พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 254


    ตอนที่ ๒๕๔

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙


    ท่านอาจารย์ แสดงให้เห็นว่า แต่ละขณะเวลานี้ที่สืบต่อกันอย่างรวดเร็ว เพราะไม่รู้ภวังคจิต แต่ถ้ารู้ความเป็นภวังคจิต เมื่อปรากฏแล้ว หมดแล้ว ภวังค์เกิดคั่นแล้ว ใช่ไหม ทางตาปรากฏซ้ำอีก ภวังค์เกิดคั่นอีกแล้ว ก็เป็นแต่เพียงสภาพธรรมล้วนๆ จริงๆ ซึ่งอาศัยการฟังมานาน ไม่ใช่แต่เฉพาะในชาตินี้ การอบรมจะมีมาในกาลไหนๆ ก็ตาม เป็นสังขารขันธ์ที่จะปรุงแต่งให้เกิดความคิดความเข้าใจที่แยบคาย พร้อมกับสติสัมปชัญญะที่กำลังรู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้น จนกระทั่งสามารถที่จะคลายความติดข้อง เพราะรู้ว่าโดยปริยัติ สภาพธรรมนั้นเพียงปรากฏสั้นมากแล้วก็เป็นภวังค์ เพราะฉะนั้นถ้าปัญญาสามารถที่จะรู้ความจริงอย่างนั้น จะมีการหลงถือสภาพธรรมนั้นว่าเป็นตัวตนได้ไหม ในเมื่อเป็นสภาพธรรมที่เพียงปรากฏแล้วเป็นภวังค์ แล้วมีการเกิดอีก แล้วก็หมดอีก มีการเกิดอีก แล้วก็หมดอีก

    เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นพระโสดาบัน ไม่มีความคิดที่ไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมที่เป็นวิปลาส ไม่มีความเห็นที่คลาดเคลื่อนในความไม่ใช่ตัวตน คือ เป็นธรรม เพราะขณะนั้นเป็นธรรมที่เกิดแล้วดับ ไม่มีความเห็นคลาดเคลื่อนว่า สภาพธรรมนั้นไม่ใช่ทุกข์ เพราะเหตุว่าเกิดขึ้นแล้วก็หมดไป ก็แสดงให้เห็นตามลำดับขั้นของผู้ที่จะอบรมเจริญปัญญาว่า การฟังในขณะนี้ไม่ได้สูญหายเลย ฟังแล้วเข้าใจ ก็จะสะสมสืบต่อพร้อมที่ว่า เมื่อใกล้จะจุติ กุศลจิต หรืออกุศลจิตจะเกิด ถ้าอกุศลจิตเกิด สิ่งที่สะสมมาก็ไม่ได้หายไปไหน เช่น ม้ากัณฐกะ เมื่อจุติจิตของม้ากัณฐกะดับ ปฏิสนธิเป็นเทพบุตรในสวรรค์ ลงมาเฝ้าพระผู้มีพระภาค ฟังธรรม รู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระโสดาบัน เพราะฉะนั้นแต่ละคนจะไม่มีการรู้เลย แต่การฟังพระธรรมจะค่อยๆ เข้าใจถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ข้อสำคัญที่สุด คือ เป็นผู้มีสัจจะ ตรงต่อลักษณะของสภาพธรรม ตรงต่อจุดประสงค์ของการฟังว่า เพื่อเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าจะฟังอีกนานสักเท่าไร ก็เป็นเรื่องการค่อยๆ เข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏ จนกว่าจะรู้แจ้งได้

    อ.กุลวิไล สัตวโลกเป็นที่ดูบุญ และบาป ก็จะเห็นได้ว่า ในชีวิตประจำวันไม่ว่าจะไปที่ตลาดก็ดี หรือโรงพยาบาลก็ดี จะเห็นได้ว่า มีสภาพธรรมมากมาย มีทั้งการได้รับผลของกรรมแตกต่างกันมากมาย ดิฉันไปตลาดก็พบเขาเอาปลาดุกมาหั่น ยังไม่ทันตายก็บั้งเอาไว้ ซึ่งเห็นถึงการรับผลของกรรมจริงๆ หรือ กบถูกรัดเอาไว้แล้วยังทิ่มท้อง ให้ทรมาน ซึ่งก็เห็นได้ว่า ผลของกรรมมีจริง และการเกิดมาถึงแม้แตกต่างกัน แต่เราก็เลือกเกิดไม่ได้ ซึ่งทำให้เห็นว่า จะประมาทในชีวิตไม่ได้ ในการเจริญกุศลเป็นปัจจัยให้ได้รับกุศลวิบากนั่นเอง ทั้งหมดก็คือการศึกษาพระธรรมที่จะเกื้อกูลต่อการที่จะรู้หนทางที่จะประพฤติปฏิบัติ เพื่อการพ้นทุกข์สืบต่อไป

    ผู้ฟัง ขอให้ขยายข้อความที่ว่า ตรงในลักษณะของสภาพธรรม

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้สภาพธรรมกำลังปรากฏแล้ว จะรู้อะไร จะฟังอะไร จะเข้าใจอะไร

    ผู้ฟัง ถ้าสติไม่เกิด แล้วจะตรงได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ตรงที่จะมีความมั่นคงว่า ฟังธรรมเพื่ออะไร เพื่อลาภ หรือเพื่อยศ หรือเพื่อสรรเสริญ หรือเพื่อสุข จะได้ไปเกิดในสวรรค์ เป็นผลของกุศลขั้นฟัง ก็ไม่ใช่เช่นนั้น แต่จุดประสงค์ของการฟังเพื่อมีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูก ในสิ่งที่กำลังปรากฏ พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยสัจจะตรงต่อความจริงที่ว่า บำเพ็ญพระบารมีเพื่อรู้ความจริงของสภาพธรรม เพื่อทรงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ประกอบด้วยพระญาณที่สามารถที่จะทรงแสดงธรรม พร้อมด้วยพระญาณต่างๆ ที่จะเกื้อกูลสัตว์โลก เพราะเห็นว่าถ้าไม่มีปัญญา ไม่มีการรู้ความจริงของสภาพธรรม ก็ไม่มีการสิ้นสุดของสังสารวัฏฏ์ ก็จะต้องเป็นอย่างนี้ ไม่มีอะไรที่จะช่วยได้เลย ที่จะทำให้พ้นจากการเกิดแล้วเกิดอีก หรือแม้แต่ในชาตินี้ชาติเดียว วันแล้ววันเล่า ก็ซ้ำไปซ้ำมา เห็นเมื่อวานนี้ วันนี้ก็เห็น พรุ่งนี้ก็เห็น หิว อร่อย สนุกสนาน ก็แค่ชั่ว ๗ ขณะ ถ้ารู้ความจริงเป็นสภาพธรรมที่เกิด และมีอายุที่สั้นมาก เพียงเท่านั้นเอง แต่ความคิดเรื่องสิ่งที่มีมากมายมหาศาลด้วยความไม่รู้ ทำให้มีการปรุงแต่งต่างๆ มีการติดในลาภ ต้องการสิ่งที่ปรากฏ เพราะไม่รู้ว่า แท้ที่จริงแล้วไม่เที่ยงเลย ต้องการยศ ให้มีคนอื่นเคารพนับถือ ต้องการสักการะให้มีคนกราบไหว้บูชา หรือต้องการสรรเสริญให้คนชมยกย่อง แต่จริงๆ แล้ว ไม่มีคน เป็นเรื่องของสภาพธรรมที่มีปัจจัยเกิด แล้วก็มีอายุสั้นมาก จิตเจตสิกเกิดแล้วก็ดับไป มีอายุเพียง ๓ ขณะ อุปาทขณะ ฐิติ ภังคะ เท่านั้นเอง รูปก็มีอายุที่สั้นมาก และทุกอย่างก็เพียงปรากฏเพียงชั่วระยะวาระหนึ่ง แล้วก็มีภวังค์คั่น ยังไม่ต้องถึงฝัน ยังไม่ต้องถึงหลับ ขณะนี้ก็เป็นอย่างนั้น คือสั้นอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีผู้ประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมนี้ จะอบรมเจริญปัญญาเพื่อจะรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ หรือ ก็จะหลงไป เพลินไป สนุกไป ไม่คิดว่า สิ่งที่มีประโยชน์ที่สุด หรือความรู้จริงๆ ไม่ใช่ความรู้เรื่องโลก เรื่องวิชาการต่างๆ เพราะเหตุว่าขณะนั้นเป็นการรู้เรื่องด้วยความเป็นตัวตน ด้วยการไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมซึ่งมีจริงๆ และไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนด้วย และการรู้วิชาอื่นทั้งหมดไม่สามารถที่จะให้คลายโลภะ โทสะ โมหะได้เลย ยังเต็มไปด้วยโมหะ ต่อให้มีความรู้ มีเงินทองมหาศาล ก็ไม่สามารถรู้ความจริงของสภาพธรรมที่ปรากฏได้ ก็ยังหลงภูมิใจในความรู้ ยังหลงในวิชาการต่างๆ ได้

    ด้วยเหตุนี้ ความรู้ที่พระผู้มีพระภาคทรงอนุเคราะห์ให้สัตว์โลกได้เข้าใจ ก็คือทรงเทศนา ไม่ใช่ให้ทำอย่างอื่นเลย เพราะเหตุว่าเป็นเรื่องของความเห็นถูก ซึ่งเป็นปัญญาเท่านั้นที่สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏได้ ไม่ใช่ให้ไปนั่งทำอย่างอื่น แล้วเข้าใจว่าจะมีปัญญา เช่น บางคนก็ติด คิดว่าจะต้องทำอย่างอื่น แล้วจะไปรู้ เกิดปัญญาขึ้น แต่เขาไม่รู้เลยว่า สิ่งที่เกิดแล้วปรากฏ ขณะใดก็ตามที่ไม่รู้ความจริงของสิ่งนั้น สิ่งนั้นดับหมดไปแล้วทุกขณะ ไม่มีการที่จะสามารถรู้ความจริงได้ ด้วยเหตุนี้บางคนสงสัยคำว่า “ตามรู้” เมื่อได้ยิน แล้ว“ตามรู้” จะทำอย่างไร แต่ไม่ใช่เรื่องทำเลย ต้องเป็นเรื่องเข้าใจ แม้แต่คำว่า “ตามรู้” หมายความว่า มีสิ่งหนึ่งเกิดแล้ว ไม่ใช่ยังไม่เกิด แล้วจะไปตามได้ แต่สิ่งนั้นกำลังมี ไม่ใช่ไปคิดถึงสิ่งที่ยังไม่เกิด “ตามรู้” คือ รู้ในขณะที่สิ่งนั้นยังมีให้รู้ แต่ส่วนใหญ่จะคิดว่า เราจะทำ เราจะเพียร เราจะไปรู้อย่างอื่น ซึ่งขณะนั้นไม่ได้รู้สิ่งที่มีแล้ว แต่จะไปทำเพื่อที่จะรู้สิ่งที่ยังไม่มี เพราะฉะนั้นทรงใช้คำว่า “ตามรู้” เพราะเหตุว่ามีสิ่งที่เกิดแล้ว ถ้าไม่รู้สิ่งที่เกิดแล้ว คือ ตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีลักษณะนั้นๆ ที่ปรากฏ ก็ไม่สามารถรู้ความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมนั้นๆ ได้

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นความรู้ความเข้าใจในขั้นของการฟัง ก็ไม่สามารถทำอะไรกิเลสได้ เพราะฉะนั้นต้องเป็นสติปัฏฐานเท่านั้น ความรู้ในลักษณะที่เป็นนามธรรม และรูปธรรมเท่านั้นถึงจะทำอะไรกับกิเลสได้เท่านั้น ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ การฟังธรรมเพื่อให้เข้าใจถูกต้องว่า สิ่งที่กำลังปรากฏมีจริง รู้ หรือยัง ถ้ายังไม่รู้ ก็ต้องฟังเรื่องของสิ่งที่มีจริง ประจักษ์ความจริงนั้น หรือยัง ก็ต้องเป็นผู้ที่ตรง ถ้าไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ ค่อยๆ เข้าใจทีละเล็กทีละน้อย ขณะที่กำลังเข้าใจต้องมีสติ แม้ขณะฟังในขณะนี้ก็มีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วย แต่ไม่ปรากฏลักษณะของสติ เพราะเหตุว่าเป็นขั้นฟัง ไม่ใช่ขั้นรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนั้น เพราะฉะนั้น บางคนจะถาม เมื่อไรจะรู้ผัสสะ ทำอย่างไรจะรู้ผัสสะ แล้วเวทนา สัญญา เอกัคคตา ชีวิตินทรียะ มนสิการเจตสิก ล้วนแต่ถามว่า ทำอย่างไร แต่สิ่งที่มีขณะนี้ยังไม่รู้ แล้วจะไปคิดที่จะรู้สิ่งที่ไม่ปรากฏ นี่คือเป็นผู้ที่ไม่ได้เข้าใจธรรม

    การฟังธรรม สำคัญที่สุด คือ เข้าใจว่าสิ่งที่มีในขณะนี้เป็นธรรม ถ้าสามารถที่จะมั่นคงว่าเป็นธรรมแต่ละลักษณะ ยิ่งฟังยิ่งเข้าใจขึ้น ขณะนั้นก็สามารถที่จะถึงวันที่ประจักษ์แจ้งความจริง เพราะเหตุว่ากำลังเข้าใจสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นความเข้าใจสิ่งที่มีจริง ก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนกว่าจะถึงกาลที่ไม่มีอะไรปิดบังสภาพเกิดดับของสภาพธรรมนั้นได้ แต่ต้องเป็นปัญญาเท่านั้นจริงๆ ไม่ใช่เป็นความหวัง โดยไม่มีความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ

    ผู้ฟัง ลักษณะที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน จากการศึกษา เราพอเข้าใจว่า สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นอกุศลธรรม หรืออกุศลจิต

    ท่านอาจารย์ เข้าใจจากการศึกษา หรือ ลักษณะของสภาพนั้นเป็นอย่างนั้น คือ โทสะก็ต้องเป็นโทสะ จะให้มากล่าวไหมว่า โทสะเป็นอกุศล ในเมื่อลักษณะนั้นเป็นลักษณะของอกุศล

    ผู้ฟัง ลักษณะนั้นเป็นลักษณะของอกุศล แต่ว่าความเป็นตัวตนของเรายังมีอยู่หนาแน่น เพราะฉะนั้นขณะที่มีโทสะ เราพิจารณาได้ว่า ขณะนั้นเป็นลักษณะของอกุศลจิตที่เกิด แต่เมื่อเป็นสิ่งที่บังคับบัญชาไม่ได้ แล้วเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดไม่ได้ เราก็ไม่มีความเดือดร้อน หรือมีความละอายต่ออกุศลจิตที่เกิด

    ท่านอาจารย์ ไม่ละอายเป็นกุศล หรือ อกุศล

    ผู้ฟัง เป็นอกุศล

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเป็นเราที่ไม่ละอาย ไม่ใช่เป็นความรู้อย่างที่กล่าว เพราะฉะนั้นทุกคนพูดได้ "ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา" มีใครพูดคำนี้ไม่ได้บ้าง แต่ขณะนี้ธรรมที่กำลังปรากฏเป็นอนัตตา หรือเปล่า เพราะฉะนั้นไม่ใช่เพียงพูด แล้วก็เข้าใจว่าพูดแล้ว แต่ความจริงพูดแล้วก็จริง ปัญญาจะต้องรู้ว่าแค่พูด เป็นผู้ที่ตรง สัจธรรม แค่ฟัง แค่เข้าใจ แต่กำลังเห็นเป็นอนัตตาจริงๆ ถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงแสดงหนทาง ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ว่า แล้วจะมีปัญญาที่เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้เพิ่มขึ้นได้อย่างไร แต่การที่ทรงแสดงก็คือว่า ไม่ใช่ไปคิดที่จะทำอย่างอื่น คิดเรื่องอื่น ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะที่กำลังฟังเดี๋ยวนี้ สิ่งนี้ก็ไม่ได้หายไปไหน สิ่งที่ปรากฏทางตาก็กำลังปรากฏอยู่ เมื่อขณะที่ทรงแสดงพระธรรมที่พระวิหารเชตวัน มีสิ่งที่ปรากฏทางตา หรือไม่ นี่คือความจริง ต่างกันไหมกับสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเดี๋ยวนี้ สิ่งที่ปรากฏทางตาต่างไม่ได้เลย แต่ต่างที่ความเห็นถูก ความเข้าใจถูกว่าความจริงไม่มีอะไรในสิ่งที่ปรากฏแน่นอน

    ผู้ฟัง เป็นตัวตนที่ลงลึกถึงขนาดก่ออกุศลกรรมด้วยซ้ำ โดยความประมาท ก็เลยมีความรู้สึกว่า ยังไม่มีความเข้าใจจริงๆ ในลักษณะที่ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ ก็ต้องฟังต่อไป จนกระทั่งรู้ว่า ไม่มีคุณสุกัญญา แต่มีกุศลจิต และอกุศลจิต นี่คือปัญญาที่จะรู้จริงๆ ว่า ขณะนั้นไม่ใช่เรา แต่มีสภาพธรรมที่เป็นอกุศลต่างกับกุศล และกุศลก็ให้ผลอย่างหนึ่ง อกุศลก็ให้ผลอย่างหนึ่ง

    ผู้ฟัง เมื่อก่อนไม่รู้จักแม้สภาพของอกุศลจิต คือ ไม่ละอายเลยว่าน่ารังเกียจเหมือนอย่างที่ท่านอาจารย์เพียรกล่าวอยู่ตลอดเวลาว่า อกุศลธรรมเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ แต่ว่ารู้ ก็รู้สึกดีใจด้วยซ้ำที่รู้ในอกุศลจิตที่เกิด

    ท่านอาจารย์ หมายความว่าเราจะต้องพูด หรือจะต้องเรียกชื่อ หรือเปล่า เรื่องละอาย หรือไม่ละอาย ขณะที่ทุกคนกำลังมาฟังธรรม ละอายอะไร หรือไม่ที่ฟังธรรม หรือต้องมานั่งเรียกชื่อกัน ขณะที่กำลังฟังเดี๋ยวนี้ กำลังมีความเข้าใจ ละอาย หรือไม่ละอาย

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม เพราะเป็นคุณสุกัญญา แต่ว่าขณะใดก็ตามที่กุศลจิตเกิด โสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วย หิริเจตสิกเกิด โอตตัปปเจตสิกเกิด ถ้าหิริโอตตัปปเจตสิกไม่เกิด กุศลจิตเกิดไม่ได้ การฟังธรรมก็มีไม่ได้ การเข้าใจธรรมก็มีไม่ได้ เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่ จะมีคนที่ “เราฟังธรรม” จริง นี่เป็นกุศล นั่นเป็นอกุศล เราเข้าใจ ดีใจด้วยที่เราเข้าใจ ก็เป็นตัวตนที่กำลังฟังธรรม แต่ไม่ใช่เข้าใจธรรมที่ได้ฟังว่าเป็นธรรม ถ้าขณะที่ฟังเข้าใจว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา เวลาที่อกุศลจิตเกิด ก็เป็นธรรม มีความเข้าใจว่าเป็นธรรม แต่ไม่ใช่เป็นการรู้ว่า เกิดแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นก็ไม่เป็นไร แต่สามารถจะเข้าใจขณะนั้นว่า ยับยั้งไม่ได้ แล้วก็รู้ในลักษณะที่เป็นอกุศล ซึ่งต่างกับกุศล จะไม่รู้ หรือในความต่างของกุศล และอกุศล ขณะที่กำลังรู้ก็ไม่ใช่เรา หิริโอตตัปปะมีขณะที่รู้ด้วย

    เพราะฉะนั้น จึงต้องศึกษาโดยละเอียด ให้ทราบว่าไม่มีเราจริงๆ เพราะอะไร เพราะแม้แต่ขณะที่กุศลประเภทไหนเกิด ก็เพราะมีโสภณเจตสิกอย่างน้อย ๑๙ ประเภทต้องเกิด ขาดไม่ได้เลย ไม่ใช่เราเลย จะรู้ หรือไม่รู้ก็ตาม ขณะนั้นเหมือนกับว่าเราไม่มีความละอาย เพราะไม่รู้ลักษณะของความละอาย แต่ขณะนั้นมีโสภณเจตสิกที่ละอายเกิดแล้ว แล้วก็ดับไปด้วย โดยไม่ใช่เราที่ต้องไปรู้สึกละอาย

    ผู้ฟัง อาจารย์ใช้คำว่า “ตามรู้“ คำว่าตามรู้ เท่าที่ดิฉันเข้าใจ ก็หมายความว่าขณะที่สภาพธรรมเกิด เขาเพิ่งดับไป

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้มีอะไรปรากฏ

    ผู้ฟัง ได้ยินเสียง

    ท่านอาจารย์ ขณะที่เสียงปรากฏ ตามรู้เสียง คือ สติกำลังรู้เสียง

    ผู้ฟัง เมื่อเสียงนั้นเพิ่งดับไป

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องกล่าวว่า ดับ หรือไม่ดับ รู้การดับไป หรือเปล่า ถ้ายังไม่รู้ ยังไม่ต้องพูด

    ผู้ฟัง ตามรู้เสียง

    ท่านอาจารย์ เพราะเสียงมี ใช่ไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ เมื่อมีเสียง ไม่ต้องกล่าวว่าเสียงเกิดแล้วดับไปแล้ว แต่เสียงมี รู้เสียงที่กำลังปรากฏ

    ผู้ฟัง แล้วอะไรเกิดขึ้น หรือตามรู้เฉยๆ

    ท่านอาจารย์ นี่มาติดอยู่ที่คำอีกแล้ว เสียงกำลังปรากฏ ขณะนั้นไม่ได้คิดอะไร กำลังรู้เสียงเท่านั้นเอง รู้เสียงขณะนั้น คือ "ตามรู้" หมายความว่าไม่ได้ละทิ้งเสียงที่ปรากฏแล้วไปที่อื่น

    ผู้ฟัง เช่นนี้อยู่ในขั้นพิจารณา หรือไม่

    ท่านอาจารย์ มีหลายขั้น ขั้นสติสัมปชัญญะ เป็นปกติ ความเป็นปกตินี่ ส่วนใหญ่เราฟังแล้วยากที่จะเข้าใจ ถ้ายังไม่เกิดขึ้น และยังไม่มีการพิจารณาให้เข้าใจจริงๆ เวลารู้สิ่งที่กำลังปรากฏที่แข็ง มีกุศลจิต หรืออกุศลจิตเกิดต่อเป็นปกติ กำลังมีแข็งปรากฏ ปกติกุศลจิตเกิดต่อ หรืออกุศลจิตเกิดต่อ เคยได้ยินไหมว่า ในเวลาที่เห็น อกุศลจิตที่เป็นโลภะ ถ้าขณะนั้นเวทนาที่เป็นความไม่แช่มชื่นเกิดแล้ว โดยไม่รู้ตัวเลย รวดเร็วอย่างนั้น นี่คือสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง จะมีแต่การเห็นแล้ว ไม่มีกุศลอกุศลใดๆ เกิดเลยต่อ ปกติจะไม่เป็นอย่างนั้น นอกจากในวิถีวาระที่ไม่มีชวนจิต คือ กุศล อกุศล แต่ว่าโดยปกติแล้ว เราจะไม่รู้เลยว่า เพียงเห็น สั้นแสนสั้นก็ตามแต่ ถ้ากุศลจิตไม่เกิด ก็ต้องเป็นอกุศล แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์ กิริยาจิต ไม่มีทั้งกุศล และอกุศล

    นี่คือความต่างลิบลับของผู้ที่ไม่รู้ กับผู้ที่อบรมเจริญปัญญาจนดับกิเลสหมดเป็นสมุจเฉท พระภิกษุที่เดินไปบิณฑบาต ณ พระนครสาวัตถี บางรูปท่านก็เป็นพระอรหันต์ บางรูปท่านก็เป็นพระโสดาบัน บางรูปท่านก็เป็นปุถุชน เห็นสิ่งเดียวกันหมดเลย แต่สำหรับผู้เป็นพระอรหันต์ หลังเห็นแล้วเป็นกิริยาจิต แล้วผู้ที่เป็นพระโสดาบันบุคคลก็ต่างกับผู้ที่ยังไม่ได้ฟังธรรม ยังไม่เข้าใจเลย ทั้งๆ ที่สิ่งที่ปรากฏก็เหมือนกัน ไม่ได้ต่างกันเลย แต่สภาพของจิตต่างกัน นี่คือเหตุที่เราฟังธรรม เพื่อสะสมความรู้ความเข้าใจสิ่งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ทรงพระมหากรุณาแสดงให้บุคคลอื่นได้ยินได้ฟัง ได้เข้าใจตามความเป็นจริงด้วย แต่ต้องรู้ว่า ขณะที่กำลังฟัง กำลังฟังเรื่องราวของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่กำลังเป็นอย่างที่ทรงแสดงทุกประการ จากการที่ทรงประจักษ์แจ้ง แต่ผู้ที่ฟัง มีความเข้าใจขั้นไหนระดับไหน เพราะฉะนั้นเวลาที่จะเข้าใจเรื่องสติสัมปชัญญะ ซึ่งเป็นการอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม ก่อนอื่นจะรู้ได้ว่า ถ้าไม่มีการฟังเลย สติสัมปชัญญะจะเกิดได้ไหม จะมีสติขั้นทาน ขั้นศีล จากการที่เคยสะสมมา ทำให้บางกาลก็คิดที่จะให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่บุคคลอื่น หรือคิดที่จะวิรัติทุจริต หรือแม้แต่จะคิดที่จะมีเมตตาเกิดขึ้น บังคับบัญชาไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นกาย วาจา หรือคิด หรือทำทั้งหมด เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้นปกติธรรมดา เราก็มีการให้ทาน แล้วก็มีการวิรัติทุจริต บางคนมี อัธยาศัยดีมาก มีเมตตากรุณามากที่จะมีวาจาที่น่าฟัง เพราะว่าทุกคนต้องการคำที่ไม่ทำให้ใจเดือดร้อน เพราะฉะนั้นคนอื่นก็เช่นเดียวกัน เขาก็จะมีปิยวาจา มีคำพูดที่น่าฟังตามการสะสม แต่จะไปบอกคนที่ไม่สะสมมาว่า พูดอย่างนี้ได้อย่างไร ถึงแม้เขาจะอยู่ในฐานะเป็นผู้ช่วยรับใช้ในบ้าน แต่ว่าเขาก็เหมือนกับเรา มีโลภะ มีโทสะ มีความรู้สึกสบายใจไม่สบายใจเหมือนกัน ทำไมไม่มีเมตตาที่จะให้เขาสบายหูจากวาจาของเรา ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่ถ้าเป็นคนที่ไม่สะสมมา ฟังไปเถอะ พระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องของกายวาจาที่ดีงามอย่างไร ทรงแสดงอย่างละเอียดในพระวินัย ก็ยังไม่สามารถที่จะเป็นอย่างนั้นได้ เพราะเหตุว่าสะสมมาที่จะเป็นอย่างอื่น

    ด้วยเหตุนี้แต่ละคนก็จะเห็นการสะสมของแต่ละชีวิตในแต่ละวันได้ เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า ถ้ามีความเข้าใจธรรมให้ลึกซึ้งละเอียดขึ้น ก็จะรู้ว่า ขณะนี้มีธรรมที่เกิดแล้วปรากฏตามเหตุตามปัจจัยเป็นปกติ ขณะนี้สภาพธรรมกำลังปรากฏเป็นปกติ หรือไม่ เป็นปกติ เมื่อสภาพธรรมปรากฏแล้ว ปกติรู้ หรือไม่รู้ลักษณะของสิ่งนั้น เป็นกุศล หรือเป็นอกุศล นี่คือจะต้องเข้าใจ

    เพราะฉะนั้นสติสัมปชัญญะไม่ต่างจากปกติ เพราะมีเหตุปัจจัยที่จะเกิดแล้วก็รู้ลักษณะที่มีจริงๆ ขณะนั้นไม่ได้ไปคิดเรื่องอื่นเลย ใช้คำว่า “ตามรู้” เพราะเหตุว่ามีสิ่งที่ปรากฏให้รู้ในขณะนั้น ตามสิ่งนั้น รู้สิ่งนั้น ไม่ใช่ไปรู้สิ่งอื่น

    เพราะฉะนั้นก็เป็นปกติธรรมดา อย่างนี้ เมื่อไรก็เมื่อนั้น


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 155
    3 เม.ย. 2567