ปกิณณกธรรม ตอนที่ 565


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๕๖๕

    สนทนาธรรม ที่ หมู่บ้านเมืองทองนิเวศน์ ๑

    พ.ศ. ๒๕๔๓


    ท่านอาจารย์ ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ต้อง คิดถึงเรื่องลูกเจี๊ยบข้างหน้า ก็จะไปสงสารอย่างไร เมื่อไรอย่างไร ก็คือขณะนี้สภาพธรรมกำลังปรากฏ ถ้าเข้าใจสภาพธรรม ขณะนี้ได้จริงๆ จะตอบปัญหาทุกปัญหา ไม่มีการที่จะไปวางแผนการ หรือว่าจะไปคิดว่าเราจะไปทำอะไร เพราะถึงคิดว่าจะเป็นอย่างนั้น ถึงเวลาจริงๆ ก็ไม่เป็นอย่างนั้น แล้วแต่เหตุปัจจัย ไม่คิดดีกว่าไหม มีสภาพธรรมกำลังปรากฏให้รู้ ให้เข้าใจ

    ผู้ฟัง ผมเห็นลูกไก่ เห็นอยู่ต่อหน้าจริงๆ ขณะนั้น

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้

    ผู้ฟัง เดี๋ยวนี้ไม่เห็นแล้ว

    ท่านอาจารย์ แล้วสภาพธรรม อะไรกำลังปรากฏ

    ผู้ฟัง ก็เห็นพวกเรา

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็ควรจะ รู้ สิ่งที่กำลังปรากฏ หรือควรจะคิดเรื่องลูกไก่

    ผู้ฟัง คิดถึงสิ่งที่ปรากฏขณะนี้

    ท่านอาจารย์ เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏดีกว่า

    ผู้ฟัง เดี๋ยวนี้ถ้าหากบอกว่าเห็นแล้ว เป็นสัตว์ บุคคลนั้น เป็นมิจฉาทิฏฐิ แต่ถ้าหากว่ายังไม่ประจักษ์แจ้ง ไม่ใช่สภาพธรรม ที่เป็นบัญญัติ แต่ว่าคาดเดาล่วงหน้าได้ สภาพอย่างนั้นไม่ใช่เป็นสัตว์ บุคคล อันนี้ก็ไม่ใช่เป็นปัญญาที่ถูกต้อง ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้เห็นอะไร

    ผู้ฟัง เห็น สภาพคิดปรากฏ ถ้าหากว่าตอบตาม

    ท่านอาจารย์ อันนั้นตอบตาม ก็บอกอยู่แล้ว ว่าตอบตาม แต่จริงๆ ที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ เห็นอะไร

    ผู้ฟัง เห็นคน สัตว์ บุคคล เห็นเป็นไมโครโฟน เห็นเป็นอาจารย์

    ท่านอาจารย์ นี่ก่อนฟังธรรม ทีนี้พอได้ฟังธรรมก็เริ่มที่จะคิด เริ่มที่จะค่อยๆ ขณะที่กำลังเห็น ก็รู้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏทางตาเท่านั้น นี่ต้องไปช้าๆ ขนาดไหน เพราะเราไม่ได้ระลึกบ่อยๆ แต่ขณะใดที่เกิดระลึกได้ก็มีความจำจากการฟังว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา เริ่มที่จะเข้าใจ คำพูดที่ว่า เป็นเพียงแต่สิ่งที่ปรากฏ ทางตา ซึ่งก่อนนั้นเป็นคน เป็นสิ่งของ เป็นวัตถุต่างๆ ไม่เคยมีการที่จะระลึกได้ว่า ขณะนี้เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น

    แม้แต่การฟังมานานๆ แล้วก็การที่จะเกิดระลึกขึ้นได้ว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏจริงๆ ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ไตร่ตรอง ค่อยๆ ระลึก จนกระทั่งสามารถที่จะไถ่ถอนการที่เคยเข้าใจว่า เป็นคน เป็นสัตว์ ในสิ่งที่ปรากฏทางตา มีความรู้ชัดว่าสิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นธรรมชนิดหนึ่ง มีลักษณะที่สามารถกระทบจักขุปสาทแล้วปรากฏ เท่านั้นเอง นั่นคือความหมายของสภาพธรรมที่มีจริง คือ สิ่งที่ปรากฏทางตา แต่ว่าห้ามการคิดนึกไม่ได้ หลังจากที่เห็นแล้วจะมีการคิดถึงสิ่งที่เห็น หลังจากที่ได้ยินแล้วก็จะมีการคิดถึงเสียงที่ได้ยิน มีการรู้มีการเข้าใจ ความหมายของเสียงที่ได้ยิน เพราะฉะนั้น ทางใจหลังจากที่จิตเกิดขึ้นรู้ สิ่งที่ปรากฏทางตา ทางใจก็จะรับรู้สิ่งนั้นต่อ แล้วก็มีการคิดนึกถึงรูปร่างสัณฐาน เป็นคนเป็นสัตว์

    เพราะฉะนั้น กว่าจะเข้าใจจริงๆ ว่าขณะเห็น ก็เป็นธรรมมีจริง เป็นธาตุรู้ คือสามารถเพียงเกิดขึ้นแล้วเห็น แล้วก็ขณะที่คิดก็ไม่ใช่เห็นแล้ว เป็นแต่เพียงสภาพธรรม ที่มีปัจจัยเกิดขึ้น รู้สิ่งที่ปรากฏทางตาต่อ แล้วก็ยังคิดนึกเรื่องราวต่างๆ ก็เริ่มที่จะทำให้เข้าใจว่า แท้ที่จริงแล้ว คนจริงๆ สัตว์จริงๆ ซึ่งเที่ยง วัตถุต่างๆ ซึ่งเราเคยคิดว่า ตั้งอยู่ มีอยู่ เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี แท้ที่จริงแล้วก็คือ ถ้าเพียงจิตไม่เกิดขึ้น รู้สิ่งต่างๆ เหล่านั้น สิ่งต่างๆ เหล่านั้นไม่ปรากฏ ไม่มีเลย

    เพราะฉะนั้น ขณะที่มีชีวิตอยู่ มีสิ่งต่างๆ มากมายก็เพราะจิตนั่นเอง ซึ่งเกิดขึ้นเป็นสภาพรู้ หรือเป็นธาตุรู้ ตั้งแต่เกิด แล้วก็เรื่อยมาจนกระทั่งทุกๆ วัน บางจิตก็เห็น บางจิตก็ได้ยิน ก็ค่อยๆ ฟังให้เข้าใจว่าเป็นธรรม แล้วที่สำคัญก็คือว่าจิตเป็นสภาพรู้ หรือเป็นธาตุรู้ และสิ่งที่ปรากฏเพราะอาศัยทวาร ถ้าไม่มีจักขุปสาท ใครก็เห็นไม่ได้ สิ่งที่กำลังปรากฏ ทางตาในขณะนี้ จะไม่ปรากฏเลย จะมืดยิ่งกว่าความมืด ความมืดยังปรากฏให้รู้ว่ามืด ไม่ใช่สว่าง เพราะว่ามีจักขุปสาท จึงสามารถที่จะเห็นเงาตะคุ่มๆ หรือว่ายังรู้ว่าเป็นอะไร แต่ถ้าไม่มีจักขุปสาทเลยไม่มีทาง ที่สิ่งใดจะปรากฏทางตา

    เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วทุกคนก็มีจิตเพียงหนึ่งขณะที่เกิด แล้วก็รู้สิ่งที่ปรากฏทีละอย่าง เหมือนกับคนที่ตั้งแต่ปฏิสนธิ ก็อยู่ในความมืดสนิท ไม่มีอะไรปรากฏเลย ไม่เห็นไม่ได้ยินไม่ได้กลิ่นไม่ลิ้มรส แต่เพราะมีจักขุปสาท เป็นทางที่จะให้สิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะนี้ กระทบปรากฏ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏทางตา แว๊บเดียว แล้วต่อจากนั้นก็เป็นเรื่องราวที่คิดนึกทางใจ จริงๆ เป็นโลกของความมืด แต่ว่าจำสิ่งที่ปรากฏทางตา เวลาได้ยินก็จำเสียง แล้วก็คิดนึก เวลาได้กลิ่นก็ทีละแว๊บเดียวๆ ๕ ทาง แต่ว่าความคิกนึกทรงจำไว้หมด ประมวลไว้หมด

    เพราะฉะนั้น แม้ว่าจะไม่เห็น ก็ยังมีคนนั้น คนนี้ มีเรื่องนั้น เรื่องนี้ ไม่ได้ยินเลยก็ยังเป็นเรื่องราวต่างๆ ได้ ทุกคนอยู่ในโลกของความคิด จากสิ่งที่เคยเห็น เคยได้ยิน เคยได้กลิ่น เคยลิ้มรส เคยรู้ เคยกระทบสัมผัส แล้วก็คิดนึกเรื่องราวต่างๆ ก็ค่อยๆ เข้าใจ ว่าขณะนี้สิ่งที่ปรากฏทางตามีจริงๆ กำลังปรากฏ เพียงชั่วเห็น ถ้าไม่เห็น ไม่มีไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้น แค่นี้เอง สิ่งที่เราคิดว่าเป็นของเรา มีมากมาย ก็มีชั่วขณะที่เห็น ถ้าไม่เห็นก็ไม่มี เสียงก็เหมือนกัน มีเมื่อปรากฏ เมื่อได้ยิน ขณะที่ไม่ได้ยิน เสียงก็ไม่มี ทุกอย่างมีเพียงชั่วขณะที่จิตเกิดขึ้น แล้วก็รู้อารมณ์นั้นๆ ค่อยๆ อบรมไป ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ไม่ใช่ไปทำอะไร ถ้าจะไปทำ ไม่มีโอกาสเข้าใจอย่างนี้เลย

    ผู้ฟัง ที่นี้เมื่อเห็นขณะนี้ ถ้าหากว่าไม่ได้ระลึกถึงสภาพที่ปรากฏ แต่ว่านึกคิดถึงสภาพที่ปรากฏแล้วดับไปนั้น ว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล แต่ว่าประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิว่าเป็นอาจารย์ อย่างนี้ ถ้าหากว่า ไม่มีการเจริญสติ ไม่มีการเจริญสมาธิ ไม่มีสติเกิดร่วมด้วย ไม่มีสมาธิเกิดร่วมด้วย จะเห็นเป็นสัตว์ บุคคล แต่ถ้าหากว่ามีองค์ ของมรรค เช่น สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ เกิด มีมรรคมีองค์ ๕ เกิด เริ่มต้นนี้ เป็นความเข้าใจผิดหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นเรื่องตำรา มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่าไรในมรรคมีองค์ ๘ แต่ถ้าคิดความจริงว่า ก่อนที่จะได้ฟังธรรม ไม่รู้เรื่องสภาพธรรมเลย แล้วพอฟังแล้วก็ยากแสนยากที่จะเห็นตรงตามความเป็นจริง ตามที่ทรงแสดงไว้ว่า สิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ถ้าไม่มีการคิดนึก ก็เพียงปรากฏแล้วก็หมดไป แต่เพราะอาศัยความทรงจำ สัญญาขันธ์ ทำให้มีการเห็นว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ถ้าไม่เคยฟังเลย ก็สักกายทิฏฐิ ที่แน่นหนามาก บอกเท่าไรก็ไม่เชื่อ ว่าขณะ นี้ก็มีแต่เพียงไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถจะเข้าใจได้ แต่เวลาที่ศึกษาแล้ว ก็ยังรู้อีกว่านั้นเรื่องความเข้าใจขั้นฟัง ขั้นคิดแต่ก็ยังเห็นเป็นคน เพราะฉะนั้น อย่างที่คุณเด่นพงษ์ว่า ฟังสักเท่าไรก็เห็นเป็นหน้าต่าง เห็นเป็นลูกเจี๊ยบ เห็นเป็นคน ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ ว่าขณะนั้นเป็นความจริง เป็นธรรม เป็นจิตที่คิดนึกแต่ต้องรู้ทั่ว ถ้าไม่ทั่วก็แยกไม่ออก ระหว่างทางตาที่เห็น กับทางใจที่คิดนึก แล้วลองคิดดู เราเห็นคน ในสิ่งที่ปรากฏทางตา เห็นสิ่งต่างๆ ในสิ่งที่ปรากฏทางตา มานานเท่าไร จนกว่าเราจะไถ่ถอนว่าไม่มีอะไรเลย ในสิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้นจริงๆ นี่ คือความจริง ค่อยๆ ระลึก ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ถ้าขณะนั้นระลึก เข้าใจอย่างนี้ ก็เป็นกุศล ถ้ามีความเห็นที่ถูกต้องก็ประกอบด้วยปัญญา เพราะฉะนั้น แต่ละคนก็เป็นความจริง ตามที่สะสมมา ซึ่งต้องรู้เฉพาะตนจริงๆ ขณะไหนหลงลืมสติ ขณะไหนสติเกิด ขณะไหนพิจารณาทางไหน ขณะไหนค่อยๆ เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ทางนั้นจริงๆ

    ผู้ฟัง ขณะนั้นสติปัฏฐาน ยังไม่ได้เกิด มันก็คงยังจะต้องเป็นเราอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าเรามีสัตว์ บุคคลเป็นอารมณ์

    ท่านอาจารย์ ถึงเป็นเรา ไม่ต้องใส่ชื่อได้ไหม แต่ให้ค่อยๆ เข้าใจสภาพที่มีจริงๆ ขณะนั้นเพื่อที่จะให้ รู้ว่าเป็น นามธรรม หรือรูปธรรม นี้คือขั้นต้น เพราะว่าโดยมาก พอพูดถึงคำว่านามธรรม และรูปธรรม บางคนคิดว่าเข้าใจแล้ว เป็นเรื่องที่ตื้นมาก แต่ความจริงไม่มีทางที่จะเข้าใจจิต และเจตสิกอื่นๆ ถ้าไม่รู้ ลักษณะของนามธรรม ว่านามธรรมแท้ๆ ล้วนๆ ลักษณะของนามธรรมซึ่งมี พยัญชนะหลากหลายในพระไตรปิฎก ที่จะช่วยให้เข้าใจลักษณะที่เป็นนามธรรม มีมาก เพระเหตุว่าเป็นสิ่งที่ยาก ที่จะรู้ เป็นธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งมีจริงๆ ไม่มีรูปร่างใดๆ เจือปนทั้งสิ้น แต่ทั้งคิด ทั้งเห็น ทั้งจำ ทั้งเมตตา ทั้งริษยา ก็แล้วแต่ ก็เป็นสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมทั้งสิ้น

    แม้ในขณะนี้ที่เห็น จำได้ ได้ยินคำบอกเล่า ศึกษาจากพระไตรปิฎก ว่า มีจริงๆ เป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เป็นอาการรู้ ก็คือเพียงเท่านี้ ยังไม่ใช่การรู้ลักษณะของนามธรรม หรือว่าไม่ใช่เป็นการเข้าใจจริงๆ ในลักษณะเห็น ซึ่งขณะนี้กำลังเห็น เป็นธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ตา ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏ แต่เป็นธาตุที่สามารถจะรู้ว่าอะไรกำลังปรากฏ สิ่งที่กำลังปรากฏมีลักษณะอย่างนี้ นี่คือลักษณะของสภาพธรรมนั้น ซึ่งถ้าเข้าใจมากขึ้นก็จะไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้น ในชีวิตประจำวัน ทั้งหมดทุกขณะ จะเห็นลูกเจี๊ยบ หรือว่าจะเห็นใครก็ตามที่ลำบาก สติระลึกได้ แล้วแต่ว่าขณะนั้น จะระลึกลักษณะที่เป็นรูปธรรม หรือว่าระลึกรู้ลัษณะที่เป็นนามธรรม เมื่อสติเกิด แต่ไม่ใช่ไปพยายามคิดว่าวิธีมีอย่างไร ทำอย่างไร ถึงจะให้สติเกิดขึ้น วิธีไม่มี ถ้ายิ่งคิดยิ่งไม่ถึง เพราะว่าไม่เข้าใจ แต่ว่าจริงๆ แล้วปัญญาเป็นเรื่องเข้าใจถูก เห็นถูก ในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ซึ่งเริ่มจากการฟัง ซึ่งแม้ปัญญาในขั้นการฟังก็ยาก เพราะว่าบางที่ก็ฟังๆ ๆ ๆ ไป แต่ไม่ทราบว่า ความหมายแท้จริงของสภาพธรรมที่ได้ยินได้ฟังเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ให้ถูกต้องในขณะนี้ ถ้าเข้าใจถูกต้องอย่างนี้ เราก็ไม่ไปไกล เราก็จะอยู่ตรงสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ แล้วก็ถ้าปัญญาเรายังไม่รู้จักลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม เราจะไม่หมดความสงสัยในสภาพที่เป็นามธรรม เป็นรูปธรรม ยังเห็นว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ เป็นคนนั้นคนนี้ จนกว่าทางตา อยู่คนเดียว แล้วก็มีสภาพธรรมปรากฏ แล้วก็มีการคิดนึกเรื่องสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่สิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ ได้กรุณาตอบคำถามคุณเด่นพงษ์ ท่านอาจารย์ก็ตอบบอกว่า ก็สนใจในขณะที่สภาพธรรมใดปรากฏเลย เพราะว่ามันก็เป็นจริงว่า ถ้าเผื่อสติปัฏฐานเกิดแล้ว คำว่า ลูกไก่ มันก็ไม่มี เพราะว่าลูกไก่มันเป็นบัญญัติ ฟังตรงนี้แล้วก็

    ท่านอาจารย์ แต่จิตคิดนึกถึงลูกไก่มีได้

    ผู้ฟัง มีได้แต่ไม่ใช่ว่าเป็นตัวลูกไก่อย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ ธรรม เป็นความจริงในชีวิตประจำวัน ชีวิตประจำวันคิดถึงลูกไก่ แล้วเราจะบอกว่านี่ไม่มี ไม่ได้ ขณะที่คิดถึงลูกไก่ มี แต่อะไรเป็นนามธรรมคิด หรือว่าเป็นรูปธรรม รูปธรรมคิดไม่ได้เลย แต่ขณะที่ชีวิตประจำวัน เป็นอย่างไร ที่ว่าจะละการยึดถือสภาพธรรมได้ ก็เพราะรู้ทั่ว ไม่ใช่ไปเว้นไม่ให้เห็นอย่างนี้ ไม่ให้เกิดอย่างนั้น

    ผู้ฟัง ฟังท่านอาจารย์กล่าวอย่างนี้แล้วก็คือตรงว่า สภาพธรรม ใดปรากฏ ระลึกตรงนั้น

    ท่านอาจารย์ ขณะใดที่สติระลึก ก็จะมีลักษณะของปรมัตถธรรม

    ผู้ฟัง ตอนที่คุณเด่นพงษ์พูดขึ้นมาแรกๆ ดิฉันก็ไปนึกแยกทวารเลย ว่าทางตาต้องเห็นสี การที่นึกคิดเป็นลูกไก่ เป็นมโนทวารที่คิดแล้ว เป็นบัญญัติแล้ว แต่พอท่านอาจารย์มากล่าวบอกว่า เวลาที่สติปัฏฐานเกิด มันก็ไม่ได้มีลูกไก่ มันมีแต่สภาพที่นึก

    ท่านอาจารย์ ขณะที่คุณบง กำลังนึกถึงทวารต่างๆ ขณะนั้นไม่ได้รู้ลักษณะที่เป็นนามธรรม

    ผู้ฟัง นั่นสิ การที่ว่าจะไปแยก ทวารอะไรต่างๆ สำคัญมันก็ไม่ได้มีเท่าไร

    ท่านอาจารย์ การศึกษาพระไตรปิฎก เพื่อให้เห็นพระปัญญาคุณ ว่าทรงตรัสรู้อย่างนี้ ทรงแสดงความจริงอย่างนี้ ซึ่งคนอื่นไม่ได้รู้อย่างนี้ จึงแสดงความจริงอย่างนี้ไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าให้เราไปมีปัญญารู้ทุกอย่าง อย่างที่ทรงแสดง เราต้องรู้ตามความเป็นจริงว่า ขณะที่ฟัง ความรู้ของเราจากการฟังจริงๆ มีความถูกต้องแค่ไหน มีความเข้าใจถูกต้องในความเป็นอนัตตา จากการฟังว่า ไม่มีใครสามารถจะบังคับบัญชาสภาพธรรมใดๆ ได้เลย แล้วสภาพธรรม ก็มี ๒ อย่างจริงๆ คือ นามธรรม และรูปธรรม เราฟังจนกระทั่งเราสามารถที่จะเข้าใจ แต่ว่าสิ่งที่จะต้องเข้าใจจริงๆ คือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ว่าขณะนี้ ลักษณะใดเป็นรูปธรรม ลักษณะใดเป็นนามธรรม จึงขณะนั้นไม่ใช่ตัวตน แต่ต้องค่อยๆ อบรมไป

    ผู้ฟัง ตรงนี้ ที่ดิฉันศึกษามากับทางอาจารย์ที่ได้ศึกษา ถ้าเป็นที่อื่นเขาก็จะเรียนกันอย่างแยกทวารๆ ตรงนั้น แต่พอมาฟังท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ให้ระลึกถึงสภาพธรรมที่เกิด ที่นึกคิด ซึ่งมันยาก

    ท่านอาจารย์ จริงๆ ก็แยกทวาร ทางตาเห็นอย่างเดียว จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แต่ทางใจคิด ก็แยก

    ผู้ฟัง แยก แต่ไม่ใช่ออกมาเป็นว่า มันเป็นลักษณะของแต่ละลักษณะที่เกิดขึ้น แต่ละทวาร

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ผู้ใดแสดง ผู้นั้นตรัสรู้อย่างนั้น ตั้งแต่ ภวังคจลนะ ภวังคุปัจเฉทะ ปัญจทวาราวัชชนะ จักขุวิญญาณ สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ โวฏฐัพพนะ ชวนะ ตทาลัมพนะ แต่เรารู้อย่างนั้นหรือเปล่า แม้แต่เพียง ลักษณะที่เป็นนามธรรมจริงๆ ขณะนี้ หน้าที่ ของเราก็คือค่อยๆ เข้าใจขึ้นๆ แล้วรู้ว่าขณะไหนสติเกิด ต่างกับขณะที่หลงลืมสติ และขณะที่สติเกิด ความเข้าใจลักษณะของนามธรรม ที่สติกำลังระลึกเพิ่มขึ้นหรือเปล่า ค่อยๆ คลายความไม่รู้ในลักษณะซึ่งเป็นธาตุรู้ หรือในลักษณะของรูปที่ปรากฏ ค่อยๆ เข้าใจความจริง จนกว่าจะถูกต้องตามที่ทรงแสดง ว่าความจริงสภาพธรรมนั้นเป็นอย่างนี้

    ผู้ฟัง ขอความกรุณาท่านอาจารย์กรุณาอธิบายคำว่ารู้ทั่ว ด้วย

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้มีอะไรบ้าง เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้มีอะไรบ้าง มีสิ่งที่ปรากฏทางตารู้ มีเห็นรู้ มีคิดนึกรู้ ขณะที่คิด คิดเรื่องความรัก หรือความชังรู้ รู้ทุกอย่างตามปกติ ไม่ต้องไปทำ แต่รู้ขึ้น รู้ขึ้นในสิ่ง ที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน รูปที่ในป่า มีไหม

    ผู้ฟัง รูปใน ป่า เป็น พาหิรรูปได้ เป็นรูปภายนอกได้

    ท่านอาจารย์ รูปในป่ามี รูปข้างหลังคุณสุรีย์มี ไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ รูปในตัวมีไหม

    ผู้ฟัง มี

    ส . อายุเท่าไร

    ผู้ฟัง ๑๗ ขณะ

    ท่านอาจารย์ ๑๗ ขณะทั้งหมด เพราะฉะนั้น รูปใดก็ตามที่ไม่ปรากฏ ลองคิดดู เกิดก็จริง ดับก็จริง แต่เร็วมาก เหมือนหายไปเลย เพราะแม้แต่ขณะนี้ ที่ว่ารูปมีอายุ เท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ ๑๗ ขณะระหว่างที่เห็นกับได้ยิน เกิน ๑๗ ขณะแล้ว แต่ก็เหมือนเห็นกับได้ยินปรากฏพร้อมกัน เพราะฉะนั้น รูป รูปหนึ่งที่เกิดแล้วดับ จะเร็วแค่ไหน ต้องเร็วกว่าที่เราคิดมาก แต่ว่าเราจะรู้ โดยเอาอายุของจิต ๑๗ ขณะที่ทำกิจการงานต่างๆ มาให้รู้ว่า การที่จะรู้รูปที่ยังไม่ไดัดับ จะเริ่มตั้งแต่เมื่อไร แต่ถึงจิตจะรู้หรือไม่รู้ รูปทุกรูปที่เป็นปรมัตถก็มีอายุแค่ ๑๗ ขณะของจิต

    เพราะฉะนั้น ถ้าเราบอกว่ารูป เกิดตามเหตุตามปัจจัย เพราะว่านอกจากตัว ซึ่งมีรูปที่เกิดเพราะกรรม เป็นสมุฏฐาน เกิดเพราะจิตเป็นสมุฏฐาน เกิดเพราะอุตุเป็นสมุฏฐาน เกิดเพราะอาหารเป็นสมุฏฐาน รูปภายนอกมีสมุฏฐานเดียว คือ อุตุเป็นสมุฏฐาน เกิดตามปัจจัย แล้วแต่ว่าจะเป็นรูปอะไรก็ตาม แต่รูปใดก็ตามที่จิตไม่รู้ ไม่ปรากฏกับจิต รูปนั้นเกิดแล้วดับแล้วเหมือนไม่มี เพราะว่าสั้นมาก เพราะฉะนั้น ก็คือสิ่งที่มีที่จะปรากฏให้รู้ได้ ก็ต่อเมื่อขณะใดที่จิตรู้ แล้วรูปนั้นจึงจะปรากฏการเกิด และการดับ ซึ่งเร็ว

    ผู้ฟัง แล้วเขาก็เกิดทุกอนุขณะด้วย

    ท่านอาจารย์ อายุขณะอะไร

    ผู้ฟัง ทุกอนุขณะของจิต

    ท่านอาจารย์ ไม่เกี่ยวกันเลย รูปเกิดจากสมุฏฐาน ๔, ๑ ใน๔ รูปที่เกิดจากกรรม ขณะที่จิตไม่เกิดเลย รูปที่เกิดจากกรรมก็ยังเกิด เพราะว่ามีกรรมเป็นสมุฏฐาน เช่น ในขณะที่เข้านิโรธสมาบัติ ดับจิตเจตสิก แต่กัมมชรูปเกิด เพราะฉะนั้น จะไปกล่าวว่าเกิดตอนนั้นตอนนี้ ไม่เกี่ยว แล้วสำหรับรูปที่เกิดจากอุตุเป็นสุมฏฐาน รูป ภูเขาต้นไม้ใบหญ้า อะไรๆ ก็ตามแต่ ที่เกิดจากอุตุ เมื่อมีปัจจัยที่จะให้รูปเกิด รูปก็เกิด แต่ดับเร็วจนกระทั่งไม่ปรากฏ ก็คือเหมือนไม่มี เพราะว่าเร็วแสนเร็ว ดับไปแล้วๆ เพราะฉะนั้น รูปใดก็ตามที่ปรากฏ คือ รูปที่เกิด แล้วทำให้ปัญญาสามารถที่จะรู้ได้จริงๆ ว่า รูปที่เกิดนั้นนั่นแหละดับเร็วแค่ไหน เพราะฉะนั้น สภาพธรรมจริงๆ แล้วสั้นมาก นามธรรมก็ยิ่งสั้น รูปธรรมก็สั้น ก็เป็นสิ่งที่เป็นสังขารธรรมเกิดแล้วก็ดับ อยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะต้องรู้ความจริงอันนี้ จึงจะละความเป็นเรา ความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ความยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ไม่ใช่ว่าไม่รู้แล้ว พยายามจะไปทำให้รู้ อย่างนี้ พยายามทำไม่ได้ เป็นเรื่องที่จะต้องอบรมความรู้ ความเข้าใจ ให้ค่อยๆ เพิ่มความรู้ ความเข้าใจขึ้น แต่ว่าไม่ใช่เพียงความเข้าใจ เรื่องราว แต่ว่าเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ยังสงสัยเรื่องรูป ๑๗ ขณะไหม

    ผู้ฟัง อย่างนั้นรูปก็ดับช้ากว่าจิต

    ท่านอาจารย์ แน่นอน จิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ รูป รูปหนึ่งที่เกิดก็ดับ แต่เร็วมาก ๑๗ ขณะจิต นี้เร็วมาก เพราะฉะนั้น รูปใดที่ไม่ปรากฏ ก็คือดับแล้ว เกิดแล้วก็ดับแล้ว เกิดแล้วก็ดับแล้ว เพราะเพียงจิตรู้ รูปยังดับเลย เร็วมาก

    ผู้ฟัง เรื่องที่ท่านอาจารย์เน้นว่า ไม่มีเรา ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ก็อยากจะทราบว่า ถ้าหากว่า คนหนึ่งไปเกิดอีกชาติหนึ่ง ถ้าไม่ใช่บุคคลนั้นแล้ว กรรมจะตามไปถูกตัวบุคคลหรือ

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้จิต ดับไหม แล้วจิตเกิดอีกหรือเปล่า แล้วสิ่งที่ดับไปแล้ว เป็นใคร สิ่งที่เกิดแล้วดับไปแล้วเป็นใคร

    ผู้ฟัง ไม่ทราบ

    ท่านอาจารย์ เป็นจิต เจตสิก รูป เท่านั้น

    ผู้ฟัง แล้วอย่างแบบว่า ถ้าไม่มีบุคคล เมื่อกรรมที่บุคคลนี้ตายไป

    ท่านอาจารย์ ไม่มีจิต เจตสิก รูป จะมีบุคคลไหม เพราะฉะนั้น เราจึงกล่าวเรื่องจิต เจตสิก รูป ซึ่งเกิดแล้วก็สมมติว่าเป็นคนเป็นสัตว์ แต่ความจริงก็คือจิต เจตสิกซึ่งเมื่อเกิด และดับไปแล้ว ก็เป็นไปปัจจัยให้จิต เจตสิกขณะต่อไปสืบต่อไม่มีระหว่างคั่น ให้เห็นความป็นอนัตตา รู้ว่าจิตเป็นสภาพธรรมที่เกิดแล้วดับ เร็วแค่ไหน แม้แต่เพียงขณะที่คิดว่า เห็นคน ก็เริ่มตั้งแต่เป็นภวังค์ก่อน ขณะหนึ่ง แล้วก็เวลาที่รูปกระทบตา ก็ยังเห็นทันทีไม่ได้ นี่ก็แสดงให้เห็นถึงว่า ความเป็นอนัตตาของทุกขณะจิต ต้องเป็นไปอย่างนี้ อนัตตา คือ ไม่ใช่ตัวตน อย่างขณะนี้จิต เจตสิก กำลังเกิดดับ แต่ว่าเริ่มเข้าใจเรื่องราวของจิต เจตสิก ในขณะที่เห็น ในขณะที่ได้ยิน

    ผู้ฟัง บางคนรู้สึกจะท้อ วิถีจิตก็เป็นเรื่องที่ยาก

    ท่านอาจารย์ เรียนเพื่อให้เข้าใจ แต่ไม่ใช่เรียนเพื่อหวังอะไร ถ้าใครจะเรียนธรรมเพื่อหวังอะไรนั่นผิด ตั้งแต่ต้นเลย หวังให้สติเกิด หวังรู้แจ้งอริยสัจธรรม หวังเป็นพระโสดาบัน

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 102
    25 มี.ค. 2567