พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 561


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๕๖๑

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๒


    ท่านอาจารย์ แค่จับสิ่งหนึ่งสิ่งใดต้องแข็งหรืออ่อน เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหวเท่านั้นที่ปรากฏ หลังจากนั้นก็คิดแล้วก็จำ และคิดถึงคำด้วย ก็เป็นชีวิตที่เป็นไปอย่างรวดเร็วสุดที่จะประมาณได้ จึงเหมือนมายากล ทำให้เห็นสิ่งที่ไม่มีกลายเป็นมีได้ อย่างคนมาจากไหน ถ้าไม่เห็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ แล้วก็กระทบสัมผัส แล้วก็คิดนึก แล้วก็มีกลิ่น มีรส สารพัดอย่างที่จะปรุงแต่งให้เป็นความไม่รู้ในสภาพธรรมเพราะข้ามไปอยู่เรื่อยๆ

    ผู้ฟัง ทุกคนได้ฟังข้อความเดียวกัน และข้อความนี้มีมา ๒,๕๐๐ กว่าปีแล้ว แล้วแต่ปัญญาของใครจะเข้าใจสภาพธรรม อีก ๒,๕๐๐ ถึง ๕,๐๐๐ ปี แต่ถ้าอยู่ในโลกมนุษย์นี้ก็ยาก เพราะไม่มีผู้ศึกษาศาสนาอย่างละเอียดรอบคอบ จนกระทั่งเข้าถึงลักษณะของสภาพธรรมโดยละเอียด เพียงแต่เข้าใจคำเท่านั้นเอง

    ท่านอาจารย์ ๒,๕๐๐ ปีกว่า ถอยหลังกลับไป ก็ต้องมีคำนี้ซึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสด้วยพระโอษฐ์ของพระองค์เอง สมัยนั้นก็ไม่มีการบันทึก เพราะฉะนั้น ก็เป็นคำที่ตรัสด้วยพระโอษฐ์ของพระองค์เอง ถอยหลังไป ๒,๕๐๐ ปี ก้าวไปทีละขณะจิตจนกระทั่งหลังจากนั้น ๒,๕๐๐ กว่าปี คือยุคนี้ สมัยนี้

    ฟังธรรมเป็นตัวหนังสือ เป็นชื่อ หรือรู้ว่า ขณะใดที่ฟังธรรม ก็เพื่อเข้าใจแม้คำว่า “ธรรม” ว่าหมายความถึงอะไร ธรรมไม่ได้อยู่ในหนังสือ ในหนังสือเป็นคำที่พระผู้มีพระภาคตรัสเรื่องของสภาพธรรม เพราะฉะนั้น เรื่องราวของสภาพธรรมที่ทรงแสดงไว้ก็มี แม้ก่อนการตรัสรู้ธรรมก็เป็นธรรม เมื่อตรัสรู้ก็ตรัสรู้ธรรมที่มีตามปกติอย่างนี้ใน ๒,๕๐๐ ปีก่อนโน้น และถึง ณ บัดนี้สภาพธรรมก็เป็นธรรมที่เปลี่ยนไม่ได้ เพราะถ้ากล่าวว่า เป็นธรรม จากการตรัสรู้เป็นหนึ่งไม่เป็นสอง อย่างธรรมจะให้เปลี่ยนเป็นเราได้ไหม ๒,๕๐๐ กว่าปี เราอยู่ที่ไหน เรา เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นเราอย่างนั้นหรือ หรือเป็นธรรมที่เกิดดับสืบต่อตั้งแต่ครั้งนั้นจนถึงครั้งนี้

    เพราะฉะนั้น ในยุคนี้หลังจากที่ผ่าน ๒,๕๐๐ กว่าปีแล้วที่ทรงดับขันธปรินิพพานแล้ว ขณะที่ฟังมีใครรู้ว่า ศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏ ซึ่งมีจริงๆ ถ้ามีความละเอียดที่จะเข้าใจว่า ฟังธรรมเพื่อเข้าใจธรรม แต่ไม่ใช่ฟังเพื่อเราจะเก่ง เราจะดี เราจะเจริญ เราจะได้เกิดบนสวรรค์ เราจะได้มีลาภ ยศ เราจะได้มีทรัพย์สมบัติมาก นั่นคือไม่ได้เข้าใจว่า ฟังธรรมเพื่อเข้าใจธรรมว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า แม้ในขณะนี้แต่ละคนที่ศึกษาธรรม ศึกษาเพื่ออะไร ประการหนึ่ง และศึกษาเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีขณะนี้จริงๆ มั่นคง เป็นสัจจะ เป็นอธิษฐานที่จะเห็นประโยชน์ของการเกิดมา แล้วไม่รู้อะไร ทุกคนสนุกสนาน ไปที่โน่น มาที่นี่ มีเรื่องราวต่างๆ มากมาย แล้วก็จากโลกนี้ไปทั้งญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง ใครก็ตามแต่ที่ไม่มีโอกาสเข้าใจว่า ธรรมไม่มีใครยับยั้งได้ที่จะเกิดเป็นปฏิสนธิขณะแรก และดำเนินไป เกิดแล้วต้องเป็นไป ห้ามการเป็นไปของการเกิดไม่ได้ ปฏิสนธิเกิดแล้วสืบต่อจากชาติก่อน ปวัตติ คือความเป็นไปของชาตินี้ต้องเป็นไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ทีละขณะ เกิดแล้วดับไป ไม่กลับมาอีก เพื่อให้คลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน หรือเป็นเรา หรือเป็นเขา หรือเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ที่ยั่งยืนที่สามารถประจักษ์ได้ด้วยปัญญา อบรมสามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้

    ในยุคนี้ ขณะนี้ สมัยนี้ ถ้าศึกษาธรรมเพื่ออย่างนี้ทั้งหมด พระศาสนาจะดำรงอยู่ต่อไปอีกนานมาก แต่แม้ในขณะนี้การศึกษาเป็นไปอย่างนี้หรือไม่ เพื่อจะเข้าใจคำที่ได้ยิน เช่น คำว่า “ธรรม” จิต เจตสิก รูป นิพพาน ขันธ์ อายตนะ ธาตุ ใดๆ ก็ตามทั้งหมดเป็นผู้ไม่เผิน และไม่ประมาท และรู้ว่าทั้งหมดเป็นธรรม แต่ทรงแสดงโดยนัยต่างๆ เพื่อให้เห็นว่า ธรรมเหล่านั้นก็เป็นธรรมนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นธรรมก็เป็นเพียงลักษณะที่ต่างเป็นนามธรรม เป็นรูปธรรม ลักษณะที่ต่างเป็นนามธรรม เป็นรูปธรรม จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อมีปัจจัย ขณะนี้ไม่มีใครสามารถทำให้ธรรมใดเกิดขึ้นได้เลย และสภาพธรรมที่ไม่เที่ยง ดับไปแล้วก็ยังเป็นปัจจัยให้สภาพธรรมอื่นเกิดสืบต่ออีก

    นี่คือมากมายเหลือเกิน เรื่องธรรมที่ไม่รู้ จนกว่าจะรู้ขึ้นๆ และเป็นผู้ตรงที่เหมือนได้เฝ้าได้ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์ เพราะเหตุว่าได้เข้าใจธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ไม่มีการกล่าวตู่ โดยการที่ว่าอ่านเผินๆ ฟังเผินๆ แล้วคิดเองตลอด แม้แต่คำว่า “ปฏิปัตติ” ที่ภาษาไทยใช้คำว่า “ปฏิบัติ” ไม่ได้รู้ความหมายว่า เป็นปัญญาระดับไหน ไม่ใช่ผู้ไม่มีปัญญา ไม่มีความรู้อะไรก็ปฏิบัติได้ นั่นไม่ใช่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่า “พุทธะ” คือความรู้ พระองค์ทรงแสดงธรรมเพื่อให้คนอื่นได้รู้ตามที่พระองค์ได้รู้แล้วด้วย

    เพราะฉะนั้น ไม่มีคำใดที่เป็นไปเพื่อการไม่รู้แล้วทำไปด้วยความไม่รู้ ทำไปแล้วไม่รู้ นั่นไม่ใช่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ บัดนี้เป็นอย่างนี้ อีก ๑๐๐ ปีเป็นอย่างไรคะ อีก ๒๐๐ ปี โลกก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ อีก ๓๐๐ ปี อีก ๔๐๐ ปี ๕๐๐ ปี ๑,๐๐๐ ปี ๒,๐๐๐ ปี ๓,๐๐๐ ปี ๕,๐๐๐ ปี อย่างที่หนังสือได้กล่าวแล้วว่า ถ้าไม่มีการศึกษาด้วยความเข้าใจธรรมที่มีจริงที่กำลังปรากฏ แล้วถึง ณ วันนั้น จะเข้าใจสภาพธรรมที่ปรากฏได้ไหม ไม่ต้องใครอื่น ผู้ที่กำลังฟังธรรมขณะนี้ อีก ๕,๐๐๐ ปี หายไปจากโลก จากจักรวาล หรือจากสังสารวัฏ หรือก็ยังคงอยู่ที่หนึ่งที่ใดในสังสารวัฏนั่นเอง เมื่อยังมีเหตุให้เกิดก็ต้องเกิด และสะสมปัญญาขณะนี้ไว้แค่ไหน พอถึง ณ วันนั้นจะเข้าใจได้แค่ไหน หรือว่าถ้าไม่ได้สะสมปัญญาในวันนี้ ขณะนี้ แค่นี้เลย พอไปถึงอีก ๕,๐๐๐ ปี จะเอาปัญญาอะไรมาเจริญจนสามารถต่างจากขณะนี้ที่กำลังฟังเดี๋ยวนี้ได้

    พอจะเข้าใจไหมคะ ข้อความนั้น

    ผู้ฟัง เข้าใจครับ อยากให้ท่านอาจารย์ขยายประเด็นที่ว่า ถ้าอยู่ในโลกมนุษย์เข้าใจสภาพธรรมยาก ไม่รู้ว่าผมเข้าใจผิดไปเอง ว่าต้องไปโลกอื่น

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องคิดถึงโลกอื่น ขณะนี้อยู่ที่โลกนี้ เข้าใจแค่นี้ และใน ๕,๐๐๐ ปีระหว่างนี้จะอยู่ที่ไหน ถ้าอยู่บนสวรรค์ก็ไม่ยาก ท่านอนานถบิณฑิกะ วิสาขามิคารมารดา พระอริยเจ้าทั้งหลายมากมาย ในสวรรค์ทุกชั้นมีศาลาสุธัมมา แต่โลกมนุษย์เสื่อมลงเพราะ โลภะ โทสะ โมหะ การไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม ทำให้คุณธรรม จริยธรรมทั้งหลายก็เสื่อมตามไปด้วย

    เพราะฉะนั้น ถ้าเกิดบนสวรรค์ ๕,๐๐๐ ปีสั้นนิดเดียว การจากโลกนี้ไปสู่ที่นั่น ๕,๐๐๐ ปีเร็วมาก สามารถเข้าใจธรรมได้ แต่ถ้าเป็นมนุษย์ก็ยากไหม ในเมื่อขณะนี้ ดูแล้วก็น่าจะรู้ว่า พระศาสนาจะถึง ๕,๐๐๐ ปีหรือไม่ เสื่อมลงอย่างรวดเร็วมาก

    อ.ธิดารัตน์ ท่านอาจารย์กรุณาย้ำหนทางอีกว่า ทางไหนที่เป็นทางเดียวจริงๆ

    ท่านอาจารย์ ใครไม่มีโลภะ

    อ.ธิดารัตน์ พระอรหันต์ค่ะ

    ท่านอาจารย์ แล้วผู้ที่กำลังฟังเป็นใคร แล้วจะไม่มีโลภะได้ไหม เพราะฉะนั้นหนทางเดียวคือ เมื่อสภาพธรรมปรากฏแล้วปัญญาสามารถเข้าใจได้ไหมว่า ขณะนั้นเป็นธรรม ลักษณะต่างๆ ซึ่งใครก็ไปสร้าง หรือไปทำให้เกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าเกิดโกรธ เห็นไหม ใครบ้างที่อยากโกรธ ไม่สบายเลย มีแต่คำถามว่า ทำอย่างไรถึงจะหายโกรธ จะอ่านตำรากี่เล่ม ใครเขียน จะต้องนับ ๑ ถึง ๑๐ ถึง ๑๐๐๐ หรืออย่างไร แต่นั่นไม่ใช่การรู้ว่า โกรธเกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วไม่ใช่ของใคร เป็นธรรมชนิดหนึ่ง

    เพราะฉะนั้น จะค่อยๆ เข้าใจซาบซึ้งในความหมายของคำว่า “อนัตตา” บังคับบัญชาไม่ได้ ถ้าฟังธรรมแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น และไม่ข้ามแต่ละคำ ความเข้าใจจะละเอียด และจะตามไปทุกเหตุการณ์ แม้แต่กำลังฟังเดี๋ยวนี้ อย่างที่พูดถึงรื่องปฏิจจสมุปปาท จะมาเข้าอะไรกับสิ่งที่ปรากฏขณะนี้ เพราะว่าได้ยินชื่อ ปฏิจจสมุปปาท ทุกคนชอบ อยากฟัง บางคนก็ขอให้อธิบายโดยละเอียด ตั้งต้นอย่างไร มาถึงขณะนี้เป็นอย่างไร แต่ลืมพื้นฐานว่า กำลังฟังนั้นอะไร ที่เข้าใจไม่เข้าใจ ได้ยินแต่ชื่อแล้วชอบ สนใจนั้นคืออะไร เรียกว่า ตลอดเวลา ธรรมที่มีจริงมองข้าม ไม่ต้องการเข้าใจว่า เป็นธรรม แต่อยากจะไปรู้เรื่องราวอื่นๆ ทั้งหมด ลืมว่า เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ถ้าไม่มีธรรม ก็ไม่มีอะไรทั้งสิ้น และธรรมก็หลากหลาย

    เพราะฉะนั้น การฟังคืออบรมเจริญปัญญา ภาวนาคือการอบรมเจริญปัญญา ให้ปัญญาค่อยๆ เกิด ค่อยๆ มั่นคง จนสามารถที่จะเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น จะมีวิธีอื่นนอกจากนี้ได้ไหม ไปหาวิธีไหนที่ทำให้สามารถเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ไม่มี นอกจากปัญญาเดี๋ยวนี้เกิด และต่อไปฟังอีก เข้าใจเพิ่มอีก ปัญญาเพิ่มอีก จึงเป็นผู้สนใจ มนสิการ คือใส่ใจในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังเพิ่มขึ้น

    ทุกคนคิด ห้ามคิดไม่ได้ คิดเรื่องอะไร ต้องเป็นเรื่องที่คุ้นเคย คิดถึงญาติ หรือคิดถึงคนที่ไม่รู้จัก คิดถึงเพื่อนสนิทหรือเพื่อนห่างๆ นี่แสดงให้เห็นว่า แม้แต่เหตุที่จะให้คิดก็มีปัจจัยว่า เราคุ้นเคยกับสิ่งใดมาก เราก็จะคิดถึงสิ่งนั้น

    เพราะฉะนั้น ถ้าเรายังไม่คุ้นเคยกับการเข้าใจธรรม จะให้รู้ว่า ขณะนี้เป็นธรรม แม้แต่เพียงคิดว่า ขณะนี้เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้น ก็ยังไม่ได้คิด ฟังได้ เข้าใจได้ แต่ไม่เคยคิด เวลาเห็นทีไร ก็ไม่เคยระลึกได้เลยว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้นเอง จากโลกนี้ไปแล้วก็ไม่มีคนที่เราเคยเห็นจากการเห็นในโลกนี้ แต่ก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เป็นสิ่งอื่นต่อไปอีก ที่เราจะไปจำไว้อีกว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ โดยที่ข้ามปัญญาที่เห็นถูก เข้าใจถูกว่า ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ชาติไหน ขณะไหน จิตเห็นเกิดเมื่อไรก็คือเห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้นเอง หมดแล้ว เวลาได้ยินเกิด สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ก็ไม่มี เรื่องราวของคนที่เราจำจากการเห็นก็ไม่มี โลก และเรื่องของสิ่งที่ปรากฏทางตาก็ไม่มี เพราะขณะนี้กำลังได้ยินเสียง หายไปหมดอย่างรวดเร็วตามขณะจิตที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    นี่คือความเป็นจริง ซึ่งค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะไม่หวังว่า จะเป็นพระโสดาบันในชาตินี้ ใครหวังนาม รูป ปริจเฉทญาณ บ้างไหมคะ บางคนก็ถอยความหวังจากพระโสดาบันมาแค่นาม รูป ปริจเฉทญาณ ไม่เคยคิดว่า ฟังเพื่อเข้าใจขึ้น เพราะไม่ว่าเป็นปัญญาระดับไหนที่เป็นวิปัสสนาญาณ แม้นาม รูป ปริจเฉทญาณ ก็ต้องมาจากการฟังเข้าใจ และเข้าใจจนกระทั่งสามารถรู้ลักษณะของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ เพราะว่านาม รูป ปริจเฉทญาณจะเกิดเมื่อไร ไม่มีใครยับยั้งได้ เมื่อปัญญาถึงกาลที่สมบูรณ์ ก็สามารถแทงตลอดลักษณะจริงๆ ของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ได้

    เพราะฉะนั้น เป็นผู้ฟังเพื่อเข้าใจขึ้น และวันหนึ่งก็สามารถรู้ความจริงของสภาพธรรมได้ แต่ถ้าไม่มีปัญญา หวังได้อย่างไร แม้แต่หวังก็เลื่อนลอย ลมๆ แล้งๆ ที่ว่ากัน โดยไม่มีปัจจัยที่จะเป็นจริงได้

    ผู้ฟัง คำว่า วันหนึ่งคงจะเข้าใจธรรมได้ เพียงแค่วันหนึ่งก็หวังแล้วค่ะ เป็นแบบนี้ค่ะ และพอมาฟังที่มูลนิธิ

    ท่านอาจารย์ เมื่อมีปัญญา วันไหนก็คือวันนั้น วันหนึ่งก็คือวันที่ปัญญาถึงความสมบูรณ์ เพราะฉะนั้น ไม่สนใจ ถ้าขณะนี้ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏก็คือฟังให้เข้าใจขึ้น เพราะปัญญาแทงตลอดลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดปรากฏแล้วดับไปอย่างเร็ว ไม่รอเลย แต่ถ้ามีปัญญา ไม่หวังแต่เข้าใจ ก็สามารถจะรู้ธรรมได้

    ผู้ฟัง แต่ก็ควบคู่กันไป

    ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นเลิกหวังเป็นพระโสดาบันหรือยัง ชาตินี้ หรือยังหวังอยู่

    ผู้ฟัง จริงๆ แล้วไม่เคยคิดจะเป็นพระโสดาบัน เพียงอยากจะเข้าใจเพิ่มขึ้นเท่านั้นเอง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ไม่หวังพระโสดาบัน หวังวิปัสสนาญาณสักญาณหนึ่งไหมในชาตินี้ นี่ไงคะ ลดลงมาอีกได้ไหมคะ ลดลงมาอีก หวังห้ามไม่ได้ก็จริง หวังเพียงฟังแล้วขอให้ได้เข้าใจสิ่งที่กำลังฟังเท่านั้น ลดลงมาจนเหลืออย่างนี้ เพราะกำลังฟัง สิ่งที่จะเป็นไปได้ก็คือเข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง

    ผู้ฟัง ฟังแล้วเป็นเรื่องราวของธรรม ทั้งๆ ที่ท่านอาจารย์ก็ย้ำว่า ธรรมคือเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ได้ยินเสียง แข็ง จับไมโครโฟนหรือเท้าก็เป็นลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ แต่ปัญญาหรือความเข้าใจก็เป็นขั้นเรื่องราวของลักษณะของสภาพธรรม โดยไม่เชื่อฟัง หรือเป็นผู้ว่ายากที่จะเข้าใจแม้ขั้นฟังลักษณะของสภาพธรรม

    ท่านอาจารย์ นี่เป็นอีกหวังหนึ่ง มีหลายหวังเหลือเกิน นี่เป็นหวังหนึ่ง แต่ลืมหรือไม่ว่า ถ้าไม่มีวันนี้ ไม่มีเมื่อวานนี้ ไม่มีเดือนก่อน ไม่มีปีก่อน จะเข้าใจขณะนี้ได้ไหม

    ผู้ฟัง ถ้าไม่มีเริ่มต้น ตั้งแต่ฟังมาก็จะไม่เข้าใจในวันนี้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ที่เข้าใจ ณ วันนี้ต้องมาจากวันก่อนๆ เดือนก่อนๆ ปีก่อนๆ ที่ฟังมาแล้ว ถูกต้องไหม และธรรมเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง คัมภีรภาพ สุดที่จะประมาณได้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีหลังจากได้รับพุทธพยากรณ์จากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า ทีปังกร แล้ว ทรงบำเพ็ญพระบารมี ๔ อสงไขยแสนกัป

    วันนี้คุณมีความดีแค่ไหน ถ้าเราจะพูดง่ายๆ บารมียากไป ก็ความดี วันนี้มีความดีอะไรบ้าง ความดีมีตั้งหลายอย่าง ความดีอย่างหนึ่งคือฟังธรรม แต่ฟังด้วยความหวัง หวังเล็กๆ หวังอย่างไรก็ตามแต่ ก็ยังไม่หมดหวัง แต่ถ้ามีปัญญาเริ่มเห็นตัวเองเป็นทาสของโลภะ มีนายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ชี้นกก็จะเป็นนก ให้ไปทางซ้ายก็ไป ให้หยิบช้อนก็หยิบ ให้ดื่มน้ำก็ดื่ม ทุกอย่างหมด เป็นทาสของโลภะ แล้วใครจะปล่อยให้ทาสนี้หนีไป ครอบครองทาสนี้มานานแสนนาน

    เพราะฉะนั้น ต้องรู้ว่า การฟังธรรมอย่าได้หวัง เพราะหวังคือโลภะ หนทางเดียวที่จะพ้นจากนาย ไม่ต้องทาสของนายคนนี้อีกต่อไป ก็คือหาทางหนี อย่างในสูตรก่อนเรื่องงูพิษ ๔ ตัว นี่ก็แสดงให้เห็นว่าทรงอุปมามากมายหลายอย่าง ให้เห็นตามความเป็นจริงโดยประการต่างๆ เพื่อให้เห็นโทษของแม้ความหวังเพียงเล็กน้อย ยังมีอีกมากที่จะพบ จะรู้ว่า ปัญญาเท่านั้นที่สามารถเห็นถูกว่า ขณะนั้นเป็นเพียงธรรม แม้ลักษณะที่ต้องการ

    เพราะฉะนั้น ที่ว่าหนทางนี้ยาก ลึกซึ้ง ก็เพราะเหตุว่าเป็นหนทางละโดยตลอด ละ โลภะ ละความเห็นผิดที่เกิดร่วมกับโลภะ คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อละตามลำดับขั้น จะกระทั่งละการเกิด ไม่มีอีก

    ต้องนั่งถามปัญหาอย่างนี้อีก แต่กว่าจะถึงวันนั้นก็ให้ทราบว่า เวลาจับด้ามมีด ปกติเป็นด้ามไม้ จับครั้งแรกรอยนิ้วมือปรากฏที่ด้ามมีดในขณะที่เราจับหรือไม่ จับไปทั้งวัน พรุ่งนี้รอยนิ้วมือปรากฏไหม ก็ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นก็กล่าวว่า ฟังเรื่องราวของธรรม ฟังเมื่อไรก็เป็นเรื่องราวของธรรม ทั้งๆ ที่ตัวธรรมก็มีจริงๆ กำลังเกิดดับตรงกับที่ได้ฟังทุกอย่าง แต่ก็ยังไม่ได้รู้จักตัวธรรม

    เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า ความรู้ต้องตามลำดับขั้น ตั้งแต่ขั้นฟัง ถ้าฟังไม่เข้าใจเรื่องของธรรม แล้วจะรู้จักธรรมได้หรือ มีคนบอกว่า คุณอรวรรณรูปร่างอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่เข้าใจเลย แล้วจะไปหาคุณอรวรรณเจอที่ไหน

    เพราะฉะนั้น ขณะนี้ขั้นต้นก็คือปริยัติ ฟังเรื่องธรรมที่กำลังเป็นธรรม ไม่ใช่เรา จนกว่ารอบรู้ในปริยัติ หมายความว่า เข้าใจไม่ว่าจะโดยนัยใดๆ ก็ตามว่า เป็นธรรมที่ทรงแสดงเพื่อให้สามารถค่อยๆ รู้จักธรรม ค่อยๆ รู้จัก แม้เดี๋ยวนี้ธรรมกำลังเผชิญหน้า กำลังฟังธรรม จะรู้ได้ว่า กว่าจะรู้จักธรรมต้องค่อยๆ รู้จัก ไม่ไปไหนเลย สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เป็นอย่างนี้ ค่อยๆ เข้าใจในความเป็นธรรมที่ปรากฏให้เห็น ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย โดยนัยเดียวกัน

    อ.ธิดารัตน์ หนูก็เป็นอีกคนที่มีความหวัง

    ท่านอาจารย์ ต้องหวังแน่ ยังไม่มีใครหมดหวัง

    อ.ธิดารัตน์ จะหวังอยู่เรื่อยๆ นี้ก็เป็นสภาพธรรม จนกว่าความเข้าใจจะทำให้หวังน้อยลง หรือแม้กระทั่งลักษณะของความหวังเกิดขึ้น ก็พอจะรู้ว่า เป็นความหวังมาอีกแล้ว ซึ่งเหมือนคุณชมชื่น กว่าจะฟังเพื่อละ และเข้าใจขึ้น แต่ก็เพียงช่วงระยะเวลาที่ความเข้าใจเกิดเท่านั้นจริงๆ เดี๋ยวโลภะก็มาทำหน้าที่อีกแล้ว เป็นอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ

    ท่านอาจารย์ ได้ยินคำว่า อาสยานุสัย หมายความถึงขณะจิตหนึ่งซึ่งเป็นกุศลหรืออกุศลก็ตาม เกิดแล้วดับไป จากการเกิดแล้วดับ ไม่ได้หมดเชื้อของการทำให้ยังมีปัจจัยทำให้โลภะ หรือโทสะ หรือกุศล หรืออกุศลใดๆ เกิดอีก

    เพราะฉะนั้น แต่ละคน จิต ๑ ขณะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป จะไม่มีซ้ำ ๒ ขณะซ้อนกันได้เลย เพราะเหตุว่าจิตใดๆ ก็ตามเป็นอนันตรปัจจัย จิตนี้ต้องดับไปก่อน จึงเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดได้ จิตมีอนุขณะ ๓ ขณะเกิด อุปจยะ ฐิติ และภังคะ ขณะเกิดไม่ใช่ขณะที่ยังไม่ดับ และขณะที่เกิดแล้วยังไม่ดับก็ต้องมี

    เพราะฉะนั้น ในขณะที่จิต ๑ ขณะเกิดดับเร็วมาก ก็ยังสามารถแบ่งออกได้เป็น ๓ ขณะย่อย ต่อเมื่อใดจิตดับถึงภังคขณะแล้ว ไม่กลับมาอีก เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดได้ นานแสนนานที่เป็นกุศล อกุศลที่สะสมมาเป็นอาสยานุสัย อาสยาเป็นทั้งกุศล และอกุศล แต่ถ้ากล่าวถึงอนุสัย เฉพาะอกุศลที่จะต้องดับ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 173
    13 ม.ค. 2567