ปกิณณกธรรม ตอนที่ 744


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๗๔๔

    สนทนาธรรม ที่ สวนสามพราน ริเวอร์ไซด์ จ.นครปฐม

    วันที่ ๑๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๘


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ต้องมีอารมณ์ที่เมื่อระลึกถึงด้วยความเห็นที่ถูกต้อง ความเข้าใจพอสมควร จิตก็จะสงบได้ เช่น เราจะจากโลกนี้ไปเมื่อไร สงบไหม ใครจะรู้ เดี๋ยวนี้ก็ได้ เย็นนี้ก็ได้ พรุ่งนี้ก็ได้ แล้วได้ยินอย่างนี้ จิตจะสงบหรือไม่สงบ บังคับไม่ได้เลย ต้องประกอบด้วยปัญญาความเห็นที่ถูกต้อง ตรึกอย่างไร ไม่ประมาท แล้วก็รู้ว่าสิ่งใดที่ควรสงบ เพราะเหตุว่าเป็นความจริง จะกลัวทำไม ก็ทุกคนก็ต้องเป็นอย่างนี้ มีใครบ้างที่ไม่เป็นอย่างนี้ แม้แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้แต่เทพเทวาชั้นใด รูปพรหมหรืออรูปพรหม ต้องเป็นอย่างนี้ ไม่มีใครสามารถที่จะให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเที่ยงได้ เพราะความจริงไม่เที่ยงอยู่ทุกขณะ ถ้ามีความคิดมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่หวั่นไหว ไม่เดือดร้อน เพราะว่าจริงๆ แล้วทุกคนก็จะไม่เป็นคนนี้อีกต่อไป เพียงแต่ว่าช้าหรือเร็วเท่านั้น ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วจิตสงบไหม เห็นไหมว่าไม่ใช่เรื่องที่ว่าพอได้ยินอย่างนี้แล้วทุกคนก็จิตจะสงบ ต้องแล้วแต่ขนาดนั้น สะสมมาพอที่จะเห็นความจริง รู้ความจริง แล้วก็สงบคือว่าขณะนั้นไม่เป็นอกุศล และบางคนก็ทำความดี ดีกว่ารอ เพราะรอแล้วอาจจะไม่ได้ทำ เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องซึ่งใครจะมาบอกว่าคนนี้กำลังคิดอย่างนั้น คนนี้กำลังคิดอย่างนี้ ต้องอวดอุตริมนุสธรรมแน่ เพราะว่า ถ้าถามเขาว่า รู้ได้อย่างไร เขาจะตอบได้ไหม เพราะเหตุใดจึงตอบไม่ได้ หรือเพราะเหตุใดจึงตอบได้ ตอบถูกหรือตอบผิด ผู้ที่ศึกษาธรรมสามารถที่จะเข้าใจได้ แต่ถ้าคนที่ไม่ศึกษาก็เชื่อเลย

    อ.สงบ ก็เป็นเรื่องของทั้งรูปฌาน อรูปฌาน และเรื่องของวิโมกข์ หรือเรื่องของมรรคผลนิพพาน ลักษณะอย่างนี้ถ้ามีในตน อวดชาวบ้านเป็นอาบัติปาจิตตีย์ ถ้าไม่มีในตนอวดเป็นปาราชิก แต่ว่าอันนี้ไม่ใช่อนันตริยกรรม คนละแบบกัน อนันตริยกรรมก็คือกรรมที่ห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน คือมาตุฆาต ปิตุฆาต อรหันตฆาต คือฆ่าพระอรหันต์ โลหิตุปบาท คือทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงพระโลหิตห้อ และก็สังฆเภท ทำลายสงฆ์ อันนี้เป็นอนันตริยกรรม หรือกรรมอย่างหนัก ห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน ส่วนอวดอุตริมนุสธรรม ถ้าเป็นภิกษุก็คือต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระภิกษุ บวชอีกไม่ได้แล้ว แม้ใครไม่รู้ก็บวชไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าจริงๆ แล้ว ธรรมเป็นธรรม ถ้าเราจะคิดโดยละเอียด เราจะมีการไตร่ตรองแล้วก็พิจารณาละเอียดขึ้น และทั้งหมดก็มีอยู่ในพระวินัย ซึ่งเป็นเรื่องปลีกย่อยที่ละเอียดกว่านี้มาก เพราะฉะนั้น การศึกษาพระวินัยเป็นประโยชน์ ผู้ที่มีความละอายต่อการที่จะประพฤติไม่สมควรแก่การเป็นเพศบรรพชิต จึงสามารถที่จะดำรงอยู่ในเพศบรรพชิต เพราะเหตุว่า แม้ประพฤติผิดไปแล้วอาบัติที่สามารถจะปลงได้ทุกอาบัติ เว้นอาบัติปาราชิกปลงไม่ได้ เมื่อประพฤติล่วงปาราชิกแล้วไม่มีทางที่จะแก้กลับคืนได้ แม้ว่าท่านพระอานนท์จะไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงบัญญัติที่จะไม่ให้เป็นปาราชิก พระองค์ก็ตรัสว่า คำใดที่พระองค์ตรัสแล้วเปลี่ยนไม่ได้ เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่ปาราชิกแล้ว ไม่มีทางเลย ที่ใครจะรู้หรือไม่รู้หรือจะไปขอร้องใคร อย่างไรก็ตาม ไม่มีทางที่จะไม่เป็นปาราชิก หมายความว่าจะอุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระธรรมวินัยไม่ได้ แต่ว่าสามารถที่จะลาสิกขาบท แล้วก็บวชเป็นสามเณร หรือว่าคฤหัสถ์ศึกษาธรรมต่อไปได้ ถ้าสึกแล้วอาบัติทั้งหมดที่ติดตัวไม่เหลือ หมายความว่าไม่ต้องติดตามไปเป็นอาบัติของคฤหัสถ์ เพราะว่าคฤหัสถ์ไม่เป็นอาบัติ แต่ถ้าจะบวชอีกเมื่อไรอาบัติทั้งหมดกลับมาเป็นของเดิมที่จะต้องปลง เพื่อความบริสุทธิ์ที่จะต้องอยู่ร่วมกับภิกษุทั้งหลายซึ่งบริสุทธิ์

    จะเห็นได้ว่า การศึกษาพระวินัยสำหรับคฤหัสถ์เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์มาก เพราะเหตุว่าได้เห็นความต่างกันของจิตใจของผู้ที่เป็นบรรพชิต กับจิตใจของผู้ที่เป็นคฤหัสถ์ เพราะฉะนั้น พระบัญญัติแต่ละข้อที่เราอ่านได้ตามสมควรที่จะเข้าใจได้ แม้ว่าจะไม่ละเอียดเพราะไม่ได้ ศึกษาโดยละเอียดก็จริง แต่ก็จะเห็นประโยชน์ได้ว่า ขณะใดก็ตามที่รู้บัญญัติแม้เล็กน้อย อภิสมาจาร ความประพฤติที่สมควรทางกาย ทางวาจาของเพศบรรพชิต ซึ่งบัญญัติไว้ด้วยว่า ต้องต่างกับคฤหัสถ์ทุกประการ แม้แต่พูด คฤหัสถ์จะพูดคำหยาบ พูดเล่น พูดอะไรใช้คำอะไรก็ได้ แต่บรรพชิตต้องระวัง คำหยาบพูดไม่ได้ด้วย

    เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่าเวลาที่อ่านพระวินัยบัญญัติ ระลึกถึงตัวเอง นี่คือประโยชน์ของการศึกษาพระธรรม ไม่ว่าจะเป็นข้อความใดในพระไตรปิฎก ไม่ใช่สำหรับคนอื่นเลย แต่ทุกคำที่ตรัสกับผู้ที่ได้รับฟังในครั้งพุทธกาลอย่างไร ผู้ที่ได้รับฟังในครั้งนี้ เหมือนพระผู้มีพระภาคตรัสกับผู้นั้น ที่จะต้องใส่ใจ และรู้ว่านี่เป็นพระมหากรุณาที่จะแสดงให้เราได้รู้จักตัวของเราเองตามความเป็นจริง ถ้าไม่ศึกษาพระวินัยจะรู้ไหมว่า คฤหัสถ์กิเลสมากแค่ไหน แต่พออ่านพระวินัยบัญญัติรู้ตัวเลยว่า คฤหัสถ์มีกิเลสมากกว่าบรรพชิตมาก ก็เป็นเหตุหนึ่งที่จะทำให้ไม่ประมาท และรู้ว่าควรจะประพฤติตามพระวินัย แม้ไม่ใช่บรรพชิตก็ประพฤติตามได้ ไม่ใช่ว่าเราเป็นคฤหัสถ์ประพฤติอย่างไรก็ได้ ส่วนท่านเป็นบรรพชิตก็ให้ท่านประพฤติไป ไม่ใช่อย่างนั้นเลย สำหรับทุกคน

    ผู้ฟัง ผมเข้าใจว่าเหตุทุกอย่างที่ปรากฏแม้กระทั่งเหตุการณ์ที่กำลังยืน กำลังนั่ง หรือกำลังสนทนาอยู่ ล้วนแต่มีปัจจัยส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ที่มันปรากฏขึ้นแบบนี้ จะถามว่าพอเราบอกว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ใช่เรา แล้วจริงๆ แล้วสิ่งที่มันปรากฏขึ้นมามันเกิดจากว่าเป็นเพราะเหตุปัจจัยทำให้เกิดขึ้นมา หรือจริงๆ เราต้องกล่าวว่า เป็นธรรมที่ไม่มีตัวตน

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องกล่าวก็ได้ แต่เข้าใจให้ถูกต้องในสภาพธรรมที่ต่างกัน ถ้าไม่มีจิตซึ่งเป็นสภาพรู้ รูปจะเคลื่อนไหวทำอะไรแม้แต่พูดได้ไหม ไม่ได้ จิตก็เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งซึ่งไม่สามารถจะเคลื่อนไหวได้ เพราะจิตไม่ใช่รูป เพราะฉะนั้น จิตเกิดขึ้นแล้วก็อาศัยรูป รูปก็เป็นสิ่งที่จิตกำลังรู้ในขณะนี้ กำลังยื่นมือออกไปนี่เพราะอะไร รูปอยากจะยื่นมือออกไปเอง หรือว่าจิตนั่นแหละที่ต้องการที่จะยื่นมือออกไป จิตก็เป็นจิต และรูปก็เป็นรูป ถ้าไม่มีจิต รูปไม่รู้อะไรเลย ทำอะไรไม่ได้เลยทั้งสิ้น เพราะรูปไม่ใช่สภาพรู้ และจิตถ้าไม่มีรูปเกิด จิตก็เคลื่อนไหวไม่ได้ทำอะไรไม่ได้เลย พูดไม่ได้ อะไรไม่ได้หมดเพราะมีแต่จิต เพราะฉะนั้น ก็ต้องเข้าใจความต่างกันของธรรมสองอย่างนี้ จิตกับรูปแยกกันโดยเด็ดขาด เพราะฉะนั้น วิปัสสนาญาณแรก ปัญญาที่เห็นแจ้งหลังจากที่ฟังเข้าใจแล้ว ก็ยังจะต้องอบรมการที่จะศึกษาเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมแต่ละหนึ่ง จนค่อยๆ เข้าใจขึ้น ทำให้คลายการยึดถือว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เมื่อนั้นเมื่อถึงกาลเวลา สภาพธรรมก็จะปรากฏกับปัญญาที่ได้อบรมแล้ว แสดงความชัดเจนของความต่างกันของธรรม ๒ อย่าง คือนามรูปปริจเฉทญาณ ความแยกขาดจากกัน ต่างกันจริงๆ

    สนทนาธรรม ที่ กนกรัตน์ รีสอร์ท อัมพวา จ.สมุทรสงคราม

    วันที่ ๑๒ มีนาคม พ.ศ ๒๕๕๘


    อ.คำปั่น ในความลึกซึ้งของธรรม ในเบื้องต้นก็ยังไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า จริงๆ แล้วธรรมคืออะไร เหมือนกับว่าจะเป็นการพูดตามๆ กันว่า นี่คือธรรม ที่เป็นธรรม แต่ว่ายังไม่รู้เลยว่า ธรรมคืออะไร

    ท่านอาจารย์ ได้ยินคำคุ้นหูคือคำว่า ธรรม เพราะว่าเราจะกล่าวคำบูชาพระรัตนตรัยว่า มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระธรรม และก็มีพระสงฆ์ซึ่งหมายความถึงพระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่ง ทุกคำต้องตรง แล้วก็จริงใจแล้วก็ไม่เปลี่ยน ทำไมมีพระรัตนตรัย คือมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระธรรม และมีพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง เพราะเหตุว่าเราเกิดมาเราไม่ได้มีปัญญาที่จะเข้าใจถูก เห็นถูกในสิ่งที่เกิดมาแล้วก็เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ แล้วก็อะไรก็ไม่รู้ ตั้งแต่เกิดจนตาย

    เวลาที่ได้ยินคำว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเข้าใจความหมาย ไม่ใช่ว่าเราได้ยินอะไรแล้วเราก็คิดว่า เรารู้ แต่จริงๆ แล้วที่เราเข้าใจว่ารู้ถูกหรือเปล่า เพราะฉะนั้น ก็แม้แต่ได้ยินคำหนึ่งคำใด ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง เช่น ได้ยินคำว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีเพียงบุคคลเดียวที่จะมีชื่อนี้ได้ คนอื่นไม่ว่าจะฉลาดล้ำเลิศอย่างไร เป็นที่ยกย่องอย่างไรก็ตาม ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น คำนี้ต้องเป็นคำที่พิเศษ เป็นพระคุณนาม ไม่ใช่ว่าเราจะไปตั้งชื่อใคร ไปเรียกใครว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้เลย เพราะว่าถึงจะอย่างไรก็ตาม ต้องเป็นคุณนามของผู้ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี จนถึงกระทั่งถึงตรัสรู้ความจริงซึ่งคนอื่นไม่รู้

    ข้อสำคัญที่เราคิดว่า เรารู้ เราไม่รู้ จนกว่าเมื่อได้ฟังพระธรรมเมื่อไร เราก็จะเริ่มรู้ว่า แท้ที่จริงแล้วเราไม่รู้เลย แม้แต่คำว่า ธรรม ได้ยินบ่อยๆ หรือแม้แต่คำว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือแม้แต่คำว่า พระสงฆ์ คือสาวก ผู้ที่ได้ฟังพระธรรม เมื่อมีผู้ที่ตรัสรู้ความจริงตรัสรู้หมายความว่า รู้ความจริงถึงที่สุดทุกอย่าง

    ไม่ว่าจะเป็นสงสัยเรื่องอะไร พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงความจริงความถูกต้อง ของสิ่งนั้นจนถึงที่สุด ไม่มีข้อสงสัยอีกเลยเมื่อรู้ความจริงถึงที่สุดแล้ว เพราะฉะนั้น พอได้ยินชื่อนี้สำหรับผู้ที่สะสมมาที่คิดว่า เกิดมาแล้วก็ต้องจากโลกนี้ไป แต่ว่าหลายคนก็จากไปโดยที่ว่า ไม่ได้รู้ความจริงว่า ที่เกิดมานี้คืออะไรบ้าง มีเห็น มีได้ยิน มีสุข มีทุกข์ แล้วก็จากไป เรียกได้ว่า ทุกวัน แล้วก็ไม่มี เมื่อกี้นี้มีแล้วก็ไม่มี และเดี๋ยวนี้มีแล้วก็ไม่มี อย่างไรๆ ก็ไม่มีตลอดไป ต้องถึงการที่ แล้วก็ไม่มี เราไม่รู้ความจริงอย่างนี้ ทั้งวันไม่เคยคิดเลยว่าจริงๆ แล้วเห็นอะไร หรือว่าแม้แต่จะทำอะไร คิดอะไร ก็ไม่รู้ไปหมดเลย แต่ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตอนที่เป็นพระโพธิสัตว์ พระองค์ต้องคิดต่างกับคนอื่น เวลานี้ทุกคนเป็นแต่ละหนึ่ง กำลังคิด รู้ได้เลยว่า คิดไม่เหมือนกัน แต่ละคน ลองถามกันดูว่าใครคิดอะไร ก็ต้องตอบกันคนละอย่าง ไม่เหมือนกัน แต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่ง บางคนสนใจที่จะฟังธรรม พอได้ยินคำว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า บางคนก็ไม่สนใจเลย ได้ยินได้ฟังแต่ว่า เป็นคนที่ประเสริฐเลิศที่สุด ไม่มีกิเลส เป็นที่เคารพสักการะของทั้งเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย เพียงได้ยินเท่านี้ก็ตามไปแล้ว แต่ว่าไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงแต่ได้ทราบว่า เป็นผู้ที่ทุกคนเคารพยกย่อง แต่นั่นไม่พอ คนที่เคารพยกย่องคนอื่นมีไหม มีแน่นอน แต่ทำไมคนนี้ยกย่องคนนี้ และอีกคนหนึ่งยกย่องอีกคนหนึ่ง

    แต่คนที่สะสมมาที่สนใจที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ เพราะรู้ว่าเราไม่รู้ ถ้าคิดว่ารู้แล้ว ไม่ต้องฟังอะไรอีกเลย แต่เพราะเหตุว่า ไม่รู้ แล้วก็ต้องมีผู้ที่รู้กว่า และผู้ที่รู้เหนือบุคคลใดทั้งสิ้นก็คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็มีศรัทธาที่จะฟังพระธรรม พระธรรมคือคำสอน เพราะว่าเมื่อตรัสรู้แล้วก็เห็นว่า คนที่ไม่รู้ไม่มีทางที่จะรู้ได้ด้วยตัวเอง ถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงพระธรรม ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริงตั้งแต่เกิดจนตาย ก็จากโลกนี้ไปด้วยความไม่รู้ว่า แล้วไปไหน ไม่มีใครรู้เลย

    แต่ว่าเมื่อได้ฟังพระธรรมแล้วก็รู้ว่า แท้ที่จริงคำว่า อนัตตา หมายความถึง สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้แหละ ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เราเคยจำไว้ว่าเที่ยง เป็นดอกไม้ เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นคน แต่ความจริงก็มีสิ่งที่มีจริงๆ เฉพาะแต่ละอย่าง เช่น ขณะนี้ เสียงมีจริง และเสียงก็ไม่ใช่คิด ไม่ใช่จำ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ก็มีจริง แต่ไม่ใช่ชอบ ไม่ใช่โกรธ แต่ละหนึ่งๆ ซึ่งมีตั้งแต่เกิดจนตายหลากหลายมาก และความจริงของสิ่งนั้นคืออะไร

    คนที่ไม่ใช่พระโพธิสัตว์ไม่คิด พระโพธิสัตว์มี ๓ พระมหาโพธิสัตว์ คือ ผู้ที่บำเพ็ญบารมีเพื่อถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ผู้ที่ดับกิเลสแล้ว แต่ก็ประกอบด้วยพระญาณ คือ พระปัญญามากกว่าบุคคลอื่น สามารถที่จะแสดงพระธรรมให้คนอื่น ได้เกิดความเห็นถูกความเข้าใจถูกได้ โดยประการทั้งปวง เพราะฉะนั้นใครที่มีความสงสัยในครั้งโน้น ไปเฝ้ากราบทูลถามทุกอย่างที่ตรัสแล้วชัดเจน ทำให้คนนั้นเกิดปัญญาของตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดคือปัญญา ซื้อก็ไม่ได้ จะไปขอใครก็ไม่ได้ มีทางเดียวคือว่า ได้ฟังวาจาสัจจะ คำจริง ถึงสิ่งที่มีจริงๆ ก็เกิดความเห็นที่ถูกต้องในสิ่งที่มีจริง

    การที่จะถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ พระมหาโพธิสัตว์ต้องบำเพ็ญพระบารมีนานกว่าคนอื่น ถ้าเป็นผู้ที่ยิ่งด้วยปัญญาถึง ๔ อสงไขยแสนกัป เราเกิดมาไม่กี่วัน ไม่กี่เดือน ไม่กี่ปี ก็จากโลกนี้ไป ไม่ถึงกัป แต่นี่ ๔ อสงไขยแสนกัป ถ้ายิ่งด้วยศรัทธา ๘ อสงไขยแสนกัป ถ้ายิ่งด้วยวิริยะ ๑๖ อสงไขยแสนกัป นานมาก

    แล้วเราเกิดมานานเท่าไร และความคิดของเรา โพธิ คือ ความต้องการรู้ความจริงมีบ้างไหม ถ้ามี ก็คงไม่ถึงการที่จะเป็นพระมหาโพธิสัตว์ที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็ต่อจากพระมหาโพธิสัตว์ ก็คือผู้ที่ได้ฟังธรรมแล้ว แล้วก็มีความเข้าใจถูก แต่ยังไม่ถึงเวลาที่จะรู้ความจริง แสดงว่าความจริงเดี๋ยวนี้เป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง และรู้ยากมาก ไม่ใช่ว่าจะถึงได้เร็ว แต่ต้องเป็นผู้ที่มีความมั่นคงจริงใจที่จะรู้ และต้องบำเพ็ญหนทางที่จะรู้ความจริงซึ่งเป็นคุณความดีทั้งหมด ถ้าไม่ถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ได้ฟังพระธรรม เหมือนในครั้งโน้น นายสุมนมาลาการ ได้ฟังธรรมเท่าที่จะได้ฟังในชาตินั้น แล้วก็เมื่อพระธรรมอันตรธานไปหมดแล้ว ท่านก็เป็นผู้หนึ่งซึ่งจะได้เป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้า หมายความถึง เป็นผู้ที่บำเพ็ญความดีความเห็นถูกต้อง สามารถที่จะให้รู้ธรรมที่ปรากฏในยุคสมัยที่ไม่มีคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะว่าคำสอน ถ้าขาดคนสนใจ ขาดคนศึกษา ขาดคนเรียน ก็อันตรธาน เพราะฉะนั้น ที่กล่าวว่าอีก ๕,๐๐๐ ปี พระศาสนาจะอันตรธาน แต่อันตรธานแล้วสำหรับผู้ที่ไม่ฟังธรรม และไม่เข้าใจธรรม ไม่ต้องรอถึง ๕,๐๐๐ ปี ๕,๐๐๐ ปีไม่เหลือใครอีกแล้ว ที่พอที่จะสนใจศึกษา เข้าใจได้

    ในกาลที่ไม่มีคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และผู้ที่เคยฟังพระธรรม และเข้าใจแล้วล่ะ สามารถที่จะมีปัจจัยที่จะรู้ความจริงได้ด้วยตนเองเป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้า แต่ว่าไม่ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเหล่านี้บำเพ็ญบารมี ๒ อสงไขยแสนกัป ครึ่งหนึ่งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครจะรู้บ้างว่าใครจะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า แต่ไม่ใช่เดี๋ยวนี้แน่นอน ๒ อสงไขยแสนกัป สำหรับผู้ที่เป็นอัครสาวก ได้ฟังคำของพระพุทธเจ้า แล้วก็สามารถที่จะมีปัญญามากเหนือคนอื่น เป็นอัครสาวกบำเพ็ญบารมี ๑ อสงไขยแสนกัป

    เพราะฉะนั้น ไม่ต้องถึงได้ใช่ไหม ไม่ต้องถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า หรือพระอัครสาวก แค่สาวกก็ยังดี ดีกว่าไม่ถึงเลย แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อไร ต้องเพราะปัญญาความเห็นถูกเท่านั้น ถ้าไม่มีความเห็นถูก ไม่มีความเข้าใจถูก แล้วก็จะเป็นผู้ที่เป็นพุทธะได้อย่างไร เพราะว่าพุทธะ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จากอกุศล และความไม่รู้ จนกระทั่งความรู้เพิ่มขึ้น ดับกิเลสได้ แต่โดยฐานะต่างกันสำหรับผู้ที่ไม่บำเพ็ญบารมีถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า ก็เพียงบำเพ็ญบารมีเพื่อที่จะถึงการเข้าใจตาม ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ และทรงแสดง สาวกบารมี

    ขณะนี้ใครที่มีศรัทธาสนใจที่จะเข้าใจพระธรรม ฟังเพื่อเข้าใจ เพื่อปัญญาของตนเอง เพราะว่าการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยปัญญา การเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยปัญญา การที่จะรู้ความจริงก็คือด้วยปัญญา เพราะปัญญาเป็นความรู้ถูกความเห็นถูก

    ขณะนี้ สาวกบารมี หรือใครจะเป็น ปัจเจกกะ ก็แล้วแต่ บังคับบัญชาไม่ได้ ตามเหตุที่สมควร ถ้าสมควรที่จะเป็นสาวกก็เป็นสาวก สมควรจะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าก็เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า แต่กว่าจะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็นานมาก เพียงแค่ได้ยินได้ฟังแต่ละคำ แค่จะเข้าใจจริงๆ ก็ยาก เพราะฉะนั้น แต่ละคำต้องเข้าใจไม่เผิน ไม่คิดว่าเข้าใจแล้ว

    พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร ตรัสรู้ความจริงความจริงของอะไร ต้องซักไซ้ไปจนถึงที่สุดความจริงของสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริงไหม ถ้าเดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ในขณะที่คนอื่นไม่รู้ เพราะฉะนั้น ธรรมไม่ใช่ว่าเราต้องไปทำ ไปสร้างให้เกิดขึ้น แต่ธรรมคือสิ่งที่มีแล้ว แต่ไม่เคยรู้มาก่อน เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีแล้ว และกำลังมี และจะมีต่อไป ไม่ได้เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นเลย เป็นสิ่งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ เพราะฉะนั้น ฟังธรรมก็คือฟังสิ่งซึ่งมีในขณะนี้ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้จนกระทั่งเป็นความเข้าใจของเราเอง ไปขอให้คนอื่นเขาให้เราเกิดปัญญามากๆ ได้ไหมแม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองพระองค์ก็ตรัสว่า พระองค์ไม่สามารถที่จะบันดาลให้คนอื่น เกิดปัญญาหรือความเห็นที่ถูกต้องได้ แต่พระองค์จะแสดงพระธรรม เพื่อให้คนนั้นไตร่ตรอง เพื่อที่จะให้เกิดความเห็นถูกของตนเอง ใครไปทำแทนใครไม่ได้ ทำบุญเผื่อกันได้ไหม

    เมื่อวานนี้ก็มีคำถามที่จะทำบุญเผื่อคนอื่น จะเผื่อกันได้อย่างไร ทุกคนมีจิตแต่ละหนึ่ง แล้วก็จิตเกิดดับสืบต่อเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ตามเหตุตามปัจจัย แม้พูดคำว่า จิต ก็ไม่รู้ พูดคำว่าธรรมก็ไม่รู้

    ฟังธรรมต้องฟังละเอียดตั้งแต่ต้นทุกคำ ทุกสิ่งที่มีจริงใช้คำว่า ธรรม ในภาษามคธี แต่ภาษาไทยก็คือสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ มีสิ่งที่มีจริงแต่เราไม่รู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่มีจริง ถ้าคิดเองก็ต้องใช้เวลานาน แต่ถ้าถามว่าเห็นขณะนี้มีจริงๆ หรือเปล่า ธรรมดาตรงไปตรงมา กำลังเห็น เห็นต้องมี นี่แหละเป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงไว้ด้วยว่า สิ่งที่ควรรู้ยิ่งไม่พ้นจากเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ทั้งหมดนี้ ๖ โลก ทางตา ทางหูทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ซึ่งมีอยู่ตั้งแต่เกิด แล้วแต่ว่าขณะเห็น ไม่มีได้ยิน ไม่มีคิด ขณะคิดไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยิน แต่ละหนึ่งจริงๆ เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงต้องไม่เปลี่ยนเห็นเป็นเห็น เห็นเป็นอื่นจากเห็นไม่ได้ แต่พอไม่ได้ฟังพระธรรม เพราะไม่รู้ ก็เป็นเราเห็น ต้องไตร่ตรองด้วยตัวเอง ผิดก็ไม่รู้ว่าผิด เพราะฉะนั้น เวลาที่ได้ฟังพระธรรม ถ้าฟังเผินเหมือนเข้าใจ เพราะเราจำ

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 176
    14 มี.ค. 2567