ปกิณณกธรรม ตอนที่ 474


    ตอนที่ ๔๗๔

    สนทนาธรรม ที่ ซอยนวลน้อย ถ.เอกมัย

    พ.ศ. ๒๕ ๔๒


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ไม่ได้หมายความว่าเราสามารถที่จะแบ่งหรือเอาส่วนของกุศลของเราไปหยิบยื่นให้คนอื่น เพียงแต่ว่าเมื่อเราทำกุศลแล้ว คนอื่นรู้ก็สามารถที่จะอนุโมทนาได้ เขาก็เกิดกุศลของเขาได้ โดยที่เขาก็เพียงแต่ยินดีในกุศลที่คนอื่นกระทำ

    ผู้ฟัง แล้วเรื่องวิธีการ

    ท่านอาจารย์ วิธีการในพระพุทธศาสนา ไม่มี ไม่มีวิธีการใดๆ เลยทั้งสิ้น ดิฉันท่องคำอุทิศส่วนกุศลภาษาบาลีไม่เป็น เพราะว่าขึ้นอยู่กับเจตนาที่เราอุทิศ ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับภาษาบาลี แล้วถ้าใครท่องผิด ทำอย่างไร ถึงหรือเปล่า ก็เป็นเรื่องที่ไม่เข้าใจตามความเป็นจริง เมื่อกี้นี้ยังขาดเรื่องเมตตา ที่ว่าแผ่เมตตา ควรจะใช้คำว่า เจริญเมตตา เพราะเหตุว่า เราต้องทราบจริงๆ ว่า เรามีเมตตามากแค่ไหน ถ้าแผ่นี้ต้องกว้างมากเหลือเกิน แต่ถ้าเรายังรู้ตัวว่าเราก็ยังโกรธคนโน้นบ้าง คนนี้บ้าง เราก็ควรที่จะมีเมตตาในคนที่เราโกรธ ก่อนที่จะไปแผ่กว้างๆ แบบสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งความจริง จะแผ่ได้ต่อเมื่อมีเมตตามหาศาลถึงขั้นฌานจิต

    ผู้ฟัง ดิฉันยังสับสนอยู่ว่า สมมติมีคนมาทำร้ายเรามากๆ แล้วอาจารย์บอกว่าให้เจริญเมตตา ให้แผ่เมตตา ให้มีเมตตา

    ท่านอาจารย์ ให้เมตตาเขา

    ผู้ฟัง ให้มีเมตตา หมายความว่า เรายังต้องดีกับเขา อย่างนั้นหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ที่จริงแล้ว เมตตา เป็นสภาพธรรมที่เป็นฝ่ายดี เวลาที่เรามีเมตตา คือมีความเป็นมิตร เป็นเพื่อน ไม่ใช่ศัตรู เพราะฉะนั้น เราก็พอที่จะทราบได้จริงๆ ว่าเราเป็นมิตรกับใครมากน้อยแค่ไหน เพราะคำว่า มิตรมีความหมายมากว่าเพียงเห็นกันชั่วคราว ทั้งๆ ที่เราไม่เคยพบเขาเลย แต่จิตใจของเราไม่เคยเป็นศัตรูกับใคร คือพร้อมที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลทำประโยชน์ให้เขา นี่คือความเป็นมิตรเสมอ ไม่ว่ากับคนที่ไม่รู้จัก ไม่คุ้นเคย แต่ถ้าคนที่เรารัก เราต้องระวังหน่อย เพราะว่าจริงๆ แล้วเป็นเมตตา หรือว่าเป็นโลภะ เพราะว่าโลภะเป็นศัตรูใกล้ แต่ศัตรูไกล เราเห็นเลย เราไม่สามารถจะมีเมตตากับคนที่ไม่ชอบ บางคนเข้าก็บอกว่า เมตตาไม่ได้ เขาจะสามารถที่จะทำความดี สิ่งที่ดีได้เฉพาะคนที่เขาชอบ หรือคนที่เขารัก แต่ความจริงกับคนที่รัก เมตตาหรือว่าโลภะ เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่ละเอียดที่จะต้องรู้จริงๆ ว่าขณะนั้นเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล แล้วสำหรับเมตตา เมื่อเป็นสิ่งที่ดี ควรจะมีกับทุกคน ไม่เว้น ไม่ใช่เราจะมีเมตตาเฉพาะเจาะจงกับคนที่เราสามารถจะมีได้ ถ้าเป็นอย่างนั้น หมายความว่า กุศลของเราก็น้อย ไม่พอที่จะเจริญขึ้น ที่ใช้คำว่าเจริญเมตตา คือ แค่นี้ก็ไม่พอ แค่นั้นก็ไม่พอ กับบุคคลนี้ แค่นั้นก็ไม่พอ บุคคลอื่นอีกเล่า และบุคคลอื่นๆ ๆ ๆ อีก เขามีเมตตา คือความเป็นมิตรได้ นั่นคือ เจริญเมตตา รวมทั้งคนที่เขาไม่ชอบเรา หรือเราโกรธเขา ขณะนั้นเป็นอกุศลแน่นอน เพราะฉะนั้น การที่จะละอกุศลก็คือ มีความเป็นเพื่อนกับเขา ถ้าใช้คำว่า มีความเป็นเพื่อน หมายความว่าเราไม่เป็นศัตรู ไม่จำเป็นต้องเป็นศัตรูกับใครเลย พร้อมที่จะช่วยหรือเกื้อกูล นั้นเป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วถ้าพูดถึงเรื่องแผ่เมตตา ถ้าเราอ่านหนังสือพิมพ์สักฉบับหนึ่ง และมีข่าวไม่ดีเลย จิตขณะนั้นเป็นอะไร กุศลหรืออกุศล คนที่เลวร้ายที่สุด เรามีเมตตาได้ไหม เป็นเพื่อนเขาได้ไหม หรือว่าช่วยกันบอกว่า ต้องทำอย่างนี้ ต้องอย่างนี้ อย่างนั้นช้าไป ต้องเร็วๆ อย่างนี้ ขณะนั้นจิตเป็นอะไร นั่นเป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือเปล่า เพราะเหตุว่าอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย นิดเดียวก็ไม่ใช่ให้ใครมาชักชวนกันมีคนละนิดๆ ๆ ไม่ใช่อย่างนั้นเลย แม้นิดเดียวก็ต้องเห็นว่าเป็นโทษ การที่เขาทำไม่ดี เขาต้องได้รับผลของกรรมของเขาแน่นอนที่สุดแล้ว แล้วเรายังจะต้องทำอะไรอีก สำหรับเขา เรายังจะต้องทำอะไรอีก แม้แต่เพียงใจที่ไม่เมตตา ลองคิดดู ถ้าเรามีเมตตา อย่างน้อยที่สุด เขาต้องได้รับกรรมของเขาแล้ว แล้วส่วนที่เป็นสิ่งที่จะทำให้ชีวิตของเขา มีความสบาย แม้แต่สบายใจขึ้นมาสักนิดหน่อยที่ยัง คนที่มีความเป็นเพื่อน เป็นเพื่อนไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องไปช่วยให้เขาทำผิด หรือว่าไปส่งเสริมการกระทำของเขา แต่มีการเป็นเพื่อนที่ว่าเราจะไม่หวังร้ายต่อเขา ไม่ทำสิ่งที่ไม่ดีต่อเขา แม้ว่าเขาเป็นใคร หรือว่าเขาจะเป็นคนที่ว่าทั่วโลกประณามหรือว่า อย่างที่ดิฉันเคย ยกตัวอย่างชื่อหนึ่งบ่อยๆ ทุกคนก็ได้ยิน อันนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าเปรียบเทียบพระธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเห็นในพระปัญญาคุณ ซึ่งเห็นโทษของอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย และในพระบริสุทธิคุณ ซึ่งทุกคนมีโอกาสที่จะอบรม แล้วก็ประพฤติปฏิบัติตามได้ โดยที่ว่าเห็นอกุศลเป็นอกุศล แล้วไม่จำเป็นต้องไปทำอะไรคนนั้นเลย เพราะว่าขณะนั้นใจใครเป็นอกุศล เวลาที่คิดถึงความไม่ดีของคนอื่น ลืมสนิทว่าจิตที่กำลังคิดเรื่องความไม่ดีของคนอื่น เป็นอกุศลหรือเป็นกุศล เห็นแต่ความไม่ดีชัดเจนมาก แต่จิตที่กำลังเห็นความไม่ดี เป็นอกุศลหรือเป็นกุศล เพราะฉะนั้น สติปัฏฐาน หรือการรู้ลักษณะของสภาพธรรมจึงเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก เกื้อกูลทำให้เห็นสิ่งที่ถูกว่าถูก สิ่งที่ผิดว่าผิด แล้วในขณะนั้นก็ไม่มีใครเลย จริงๆ แล้วก็เป็นเพียงสภาพธรรมซึ่งเป็นจิตเป็นเจตสิกเป็นรูป แล้วจะโกรธอะไร แล้วจะไปซ้ำเติมอะไร แล้วไปช่วยทำให้ใครเดือดร้อน นอกจากตัวของตัวเอง เพราะฉะนั้น เรื่องของเมตตา เป็นเรื่องไม่ใช่ท่อง หรือ พูดไปตามๆ กันว่า ขอให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ต้องเป็นเรื่องที่รู้สภาพจิตใจของตัวเองว่า มีความเป็นมิตรกับใครแค่ไหน

    ผู้ฟัง ในทางปฏิบัติ บางทีก็อ่านหนังสือ เกี่ยวกับเรื่องมงคลทั้ง ๓๘ ข้อ ก็มีความรู้สึกว่า คนที่ทำร้ายเรา ถ้าเรามีจิตเมตตาไม่โกรธ ไม่คิดแค้น ไม่คิดที่จะจองเวรกับเขาต่อ คือให้ยุติลงเพียงแค่นี้ ก็มานั่งนึกว่า เราต้องไปดีกับเขา ทำดีกับเขา เป็นเพื่อนกับเขา ก็จะค้านกับข้อ ๑. ของมงคล ๓๘ ว่า ไม่ให้คบคนพาล เพราะว่าเขาก็ยังคงเป็นคนพาลอยู่ เราไม่อยากจะไปคบกับคนพาล ก็เลยยังสับสนอยู่ว่า เราจะทำอย่างไรดี เขาอยากจะให้เราเป็นเพื่อนเขา ก็ไม่รู้ว่าเขาต้องการให้เราเป็นเพื่อนหรือเปล่า แต่เขาไม่ต้องการให้เราโกรธแค้นเขา เพราะว่าเขาไม่รู้สำนึกในสิ่งที่เขาทำกับเราว่า เขาเป็นคนทำร้ายเรา เลยยังสับสนอยู่ จะปฏิบัติตัวอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ความเป็นเพื่อนไม่ได้หมายความว่าเราต้องไปคลุกคลีสนิทสนมเลย ความเป็นเพื่อนหมายความว่าไม่เป็นศัตรูกับใครทั้งสิ้น ไม่จำเป็นต้องเข้าใกล้ ไม่จำเป็นต้องไปคุ้นเคย ถ้ามีโทษ เราก็ไม่ควร เพราะว่าเรารู้ว่า ถ้าเราคุ้นเคยกับคนนี้ มีโทษ เราก็ไม่ไปแสวงหาโทษใส่ตัว แต่ว่าเราไม่มีความเป็นศัตรูกับใคร

    ผู้ฟัง หมายความว่าพูดคุยกันได้

    ท่านอาจารย์ ไม่เป็นศัตรูกับใคร ใจก็สบาย จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เป็นเรื่องเตรียมอย่างหนึ่งอย่างใดเลย เพราะว่าถ้าเข้าใจความเป็นอนัตตาแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิด เมื่อมีปัจจัยก็จะเกิด บางที่เราอาจจะคิดว่าเราอภัยให้เขาไม่ได้เลย แต่พอเห็นจิตเมตตาเกิดก็ได้ แล้วแต่ เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่ว่า ถ้าเราฟังพระธรรมมากๆ มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น แล้วก็รู้ความเป็นอนัตตา ทุกอย่างเราจะไม่มีการเตรียม เพราะว่า เตรียมก็คือ คิด แต่ว่าสิ่งที่จะเกิด จะเกิดอย่างที่คิดไว้หรือเปล่า นั้นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ต้องเข้าใจความหมายของทุกคำ ทุกลักษณะ อย่างเมตตา คือความเป็นเพื่อน ไม่ใช่ศัตรู

    ผู้ฟัง เราจะออกจากสังสารวัฏฏ์นี้ได้อย่างไร ถ้ามันเหนียวขนาดนี้

    ท่านอาจารย์ ถ้าปัญญาไม่เกิด ออกไม่ได้

    ผู้ฟัง ชินเข้าใจอาจารย์ เพราะว่า เหมือนพระพุทธเจ้าสอนระบบนี้ ในการทำงานของธรรมทั้งหลายว่าเขาทำงานอย่างไร แต่เพราะว่าการสะสมของเราซึ่งเป็นที่ที่เหนียวแน่น ก็คือ เริ่มต้น เพราะว่า การมีโมหะ ถึงมีตัวตนนี้ ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ สภาพธรรมที่ตรงกันข้ามกับโมหะ คือ ปัญญา เพราะฉะนั้น ถ้าปัญญาไม่เกิด โมหะก็ยังคงมากอยู่ แต่ขณะใดที่ปัญญาเกิด โมหะก็จะค่อยๆ ลดลงไป ทีละน้อย โมหะมาก รู้ตามความเป็นจริง แล้วปัญญาก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละน้อยๆ

    ผู้ฟัง เห็นสภาพทุกอย่างเลยว่า ตัวตนนั้นทำให้คนทุกคนอยู่ในความลำบาก ตัวตนนั้นทำให้ตัวเองก็อยู่ในความโมหะมาก

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็ค่อยๆ ละความเป็นตัวตนทีละน้อยก่อน มานะยังมี โลภะยังมี โทสะยังมี แต่ต้องมีความเห็นถูกเพิ่มขึ้น ต้องรู้สภาพธรรมว่าเป็น นามธรรม หรือเป็นรูปธรรม แล้วก็ไม่ต้องห่วงใยอะไรทั้งหมด ทั้งโลก ถ้าใครเกิดไม่รู้ก็คือไม่รู้ ก็ยังวนเวียนไปในสังสารวัฏฏ์ แต่ถ้าใครเริ่มรู้ก็ค่อยๆ สะสมไปจนกว่าจะรู้ชัดว่าเป็นนามธรรมและเป็นรูปธรรม ปัญญาก็จะเจริญขึ้นถึงจะออกได้ ออกหมดไม่มีทาง ทุกคนออกหมดไม่ได้ คนที่สะสมมาแล้ว ถึงจะค่อยๆ ออก ได้

    ผู้ฟัง อย่างนี้คือเห็นภาพ มันซาบซึ้งใจ การสอนของพระพุทธเจ้ากำลังสอนเรา คือในจุดขณะที่ซาบซึ้งนั้น แล้วก็หลังจากนั้น มันคือโทสะ หรือ

    ท่านอาจารย์ ได้ทุกอย่าง อะไรจะเกิดได้หมดเลย เพราะฉะนั้น ต้องเป็นปัญญาที่คมและละเอียด ที่จะรู้ชัดในความต่าง ด้วยสติสัมปชัญญะจริงๆ แต่ขั้นต้น เราจะไม่มีความคมอย่างนั้น จนกว่าจะค่อยๆ สะสม โดยการที่รู้ว่าขณะใดที่สัมมาสติระลึก เมื่อระลึกแล้ว ยังต้องรู้ตามความเป็นจริงว่า ปัญญารู้ในลักษณะนั้นแค่ไหน แล้วก็ไม่ต้องไปดิ้นรน ไปห่วงว่าให้มีมากๆ นั่นคือโลภะมาอีกแล้ว

    เพราะฉะนั้น อย่างที่เราพูดเมื่อเช้านี้ว่าสัจจะ ๔

    ๒ สัจจะแรกคือ ทุกข์กับสมุหทัย ลุ่มลึก เพราะเห็นยาก แม้ว่ามีก็ไม่เห็น

    แต่อีก ๒ สัจจะ คือนิพพานนิโรธกับหนทางที่จะไปสู่การรู้แจ้งอริยสัจธรรม เห็นยาก เพราะว่าไม่ได้มีอย่างทุกข์กับโลภะ ที่จะปรากฏอยู่ในขณะนี้แต่ไม่เห็น เพราะฉะนั้น ๒ อย่างนั้นยิ่งต้องเห็นยากว่าอะไรเป็นทาง อะไรไม่ใช่ทาง เพราะบางทีถ้าปัญญาไม่พอ ก็ยึดถือทางที่ผิดว่าเป็นทางที่ถูก แล้วก็พยายาม แต่นั้นไม่ใช่หนทางเลย

    เพราะฉะนั้น หนทาง เมื่อมีโลภะ ก็คือโลภะเป็นธรรม ต้องมีความมั่นคงอาจหาญที่จะรู้ว่าเป็นธรรม แต่ถ้าเป็นเรา เราก็ไม่ชอบอีกแล้วโลภะ มานะ ถ้าเป็นเรา เราก็ไม่ชอบอีก แต่ถ้ามีความมั่นคงจริงๆ รู้จริงๆ ว่า เป็นธรรม และคำว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เพียงปากที่เราพูดตามว่าเป็นธรรม แต่ต้องมีความเข้าใจลึกจริงๆ จนกระทั่งในขณะที่สภาพธรรมปรากฏ ปัญญาค่อยๆ รู้ความหมาย อรรถของธรรมคือ ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ แต่ว่า เป็นธาตุที่ต่างชนิด ซึ่งธาตุชนิดหนึ่งก็เป็นสภาพรู้ ถ้าบอกว่าสภาพรู้ไม่มีรูปร่างอะไรทั้งสิ้น สีสันวัณณะก็ไม่มี แต่เห็น สามารถที่จะรู้มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา นี่คือค่อยๆ เข้าใจในความเป็นธาตุรู้ แม้ว่าจะน้อย พอรู้ แล้วก็กลายเป็นไม่รู้อีก เพราะเหตุว่า อวิชชามีมาก เพราะฉะนั้น อวิชชาก็ท่วมทับมาอีก สงสัยอีก ค่อยๆ รู้ขึ้นมานิดหนึ่ง ประเดี๋ยวก็มีอวิชชาเข้ามาอีก เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องของความอดทน ถ้าเราเข้าใจผิดนิดเดียว ไม่มีทางที่สัมมาสติจะเกิด เพราะฉะนั้น ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด เป็นเรื่องที่รอบคอบ และเป็นเรื่องของความอดทน แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น นี้คือการที่จะคลาย ความเป็นตัวตน ไม่ใช่เราที่จะพยายาม แต่ว่าเป็นการที่สะสมความรู้ความเข้าใจซึ่ง เป็นภาวนา ตอนนี้มืดหรือสว่าง

    ผู้ฟัง จริงๆ ที่เราเรียนธรรม คือไม่ใช่ให้เราไปจดจ้องว่าเดี๋ยวนี้คืออกุศลหรือกุศล หรืออะไร หรืออยู่ในเจตสิกอะไร แต่ว่าที่ให้เข้าใจพระธรรมแต่ละอย่าง เพื่อเข้าใจการทำงานของเขาแค่นั้นเอง ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เพื่อเห็นว่าไม่มีเรา เพื่อให้เข้าใจแจ่มแจ้ง จนกระทั่งประจักษ์แจ้งได้

    ผู้ฟัง เพราะว่า ทั้งหมดนั้นก็ตัวตนมาจากพวกสะสมมาจากความไม่รู้ หรือว่าความไม่รู้การทำงานของนั้น มันทำงานอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เข้าใจจนสภาพธรรมปรากฏ เวลานี้สภาพธรรมก็ปรากฏ แต่ไม่รู้ อวิชชารู้ไม่ได้เลย ไม่มีทางเลย แต่ปัญญาสามารถที่จะรู้ตามความเป็นจริงได้ ทั้งๆ ที่เป็นสภาพธรรมอย่างเดียวกัน เหมือนเดิม เห็นขณะนี้เป็นปกติ อย่างนี้เหมือนเดิม แต่อวิชชาไม่สามารถจะรู้ แต่ปัญญาสามารถที่จะรู้จนประจักษ์แจ้ง สามารถที่จะรู้ว่าที่ไม่ใช่เรา เป็นธาตุ เป็นธรรม คืออย่างนี้ซึ่งกำลังรู้ ขณะนั้นจะไม่มีอย่างอื่น แต่ละทางที่จะปรากฏ ต้องปรากฏทีละอย่าง เมื่อกี้มีใครตอบหรือยัง ถามว่าขณะนี้มืดหรือสว่าง

    ผู้ฟัง มืด ก็เหมือนกับว่าที่ มีคนถามพระพุทธเจ้า ว่าอะไรหุ้มห่อโลกอยู่ อะไรหุ้มห่อโลกอยู่ โลกในที่นี้ก็ไม่ใช่โลกกลมๆ แต่เป็นโลกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถูกไหม

    ท่านอาจารย์ โลกคือจิต เกิดขึ้นขณะหนึ่งๆ โลกจึงได้ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นโลกดิน โลกตา หรือโรคหู ก็ตามแต่

    ผู้ฟัง คือจิต

    ท่านอาจารย์ ถ้าจิตไม่เกิดขึ้น ถ้าไม่เกิด สิ่งใดๆ ก็ไม่ปรากฏทั้งหมด

    ผู้ฟัง ทีนี้คือไปอีกว่า โลกคือจิต แล้วอะไรที่หุ้มห่อจิตอยู่

    ท่านอาจารย์ ตอบแล้ว ใช่ไหม ในวิทยุ อวิชชาหุ้มห่อ ถึงได้ถามคุณสุรีย์ว่า มืดหรือสว่าง แล้วคุณสุรีย์ก็ตอบว่ามืด โมหะหุ้มห่ออยู่ จะสว่างได้อย่างไร มืดสนิท

    ผู้ฟัง แต่ในขณะซึ่งมืดสนิทนี้ ถ้าเผื่อสมมติว่า เราได้ศึกษาธรรม จนเกิดความเข้าใจ สะสมปัญญา เราพอจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมในขณะนั้นสติระลึกรู้ หรือสติเกิดค่อยๆ ที่จะเจริญขึ้น แล้วสติปัฏฐานเกิด ขณะซึ่งสติปัฏฐานเกิดนั้น เราก็ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ของเรา เริ่มรู้ลักษณะ

    ท่านอาจารย์ เริ่มที่จะรู้หนทางที่จะเจอแสงสว่าง

    ผู้ฟัง ใช่ ถูกแล้ว ในขณะนั้น มันชั่วนิดเดียว แล้วก็ออกมาเป็นตัวตนอีกแล้ว เรียนถามอาจารย์ว่าความเป็นตัวตนน้อยลงหรือเปล่า หรือยังเป็นอยู่

    ท่านอาจารย์ ความเข้าใจของเราในขณะนี้ เราก็พอจะทราบได้ว่าเรามีระดับไหนแค่ไหน ซึ่งแต่ก่อนนี้ เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาเลย เรื่องนามธรรมกับรูปธรรม เราเข้าใจว่าจิตมี แต่อยู่ตรงไหนไม่รู้ เหมือนกับว่าเกิดมามีจิต แล้วก็ไม่มีจิตตอนตาย เพราะว่าคนตายไม่มีจิต เราก็คิดว่าจิตตั้งแต่เกิดจนตายไม่เคยสูญสลาย ไม่เคยเสื่อม ไม่เคยเกิดขึ้นดับไป นี่คือก่อนศึกษาธรรม เพราะฉะนั้น เวลาที่ได้ฟัง แค่เข้าใจ หมายความว่าเริ่มที่จะรู้ว่าเป็นอย่างไร แต่ยังอยู่ในความมืด แต่ยังมีเสียงข้อความแว่วๆ ที่จะทำให้เราเกิดปัญญา เริ่มจะเห็นว่ามันมาจากทางไหน อย่างไร ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมก็ทำให้เริ่มมีปัญญา ความรู้ความเข้าใจตามลำดับ จนกว่าสัมมาสติจะเกิด ถึงเกิดแล้วเราก็รู้ตามความเป็นจริงว่า ขณะนั้น ความเข้าใจที่เกิดจากการฟังมากมายเป็นปีๆ เป็นชาติๆ มาแล้ว ขณะที่สติระลึก ความเข้าใจตรงนั้นแค่ไหน ต้องมีระดับขั้นของเขาด้วยว่าจะเข้าใจแค่ไหน เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องอบรม เป็นเรื่องไม่ต้องห่วงใยกังวล เมื่อพบหนทางได้ฟังเหตุผล ก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นไปเรื่อยๆ จะทำอะไรเกินกว่านี้ก็ไม่ได้ เด็กอนุบาล จะไปให้สอนผ่าตัด ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น โลภะมีหลายอย่าง เราอาจจะคิดว่าเราชอบสิ่งของภายนอกมากมายเลย โน่นก็ชอบ นี่ก็ชอบ ชอบไปหมด แต่ชอบยิ่งกว่านั้นลึกที่สุดคือ ชอบความเป็นเรา

    ผู้ฟัง อันนั้นตัวตน คือ Concept ใช่ไหม เป็นบัญญัติหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ เป็นปรมัตถ์ก็ได้คือความห็นผิด

    ผู้ฟัง ก็คือเป็น Concept หนึ่งซึ่งเป็นผิด ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ถ้าคุณชินกระทบสิ่งที่แข็งที่ตัว ยังไม่มีความเห็นใดๆ ทั้งสิ้น ลักษณะแข็งขณะนั้นปรากฏ มีความเป็นของเราไหม แม้ว่าจะไม่พูด

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ ลักษณะนั้นเป็นปรมัตถ์หรือเปล่าที่แข็ง ที่อ่อน

    ผู้ฟัง อย่างนั้นตัวตน ก็คือการยึดมั่น

    ท่านอาจารย์ มีหลายอย่าง มีหลายอย่าง ทิฏฐุปาทาน ความยึดมั่นด้วยความเห็นว่าเป็นเราหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ได้

    ผู้ฟัง ตัวตนก็คือ โทสะ โมหะ หรือโลภะหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ มีทิฏฐานุสัย ความยึดมั่นในสภาพธรรมด้วยความเห็นผิด เพราะว่า ไม่ได้เห็นถูก แต่ว่าเวลาที่ทิฏฐิเจตสิกจะเกิด เขาจะเกิดกับโลภมูลจิต จิตที่มีความพอใจในความเห็นอย่างนั้น เขาจะไม่เกิดกับโทสะ เพราะฉะนั้น ทรงแสดงสภาพธรรมโดยละเอียดว่าธรรมอย่างใดเป็นธรรมที่หยาบ ธรรมประเภทไหนเป็นธรรมที่ละเอียด อย่างอนุสัยกิเลส ทั้งๆ ที่อกุศลเจตสิกมี ๑๔ ชนิด แต่ ๗ ชนิดเท่านั้นที่เป็นอนุสัยกิเลส ที่มีอยู่ประจำในจิตใจ จนกว่าปัญญาจะดับเป็นสมุจเฉทถึงจะไม่เกิด

    ผู้ฟัง อนุสัยกิเลสก็คือ ความเป็นตัวตนอยู่ข้างใน

    ท่านอาจารย์ ด้วย ทิฏฐานุสัย ความเห็นผิด สติปัฏฐานจะระลึกรู้ ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง แล้วแต่อะไรจะปรากฏในขณะนั้น ถ้าเป็นผู้ที่เป็นปุถุชน ไม่ได้รู้ความเกิดขึ้นและดับไป ไม่มีวิปัสสนาญาณ ไม่ประจักษ์อริยสัจ ๔ ความเห็นผิดของเขาก็ถือเลยว่าเป็นเราแน่นอน ไม่เห็นเกิดไม่เห็นดับ แต่คนที่เข้าใจธรรม ฟังเข้าใจ แต่ไม่ประจักษ์ เพราะฉะนั้น จึงมีปัญญาหลายขั้น ปัญญาขั้นสติปัฏฐาน เป็นขั้นที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดขึ้นปรากฏในขณะนั้น ตามความเป็นจริง แล้วแต่ว่าเป็นอะไร จะเป็นความเห็นผิดในขณะนั้นก็ได้ แต่เขาก็รู้ว่านี่คือความเห็นผิด เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง

    ผู้ฟัง ไม่มีความเห็นผิดของเขา ก็คือปัญญาไม่เห็น

    ท่านอาจารย์ ของใคร

    ผู้ฟัง ของพระโสดาบัน

    ท่านอาจารย์ พระโสดาบันดับมิจฉาทิฏฐิหมด ไม่มีเลย ไม่มีปัจจัยที่จะให้เห็นผิดใดๆ ทั้งสิ้น เพราะประจักษ์ความเกิดขึ้นและดับไปของนามธรรมเพราะรู้แจ้งอริยสัจธรรม

    ผู้ฟัง แต่เพราะยังมีตัวตนอยู่ ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เพราะรู้ว่า ขณะนั้นต้องมีสภาพธรรมที่มีปัจจัยก็ต้องเกิด แต่ไม่ใช่ความเห็นผิด ถ้าฟังไม่เข้าใจอย่างไรๆ สติปัฏฐานก็ไม่เกิด ระลึกไม่ได้ ต่อเมื่อฟังเข้าใจแล้ว แล้วก็มีปัจจัยที่จะทำให้สัมมาสติระลึก สัมมาสติจึงจะเกิดระลึกได้ ถ้าระลึกขณะนี้ก็ได้ แล้วแต่การสะสม แต่ต้องมีความเข้าใจความต่างกัน ถ้าไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีทางเลยที่เราจะรู้สภาพธรรมในขณะนี้ได้ตามความเป็นจริง จะไม่มีการได้ยินได้ฟัง จะไม่มีการพิจารณา ให้เกิดความเข้าใจขึ้น

    ผู้ฟัง ผมคิดว่า ถ้าพูดในแง่ของปรมัตถ์ พูดในแง่ของวิเคราะห์จริงๆ มันก็ต้องเอาเรา เข้ามาเป็นตัวศึกษา เพื่อให้เกิดปัญญา

    ท่านอาจารย์ เราก็จะวิเคราะห์วิจัย เราคืออะไร เราก็คือจิต คือเจตสิก คือรูป ไม่ใช่ว่าไม่มีเรา แล้วก็จะไม่มีอะไร แต่เพราะมีจิต มีเจตสิก มีรูป ซึ่งเราเข้าใจผิด ยึดถือว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้น วิเคราะห์วิจัย ก็คือเราคืออะไร เราก็คือสภาพธรรม คือนามธรรม และรูปธรรม

    ผู้ฟัง ชินมีความรู้สึกว่า เราถูกข้างนอกกระทบหมดเลย ไม่ได้ดูข้างในเลย จะทำอย่างไร มีวิธีอะไรที่

    ท่านอาจารย์ คุณชินก็ฟังเทปมาก ฟังวิทยุมาก นั่นคือปัจจัยที่จะทำให้มีการระลึกได้ เพราะเหตุว่าเราอยู่โดยการหลงลืมสติมาแสนนาน เฉพาะในชาตินี้ก็มาก ในชาติก่อนถอยไปหนึ่งชาติก็มาก ไปจนถึงแสนโกฏิกัปป์ มันจะสักเท่าไร เห็นการสะสม ซึ่งจริงๆ แล้วน่ารู้จริงๆ น่าดู บุญและบาปของแต่ละคน กรรมและวิบากที่สะสมมา แต่ละคนเป็นหนึ่งๆ ๆ ซึ่งจะไม่ซ้ำกันเลย ในที่นี้เรามองเห็น ใช่ไหม

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 100
    19 มี.ค. 2568