พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 585


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๕๘๕

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒


    ท่านอาจารย์ และความเข้าใจที่มีก็จะนำไปสู่การประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรมได้ แต่ถ้าไม่เข้าใจขั้นการฟัง จะละโลภะได้อย่างไร แม้แต่เราอยากเป็นคนดี อยากเป็นโลภะก็ไม่รู้

    เพราะฉะนั้น ผู้ฟังธรรมต้องเป็นผู้ละเอียดจริงๆ แล้วฟัง แล้วก็รู้ว่า เวลาไม่ฟัง ไม่เข้าใจว่า ขณะนี้เป็นธรรม เพราะฉะนั้น พอฟังแล้วแม้แต่เพียงเริ่มรู้ว่า ธรรมคือเดี๋ยวนี้ สิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏทั้งหมด คือพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดงว่า เป็นธรรม ไม่ได้เป็นใครสักคน แต่เป็นธรรม

    เพราะฉะนั้น ฟังเพื่อเห็นถูกว่า สิ่งที่มีขณะนี้มีจริงๆ เป็นธรรม แล้วเกิดจึงปรากฏได้ แล้วก็ดับไป ไม่มีอะไรเหลือ จริงหรือไม่ ถ้าเข้าใจอย่างนี้เป็นคนดีไหม

    ผู้ฟัง ก็ดีทีละนิดๆ

    ท่านอาจารย์ จนกว่าจะหมดความไม่ดี

    ผู้ฟัง ถ้าเราเกิดในพระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าทรงอุบัติ และพระธรรมยังมีพร้อม และการที่เราไม่ฟังพระองค์ มีคำสอนในเรื่องต่างๆ

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่เชื่อว่า ถึงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสรณะแน่นอน คือว่าสมัยก่อนผู้ฟังต่างจากคนยุคนี้แน่นอน เพราะว่าคนสมัยโน้นเรียนอภิธรรม และอาจจะเรียกว่าภาวนาหรือปฏิบัติ เพราะฉะนั้น เป็นยุคที่คนมีเวลาศึกษาธรรมมากกว่าคนในยุคนี้ เข้าใจว่า คนยุคนี้มีเวลาน้อย เพราะฉะนั้น ก็ฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง ไม่ติดต่อกัน แต่คนยุคนั้นเมื่อฟังแล้ว เขามีความคิดความเข้าใจจากสิ่งที่ได้ฟัง เพราะฉะนั้น จากคำถามของคนเหล่านั้น จะเป็นเรื่องของคนที่ไม่เคยฟังธรรมจะไม่เข้าใจ เหมือนคนที่เขาเรียนแล้ว ก็จะพูดกันเรื่องอายตนะ เรื่องปฏิจจสมุปปาท เพราะเรียนกันมาแล้ว เพราะฉะนั้น คำถามของคนที่เหมือนเด็กอนุบาลไปนั่งอยู่ตรงนั้น จะเข้าใจได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้น การจะเข้าใจธรรมได้ไม่ว่ายุคไหน สมัยไหน คือต้องมีพื้นฐาน ความเข้าใจที่มั่นคงก่อนพอจะเข้าใจสิ่งที่คนอื่นกล่าวถึงได้ ถ้าเราไม่มีพื้นฐานความเข้าใจว่า อะไรเป็นธรรม เป็นอภิธรรม เป็นปรมัตถธรรม แล้วก็ธัมมสังคนีปกรณ์ ซึ่งเป็นคัมภีร์อภิธรรมคัมภีร์แรก คัมภีร์ที่ ๑ มีข้อความว่า กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา อัพพยากตาธัมมา คนยุคนี้ที่ไม่เคยฟัง จะเข้าใจไหม คนสมัยโน้นเขาอ่านมาแล้ว เขาฟังมาแล้ว เขาเรียนมาแล้วมาก เพราะฉะนั้น เขาก็สามารถพูดกันเรื่องกุศลธรรม อกุศลธรรม และอัพยากตธรรมได้

    นี่ก็เป็นเหตุหนึ่งซึ่งวิทยุที่มีรายการธรรมตั้งแต่ยุคโน้น ซึ่งต่างกาล ต่างสมัย จนกระทั่งถึงบัดนี้ก็มีผู้ไม่เข้าใจแม้แต่ธรรม ด้วยเหตุนี้ทางมูลนิธิจึงตั้งต้นด้วยพื้นฐานอภิธรรมก่อน แล้วจึงสามารถย้อนกลับไปฟังเรื่องที่คนอื่นเข้าใจแล้วเข้าใจได้

    เมื่อสักครู่นี้คุณธรพูดเรื่องไปอินเดีย ได้ฟังมาว่า ใครก็ตามได้ไปครบสังเวชนียสถาน ๔ แห่งแล้วจะปิดประตูอบาย

    อ.อรรณพ ถ้าอย่างนั้นพวกแขกที่เขาจัดทัวร์ คงปิดประตูอบาย เพราะจัดให้พวกเราไปตลอด จึงจะเป็นอย่างนั้นได้ไหม หรือว่าเด็กอินเดียที่อยู่แถวนั้นก็อยู่บริเวณสถูปทุกวัน

    ผู้ถาม เด็กที่มาขอเงินด้วย

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้น ก็ขึ้นอยู่กับกุศลจิตโดยเฉพาะปัญญา ความเข้าใจว่า จะมั่นคงอย่างไร ไม่ใช่ว่าไปพุทธสถานเพื่อปิดประตูอบาย หรือไปเพื่อให้เข้าใจธรรม แต่ในทางตรงข้ามเพราะเข้าใจธรรม มีความนอบน้อม มีศรัทธา เมื่อมีโอกาสไปได้ก็ไปที่จะระลึกถึงพระคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระสาวกทั้งหลายที่ดินแดนที่เป็นพุทธภูมิ เพราะฉะนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจ ขึ้นอยู่กับปัญญา ถ้าจะไปให้ครบไม่ยาก ไกด์ไปครบ และไปปีละหลายครั้ง คิดว่า เขาได้ปิดประตูอบายหรือ

    อ.วิชัย ไม่ทราบว่า ทราบไหมว่าอะไรเป็นเหตุให้ปิดประตูอบายได้ ปัญญาระดับไหน ต้องถึงความเป็นพระอริยบุคคล ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ถึงจะไม่เกิดในอบายภูมิแน่นอน แต่ถ้ายังเป็นปุถุชนอยู่ก็ยังไม่แน่นอน เพราะเหตุว่าขณะนี้จิตใจของแต่ละท่านก็ไม่แน่นอน จะเป็นกุศลจิตเกิดขึ้นขณะที่ฟัง เดี๋ยวสักครู่หนึ่งอาจจะเป็นอกุศลจิตก็ได้ เพราะเป็นไปตามเหตุ และปัจจัยจริงๆ เมื่อถึงกาละที่จากความเป็นบุคคลนี้ไป กุศลกรรมหรืออกุศลที่กระทำไว้แล้วในอดีตมากมายนับไม่ถ้วน ไม่ทราบว่าในชาตินี้กระทำกรรมอะไรมาบ้าง ทั้งกรรมดีบ้าง ไม่ดีบ้าง และในอดีตที่เนิ่นนานที่ไม่สามารถจะรู้ได้ว่า กระทำกรรมอะไรไว้บ้าง ซึ่งก็เป็นไปตามเหตุ และปัจจัยจริงๆ ถ้ายังมีเหตุให้เกิดในอบาย คืออกุศลกรรมให้ผล ก็ต้องเกิดในอบายภูมิ แต่ถ้าเป็นกุศลกรรมให้ผล ก็เกิดในสุคติภูมิ แต่ถ้าถึงความเป็นพระอริยบุคคลตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ก็ไม่เกิดในอบายภูมิ และเกิดอีกเพียงแค่ ๗ ชาติเท่านั้น

    ผู้ฟัง เมื่อวานนี้สนทนากันเรื่องพาลบัณฑิตสูตร มีผู้ถามว่า คำว่า “บัณฑิต” ถ้าหมายถึงผู้รู้ ผู้ใฝ่รู้ คำว่า “พาล” จะตรงกันข้ามกับบัณฑิตหรือไม่ คือหมายถึงผู้ไม่รู้ ผู้มีอวิชชา ผู้ไม่ใส่ใจในธรรม อย่างนั้นหรือไม่

    อ.อรรณพ บัณฑิตคือผู้ประเสริฐ ประเสริฐอย่างไร ถ้ายังมีอกุศลอยู่ จะประเสริฐหรือไม่ อกุศลน้อยลงๆ ก็ประเสริฐขึ้น จนกว่าจะหมดอกุศล จึงจะเป็นผู้ประเสริฐ ส่วนพาลคือผู้ที่มากไปด้วยอกุศล ซึ่งโดยสภาพธรรมแล้ว พาลก็คืออกุศลธรรม เพราะฉะนั้น จึงมีการสมมติเรียกโดยปุคคลบัญญัติว่าเป็นคนพาล คือผู้ที่มีสภาพธรรมที่เป็นอกุศลธรรมเนืองๆ เพราะฉะนั้น เป็นตัวธรรม เป็นสภาพธรรม เป็นอภิธรรม ไม่ใช่เป็นบุคคลที่เราเรียกว่า คนนั้นพาล คนนี้พาล นี้กล่าวโดยปุคคลโวหาร หรือโดยบุคคล แต่ถ้ากล่าวโดยสภาพธรรมก็คืออกุศลธรรมที่เกิดขึ้น ขณะที่อกุศลเกิดขึ้นไม่ตรง แม้ทำอะไรผิด มีคนเตือน ก็ยังเฉไฉ ไม่ตรง ถ้าเป็นพาลที่ยิ่งกว่าพาล มีความเห็นผิด เพราะฉะนั้น ถ้าทิฏฐิเจตสิกเกิด ขณะนั้นเป็นพาลยิ่งกว่าพาล เพราะว่าพาลถึงขนาดที่ว่าเห็นผิดจากสภาพธรรม เห็นผิดจากคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งนั้นเป็นพาลยิ่งกว่าพาล

    สรุปก็คืออกุศลธรรมทั้งหลายเป็นพาล โดยเฉพาะความเห็นผิด ส่วนบัณฑิตก็คือสภาพธรรมฝ่ายดี ถ้าบุคคลใดมีสภาพธรรมฝ่ายดีเกิดมาก เกิดบ่อย มีพืชเชื้อฝ่ายดีเกิด ก็เป็นผู้ที่โน้มเอียงที่จะเป็นบัณฑิต จะมีแต่สภาพธรรมฝ่ายดีแทนกุศลหรืออกุศล ก็คือพระอรหันต์ ซึ่งจิตของท่านไม่เป็นกุศล อกุศลอีกแล้ว เป็นมหากิริยาจิต

    เพราะฉะนั้น พระสูตรที่เราสนทนาเมื่อวานนี้ก็เป็นพระสูตรที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ และอรรถกถาก็อธิบายไว้ว่า พาลกับบัณฑิตเป็นอย่างไร ดังนั้น ในพระสูตรนี้ท่านเรียกปุถุชนที่ยังมีปฏิสนธิทั้งหมดว่าเป็นคนพาล ปุถุชนที่ยังมีการเกิดอยู่ก็เป็นพาล เพราะไม่มีใครที่เป็นปุถุชนแล้วยังเกิดอยู่ เป็นผู้ไม่มีอกุศล เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นปุถุชนแล้วยังเกิดอยู่ ก็เป็นคนพาล ถ้ามีความเห็นผิดก็เป็นพาลหนัก ส่วนพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี ใครๆ ไม่ควรเรียกว่า บัณฑิต หรือพาล เพราะพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามีเป็นผู้แน่นอนที่จะเป็นพระอรหันต์ต่อไป แต่ก็ยังไม่ใช่พระอรหันต์

    เพราะฉะนั้น ท่านไม่ใช่ปุถุชนที่ยังต้องเกิดอีก แต่ท่านพระอริยบุคคลที่แม้ยังมีเกิดอีก ก็ไม่ใช่ปุถุชน เพราะฉะนั้น จะเรียกว่าพาลไม่ได้ เพราะปุถุชนยังต้องเกิดอีก แต่พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามีไม่ใช่ปุถุชน แม้เกิดอีก ส่วนพระขีณาสพ ผู้ไม่มีปฏิสนธิเรียกว่า บัณฑิต จริงๆ คือพระอรหันต์จึงจะเป็นบัณฑิตจริงๆ บัณฑิตแท้ เพราะไม่มีอกุศล

    เพราะฉะนั้น พาลหรือบัณฑิตก็คือสภาพธรรม ถ้าเป็นพาลก็เป็นอกุศลธรรม ถ้าเป็นบัณฑิตจริงๆ คือโสภณธรรมที่ไม่มีทางมีอกุศลใดๆ อีก

    ท่านอาจารย์ ศรัทธาเกิดกับอกุศลจิตได้หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ จะเกิดร่วมกับโลภะ โทสะ อหิริกะ อโนตตัปปะไม่ได้ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่แต่เฉพาะขณะที่ไปนมัสการสังเวชนียสถาน ขณะใดก็ตามที่เป็นอกุศลจิตกระทำอกุศลกรรมแล้ว จะไปที่ไหนก็ตามแต่ เมื่ออกุศลกรรมให้ผล จะไปเกิดที่ไหน

    ผู้ฟัง ก็เกิดในอบาย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็ชัดเจน กุศลกรรมเป็นปัจจัยให้เกิดกุศลวิบาก ตั้งแต่ปฏิสนธิ ในระหว่างที่ยังไม่จุติจากโลกนี้ กุศลกรรมก็ยังให้ผลเป็นวิบาก คือในขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น เดี๋ยวนี้ เมื่อไรก็เมื่อนั้น ขณะใดก็ตามสิ่งที่ปรากฏไม่ใช่สิ่งที่น่าพอใจ ขณะนั้นก็ทราบเลยว่า เป็นผลของอกุศลกรรม

    เพราะฉะนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องขณะนั้นหรือขณะนี้ ขณะไหนก็ตามที่เห็น ขณะนี้เป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้ว จึงทำให้เห็นเกิดขึ้น แล้วเห็นหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเห็นสิ่งที่น่าพอใจหรือไม่น่าพอใจ อย่างกาย ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่ให้เจ็บไข้ได้ป่วยเป็นทุกข์ เมื่อถึงกาลที่อกุศลกรรมให้ผล

    เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจเรื่องของกรรมชัดเจน ก็ไม่สงสัยว่า เวลาที่ตรัสเรื่องสังเวชนียสถานว่า ผู้ใดมีศรัทธาไปนมัสการสังเวชนียสถาน ต้องไม่ลืมว่า ขณะนั้นเป็นกุศลจิต

    ผู้ฟัง ไปด้วยศรัทธา

    ท่านอาจารย์ ไปด้วยกุศลจิต

    ผู้ฟัง ไปด้วยกุศลจิต ทีนี้บางท่านไม่เข้าใจ ก็คิดว่า มีศรัทธาที่จะไปนมัสการสังเวชนียสถาน

    ท่านอาจารย์ เพราะไม่เข้าใจ จึงเข้าใจว่า มีศรัทธา เป็นเรื่องเข้าใจ ไม่ใช่เป็นเรื่องไม่เข้าใจ ธรรมเป็นเรื่องละเอียดมาก ศรัทธามีจริง แต่ปัญญาต่างหากที่สามารถรู้ว่า เป็นศรัทธาหรือไม่ใช่ศรัทธา

    พูดถึงธรรม ไม่ใช่ใครคนหนึ่งคนใด และก็พูดถึงจิตแต่ละขณะด้วยซึ่งเกิดดับตามปัจจัย เมื่อถึงกาลที่วิบากจิตจะเกิดก็ต้องเกิด เห็นแล้ว ถึงกาลที่กุศลจิตจะเกิด หรืออกุศลจิตจะเกิด ก็แล้วแต่การสะสม แสดงความเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร บังคับบัญชาไม่ได้ และเหตุต้องตรงกับผลด้วย

    คงไม่ลืมว่า พระธรรมเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจความลึกซึ้งของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ก็คงต้องพูดถึงธรรมที่กำลังปรากฏ ก็เพราะเหตุว่าแม้มีธรรมที่กำลังปรากฏ แต่เราก็คิดเรื่องอื่น จริงหรือไม่ เดี๋ยวนี้เอง มีสิ่งที่ปรากฏทางตาให้เห็น แต่คิดเรื่องอื่น นี่เป็นความรวดเร็วของการสะสมมาที่จะคิดจากสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แล้วเราก็คิดถึงเรื่องอื่น เวลาที่มีการเห็นอย่างนี้มานานแสนนานจนถึงขณะนี้ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่า การที่เคยสะสมมาแล้วก็เป็นอย่างนี้อีก

    เพราะฉะนั้น เมื่อไรจะสามารถฟังแล้วเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ นี่คือจุดประสงค์ของการฟัง เพราะเหตุว่าสิ่งที่จริงแท้ก็คือสิ่งที่กำลังปรากฏ ทางตาก็สิ่งนี้กำลังปรากฏให้เห็นว่า เป็นสิ่งที่มีจริงๆ และไม่มีใครไปทำให้เป็นอย่างนี้ด้วย แต่เมื่อสิ่งนี้ปรากฏก็หมายความว่า ต้องเกิดขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยที่เกิดเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าไม่มีสภาพรู้ ไม่มีธาตุรู้ ซึ่งเป็นจิตเกิดขึ้นเห็น สิ่งนี้ก็ไม่ปรากฏ

    นี่คือฟังธรรมเพื่อเข้าใจว่า ขณะนี้เป็นธรรม เป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง และสามารถเห็นตามความเป็นจริง คือไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีปัจจัยเกิดขึ้น แล้วความจริงก็ดับไปเร็วมาก ไม่มีใครสามารถรู้แจ้งการเกิดดับสืบต่อของสภาพธรรม ถ้าไม่เข้าใจว่า ขณะนี้เป็นธรรม พูดแต่เรื่อง และคำว่า “ธรรม” โดยไม่รู้ลักษณะจริงๆ ของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

    ด้วยเหตุนี้พระธรรมทั้งหมดที่ทรงแสดง ไม่ว่าจะเป็นพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก หรือพระอภิธรรมปิฎก ก็เพื่อให้รู้สภาพธรรมที่หลากหลาย และไม่ซ้ำกันแต่ละขณะ เพราะเหตุว่าแต่ละขณะก็เกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป ขณะต่อไปก็เกิด ก็ไม่ใช่เมื่อสักครู่นี้เลย แต่เกิดเพราะเหตุปัจจัยที่ได้สะสมมา แล้วปัจจัยที่ทำให้สภาพธรรมเกิดเป็นอย่างนี้ เป็นมานานแสนนาน แล้วก็ยังไม่หมด ก็จะต้องเกิดเป็นอย่างนี้อีกต่อไป คือมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แล้วก็คิดนึก เป็นอย่างนี้แล้วใครจะรู้ว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่คคล ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เพียงแต่ว่าเป็นลักษณะแต่ละอย่างที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้น การฟังธรรมเพื่อเข้าใจ เพื่อรู้ว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น หวังว่าเราจะรู้แจ้งอริยสัจธรรม หรือว่าเราจะเป็นคนดี หรือเราจะเกิดในสวรรค์ หรือจะเกิดเป็นมนุษย์ ก็ขอให้ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ มั่งมีเงินทอง มีสุขภาพแข็งแรง นี่ก็เป็นสิ่งที่จะต้องเกิดอีกต่อไป เพราะยึดถือสภาพธรรมซึ่งไม่ใช่เราว่าเป็นเรา ด้วยเหตุนี้การฟังก็คือการอบรมให้มีความเห็นถูก เข้าใจถูก

    เมื่อวานนี้ก็ได้กล่าวถึงอุปนิสยโคจร เพราะเหตุว่าโคจระ โคจรมี ๓ ส่วนใหญ่เราจะคิดว่า โคจรก็คือที่มา หรือที่ไป ที่เราไป เกิดมาแล้วมีใครอยู่กับที่ไหม ไม่มีเลย เป็นเด็กเล็กๆ แขนขานิ่งไม่กระดุกกระดิกได้ไหม ก็ไม่ได้ ก็จะต้องมีการไปอยู่เรื่อยๆ ไม่รู้จักจบ ไม่ว่าจะไปทางไหน แต่ความจริง ทางที่จิตจะรู้มี ๖ ทาง คือ ทางตา ๑ ขณะนี้มีสภาพที่ปรากฏให้เห็น ถ้าไม่มีจิต สภาพนี้ก็เกิดไม่ได้ ทางหู มีเสียงปรากฏ จิตไปตามเสียงที่ปรากฏ เมื่อเสียงนั้นกระทบกับโสตปสาท ไปอื่นได้ไหม ในเมื่อขณะนั้นมีโสตปสาท เจตสิกคือผัสสเจตสิกที่เกิดกับจิต กระทบเสียงเป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นไปตามเสียงที่ปรากฏ

    นี่คือการไปแต่ละขณะของชีวิต แล้วเราก็ไปมาแล้วนานแสนนาน ระลึกได้ จำได้ไหมว่า ไปไหนมาบ้าง แต่ว่าไปเป็นกุศลหรือไปเป็นอกุศล ส่วนใหญ่ไปเป็นอกุศล รู้ได้ในชีวิตประจำวัน วันนี้ ตั้งแต่เกิดมาจิตไปแล้วเมื่อมีสิ่งที่กระทบตา จิตก็ไปสู่สิ่งที่กำลังปรากฏ โดยรู้สิ่งนั้นที่กำลังปรากฏให้เห็น แล้วก็มีจิตที่เกิดดับสืบต่อซึ่งคิดตามสิ่งที่ได้เห็น เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องเป็นราวของสิ่งที่ปรากฏทางตา พอถึงทางหู กำลังได้ยิน ส่วนใหญ่ในชีวิตเราได้ยินเรื่องอะไร พูดกันเรื่องอะไร เพราะฉะนั้น สิ่งที่ได้ยินเป็นสาระ เป็นประโยชน์หรือว่าไร้สาระ ไม่เป็นประโยชน์

    นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งแม้เป็นเสียงที่มีจริงที่กระทบโสตปสาท จิตเกิดขึ้นได้ยินเสียง ไม่ใช่หมดไปเพียงเท่านั้น ยังคิดตามเสียงว่า เสียงนั้นมีความหมายว่าอะไร เพราะฉะนั้น ก็มีเรื่องดี เรื่องร้ายตามเสียง ฟังมาแล้วในสังสารวัฏนานแสนนาน เข้าใจความจริงของเสียง และจิตที่ได้ยินเสียงหรือไม่ ก็ไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น จนกระทั่งพระโพธิสัตว์รู้ว่ามีสิ่งที่ปรากฏอย่างนี้แล้วไม่รู้

    ด้วยเหตุนี้จึงรู้ว่า ความจริงของสิ่งที่ปรากฏว่าต้องมีแน่นอน โดยที่ว่าถ้าสามารถประจักษ์แจ้งความจริงนี้ได้ ก็จะเป็นผู้ที่ไม่หลงติดเป็นไปตามสิ่งที่ปรากฏทางตา หรือเสียงที่ปรากฏทางหู หรือกลิ่นกระทบจมูก หรือรสกระทบลิ้น หรือกายที่กำลังกระทบสิ่งที่สัมผัสขณะนี้มีไหม มี ก็ไม่รู้ คิดดูว่า ความไม่รู้มากมายแค่ไหน ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่รู้เลย เพียงแข็งนี้ก็จริง แล้วก็เกิดดับด้วย และขณะนั้นไม่ใช่สิ่งที่เราเคยยึดถือว่า เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ความจริงแท้ของสภาพธรรมก็คือว่า ลักษณะนั้นเปลี่ยนแปลงไม่ได้ มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    ด้วยเหตุนี้ฟังเรื่องอื่นมาแล้วก็มากในสังสารวัฏ หรือเกิดมาจนถึงขณะนี้ก็ฟังเรื่องอื่นมากในสังสารวัฏ แต่ผู้ใดก็ตามที่ได้สะสมศรัทธามาแล้วในอดีต ศรัทธาคือความผ่องใสของจิต ไม่ติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ ไม่เป็นไปในโลภะ โทสะ โมหะ เริ่มมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ต้องเป็นบุญที่ได้สะสมมาแล้วแต่ปางก่อน จึงมีโอกาสที่ถึงอย่างไรๆ เกิดมาจะไปทางไหนมาแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไปทางตาที่จะได้เห็น หรือทางหูที่จะได้ยิน และได้เข้าใจพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมี และทรงตรัสรู้ด้วยพระปัญญายิ่งเหนือบุคคลใดทั้งสิ้นในจักรวาลทั้งหมด และพระมหากรุณา ตลอดเวลา ๔๕ พรรษา ทรงแสดงธรรมเรื่องที่รู้ยาก และเรื่องที่อบรมได้ และเรื่องที่ค่อยๆ เข้าใจให้ถูกต้อง ตั้งแต่เริ่มมีศรัทธาที่จะฟัง

    เพราะฉะนั้น อุปนิสยโคจร ก็คือเมื่อจิตต้องมีอารมณ์ เกิดขึ้นต้องรู้อารมณ์ คือสิ่งที่ปรากฏให้จิตรู้ทางหนึ่งทางใด ซึ่งเลือกไม่ได้ เป็นไปตามเหตุปัจจัย แต่การมีมิตรดี คือ ผู้ที่ทรงแสดงธรรม ผู้ที่เป็นกัลยาณมิตรสูงสุด คือ ไม่ปรารถนาให้จิตของใครเกิดอกุศลหรือโทษแม้เพียงเล็กน้อย นิดเดียวก็ทรงแสดงให้เห็นภัย เห็นโทษของการสะสมที่ผ่านๆ มา


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 173
    14 ก.พ. 2567