะสุดท้ายของชาติก่อน ที่ทำให้พ้นสภาพความเป็นบุคคลในชาติก่อนโดยสิ้นเชิง แล้วก็มาเป็นคนนี้ ซึ่งเมื่อจิตขนาดสุดท้ายของชาตินี้ทำจิตเคลื่อนจุติพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ก็จะเป็นบุคคลอื่นทันที รู้ไหมว่าเคยเป็นใครมาก่อน เพราะฉะนั้น เราอาจจะเคยพบกันมาแล้ว เมืองเวสาลีก็ได้ โกสัมพีก็ได้ อยุธยาก็ได้ พิษณุโลกก็ได้ ที่ไหนก็ได้ไม่มีใครรู้ แต่ชีวิตก็จะต้องเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป มีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรมสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต ซึ่งสามารถที่จะติดตามไปได้ก็คือ การได้รู้จัก ได้เข้าใจความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์เดียวในสากลจักรวาล จะมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมกันสองพระองค์ไม่ได้ มีพระปัจเจกพุทธเจ้าพร้อมกันหลายองค์ได้ มีสาวกมากมายได้ แต่จะไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าถึง ๒ พระองค์ ไม่ว่าในกาลใดทั้งสิ้น ต้องทีละ ๑ พระองค์

    เพราะฉะนั้น เห็นความประเสริฐยิ่งของผู้ที่ประกอบด้วยพระปัญญาคุณ ซึ่งทำให้สามารถที่จะดับกิเลสได้ด้วยพระองค์เอง แล้วก็พระมหากรุณาคุณ ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อที่จะคนอื่นได้ฟังคำ หลังจากที่ได้ตรัสรู้แล้ว ซึ่งเป็นวาจาสัจจะซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ชีวิตของคนที่ได้ยินได้ฟัง เพราะเหตุว่าสามารถที่จะเริ่มรู้ความจริงได้ซึ่งความจริงที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กับคำที่คนอื่นกล่าวเปรียบเทียบไม่ได้เลย คนอื่นก็กล่าวธรรมดาธรรมดา เห็นจริงไหม โกรธจริงไหม ดีจริงไหม ชั่วจริงไหม ตื้นๆ เพราะว่าไม่รู้เลยว่า ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏทางตามาจากไหน ถ้าไม่มีจิตเกิดขึ้น เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้มีได้ไหม แค่นี้ ชีวิตเกิดมาแล้วต้องเห็น แต่ไม่รู้ความจริงเลยว่าเห็นหนึ่งขณะแล้วดับ จิตที่เพียงสืบต่อเห็น ไม่เห็น ทำคนละกิจแล้ว และใครจะเห็นรู้ว่าเมื่อขณะนี้เหมือนเห็นตลอดเวลา ไม่ได้ยินได้ฟังความจริงว่า กว่าจะมีผู้ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีตรัสรู้ความจริง เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย ต้องอาศัยการบำเพ็ญพระบารมีด้วยพระมหากรุณาจริงๆ ๔ อสงไขยแสนกัป แล้วสิ่งที่เราได้ยินได้ฟังเราสามารถที่จะรู้ความจริงนั้นได้เร็วหรือ แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมี ยิ่งด้วยปัญญา ๔ อสงไขยแสนกัป ถ้ายิ่งด้วยศรัทธา ๘ อสงไขยแสนกัป ถ้ายิ่งด้วยวิริยะ ๑๖ อสงไขยแสนกัป สัตว์ทั้งหลายหมายความว่า ผู้ข้อง แต่สัตว์อื่นข้องอยู่ในความต้องการ ในความโลภ ความโกรธ ความหลง แต่พระโพธิสัตว์ข้องในการรู้ความจริง แสดงให้เห็นว่าความจริงรู้ยาก เป็นพระมหาโพธิสัตว์ ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่ถึงพระมหาโพธิสัตว์ก็ได้ เป็นสาวกโพธิสัตว์ หมายความว่า เป็นผู้ที่ชีวิตจะมากจะน้อยอย่างไร มุ่งมั่นที่จะได้เข้าใจความจริง เพราะว่าอยู่ในโลกตั้งแต่เกิดมา และไม่รู้จักความจริงเลย แล้วก็จากโลกนี้ไป อยู่ในโลกแม้จะนานมากน้อยสักเท่าไร แล้วแต่คน ที่มีโอกาสได้ฟังความจริง เห็นความต่างไหม อยู่มาแบบไหน แบบไม่รู้ แล้วก็มาได้ฟังความจริง ซึ่งเป็นความจริงเดี๋ยวนี้ ซึ่งเป็นความจริงเดี๋ยวนี้ แล้วก็เป็นความจริงอย่างนี้มานานแสนนาน แต่ไม่มีใครตรัสรู้ความจริง จนกว่าผู้ที่ได้บำเพ็ญบารมีมาแล้ว จะรู้ความจริงของชีวิตตามปกติที่มีแล้ว เพราะว่าส่วนใหญ่บางคนคิดว่าจะต้องไปรู้สิ่งที่ยังไม่เกิด ถูกไหม

    การฟังพระธรรมปัญญาเริ่มจากการพิจารณาแต่ละคำที่ได้ฟังว่า เป็นความจริงหรือเปล่า ไม่ใช่ให้เชื่อ เพราะถ้าเชื่อคนฟังไม่มีปัญญาของตัวเอง แต่ว่าเมื่อฟังแล้วไตร่ตรอง และรู้ว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟังถูกต้องไหม รู้ได้ในขณะนี้ไหม เป็นจริงอย่างนั้นในขณะนี้ไหม กำลังพูดเรื่องสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน แต่กำลังมีในขณะนี้ สมควรรู้ไหม เพราะว่าสามารถจะเริ่มเข้าใจในสิ่งที่กำลังมีได้ นี่คือกิจของปัญญา ที่จะมีความเห็นที่ถูกต้อง

    เพราะฉะนั้น ก็กิจแรกคือฟังต่อไปในสิ่งที่ได้ฟัง แล้วก็ทำให้เกิดความ เห็นถูก เข้าใจถูกขึ้น จนกว่าจะรู้ว่าคำนี้ใครกล่าว ไม่มีคนอื่นเลยที่สามารถจะกล่าวได้ นอกจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น คือการที่เรามีโอกาสได้พบกัน ในอดีตใครเป็นใครไม่เคยรู้จักกันเลย เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นญาติ เป็นศัตรูก็ยังได้ อย่างท่านพระเทวทัตเป็นพระญาติ แต่ว่าเป็นผู้ที่คิดที่จะปลงชีวิตพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นไปได้ทั้งนั้น ทุกอย่าง เพราะเหตุว่า ความไม่รู้ถ้ายังคงมีความไม่รู้อยู่ ชีวิตก็ผันแปรไปแต่ละชาติตามเหตุตามปัจจัย จนกว่าจะมีโอกาสได้ฟังวาจาสัจจะซึ่งเป็นคำจริง เพราะฉะนั้น ความจริงลึกซึ้งอย่างยิ่ง และเราประมาทไม่ได้เลย เราเป็นใคร พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร ใครก็ตามที่คิดว่าจะอ่านพระไตรปิฎกเข้าใจ บางคนอ่านไม่กี่บรรทัด เขียนตำราเป็นเล่มๆ เป็นไปได้ไหม เข้าใจในแม้แต่ละคำได้แค่ไหน เช่น คำว่า ธรรม

    คุณคำปั่น ถ้ายังไม่เคยฟังธรรมเลย จะตอบว่าอย่างไร

    อ.คำปั่น ถ้ายังไม่เคยฟังพระธรรม พอได้ยินคำว่า ธรรม คืออะไร ก็จะตอบว่า ธรรม คือคำสอนของพระพุทธเจ้า ธรรมคือความดี แค่นี้

    ท่านอาจารย์ ธรรม หมายความถึง สิ่งที่มีจริง ความไม่ดีมีจริงๆ หรือเปล่า มีจริง ภาษาบาลีก็เป็น อกุสลธัมมา ภาษาไทยก็อกุศลธรรม หมายความถึงธรรมที่ไม่ดี ไม่งาม ให้ผลเป็นโทษทุกอย่างหมด ดีก็เป็นธรรม ไม่ดีก็เป็นธรรม สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เป็นธรรม เสียงที่ได้ยินก็เป็นธรรม ไม่ว่าอะไรก็ตามที่มีจริงๆ เกิดขึ้นปรากฏว่ามี ถ้าไม่เกิดขึ้นใครจะบอกว่ามี แต่เราไม่รู้ไปถึงว่า ต้องมีปัจจัยทำให้สิ่งนั้นเกิด ไม่ใช่สิ่งนั้นเกิดขึ้นลอยๆ ถ้าเราไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเกิดจากอะไร เราก็คิดว่าเกิดเอง แต่ความจริงสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะเกิดตามลำพังไม่ได้เลย ต้องมีธรรมซึ่งคือสิ่งที่มีจริงๆ นี่แหละอาศัยกันเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น เพราะไม่รู้ความจริงว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ตาม ที่มีความเกิดขึ้น สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา

    พระไตรปิฎก ๓ ปิฎก พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก แล้วก็บุคคลในครั้งนั้นสามารถที่จะเข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส เพราะเขาเคยได้ยินได้ฟังมาแล้วในอดีต เพราะฉะนั้น เมื่อได้ยิน ได้ฟังอีก ขณะนั้นก็สามารถที่จะเข้าใจ แล้วก็ตอบได้ สำหรับคนที่ยังใหม่มากอาจจะไม่เคยได้ยินได้ฟังธรรมเลย พอได้ยินได้ฟังธรรมบอกว่า ไม่เคยได้ยินมาก่อน ถูกไหม ต้องถูก เพราะก่อนการตรัสรู้ ไม่เคยมีใครได้ยินคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส จากการที่ได้ทรงตรัสรู้แล้ว เพราะฉะนั้น ทุกคำที่ทรงแสดงเป็นคำใหม่ ซึ่งคนอื่นไม่เคยกล่าวถึงตามความเป็นจริงของคำนั้นๆ ด้วยเหตุนี้ ยิ่งฟัง ยิ่งใหม่ เพราะเข้าใจถูก อย่างเห็น ทุกคนมีใช่ไหม แต่รู้ความจริงหรือเปล่าว่า เห็นต้องเกิด ถ้าเห็นไม่เกิดจะมีเห็นได้ไหม และเห็นเกิดแล้วดับหรือเปล่า ไม่เคยรู้เลย แต่ถ้าฟังแล้ว จริงหรือเปล่า ถ้าจริง และสามารถที่จะรู้ได้หรือเปล่า ถ้ารู้ได้รู้อะไร ก็รู้สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้แหละ เมื่อวานนี้หมดแล้ว จะไปรู้เมื่อวานนี้ไม่ได้ พรุ่งนี้ยังไม่มาถึง หรือขณะต่อไปก็ยังไม่มาถึง เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดงทั้งหมด ให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมี เหมือนไม่มีอะไร ที่จะจริง แค่เห็นใช่ไหม แต่ความจริง เห็นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใครด้วย แต่เป็นสิ่งที่มีจริงที่เป็นธาตุ ที่สามารถจะเห็น โต๊ะ เก้าอี้ แข็ง หวาน เสียง ไม่เห็นอะไรเลย แขนก็เห็นไม่ได้ หูก็เห็นไม่ได้ จมูกก็เห็นไม่ได้ ตาเองก็เห็นไม่ได้ แต่ว่ามีธาตุรู้เกิดเพราะอาศัยตา ถ้าไม่มีตาก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น ขณะนี้ ธาตุรู้เกิดที่ตา แล้วก็กำลังเห็นสิ่งที่กระทบตาได้ และสิ่งที่กระทบตากำลังปรากฏให้เห็นชั่วขณะ แล้วดับไป

    กว่าจะไม่ยึดถือสภาพธรรมที่ปรากฏว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ปัญญาต้องฟังเพื่อละ ไม่ใช่เพื่อได้ คำว่า ปฏิปัตติ หมายความว่า ถึงเฉพาะ ลักษณะของสิ่งที่มีจริงๆ ด้วยความเห็นที่ถูกต้องเข้าใจถูกต้องไม่ใช่เรา ธรรมทั้งหมด

    ถ้าใช้คำว่า ธรรมแล้ว จะเป็นเรา จะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้เลย ต้องตรง เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วทุกท่านที่ฟังธรรมต้องพิจารณาตนเองด้วย เป็นผู้ตรงหรือเปล่า มีข้อความในพระไตรปิฎกว่า ผู้ที่ตรงเท่านั้นที่จะได้สาระจากพระธรรม เพราะธรรมตรง ธรรมไม่เปลี่ยน ตรงอย่างยิ่ง เหตุจะเป็นผลไม่ได้ ผลต้องเกิดจากเหตุที่สมควร เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่ดี จะทำให้เกิดผลดีไม่ได้ ถ้าสิ่งที่ดีจะทำให้เกิดผลที่ไม่ดีไม่ได้ เพราะไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ธรรมไม่ใช่เราจะไปตั้งกฎเกณฑ์ ใครจะคิดถึงธรรมอย่างไรก็ตามแต่ ธรรมไม่เปลี่ยนตามความคิดของใครเลย ธรรมเป็นธรรม

    เพราะฉะนั้น จึงต้องเป็นผู้ที่ตรง สำหรับบารมีก็มี สัจจะบารมีความจริงใจ ฟังธรรมเพื่ออะไร ตรงที่จะรู้ว่าเพราะไม่รู้จึงฟัง และเมื่อฟังแล้วรู้หรือเปล่า เข้าใจหรือเปล่า ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจก็ไม่ได้ประโยชน์จากการฟัง เพราะฉะนั้น จึงมีการสนทนาธรรม ถ้าไม่ฟังด้วยความเคารพจริงๆ ที่จะไม่เปลี่ยนคำนั้นโดยการเข้าใจผิด ที่จะชวนให้ทำให้พระธรรมลบเลือน ในที่สุดก็อันตรธาน เพราะความประมาทของคนที่คิดว่า ใครก็ตามอ่านก็รู้เรื่อง เป็นไปไม่ได้เลย เพราะผู้ฟังในครั้งนั้น เมื่อจบพระธรรมเทศนา หรือสนทนากันแล้ว สามารถที่จะถึงความเป็นพระโสดาบันได้ แต่ไม่ใช่หมายความว่า ไม่มีความเข้าใจอะไรเลยเดี๋ยวนี้ แล้วจะเป็นพระโสดาบัน สติปัฏฐานสติสัมปชัญญะ เป็นผู้มีปกติรู้ความจริง แต่ไม่ใช่เรา ต้องเป็นธรรมอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งทรงแสดงไว้ว่า ธรรมหลากหลายสุดที่จะประมาณได้ แต่ก็ทรงพระมหากรุณาแสดงตามประเภทของธรรมนั้นๆ ตั้งแต่เห็นขณะนี้เป็นธรรม ไม่ใช่เรา เพราะเป็นสิ่งที่เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้ใจสิ่งที่กำลังปรากฏ เดี๋ยวนี้ เห็นแจ้งในแต่ละหนึ่งซึ่งกำลังปรากฏ นั่นคือจิต แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่จะเกิดขึ้นเกิดขึ้นตามลำพังไม่ได้ ต้องอาศัยกัน และกันเกิดขึ้น ตาบอด เห็นเกิดไม่ได้เลย แต่ตาไม่เห็น อย่างไรๆ ตาก็ไม่เห็น แต่ว่ามีสิ่งหนึ่งซึ่งสามารถกระทบตา สิ่งนั้นไม่น่าสงสัยเลย กำลังปรากฏให้เห็นเดี๋ยวนี้เลย สิ่งนี้แหละมีจริงไหม

    สิ่งที่กำลังปรากฏ ให้เห็นเดี๋ยวนี้มีจริงๆ เมื่อไร เมื่อจิตเห็นกำลังเห็นสิ่งนั้น เท่านั้น หมายความว่า สิ่งนั้นต้องเกิดยังไม่ดับไป แต่สิ่งนั้นต้องเกิด ถ้าไม่เกิดไม่มีสิ่งนั้นให้เห็น จักขุปสาทหรือตาที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ ก็ต้องเกิด ถ้าไม่เกิดก็ไม่มีรูปพิเศษซึ่งสามารถกระทบเฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ได้ แต่ละหนึ่ง ลึกซึ้งไหม ไม่ได้เป็นโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งต่างๆ พร้อมกัน เดี๋ยวนี้เลย

    แม้แต่จิต ธาตุรู้ซึ่งทุกคนบอกว่า มี ถามว่า มีจิตไหม ตอบว่า มี ถามว่าจิตอยู่ไหน ไม่รู้ แล้วทำไมตอบว่ามี เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องของความไม่รู้ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ขณะนี้มีเห็น ใครก็ทำให้จิตเห็นเกิดไม่ได้ ใครทำได้ ลองทำให้จิตเห็นเกิดสิ ไม่มีทาง ใช่ไหม และถ้ามีปัจจัยให้เกิดเห็น ไม่ให้เห็นได้ไหม ก็ไม่ได้ เพราะไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา แค่ไม่ให้จิตเกิดได้ไหม ยังไม่ได้เลย จิตต้องเกิดแน่ๆ เพราะมีปัจจัยที่จะให้จิตเกิด ไม่สิ้นสุด จนกว่าหมดปัจจัย จิตเกิดไม่ได้ เมื่อไม่มีปัจจัยจะให้จิตเกิด พระอรหันต์ทั้งหลายดับปัจจัยเพราะปัญญา ต้องไม่ลืม ไม่ใช่เพราะความต้องการไม่ใช่เพราะอยาก ไม่ใช่เพราะเข้าใจผิด คิดว่า เราสามารถที่จะรู้ได้ เราสามารถที่จะทำได้ เริ่มเห็นผิดตั้งแต่ต้น ยังไม่ได้เห็นถูกต้องเลยว่า ธรรม คืออะไร ธรรมไม่ใช่เรา สิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง เป็นธรรม กว่าจะไปถึงคำอื่นๆ ต้องรอบรู้ในคำว่า ธรรม ก่อน มิฉะนั้นจะหลงผิดคิดว่า รู้ธรรม แต่เมื่อไม่รอบรู้ในธรรมแล้วจะรู้ในธรรมได้อย่างไร

    การสนทนาธรรม ก็เป็นประโยชน์ที่ว่า ทำให้เราเป็นผู้ตรง และก็รู้ว่าสิ่งที่ได้ฟังทั้งหมด ใครกล่าวไว้ และเราสามารถที่จะเข้าใจเหมือนท่านที่ได้เข้าใจแล้ว หรือว่าไม่สามารถ แต่หนทางนั้นเป็นหนทางที่ไกลมาก เพราะเหตุว่า เป็นผู้ที่หนาแน่นด้วยอกุศล ทำไมกล่าวอย่างนี้ เห็นก็ยังไม่รู้เลย เห็นไม่ใช่เราเห็น คิดหรือเปล่าเดี๋ยวนี้ เห็นปุ๊บคิดปั๊บ ไม่รู้เลย เห็นอะไร เห็นดอกไม้ สิ่งที่ปรากฏทางตา เพียงปรากฏสั้นมากแล้วดับไป แต่สืบตอบจนปรากฏเป็นสีสันต่างๆ เพราะสัณฐานของมหาภูตรูป แต่ว่าตัวสัณฐานไม่ปรากฏทางตา แต่สามารถที่จะรู้ได้

    ใบไม้ ไม่เหมือนกัน บางใบก็กลม บางใบก็ยาว บางใบก็สั้น ถ้าไม่มีสิ่งที่อยู่กับมหาภูตรูปที่สามารถกระทบตา จะไม่ปรากฏสัณฐานเหล่านี้เลย เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้ว ใครจะเรียนธรรมจบบ้างในชาตินี้ จบ ไม่มีทาง เข้าใจถูกเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง ที่จะไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น เพราะรู้ว่า การที่จะเข้าใจธรรมต้องอาศัยการฟัง และความเป็นผู้ตรง

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 176
    14 มี.ค. 2567