ปกิณณกธรรม ตอนที่ 436


    ตอนที่ ๔๓๖

    สนทนาธรรม ระหว่างเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย

    พ.ศ. ๒ ๕๔๗


    ผู้ฟัง เรียนถามคุณอรรณพ กล่าวกันบอกว่า รูปไม่มีใครสร้าง เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เกิดขึ้นเพราะกรรม อุตุ จิต อาหาร ลองขยายให้ว่า ตรงไหนบ้างที่มันเกิดเพราะกรรมบ้าง จิตบ้าง

    อ.อรรณพ ขณะนี้ก็มีการเห็น ทำไมจึงมีการเห็น ปัจจัยหนึ่งของการเห็นก็คือ เพราะว่ามีตา มีจักขุปสาท คนที่ไม่มีจักขุปสาท ไม่สามารถจะเห็นสิ่งใดได้เลย จักขุปสาท เป็นรูปที่เกิดจากกรรม รูปนอกร่างกาย หรือรูปในกายนี้ แต่ว่าไม่มีกรรมที่จะทำให้จักขุปสาทเกิดขึ้น ก็ไม่มีจักขุปสาทที่จะเป็นที่เกิดของจิตเห็น เพราะฉะนั้น จักขุปสาท คือตา เป็นรูปที่เกิดจากกรรม ก็เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายๆ ซึ่งจริงๆ ธรรมชาติ หรือธรรมก็เป็นอย่างนั้น แต่เราชิน เพลิดเพลิน จนกระทั่งเราไม่เคยคิดเลยว่า ตา หรือจักขุปสาท เป็นรูปที่เกิดจากกรรม แม้ว่าจะยังไม่รู้ลักษณะโดยสติปัฏฐาน ที่จะลึกรู้ลักษณะของจักขุปสาทก็ตาม แต่ถ้าไม่มีตา ใครๆ ก็รู้ว่ามองอะไรไม่เห็น เพราะฉะนั้น ตาเป็นรูปที่เกิดจากกรรม หู จมูก ลิ้น กาย หรือกายปสาทเหล่านี้ ก็เป็นรูปที่เกิดจากกรรม รูปที่เกิดจากกรรมก็ยังมีอีก รูปในร่างกายนี้ที่มีชีวิตอยู่ได้ ก็ต้องมีรูปที่แสดงความเป็น ชีวิตในกลุ่มนั้นๆ คือ ชีวิตินทริยรูป ที่จะต่างจากรูปภายนอก ไม่ว่าจะเป็นรูปต้นไม้ ต้นโพธิ์ ต้นหญ้า ต้นอะไร ดินต่างๆ ไม่มีรูปที่เกิดจากกรรมเลย แล้วก็ไม่มีรูปที่ทำให้กลุ่มของรูปเหล่านั้นที่มีชีวิตใดๆ เลย แล้วการที่เราเป็นชาย เป็นหญิง ก็มีกรรมที่ทำให้แต่ละกลุ่มของรูปในร่างกายของผู้ที่เป็นชายหรือเป็นหญิงนั้น จะต้องมีภาวะความเป็นหญิงหรือความเป็นชาย ซึ่งก็เป็นภาวะรูปซึ่งก็ต้องเกิดจากกรรม และในขณะที่จิตเกิดขึ้น ที่ไม่ใช่จิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตกระทบสัมผัส ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย จิตนอกนี้ก็ต้องอาศัยที่เกิด ถ้าเกิดในภพภูมิที่มีขันธ์ ๕ ก็ต้องมีที่อาศัยเกิดของจิต คือหทยรูป ก็เป็นรูปที่เกิดจากกรรมเช่นกัน

    ส่วนรูปที่เกิดจากจิต ก็คงพอที่จะอนุมานได้ คนที่กำลังโกรธจัด หน้าตาเป็นอย่างไร นั่นคือรูปที่เกิดจากจิต ขณะนี้มีกุศลจิตเกิดแทรกมากกว่าตอนที่ไม่ได้สนทนาธรรม หน้าตาก็ผ่องใส แม้ว่ารูปที่เกิดจากอุตุ อาจจะไม่ค่อยเหมาะสม เพราะว่าบางคนก็อาจจะเป็นไข้ เป็นหวัด หรือว่าท้องเสีย หรือว่าอะไรหลากหลาย แต่ว่าในขณะที่กุศลจิตเกิด ก็มีกลุ่มของรูปที่เกิดจากจิต ก็เป็นกลุ่มที่ผ่องใสเพราะเกิดจากจิตที่ดี ถ้าเกิดจากจิตที่ไม่ดี ก็ไม่ดี ไม่ผ่องใส เป็นรูปที่ไม่ดี

    ส่วนรูปที่เกิดจากอาหาร ถ้าไม่ได้รับประทานอาหารก็รู้กันว่าเป็นอย่างไร แล้วการที่ร่างกายมีการเจริญเติบโต หรือว่าดำรงอยู่ได้ ก็มีกลุ่มรูปที่เกิดจากอาหาร หรือโอชารูป ซึ่งเป็นปัจจัยให้เกิดรูปที่เกิดจากอาหารต่างๆ ก็เป็นความจริงในอัตภาพนี้ จริงๆ

    ผู้ฟัง ถ้าคนเกิดมาตาสวยบ้าง ตาเขบ้าง อะไรอย่างนี้ มันจะเป็นเพราะอะไร

    อ.อรรณพ กรรมวิจิตร ตา ไม่ได้หมายถึงดวงตา แต่ตาหมายถึง จักขุปสาท ถ้าเรามั่นคงในเรื่องของสภาพธรรมที่ท่านแสดง รูปที่จะเห็นทางตาได้ คือ สี หรือวัณณรูปเท่านั้น จักขุปสาทรูปเป็นที่อาศัยของเกิดของจิตเห็น แต่เราไม่สามารถเห็นจักขุปสาทรูปได้ เพราะจักขุปสาทรูป ไม่ใช่วัณณรูปหรือไม่ใช่สี แต่ที่ว่าตาเข แต่เขาก็มีจักขุปสาท เขามองเห็น แต่ความสวยงามของรูปภายนอกที่เป็นรูปประกอบต่างๆ ก็วิจิตรไปตามกรรม อย่างสัตว์เดรัจฉาน เขาปฏิสนธิด้วยอกุศลวิบาก ที่ไม่ประกอบด้วยเหตุใดเลย แต่เขาเป็นอกุศลวิบาก นกยูงก็สวย สวยกว่าพวกที่เขาเกิดในถิ่นกันดาร มนุษย์พวกเอธิโอเปีย หรือชาวอินเดียที่น่าสงสารบางคน แต่ปฏิสนธิจิตเขาก็เป็นผลของกรรมดี เป็นกุศลวิบาก เพราะฉะนั้น เกิดมาแล้วก็มีความหลากหลายของรูปว่าจะตาเหล่ ตาสวย ตาอะไร แต่จักขุปสาทก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เป็นคนละรูปกัน เพราะฉะนั้น ก็เป็นกรรมเป็นปัจจัย แต่ว่าไม่ใช่เป็นรูปที่เกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐานโดยตรงก็ได้

    วันก่อนมีการสนทนากันเรื่องความมั่นคงในธรรม ซึ่งผู้ที่จะมั่นคงในธรรมจริงๆ ก็คือพระอริยบุคคล พระโสดาบัน สำหรับผู้ที่ศรัทธา แล้วก็เห็นประโยชน์ของการศึกษาธรรม แต่ก็ยังไม่ได้เป็นผู้ที่มั่นคงโดยเป็นพระอริยบุคคล จะมีความละเอียดอย่างไรในการที่จะศึกษาเพื่อความมั่นคงที่เพิ่มขึ้นทีละนิด

    ท่านอาจารย์ ต้องมีความเข้าใจที่มั่นคงว่า พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาเพื่อละ ใครจะยอมรับบ้างไหม เห็นไหมว่า ตรงกันข้ามกับที่เราเคยเป็น เพราะวันหนึ่งๆ ตั้งแต่เกิดมา เราคิดที่จะละอะไรหรือเปล่า แต่ว่าพอได้ฟังพระธรรม เรารู้เลยว่า ทั้งหมดที่เป็นที่พอใจของเรามาตลอดในสังสารวัฏฏ์เป็นสิ่งซึ่งนำมาซึ่งความทุกข์ คือการเกิดแล้วเกิดอีก ชาติก่อน เราก็เห็นอย่างนี้แหละ แล้วเราก็ตายไป กี่ชาติๆ ก็คือว่าไม่พ้นจากทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วก็จบ เหมือนอย่างที่เคยพูดเมื่อ ๒-๓ วันก่อน แล้วก็พูดหลายครั้งว่า ก่อนที่เราจะเป็นบุคคลนี้ ในชาตินี้ มีเราในชาตินี้ไหม ไม่มี แล้วก็เกิดมี จากการเกิด แล้วแต่ละชีวิตก็หลากหลายมากในแต่ละวัน สุขบ้างทุกบ้าง ตั้งแต่เล็กจนโต จนกระทั่งถึงขณะนี้ ถ้าจะมีใครจากโลกนี้ไป แล้วคนที่ไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ก็ไม่อยากจะจากโลกนี้เลย ไม่อยากจะสูญเสียอะไร วงศาคณาญาติ ทรัพย์สมบัติ แต่จริงๆ แล้วลืมว่า จริงๆ แล้วการจากไปในชาตินี้ ก็เหมือนกับกาลก่อนที่จะเกิดมาเป็นบุคคลนี้นั่นเอง คือก่อนที่จะเกิดมาเป็นบุคคลนี้ ไม่มีบุคคลนี้เลยสักวันเดียว แต่พอมีทุกวันๆ ๆ ก็ยึดถือ ยึดมั่นในความเป็นบุคคลนี้ เพราะฉะนั้น ถ้าถึงเวลาที่จะสูญสิ้นจากความเป็นบุคคลนี้ ก็คือเหมือนเดิมที่ไม่เคยเป็นบุคคลนี้มาก่อน ทุกชาติเป็นอย่างนี้ จะไม่เหลืออะไรเลย

    แต่ละชาติก็คือว่า เราเกิดมา โดยความไม่รู้ เราก็สุขทุกข์ไปวันหนึ่งๆ โดยความไม่รู้ จนกว่าจะถึงกาลที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราจะมีความมั่นคงที่จะเห็นประโยชน์หรือเปล่า ถ้าเรามีความมั่นคงที่จะเห็นประโยชน์ ก็คือฟังพระธรรมด้วยความเคารพ ด้วยการที่รู้ว่า ชาตินี้เราจะรู้จักกันอีกไม่นาน เมื่อไรก็ไม่รู้ แล้วก็ ถ้าระหว่างนี้ ที่เรายังมีชีวิตอยู่ โอกาสของการที่จะได้ฟังพระธรรมยังมี แต่ถ้าจากโลกนี้ไปแล้ว ไม่มีใครสามารถที่จะบอกได้เลยว่า แม้ว่าเราจะเคยสะสมกุศลมามาก แล้วก็อบรมเจริญปัญญามาแล้ว ชาติหน้าเราจะเป็นอะไร อย่างม้ากัณฐกะ เป็นม้าในชาตินั้น แต่พอสิ้นชีวิตแล้วเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ ลงมาเฝ้าพระผู้มีพระภาค ณ พระวิหารเชตวัน ฟังธรรม รู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระโสดาบัน เพราะฉะนั้น เราไม่มีทางที่จะรู้เลยว่าจากโลกนี้ไปจะมีโอกาสได้ฟังอีกไหม

    ผู้ที่มีความมั่นคงจะเห็นได้ว่า พระธรรมเป็นสิ่งที่มีคุณค่าสูงที่สุด เลิศกว่าการได้ลาภอย่างใดทั้งสิ้น เป็นลาภอันประเสริฐจริงๆ ที่มีโอกาสที่จะได้ฟัง มิฉะนั้น เราก็ไม่มีทางที่จะออกไปจากสังสารวัฏฏ์ ซึ่งเราอาจจะคิดว่า ไม่เห็นจะน่าออกเลย เพราะว่าเรากำลังสบายดี แต่ถ้าเรากำลังเป็นทุกข์เดือดร้อน บางคนก็อาจจะคิดว่า ไม่น่าจะมีชีวิตอยู่เลย บางคนก็อาจจะคิดถึงอย่างนั้น แต่จะอยากหรือไม่อยาก ทุกอย่างก็ต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้น ถ้าเหตุปัจจัยทำให้เราเห็นประโยชน์ของปัญญา เราก็จะพยายามตามที่จะเป็นไปได้ ตามเหตุตามปัจจัยที่จะไม่ละเลยการฟังพระธรรมด้วยความเคารพนอบน้อม ด้วยความละเอียดที่จะรู้ว่า หนทางนี้เป็นหนทางละ แต่ต้องละ ด้วยปัญญาคือความรู้ จะขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้ ใครจะไปคิดละโดยปัญญาไม่เกิด ไม่มีทางเป็นไปได้เลย เพราะว่ายังมีตัวตนอยู่ตราบใด ก็ไม่ได้ชื่อว่าละ เพราะว่ายังมีเราอยู่

    การที่จะละได้ ก็ด้วยปัญญาที่รู้ความจริง ถ้ามีความเข้าใจว่าเพื่อละ เราก็จะค่อยๆ ละ แม้แต่ความติดในรูปบ้าง ในเสียงบ้าง ในกลิ่นบ้าง ในรสบ้าง ในโผฏฐัพพะบ้าง เรารู้ว่า เราละไม่ได้เด็ดขาด เพราะว่าผู้ที่จะละได้เด็ดขาด ที่จะละความติดข้องในความงาม ในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ต้องเป็นปัญญาระดับขั้นพระอนาคามีบุคคล แต่ถ้าเราไม่เริ่มนิดๆ หน่อยๆ ไปทีละเล็กทีละน้อย แม้ว่าไม่สามารถที่จะถึงระดับนั้นได้ โดยที่ไม่กลับมาสู่ความเป็นปุถุชนอีกเลย เราก็ต้องรู้ว่า ถ้าเรายังติดไว้อย่างหนาแน่น เหนียวแน่น แล้วเราจะเริ่มละได้เมื่อไร

    การฟังพระธรรมก็จะเห็นคุณค่าว่า ปัญญาที่เกิดจากการฟัง สุตมยปัญญา จะเป็นเหตุให้ สีลมยญาณ คือปัญญาที่รู้ประโยชน์ของศีล คือกุศลทางกาย ทางวาจาค่อยๆ เพิ่มขึ้น เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป เราอยู่ตรงนี้ แล้วเราจะกระโดดสูงอย่างคนที่เขาเป็นผู้ชนะเลิศก็เป็นไปไม่ได้ ก็ต้องค่อยๆ อบรมไปทีละเล็กทีละน้อย แล้วก็ต้องรู้ว่า พระธรรมละเอียดมาก เพราะเหตุว่าเป็นเรื่องละ ถ้าเป็นเรื่องโลภะ ให้ติด ให้ได้ คนก็สามารถที่จะกระทำตามได้โดยง่าย แต่ว่าถ้าเป็นเรื่องละก็เป็นการยาก แม้แต่การที่จะฟังให้เกิดปัญญาของตัวเองที่จะค่อยๆ เข้าใจด้วยความมั่นคงว่า ความจริงก็คือขณะนี้ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ สภาพธรรม ตามความเป็นจริง คือขณะนี้ และตรัสรู้ถึงความจริงแท้ที่มีเหตุปัจจัยทำให้สภาพธรรมนี้เกิดแล้วดับ คือตรัสรู้โดยประการทั้งปวง เพื่อที่สามารถจะละ การยึดถือสภาพธรรม ว่าเป็นตัวตนได้

    ผู้ฟัง สถานที่ที่มีพระพุทธองค์ได้เสด็จมาประทับที่นี้ เป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน จากที่คำถามของคุณอรรณพที่กล่าวถึงเรื่องความมั่นคง การที่เรามา แล้วจะเกิดความมั่นคงตรงนี้ได้ คงจะต้องแล้วแต่ แต่ละท่านเอง คือว่า มีความรู้สึกอย่างไรขณะนี้ เกี่ยวกับกับพระธรรม พระรัตนตรัย กับการที่เราได้เห็นสิ่งที่มีจริง เคยมีจริงขึ้นมาแล้วเราก็ได้ทราบว่า ท่านอาจารย์ก็เคยได้ให้ข้อคิดว่า จะเดิน จะย่างเท้าไปที่ไหน รอยเท้าของพระอรหันต์อยู่ทุกที่ แม้กระทั่งมีเรานั่งอยู่ทุกที่นี่ มานั่งทับรอยเท้าของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง พระอานนท์ หรือพระอริยบุคคล ที่เป็นเอตทัคคะ ก็มี ความเข้าใจที่ท่านอาจารย์พูดในตอนแรกที่ตอบคุณบงถึงเรื่องของคำถามที่ท่านอาจารย์กล่าวถึง คำว่า ไม่รู้ในอวิชชา อันนี้ ความไม่รู้ในอวิชชาอันนี้ใช่ไหม ที่เป็นเบื้องต้นทีเดียวเลยที่เรา ขณะนี้ เรามีความไม่รู้ในอวิชชา อยู่มากทีเดียว ถูกต้องหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าเราได้ยินคำนี้ อวิชชา ตรงกันข้ามกับ วิชชา แต่เราเคยคิดที่จะเข้าใจคำนี้ จริงๆ หรือเปล่า หรือว่าพอได้ยิน อวิชชา ก็อวิชชาไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่า ธรรมที่ทรงแสดง ไม่ใช่เป็นคำที่เลื่อนลอย แต่เป็นคำที่บ่งถึงลักษณะของสภาวธรรมที่มีจริงๆ ทุกอย่าง เช่น อวิชชา ความไม่รู้ ถ้าเราเพียงอ่านว่า ไม่รู้ในอะไร ไม่รู้ในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เราก็อาจจะพูดอย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ มี อวิชชาหรือเปล่า นี่เป็นสิ่งที่เตือนเราว่า อวิชชา ไม่ใช่เพียงแต่ชื่อ แล้วเวลาที่ศึกษาโดยละเอียด เราก็จะทราบว่า หลังจากที่วิถีจิตทางปัญจทวาร เช่น ขณะที่เห็นในขณะนี้ ดับไปแล้ว ความเห็นผิดสามารถที่จะเกิดได้ สืบต่อทันที ด้วยความไม่รู้ หรือว่าจะมีแต่ความไม่รู้ โดยไม่มีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วยก็ได้ ขณะที่กำลังเห็น มีใครทราบบ้างไหมว่า จิตเห็นเกิดดับนับไม่ถ้วน แล้วเมื่อจิตเห็นเกิดแล้ว ดับแล้ว ความไม่รู้ติดตามไป นับไม่ถ้วน ไม่รู้ในอะไร ไม่รู้ในเห็นที่กำลังเห็นในขณะนี้ ไม่รู้ในอะไร ไม่รู้ในเสียงที่กำลังได้ยินในขณะนี้ ไม่รู้ในอะไรอีก ก็ไม่รู้ในขณะที่กำลังคิดนึก รวมความว่า ตลอดมาถ้าไม่ได้เข้าใจจริงๆ ว่า ความไม่รู้นั้น คือความไม่รู้ในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น ความรู้คือวิชชา ก็ตรงกันข้ามกับความไม่รู้ คือการที่สามารถจะรู้ตามสิ่งที่ปรากฏตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น ด้วยเหตุนี้ จึงทรงแสดงหนทางที่จะทำให้ค่อยๆ อบรมความรู้ที่จะรู้ความจริงทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สิ่งใดที่กำลังปรากฏ สิ่งนั้นจริง เช่น เสียง จริงเมื่อไร จริงเมื่อปรากฏ ได้ยินจริงเมื่อไร ในขณะที่ได้ยิน เมื่อได้ยินดับไปแล้วก็หมดแล้ว ก็มีเหตุปัจจัยที่จะทำให้สิ่งอื่นเกิดเป็นจริงขึ้น แล้วแต่ว่าขณะนั้นจะเป็นอวิชชา หรือวิชชา เพราะฉะนั้น พระธรรมละเอียดมาก อย่าผิวเผิน อย่าคิดว่าเข้าใจโดยเพียงแค่ฟัง แต่ว่าพระธรรมจริงๆ ความเข้าใจที่จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นโดยการสนทนา โดยการไตร่ตรอง โดยการซักถาม ไม่มีที่สิ้นสุด จนกว่าจะเกิดปัญญาของเราเอง เพราะว่าถ้าเป็นความจริง จะตอบได้ อวิชชาความไม่รู้ ต้องมีสิ่งที่ถูกอวิชชาไม่รู้ เช่นเดียวกับ วิชชา คือ ความรู้ ก็ต้องมีสิ่งที่วิชชากำลังรู้ คือเห็นถูก เข้าใจถูกในสิ่งนั้น เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่ ถ้าได้ยินได้ฟังคำอะไร อย่าเพิ่งพอใจ ควรที่จะได้ ไตร่ตรองจนกระทั่งเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมนั้นจริงๆ

    ผู้ฟัง พระพุทธองค์ท่านคงจะทราบว่า อัธยาศัยของภิกษุแต่ละองค์เป็นอย่างไร ถึงได้ให้กรรมฐานแบบนั้น แต่สำหรับที่ท่านอาจารย์ได้ให้พวกเรา คือหมายความว่า ถ่ายทอดคำสอนของพระพุทธเจ้าออกมาในภาษาไทยที่เราสามารถจะเข้าใจได้ อัธยาศัยของพวกเราไม่จำเป็นต้องไปพิจารณา ใช่ไหม คือ หมายความว่า เราก็ต้องศึกษาเกี่ยวกับเรื่อง อวิชชา นี้แหละคือ เห็น ถ้าเผื่อไม่ทราบก็เหมือน อวิชชา ได้ยินไม่ทราบก็เป็นอวิชชา จำเป็นต้องแยกอัธยาศัยของเราหรือเปล่า เพื่อจะฟังธรรมจากท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ โดยมากเราจะคิดถึง จริต ความประพฤติเป็นไป สืบเนื่องจากแต่ละชาติ ทำให้ความประพฤติเป็นไปก็ต่างๆ กันไปแต่ละชาติ แต่ถ้าได้เข้าใจความละเอียดว่า ทุกคนมีทุกจริต ก็หมดปัญหา ตัณหาจริต คือโลภะมีไหม โทสะจริต คือความขุ่นเคืองใจมีไหม โมหะจริต คือความไม่รู้มีไหม ก็ไม่ต้องเลือกเลย เพราะว่ามีครบ

    ผู้ฟัง เมื่อสักครู่ท่านอาจารย์ได้กล่าวว่า มีสภาพที่รู้ สภาพที่ไม่รู้ การไตร่ตรองนั้นคือสภาพที่รู้สิ่งที่ไม่รู้ ใช่หรือไม่

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้ไม่มีเรา ไม่มีอะไรเลย ถ้าหลับตามีพระวิหารเชตวัน มีต้นไม้ มีอะไรบ้างไหม ถ้าหลับตา

    ผู้ฟัง หลับตาก็ไม่มี

    ท่านอาจารย์ ไม่มี ลืมตามีอะไร

    ผู้ฟัง ลืมตาก็มีสิ่งที่ปรากฏทางตา นี้พูดตาม

    ท่านอาจารย์ อันนี้ก็คือว่า พูดตามไปก่อน แต่ต้องพิจารณาว่า ถ้ามีผู้ตอบว่า ถ้าลืมตาแล้วมีสิ่งที่ปรากฏทางตา ถูกต้องไหม นี้คือการพิจารณา จนกระทั่งเป็นปัญญาของเราเอง ใครจะมาเถียงในเมื่อสิ่งนี้กำลังปรากฏ แต่สิ่งที่กำลังปรากฏ เราไม่เคยรู้ตามความเป็นจริง เราไม่เคยสนใจที่จะเข้าใจว่า ขณะนี้ สิ่งที่ปรากฏเป็นลักษณะที่มีจริงๆ เป็นธาตุชนิดหนึ่ง ที่สามารถกระทบตา แล้วปรากฏ คิดดูสิ จักขุปสาท เล็กแค่ไหน อยู่ที่ไหน อยู่แค่ตรงกลางตาแห่งเดียว ไม่ได้อยู่ที่อื่นเลย แต่พอมีสิ่งที่สามารถกระทบกับสิ่งนี้ แล้วจิตเกิดขึ้นเห็น สิ่งนี้ปรากฏ แล้วดับไป แต่ว่าไม่มีใครรู้ความจริงนี้ จนกว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงตรัสรู้และทรงแสดง จากการที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีนานมาก สำหรับผู้ที่ยิ่งด้วยปัญญา ๔ อสงไขยแสนกัป เพื่อที่จะรู้ตามความเป็นจริงว่า ขณะนี้ สิ่งที่ปรากฏจริงๆ คือ สิ่งที่สามารถกระทบจักขุปสาทแล้วปรากฏ แต่ว่าหลังจากนั้นแล้ว ความทรงจำในสีสันวัณณะต่างๆ จนเคยชิน เพราะว่าตอนที่เด็กเกิดมา มีไหมที่จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร กว่าจะรู้ก็ต้องอาศัยสัญญาการที่จะจำ สีสันวัณณะ จนกระทั่งคล่องแคล่ว จนโต ไม่มีใครมาเตือนเรา ไม่มีใครบอกเรา เราก็สามารถจะรู้จักการที่เราเริ่มจำมาว่าสิ่งนี้เป็นโต๊ะ สิ่งนั้นเป็นต้นไม้ สิ่งนี้เป็นเก้าอี้ ลืมความจริงแท้ คือเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา

    เรามีความติดตาม ปะปน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏ เช่น ทางตา เพียงสีสันวัณณะปรากฏ ความคิดของเราปรุงแต่งในสิ่งที่ปรากฏ มีคน มีสิ่งต่างๆ ในสิ่งที่ปรากฏ แล้วเราจำไว้ เราไม่ได้ไปจำความเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตาเลย แต่เรากลับไปจำสิ่งที่เราจำจากสีสันวัณณะ จากรูปร่างสัณฐาน จนกระทั่งแม้ฝัน ก็ยังฝันถึงสิ่งที่เราเอามาจากสิ่งที่ปรากฏทางตา ซึ่งสิ่งที่ปรากฏทางตาเพียงแค่ปรากฏทางตาจริงๆ แต่ในฝันเราเห็นคน ฉันใด เวลานี้ก็ไม่ต่างกันเลย แม้ไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตา เราก็เอาสิ่งที่เรานึกคิดจากสิ่งที่ปรากฏทางตา ที่จำไว้อย่างมั่นคงไปฝันถึงคนนั้นคนนี้ ทั้งๆ ที่แท้ที่จริงแล้ว มาจากสิ่งที่ปรากฏทางตา แล้วจำไว้ เท่านั้นเอง

    นี่คือการที่เราต้องฟังบ่อยๆ จนกว่าจะเกิดความเข้าใจในขณะที่ฟัง เหมือนอย่างผู้ที่ได้ฟังพระธรรมในครั้งนั้น ทรงแสดงเรื่องสิ่งที่ปรากฏทางตา ในภาษาบาลีก็ใช้คำว่า รูปารมณ์ จักขุวิญญาณคือเห็น เสียงที่ปรากฏทางหูคือสัททารมณ์ในภาษาบาลี สัททารัมมาณะ กับโสตวิญญาณที่ได้ยินเสียง เมื่อฟังเสร็จแล้วก็ตรัสถามผู้ฟังว่า เที่ยงหรือไม่เที่ยง ผู้ฟังกราบทูลว่า ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า นี่คือผู้ที่กำลังฟัง และอบรมมาที่จะเข้าใจลักษณะที่กำลังปรากฏ จนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์แจ้งในการเกิดดับ ในความไม่เที่ยงของสิ่งที่กำลังฟังอยู่ เพราะฉะนั้น กว่าที่เราจะอบรมจนกระทั่งแม้วันนี้อาจจะฟังแล้วไม่ได้คิดเลย เห็นอะไรก็ไม่ได้คิดเลย แต่ก็จะมีการปรุงแต่งของสังขารขันธ์ที่ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น แล้วก็เริ่มที่จะรู้ว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา เพียงแค่เริ่มที่จะชิน ที่จะคุ้นกับสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา มิฉะนั้นแล้ว จะไม่มีการประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมใดๆ ทั้งสิ้น จนกว่าจะมีการที่สติสัมปชัญญะรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรม เฉพาะแต่ละอย่างๆ ๆ ซึ่งเกิดดับสืบต่อกัน เท่ากับว่าเข้าใกล้ความเป็นจริงของสภาพธรรม ซึ่งขณะนี้กำลังเกิดดับสืบต่ออยู่เรื่อยๆ จนกว่าจะถึงกาลที่ปัญญาสามารถที่จะละคลายความเป็นตัวตน เพราะเหตุว่า ถ้ายังไม่มีการละคลายการที่ไม่เคยรู้ลักษณะของสภาพธรรม เป็นความรู้ขึ้น จะไม่มีการประจักษ์แจ้งการเกิดดับได้ เพราะว่ายังไม่คลายด้วยปัญญา การคลายที่นี่ไม่ใช่เราไปนึกคลาย แต่ความที่ค่อยๆ รู้ ก็จะทำให้คลายความไม่รู้ และการที่เคยยึดถือสภาพธรรม โดยที่ว่าเป็นกลุ่มเป็นก้อน แล้วก็เกิดสืบต่อกัน จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ว่า แต่ละขณะเป็นสภาพธรรมที่ปรากฏแต่ละทาง แต่ว่าสืบต่อกันเร็วมาก เช่น กำลังเห็น เหมือนกับได้ยินด้วย ซึ่งความจริง จะมีได้ยินในสิ่งที่ปรากฏทางตา หรือว่าจะมีเสียงในสิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ได้เลย เช่นเดียวกับขณะที่เสียงปรากฏ สีสันวัณณะต่างๆ ก็จะปรากฏในเสียงนั้นไม่ได้

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 100
    11 มี.ค. 2568