ปกิณณกธรรม ตอนที่ 468
ตอนที่ ๔๖๘
สนทนาธรรม ที่ ซอยนวลน้อย ถ.เอกมัย
พ.ศ. ๒๕ ๔๑
ผู้ฟัง สัญญา ถ้าสมมติไม่เที่ยง บางครั้งมันมี ภาษาอังกฤษ เขาบอกว่า Rendez vous ซึ่งมีความรู้สึกว่า เคยอยู่ในสภาพแบบนี้มาก่อน นั่นคือเป็นสิ่งที่ก่อมาก่อนแล้ว หรือนั่นคือแค่นึกคิด หรือเป็นธาตุนามมาก่อน
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีจิต ขณะนั้นก็ไม่ Rendez vous สำคัญที่จิดเกิด คุณชินถ้าไม่มีจิต ไม่มีเจตสิก จะมีอะไร อะไรจะปรากฏ มันไม่มีเลย แต่พอมีแล้วทุกอย่างสารพัดที่จะมา ตามการสะสม
ผู้ฟัง ผมมีข้อสงสัยว่า อย่างเรามีสัญญาเมื่อประมาณตอนเด็กๆ สัญญาเรายังจำได้ตอนนี้ แล้วสัญญามาจากภพที่แล้ว เมื่อชาติที่แล้ว ทำไมไม่สามารถข้ามมาได้
ท่านอาจารย์ เพราะเราไม่ใช่คนที่มีการระลึกชาติได้
ผู้ฟัง ถ้าหากว่า ชาติที่แล้วผมเป็นคน มีโอกาสไหม
ท่านอาจารย์ เป็นอะไรก็ตามแต่ แต่ขึ้นอยู่กับว่า เราสามารถมีปัญญาที่เป็นปัญญาที่ระลึกชาติได้ หรือเปล่า
ผู้ฟัง ต้องใช้ปัญญา
ท่านอาจารย์ คนไม่มีปัญญา ระลึกชาติไม่ได้ เป็นญาณ เป็นอภิญญา เป็นความรู้พิเศษ
ผู้ฟัง อันนี้ไม่ใช่เพราะว่า ไปเกิดในภพอื่นๆ จนเราจำไม่ได้ หรือเป็นเพราะเราไปอยู่ในครรภ์ หรือเป็นเพราะเรากำลัง ...
ท่านอาจารย์ ด้วยประการใดๆ ก็ตาม เราไม่ใช่ผู้ที่สามารถจะระลึกได้
ผู้ฟัง แต่จิต ก็สืบต่อ
ท่านอาจารย์ สืบต่อ แต่ก็ไม่ใช่ผู้ที่ คนต่างกันพระพุทธเจ้าระลึกได้นับชาติไม่ถ้วน แล้วไม่ต้องเรียงตามลำดับด้วย นั่นคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เดียรถีย์ปริพาชก เจริญฌาน สามารถที่จะระลึกชาติได้ แต่ก็ไม่เท่าพระพุทธเจ้า แล้วเราก็ไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะฉะนั้น ก็แล้วแต่ระดับขั้นของการสะสม
ผู้ฟัง โดยธรรมชาติแล้ว ถ้าสมมติว่า ทำไมเราไม่ต้องใช้ปัญญาในการระลึกชาติตอนอดีตของเรา อะไรคั่นอยู่ระหว่างชาติต่อชาติ
ท่านอาจารย์ คุณวีระยุทธ คิดถึงอะไรสักอย่างเวลานี้ คิดออกมาเลย บุ๊ป บั๊ป คิดออกมาสิ
ผู้ฟัง คิดถึงอดีต
ท่านอาจารย์ ไม่รู้ เรายังต้องคอยจังหวะ คอยเวลา
ผู้ฟัง ตรงนี้ เป็นข้อสงสัยมาก
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ทุกอย่างจะเกิดแล้วแต่เหตุปัจจัย อันนี้ปลอดภัย ด้วยประการทั้งปวง แล้วก็ถูกต้องด้วย
ผู้ฟัง ทีนี้ อยากจะรู้ มันคืออะไรที่เขาสามารถจะบอกได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ท่านอาจารย์ อะไรจะเกิดก็มีปัจจัยที่จะทำให้เกิด แล้วเราไม่ติดใจ อันนี้สำคัญที่สุด
ผู้ฟัง ไม่ได้ติดใจ เป็นแต่อยากจะ
ท่านอาจารย์ นี่แหล่ะ อยากจะนี้ เป็นติดใจ
ผู้ฟัง ผมคิดว่าบางครั้ง เราน่าจะมีความสนใจมากกว่า เพราะว่าเรามาเรียนธรรม เราก็อยากจะสนใจ ความอยากรู้ก็คือความสนใจชนิดหนึ่ง
ท่านอาจารย์ ทีนี้ความสนใจมี ๒ อย่าง สนใจที่จะเข้าใจเพื่อละ กับสนใจที่จะรู้ ไม่ใช่เพื่อละ
ผู้ฟัง คงจะเป็นสนใจเพื่อจะรู้ เพราะเราคิดว่า เราชอบศึกษา เพราะฉะนั้น สนใจที่จะรู้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จะมีอีกหลายอย่างซึ่งเราจะสนใจ ที่จะรู้ๆ ๆ ๆ แต่ไม่สามารถจะละได้ ถ้าเรารู้ว่าชีวิตของเราแสนสั้น แล้วก็จะมีอะไรๆ จะเกิดขึ้น อย่างไรๆ ก็ได้ทั้งหมด ตามเหตุตามปัจจัยซึ่งเราไม่ได้สนใจ ไม่ได้ติดใจ นอกจากการที่จะทำให้เรารู้จักสภาพปรมัตถธรรม มันจะเป็นทางสั้น ไม่อย่างนั้นทางนี้จะต้องมีอย่างอื่นเข้ามาขวาง เข้ามาจูงให้เราไปทางอื่น
ผู้ฟัง อาจารย์รู้ธรรม ซึ่งมากกว่าผู้ที่เป็นฆราวาสที่สูงๆ เขานั่งสมาธิ เขายังไม่รู้ธรรมเท่าอาจารย์สุจินต์ มีความรู้สึกว่า ไม่รู้ว่า นี่การไปนี้ถูกหรือเปล่า คือ งงเลย
ท่านอาจารย์ ถ้าคุณชินศึกษาธรรม ฟังธรรม ไม่งงเลย ไม่มีบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้องเลยว่านี่ ใครพูด ถ้าสิ่งที่พูดนั้นเป็นธรรมจริงๆ ที่มีจริงๆ ที่สามารถทำให้คุณชินเข้าใจขึ้นๆ อย่างถูกต้องในสภาพธรรมนั้น คุณชินก็ไม่ไปติดใจ หรือสงสัยว่าทำไมคนนี้พูดอย่างนั้น คนนี้ไม่เหมือนอย่างนั้นอะไร เพราะว่าจริงๆ แล้ว ศาสนาคือคำสอน เพราะฉะนั้น ต้องศึกษา ใครก็ได้ เพศไหนก็ได้ หญิงก็ได้ ชายก็ได้ พระก็ได้ คนธรรมดาก็ได้ ถ้ารียนก็สามารถที่จะเข้าใจธรรมได้ทั้งนั้น สามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ด้วย ไม่ใช่เพียงแต่ว่า จะต้องไปบวช เป็นภิกษุณี หรืออะไรอย่างนั้น แล้วจริงๆ แล้ว พระองค์ก็ได้วางครุธรรม เพื่อที่จะป้องกันไว้แล้วด้วย ในการที่จะให้ภิกษุณีบวช ที่จะทำให้พระศาสนาตั้งมั่นได้ ถึง ๕,๐๐๐ ปี แล้วแต่ว่า มีการศึกษาธรรมหรือเปล่า อย่างมากที่สุดที่จะอยู่ได้ ถ้ามีการศึกษา เพราะฉะนั้น เราก็สามารถที่จะพิจารณาได้ว่า ในยุคนี้สมัยนี้มีการศึกษามากหรือน้อย แล้วก็จะอยู่ต่อไปอีกเท่าไร ซึ่งพระศาสนา จะไม่อยู่ที่คนอื่นเลย กำลังอยู่ที่เราทุกคนที่ศึกษา เพราะว่าถ้าไม่มีเราทุกคนที่ศึกษา อย่างละเอียดแล้วก็ อย่างพยายามไตร่ตรองให้ตรงกับสภาพธรรม ธรรมก็สูญ ไม่ใช่ว่าเราจะต้องไปพึ่งคนอื่นหรือฝากคนอื่น แต่ว่าอยู่ที่เราทุกคน ถ้าเรามี ความเข้าใจถูก เราก็สามารถที่จะสืบทอดความเข้าใจอันนั้นให้คนรุ่นต่อๆ ไปได้อีก ๕,๐๐๐ ปี แต่ว่า ถ้าไม่มีก็ไม่มี
ผู้ฟัง แต่ โมหะยังอยู่ คือบางครั้งเราอ่าน เหมือนอ่านผิวเผิน โดยไม่ลึกพอ
ท่านอาจารย์ นี้เป็นเหตุที่เราสนทนาธรรม ต้องทราบประโยชน์ที่เรามาสนทนาธรรม ขอให้ทุกคนอ่านธรรม แล้วก็ฟังธรรม แล้วก็มีข้ออะไรที่ยังสงสัยไม่กระจ่าง เราก็จะได้สนทนาธรรม ไม่ใช่ว่ามาฟังเฉยๆ โดยไม่อ่านอะไรเลย ไม่เรียนอะไรเลย อ่านมาแล้วก็มีอะไรก็ถามได้ เหมือนอย่าง meditation หรือว่าที่เขาไปทำสมาธิ เราก็ต้องทราบ ก็ถามดูว่าสมาธินั้น ปัญญารู้อะไร ปัญญามีลักษณะอย่างไร ปัญญามีกี่ขั้น ถ้าไม่มีปัญญาแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องสมาธิเลย ต้องเป็นมิจฉาสมาธิหมด เพราะว่าไม่รู้อะไร
ผู้ฟัง อกุศลกรรมที่ไม่ได้ล่วงอกุศลกรรมบถ ๑๐ จะไม่ได้ให้ผลเป็นวิบาก คือจะไม่ได้วิบากทางตา หู จมูก ลิ้น กาย อยากจะทราบว่า ตรงนี้ถ้าล่วงอกุศลไปแล้ว เป็นแค่โลภะเฉยๆ อย่างนี้ จะไม่ได้ให้ผลทางตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือ
ท่านอาจารย์ อันนี้ก็เป็นเรื่องที่การศึกษาต้องทั้ง ๓ ปิฎกสอดคล้องกัน เพราะว่าถ้าจะถามว่าตรงไหน กล่าวไว้ว่าอย่างนี้ จะไม่มีตรงไหน นอกจากเราจะพิจารณา เช่น ถ้าเป็นข้อความในพระสูตร ก็จะแสดงด้วยเหตุ แล้วก็แสดงเรื่องผล แต่ถ้าเป็นพระอภิธรรมก็จะมีความละเอียดมากกว่านั้น คือแสดงองค์ของอกุศลกรรมบถทุกองค์ เพราะฉะนั้น เพียงแต่เราชอบดอกไม้สวยๆ จะให้เป็นอกุศลกรรมอะไร ที่จะให้ผลทางไหน
ผู้ฟัง อย่างที่ยกตัวอย่างมาว่า อย่างพระพุทธเจ้าท่านเคยห้ามโคที่ไม่ให้ทานน้ำ เพราะน้ำขุ่น ท่านก็ได้รับวิบากตรงที่ว่า ท่านไม่ได้ฉันน้ำตอนพระชาติสุดท้าย
ท่านอาจารย์ นั้นคือข้อความในพระสูตร เราก็ต้องเอาข้อความในพระอภิธรรมมาเทียบเคียงว่ามีเจตนาครบองค์หรือเปล่า มากน้อยแค่ไหน เป็นเหตุที่จะทำให้ปฏิสนธิ หรือว่าให้ผลในปวัตติกาล
ผู้ฟัง เท่าที่พิจารณาดู ก็ไม่น่าจะล่วงตรงไหน
ท่านอาจารย์ เราพิจารณาเฉยๆ แต่เราไม่ทราบเหตุการณ์ในครั้งนั้นโดยละเอียด ว่าจิตของคนมีกำลังแค่ไหน มีเจตนาแค่ไหน เราไม่ทราบ
ผู้ฟัง ถึงมีเจตนาก็ตาม ท่านก็ไม่ได้ล่วงกายกรรมทั้ง ๓ หรือวจีกรรมทั้ง ๔
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ไม่ให้ผลปฏิสนธิ
ผู้ฟัง แต่ว่าผลทางปวัตติกาล
ท่านอาจารย์ ถ้ามีองค์ที่ไม่ครบองค์
ผู้ฟัง ก็แสดงว่า ถ้าผลทางปวัตติกาล ทำให้ท่านไม่ได้ฉันน้ำตอนนั้น ก็คือได้ทางกายวิญญาณัง อกุสลวิปากัง
ท่านอาจารย์ แต่เราไม่ทราบว่า เจตนาของท่านเป็นอกุศลกรรมบถที่จะให้ผลไหม หรือว่าเป็นอกุศลเฉยๆ ธรรมดา เห็นก็ไม่ให้เฉยๆ หรือมีเจตนาที่มากกว่านั้น เพราะว่า คราวที่แล้วที่บ้านคุณหญิงนพรัตน์ เราก็พูดว่า เจตนาคือกรรม ไม่ใช่เจตสิกอื่นเลย ต้องเป็นเจตนาเจตสิกเท่านั้นที่เป็นกรรม เพราะฉะนั้น เจตนาของแต่ละคนต้องทราบละเอียดว่า เจตนาที่เป็นชาติกุศลก็มี อกุศลก็มี วิบากก็มี กิริยาก็มี เราตัดเรื่องของวิบากกับกิริยาออก เหลือแต่เจตนาที่เป็น กุศลกรรม อกุศลกรรม แล้วในคราวก่อนที่บ้านคุณหญิงนพรัตน์ เราก็พูด ละเอียดเลยว่าเราไม่สามารถที่จะหยั่งรู้ได้ถึงเจตนาของแต่ละคนว่ามีกำลังแค่ไหน อย่างถ้าเรารู้ว่าคนนี้ ถ้าไม่ได้อาหารอย่างนี้ แล้วเขาจะตาย แล้วเราไม่ให้ เรารู้ด้วยว่าเขาจะตาย แต่เราไม่ให้ เจตนาของเราเหมือนกับคนที่เพียงแต่ไม่ให้คนอื่นทานอาหารหรือเปล่า เท่ากันไหม นี้ก็เป็นเรื่องซึ่งแต่ละบุคคลจะต้องทราบ แล้วขณะนั้นเราก็ไม่ทราบว่า ขณะนั้นในพระชาตินั้นมีเจตนาอะไรหรือเปล่า อาจจะทรมานนิดหน่อยก็ได้ หรือว่ายังไม่ถึงเวลาที่อยากจะให้เขาหมด ความหิวกระหายก็ได้ เพราะฉะนั้น เราไม่มีทางที่เราจะเอาความรู้ระดับเราไปวัด แต่ว่าเมื่อทรงแสดงไว้ เราก็ต้องเอามาพิจารณากับพระอภิธรรมให้สอดคล้องกัน เวลาที่มีคนถามปัญหาอย่างนี้ เราจะได้อธิบายได้ แม้แต่ตัวแราก็ต้องพิจารณาอย่างละเอียดแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่าจะเป็นไปได้อย่างไร แต่ถ้าเป็นครบองค์แล้วก็สามารถทำให้เกิดในอบายภูมิได้ ถ้าไม่ครบองค์ก็ให้ผลในปวัตติกาล เพราะฉะนั้น ในขณะนั้น เราไม่ทราบเจตนา ไม่ใช่ใจของเรา
ผู้ฟัง แต่ว่าทั้ง ๓ ปิฎกนี่ ตรงนี้ท่านไม่ได้กล่าวไว้โดยตรงว่าตรงนี้ไม่ใช่
ท่านอาจารย์ ถ้าโดยละเอียด คือแสดงพระอภิธรรมเป็นธรรมให้ผู้ฟังพิจารณาเอง จะไปเอาตัวอย่างในพระสูตรมา แล้วบอกว่านี่นะ พระอภิธรรมบอกว่าตอนนี้อย่างนี้อย่างนั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมต้องทราบ เพื่อปัญญาของเรา ตามกำลังของปัญญาของเรา ถึงจะได้ประโยชน์ แต่ถ้าเรามีกำลังของปัญญาเพียงเท่านี้ แล้วเราจะเอาไปคิดเรื่องของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือเรื่องกรรมของคนนั้น ชาตินี้ ให้ผล อย่างนี้อย่างนั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย นอกจากเราจะเป็นผู้ตรงว่า กรรมได้แก่เจตนาเจตสิก เพราะฉะนั้น ที่เป็นกรรมปัจจัย ที่เป็นกุศลอกุศล ก็สามารถที่จะเป็นนานักขณิกกัมมปัจจัย ทำให้ผลคือวิบากข้างหน้าเกิดขึ้นตามควร ซึ่งไม่อยู่ในวิสัยของเรา เราจะไปเพียรคิดสักเท่าไร ๕๐ ปี เราก็คิดไม่ออก ๑๐๐ปี เราก็คิดไม่ออก
ผู้ฟัง ถ้า ยังไม่ทันให้คนอื่นเดือดร้อน ยังไม่น่าจะให้วิบาก
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น อกุศลกรรมทั้งหมด ต้องมีเจตนาที่จะเบีดยเบียนคนอื่น
ผู้ฟัง แต่ทางฝ่ายกุศล แม้กระทั้งไม่ได้ทำคุณให้กับคนอื่นก็ยังให้ผล เป็นกุศลวิบากได้
ท่านอาจารย์ ทางฝ่ายกุศล ไม่เหมือนกับทางฝ่ายอกุศล ต้องทราบว่า กุศลจิตทั้งหมด มีศีลเป็นพื้น ศีลก็คือการไม่เบียดเบียนคนอื่น ขณะที่ไม่เบียดเบียนคนอื่นเป็นกุศล ในฐานะไหน โดยฐานะทาน การให้ หรือโดยฐานะศีล หรือโดยฐานะความสงบของจิต หรือโดยฐานะการอบรมเจริญปัญญา เพราะการที่เราฟังธรรม เป็นการอบรมเจริญปัญญา เราไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน เป็นกุศลกรรม ไม่ใช่ว่าเราต้องไปทำความดีแบบที่มองเห็นกัน เพราะว่าเวลาที่เป็นกุศลจิต ก็คือขณะนั้น ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนโดยฐานะ โดยทางไหน โดยทาน โดยศีล โดยความสงบของจิต หรือว่าโดยสติปัฏฐาน ถ้าเป็นเรื่องของวิบาก ต้องมีกรรมในอดีตแน่นอน ใครจะรู้เจตนาของคนนั้น อย่างที่บอกเมื่อกี้นี้ เราไม่สามารถจะรู้ได้ เพียงกิริยาอาการภายนอก เพราะว่าเราไม่สามารถจะรู้ถึงเจตนาของคนนั้นในขณะนั้น อกุศลกรรมที่กระทำด้วยโทสะ ถ้าไม่มีโทสะ อกุศลกรรมนั้นจะทำได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้ มันต้องเกิด
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น โทสะนั้นยังมี ใช่ไหม เมื่อมี แล้วก็มีกำลังก็ทำให้ล่วงเป็นอกุศลกรรมบถได้ โลภะเกิด โทสะเกิด ใน ๑ ขณะๆ แล้วจิตเกิดขึ้นทีละ ๑ ขณะเดียว แล้วขณะที่เกิด รวมทุกอย่างไว้ แสนโกฏิกัปป์ พร้อมที่มีปัจจัยของอะไรจะเกิด ก็เกิด แต่ว่าเกิดขึ้นทีละ ๑ ขณะ เพราะฉะนั้น ขณะที่เป็นเพียง อกุศล ที่ไม่เป็นอกุศลกรรมบถ ขณะนั้นเกิดขึ้นก็เป็นระดับนั้น แล้วก็ดับไป แล้วก็สะสม ขณะไหนที่มีกำลังขึ้น แล้วมีเจตนาที่จะกระทำทุจริตกรรม ขณะนั้นก็สำเร็จลงไป แต่ทีละขณะ
ผู้ฟัง หมายความว่าเราก็ประมาทไม่ได้ แม้แต่ว่า อกุศลจิตจะเกิดนิดหน่อยก็ประมาทไม่ได้
ท่านอาจารย์ นี้คือเหตุที่เราศึกษาพระธรรม ไม่อย่างนั้นเราก็ไม่ต้องศึกษา
ผู้ฟัง อันนี้ความละเอียด ถ้าเราไม่ได้เข้ามาศึกษาพระอภิธรรม จะมองข้ามเลย แล้วเรารู้สึกว่า เรานี้ดีอยู่ตลอดเวลา คือมองไม่เห็นความไม่ดีของตัวเอง ยิ่งเรียน ยิ่งมองเห็นความไม่ดี ความอกุศลจิตของแต่เองในวันหนึ่งๆ มากเหลือเกิน แม้แต่จะเล็กน้อย ก็เลยถามตัวเองว่า ต้องมาถามอาจารย์ว่าแม้เกิดเล็กน้อย จะเป็นเหตุให้เกิดใหญ่ได้ไหม
ท่านอาจารย์ นี่ก็เป็นสิ่งที่น่าคิด คือมีใครบ้างไหมที่คิดว่า เราดี หรือว่า เราไม่ดี คือเราอยู่ไปวันๆ อันนี้เป็นความจริง หรือเราจะต้องมานั่งคิดว่าเราดีนะ ดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ หรือว่าเราไม่ดีนะ เราไม่ดีอย่างนั้น อย่างนี้ เราก็มีชีวิตไป แต่เมื่อเราศึกษาธรรม เราก็เข้าใจความจริงขึ้นว่าทุกอย่างเป็นธรรม เพราะฉะนั้น ก็เข้าใจ โดยการฟังแล้วก็พิจารณา จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริง โดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปคิดเรื่องดีไม่ดีก็ได้
ผู้ฟัง อย่างไรก็ตามอกุศลกรรมบถ ๑๐ ยังจะต้องมีองค์หนึ่งที่บอกว่า สัตว์นั้นต้องตายด้วยความเพียรนั้น เป็นต้น
ท่านอาจารย์ อันนั้นครบองค์ปาณาติบาต
ผู้ฟัง ครบองค์ ถ้าครบองค์ก็จะให้ผลไปทาง
ท่านอาจารย์ เกิดในอบายภูมิ ถ้าครบองค์ทั้ง ๕ องค์
ผู้ฟัง หมายว่า ถ้าไม่ครบองค์ทั้ง ๕ ก็จะมีผลทางปวัตติกาล
ท่านอาจารย์ ใช่
ผู้ฟัง อาจารย์บรรยายมาไปฟังที่วัดบวร รู้แต่ว่าสภาพธรรม เกิดปัญญา แต่ไม่รู้ว่าจับจุดจับต้น ที่จะปฏิบัติของอาจารย์ ปฏิบัติอย่างไร ไม่เข้าใจ เพราะว่าอยากจะทราบว่าการปฏิบัติ แนวทางไม่เหมือนกัน แต่ละอาจารย์ แต่ละสำนัก สอนไม่เหมือนกัน ก็อยากใคร่จะรู้ว่าสอนอย่างไร เพื่อที่จะมาประกอบในการปฏิบัติของเราได้ไหม เพื่อให้มีความรู้ทางด้านการปฏิบัติ แนวทางของพระพุทธศาสนา ของพระพุทธเจ้า ให้สูงขึ้น ให้ดีขึ้น เท่านั่นเอง
ท่านอาจารย์ แล้วผลของการปฏิบัติ คืออะไร
ผู้ฟัง ผลของการปฏิบัติ คือให้พ้นทุกข์ คือให้รู้อริยสัจ ๔ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
ท่านอาจารย์ ขณะนี้มีทุกข์ไหม
ผู้ฟัง มี อย่างเช่นเราเดินมา มันก็เกิดทุกข์แล้ว
ท่านอาจารย์ อะไรเป็นทุกข์
ผู้ฟัง ก็มันไม่สบายกาย ไม่สบายใจ
ท่านอาจารย์ อะไร ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ
ผู้ฟัง นี่แหละ จุดนี้ที่อาจารย์ซักถามกันอย่างนี้ ฉะนั้นที่ว่า ผมไม่รู้ เพราะจุดนี้ว่ากุศล อกุศลที่มันเกิด หรือทุกข์ สุข จะรู้คร่าวๆ ครอบคลุม เท่านั้นเอง
ท่านอาจารย์ คิดว่ารู้อริยสัจหรือยัง
ผู้ฟัง คืออริยสัจ ๔ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข์นี้ต้องให้รู้ มันมี ๑๑ อย่าง คือ เกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์
ท่านอาจารย์ อะไรเกิดเล่า
ผู้ฟัง คนเราเมื่อเกิดมา
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นคนเรา แล้วจะรู้ธรรมได้ไหม
ผู้ฟัง ผมยังไม่เข้าใจความหมายที่ถาม
ท่านอาจารย์ เคยได้ยินคำว่า อนัตตาไหม
ผู้ฟัง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ท่านอาจารย์ อนัตตา หมายความว่าอะไร
ผู้ฟัง อนัตตา คือหมายความ ไม่มีตัวตน
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เวลาเกิด เป็นทุกข์อย่างไร
ผู้ฟัง เวลาเกิด เป็นทุกข์อย่างไร ก็หมายถึงว่าเวลาเกิด ตามที่ผมเข้าใจ ว่าต้องนอนอยู่ในครรภ์ของมารดา
ท่านอาจารย์ ใครนอน
ผู้ฟัง ผู้ที่จะเกิดมา
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็ไม่ใช่ ชื่อว่าผู้ที่รู้ธรรม
ผู้ฟัง อย่างนั้นไม่รู้ธรรม
ท่านอาจารย์ ก็รู้ว่าเป็นคนนอน พอเกิดมาก็นอน แล้วจะเป็นธรรม ก็ไม่รู้ว่าธรรม
ผู้ฟัง ถ้าเผื่อไม่ใช้สมมติบัญญัติ อันนี้เราก็พูดไม่ถูกว่าใครนอน
ท่านอาจารย์ เมื่อมีสิ่งนั้นแล้ว สมมติว่าเป็นคน แต่สิ่งที่มี ที่ไม่ใช่คนนั้น คืออะไร เข้าใจว่า เป็นธรรม จึงจะเอาตัวตนออกไปได้
ผู้ฟัง นี่แหละ เพราะว่าผมไม่ได้เรียนทางนี้ ถึงบอกว่าใช้ศัพท์
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เรื่องใช้ศัพท์ เป็นเรื่องที่ว่า ไม่เข้าใจธรรม แล้วก็จะบอกว่ารู้อริยสัจไม่ได้ รู้แต่ชื่อ
ผู้ฟัง ผมยอมรับว่า ผมยังไม่รู้อะไร เพียงแต่ว่า พอจะเข้าใจ
ท่านอาจารย์ อันนี้ถูกต้อง
ผู้ฟัง ถูกต้องๆ ทีนี้พอจะเข้าใจ ก็ต้องมาศึกษาว่า ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เหตุของมันเกิดด้วยอะไร
ท่านอาจารย์ ต้องรู้จักตัวธรรมก่อน
ผู้ฟัง นั่นสิ เพราะไม่ได้เรียนมาทางนี้ ที่ผมบอกว่า
ท่านอาจารย์ เพราะว่าถ้าเราคิดเอง เราไม่ต้องศึกษาพระธรรมเลย ไม่ต้องมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เราคิดเอง แต่เพราะเราคิดเองไม่ได้ ธรรมละเอียด แล้วก็เป็นของจริงที่ยากที่จะรู้ เพราะฉะนั้น ต้องศึกษา เวลาที่เราได้ยินคำหนึ่งคำใด อย่าเพิ่งพอใจในคำนั้น พอได้ยินว่าทุกอย่างเป็นทุกข์ เราก็พูดตามว่าทุกอย่างเป็นทุกข์ เราเข้าใจจริงๆ หรือเราเพียงพูดตาม ทุกอย่าง แต่ละอย่าง คืออะไรยังไม่รู้เลย แล้วทุกข์จริงๆ นั้นคืออะไร ก็ยังไม่รู้ เพียงแต่บอกว่าเป็นทุกข์ เราก็ยอมรับโดยดีว่าทุกอย่างเป็นทุกข์ นั่นคือเราไม่รู้จริง แต่ถ้ารู้จริง ต้องตอบคำถาม ที่ถามทุกข้อได้ ถ้าไม่รู้แล้วปฏิบัติ จะปฏิบัติถูกหรือจะปฏิบัติผิด
ผู้ฟัง ถ้าไม่รู้ ก็ปฏิบัติไม่ถูก จับจุดไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ต้องรู้ก่อน
ผู้ฟัง จะต้องรู้แนวทาง
ท่านอาจารย์ มิได้ ต้องรู้ธรรม ไม่ใช่ไปรู้แนวทาง พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ทรงตรัสรู้ธรรม พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้คนทำอะไรโดยไม่รู้
ผู้ฟัง นี่สิที่ว่าลึกซึ้ง เพราะว่าละเอียดอ่อน ฉะนั้นผู้ที่ไม่เคยเรียนมา ไม่เคยรู้ทางด้านพระไตรปิฎก หรือพระอภิธรรมมา จะไม่รู้ถึงจุดนี้แน่นอน
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ที่ว่าได้ผลมาก เข้าใจมาก รู้แจ้งมาก จะถูกไหม
ผู้ฟัง ถูก
ท่านอาจารย์ รู้อะไร แจ้งมาก
ผู้ฟัง รู้ทางธรรม
ท่านอาจารย์ ยังไม่รู้จักธรรมเลย
ผู้ฟัง ที่ผมพูด ในแนวทางของผม
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าเป็นของผม
ผู้ฟัง ที่อาจารย์ สอนไม่ได้สอนในแนวทางที่ว่าให้ดู
ท่านอาจารย์ ให้เกิดปัญญาก่อน ตามลำดับขั้น ถ้าไม่มีปัญญาขั้นต้นจากการฟัง ไม่มีทางปฏิบัติ
ผู้ฟัง ไม่เข้าใจ
ท่านอาจารย์ ไม่มีทางปฏิบัติเลย ไม่เข้าใจ จะปฏิบัติได้อย่างไร ปัญญาต้องเกิดตามลำดับ
ผู้ฟัง แต่ว่า ทีนี้แนวทางที่เคยปฏิบัติมาไม่เหมือนกัน ซึ่งต่างกัน ที่ผมยอมรับ อย่างหนึ่ง
ท่านอาจารย์ อย่างไรก็ตามแต่ คือ ความเข้าใจของเรามีไหม แล้วเราจะยังคงจะไม่เข้าใจต่อไป หรือ เราคิดว่า ควรจะเข้าใจดีกว่า นี้เป็นสิ่งที่เราจะต้องคิด เพื่อประโยชน์ของเราเอง
ผู้ฟัง ผมยอมรับในจุดนี้ที่อาจารย์แนะนำสั่งสอน แต่ว่าในการที่จะปฏิบัติ จะหันเหมา มาเริ่มต้น เริ่ม ๑ นับ ๑ ใหม่ มันจะไม่ช้าไปหรือ
ท่านอาจารย์ ถ้ามีอะไรที่ผิดมากๆ แล้วไม่ทิ้งไปให้หมด ก็ยังคงมีสิ่งที่ผิดอยู่ จะเก็บสิ่งที่ผิดนั้นไว้ไหม
ผู้ฟัง อาจารย์ เห็นกระจ่างชัดในจุดนี้
ท่านอาจารย์ ดิฉันคิดว่า ทุกคนต้องคิด ถ้าเราไม่เข้าใจ ต่อไปนี้เราจะทำอย่างไรให้เข้าใจขึ้น นั่นเป็นสิ่งที่ถูก ถ้าเราเห็นผิด ต่อไปนี้เราจะพิจารณาให้ละเอียดรอบครอบ จนกระทั่งเป็นความเห็นถูก นั่นเป็นสิ่งที่ควร ถ้ากำลังปฏิบัติ แล้วรู้ขึ้น ระหว่างนี้ เวลาที่ใช้ จะให้เวลานั้น เราก็จะจากโลกนี้ไปเมื่อไรก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น ระหว่างที่จะจาก
ผู้ฟัง ผมเห็นด้วยๆ
ท่านอาจารย์ แล้วเราจะไปปฏิบัติโดยไม่รู้ หรือว่าเราจะศึกษาให้เข้าใจขึ้น จนกว่าจะรู้
ผู้ฟัง ถึงมาปฏิบัติ
ท่านอาจารย์ ไม่ต้องห่วงเรื่องปฏิบัติเลย เพราะไม่ใช่เราจะปฏิบัติ สติเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ถ้าไม่มีปัญญา สัมมาสติก็เกิดไม่ได้ แน่นอน เพราะสัมมาสติ ต้องเกิดกับสัมมาทิฏฐิ
ผู้ฟัง ผมเห็นด้วย อันนี้ใช้สติ
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ใช้ ยังไม่มี อบรมให้เกิดขึ้น ด้วยความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นๆ
ผู้ฟัง ผมเห็นด้วยที่ว่า สตินี้ต้องอบรม ต้องฝึกอบรม
ท่านอาจารย์ มีปัจจัยก็เกิด จากการเข้าใจถึงจะเป็นสัมมาสติ
ผู้ฟัง ผมขอพูดในด้านผมที่ผมเข้าใจ ผมว่า ผมขาดความรู้ทางด้านอภิธรรม และขาดความรู้ทางด้าน
ท่านอาจารย์ เดี๋ยว จะพูดอะไร ขอให้เข้าใจ อภิธรรม คืออะไร
ผู้ฟัง คำสั่งสอนทางด้านการปฏิบัติ
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ อภิ แปลว่ายิ่งหรือละเอียด ธรรม คือสิ่งที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้น ธรรมที่ละเอียดกว่าในพระสูตรและพระวินัย นั่นคือพระอภิธรรม เพราะฉะนั้น เวลาที่พระสูตร กล่าวถึงขันธ์ คนในที่นั้นฟัง เข้าใจแล้ว
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 421
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 422
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 423
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 424
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 425
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 426
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 427
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 428
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 429
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 430
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 431
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 432
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 433
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 434
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 435
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 436
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 437
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 438
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 439
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 440
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 441
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 442
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 443
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 444
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 445
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 446
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 447
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 448
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 449
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 450
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 451
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 452
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 453
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 454
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 455
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 456
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 457
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 458
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 459
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 460
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 461
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 462
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 463
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 464
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 465
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 466
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 467
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 468
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 469
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 470
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 471
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 472
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 473
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 474
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 475
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 476
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 477
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 478
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 479
- ปกิณณกธรรม ตอนที่ 480
