พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 557


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๕๕๗

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๒


    ท่านอาจารย์ สังขารธรรมก็เป็นธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งจึงเกิดขึ้นได้ ถ้าไม่มีปัจจัย ก็เกิดไม่ได้ อย่างได้ยิน ถ้าไม่มีโสตปสาท ไม่มีเสียง ได้ยินก็เกิดไม่ได้ แต่ขณะใดที่ได้ยิน ขณะนั้นเป็นสังขตธรรม หมายความว่าปัจจัยปรุงแต่งแล้วเกิด เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนั้น แต่ว่าสังขารทั้งหลายที่เกิดไม่เที่ยง เกิดแล้วดับ มีใครว่าอะไรเที่ยงบ้าง ถ้าไม่ได้ฟังธรรม ทุกอย่างเที่ยง เก้าอี้ตัวนี้ก็อยู่ตั้งนาน เราก็เกิดมาตั้งนาน ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ปรากฏการดับไปเลย เพราะไม่ได้ประจักษ์ความจริงของธรรมซึ่งมีปัจจัยเกิดแล้วดับเร็วสุดจะประมาณได้ จนไม่ปรากฏการเกิดดับ ต้องเป็นปัญญาที่อบรมแล้ว ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ พิจารณาแต่ละคำ จนเข้าใจมั่นคงว่า ธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่เป็นใคร ถ้าไม่มีธรรมเกิด จะมีใครอยู่ตรงนี้หรือไม่ พอเกิดก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรมเกิด ก็เป็นเรา เป็นเขา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด นี่คือความไม่รู้

    เพราะฉะนั้น กว่าจะรู้ความจริงนี้ ๔ อสงไขยแสนกัป หลังจากได้ฟังคำพยากรณ์จากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ทีปังกร แต่ก่อนนั้นก็ตั้งความปรารถนาที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่ปรากฏ นี่คือความต่างของคนที่สนใจธรรมกับคนที่ไม่สนใจธรรม ไม่เห็นมีประโยชน์อะไร ฟังแล้วก็ไม่ได้ไปประกอบอาชีพอะไรที่จะทำให้มีลาภ มียศ มีสรรเสริญ คนเหล่านั้นจะไม่สนใจที่จะเข้าใจสิ่งที่มีจริง ซึ่งคนอื่นไม่สามารถบอกได้ว่า สิ่งนั้นคืออะไร นอกจากเมื่อพระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดงพระธรรมเท่านั้น และแต่ละกาลก็นานแสนนานกว่าจะถึงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ และใครที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ที่สามารถได้ยินได้ฟังพระธรรมแล้วเข้าใจ ก็ย่อมเป็นขณะที่หายากยิ่ง ถ้าเข้าใจอย่างนี้การฟังพระธรรมจะฟังด้วยความเคารพ ที่จะไม่ประมาท พิจารณาโดยละเอียด แล้วก็รู้ว่า ความเข้าใจจริงๆ ต้องมาจากสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ และได้ฟังธรรมที่มีจริงขณะนี้ แล้วพิจารณาว่า จริงอย่างที่ได้ฟังหรือไม่ ต้องเป็นไปตามลำดับขั้น

    ผู้ฟัง ที่ท่านอาจารย์ว่า ไม่ใช่ตัวเราใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ อะไรเป็นเรา

    ผู้ฟัง จิตใจเรา

    ท่านอาจารย์ จิตใจเป็นเรา หรือจิตใจเกิดแล้วก็รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วก็ดับไป

    ผู้ฟัง เมื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน

    ท่านอาจารย์ จะนำอะไรไป ดับแล้ว

    ผู้ฟัง นำคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ ก็ดับแล้ว พูดถึงตาเห็น เห็นก็ดับ สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ดับ เพราะฉะนั้น ถ้าจะอ้างหรือจะเข้าใจว่า เป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือรู้ว่า พระองค์ตรัสตามที่ได้ทรงตรัสรู้ว่า ทุกอย่างเป็นอนัตตา นี่คือคำสอน จะเป็นอัตตาไม่ได้ ถ้าเรากล่าวว่าเป็นอัตตา ก็คือผิด นั่นไม่ใช่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ผู้ฟัง ทีนี้ถ้าเราไม่พูดคำว่า อนัตตา ในชีวิตประจำวันเราก็มีชีวิตอยู่

    ท่านอาจารย์ ชีวิตเป็นอนัตตาหรือไม่ หรือบังคับได้

    ผู้ฟัง ไม่ทราบค่ะ สิ่งนี้ไม่รู้จัก

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นเป็นผู้ละเอียด ที่จะรู้แม้แต่คำว่า ธรรมคืออะไรก่อน ถ้าเราถามเรื่องสัปปุริสธรรม ก็ต้องให้เขารู้ว่า ธรรมคืออะไร เพราะว่าทุกคนที่เรียนวิชาหนึ่งวิชาใดต้องการรู้จริงๆ ถ้าเรียนแล้วไม่รู้จริงๆ เรียนทำไม เรียนแล้วไม่รู้ แต่เมื่อเรียนแล้วต้องการรู้จริงๆ ในสิ่งที่เรียน แม้แต่ธรรม เรียนธรรมก็คือต้องการเข้าใจจริงๆ ว่า ธรรมคืออะไร เข้าใจทุกคำด้วย เห็นเป็นตัวตนหรือไม่ หรือเห็นเกิดแล้วก็ดับ แล้วเป็นของใคร ขณะนี้มีจิตเห็นใช่ไหมคะ

    ผู้ฟัง จิตเห็น ไม่ว่าจะลืมตาหรือหลับตา คือใช้จิตตลอดใช่ไหมคะ

    ท่านอาจารย์ ใช้ไม่ได้ แต่เข้าใจได้ว่ามีจิต ใครก็ไม่สามารถไปบังคับให้จิตเกิดหรือดับ ต้องเป็นไปตามธรรมนั้นๆ จึงใช้คำว่า “ธรรม”

    ผู้ฟัง จุดเริ่มต้นของการเข้าใจสภาพธรรมเป็นการรู้ลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่าง ใช่ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ หมายความว่า ขณะนี้ฟังเรื่องธรรม และรู้ว่าเป็นธรรม แต่ยังไม่รู้จักธรรม เพราะว่ายังไม่รู้เฉพาะลักษณะที่เป็นธรรมทีละลักษณะ แต่ละลักษณะ เช่น เดี๋ยวนี้มีทั้งเห็น มีทั้งได้ยิน มีทั้งคิดนึก มีทั้งแข็งปรากฏ แต่ไม่รู้เฉพาะลักษณะที่เป็นธรรมของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนั้นสักอย่างเดียว ต่อเมื่อไรกำลังรู้เฉพาะลักษณะนั้น จึงเริ่มเข้าใจว่า นั่นเป็นลักษณะของธรรมที่ได้ยินได้ฟังว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่ของใคร

    ผู้ฟัง ต้องรู้ลักษณะก่อนรู้ว่าเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ต้องรู้ความต่างของความเข้าใจขั้นฟัง ซึ่งทำให้สามารถรู้ความจริงที่มีลักษณะจริงๆ ที่กำลังปรากฏในขณะนั้นได้ โดยเป็นสติอีกระดับหนึ่ง ไม่ต้องไปคิดก่อนว่า จะรู้ลักษณะของแข็ง แต่เมื่อฟังเข้าใจขึ้นเมื่อไร และรู้ตรงแข็ง ก็เข้าใจว่า ขณะนั้นไม่ได้หลงลืมสติ ซึ่งปกติแม้ว่าแข็งจะปรากฏก็ไม่ได้รู้เฉพาะตรงแข็งจริงๆ เพราะว่าแข็งนั้นก็ดับแล้ว

    ผู้ฟัง อย่างนั้นความหมายลึกซึ้งของคำว่า “รู้ลักษณะ” คือ ต้องรู้ตรงขณะนั้น

    ท่านอาจารย์ โดยไม่ใช่เรา ต้องเป็นสติสัมปชัญญะ เกิดขึ้นเองจึงกำลังรู้ลักษณะที่แข็ง เป็นหน้าที่ของสติสัมปชัญญะ

    ผู้ฟัง รู้ลึกซึ้งตรงลักษณะ จำเป็นต้องแยกระหว่างเสียงกับได้ยินขณะนั้นหรือไม่

    ท่านอาจารย์ เห็นไม่ใช่ได้ยิน ใช่ไหมคะ เสียงก็ไม่ใช่แข็ง เพราะฉะนั้น ขณะใดก็ตามที่พูดเรื่องเหล่านี้โดยไม่เข้าใจลักษณะเฉพาะอย่างหนึ่งๆ ที่กำลังปรากฏทีละอย่าง ขณะนั้นก็เป็นแต่เพียงฟังเรื่องราวของสภาพธรรม แต่ยังไม่รู้จักตัวธรรมซึ่งมีจริงๆ ขณะนั้นเกิดแล้วก็ดับ

    เพราะฉะนั้น ถ้าอบรมเจริญปัญญามากขึ้น เห็นความเป็นอนัตตาโดยรู้ลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างว่าเป็นธรรม จะคลายการยึดถือ เข้าใจถูกว่า ขณะใดก็ตามที่จิตเกิดเป็นธาตุรู้ ขณะนั้นไม่ใช่เรา แล้วกำลังมีลักษณะของธรรมที่จิตกำลังรู้ซึ่งต่างกับสภาพรู้ และขณะนั้นไม่มีอะไรทั้งสิ้น ไม่มีโลกซึ่งเต็มไปด้วยคน ต้นไม้ ภูเขา อะไรทั้งสิ้น มีเฉพาะลักษณะของธาตุรู้ซึ่งกำลังมีสิ่งที่กำลังปรากฏซึ่งจิตกำลังรู้เท่านั้นในขณะนั้น ซึ่งต่างกับขณะที่สติสัมปชัญญะไม่ได้เกิด ไม่ได้อบรมจนสามารถเข้าถึงเฉพาะลักษณะหนึ่งทีละลักษณะตามความเป็นจริงได้ ทั้งๆ ที่ลักษณะที่กล่าวถึงก็มีอยู่เดี๋ยวนี้ ก็ฟัง แต่ไม่รู้เฉพาะลักษณะของธรรมทีละอย่าง

    ผู้ฟัง รู้เฉพาะลักษณะทีละอย่าง สิ่งสำคัญคือต้องตรงลักษณะ

    ท่านอาจารย์ ก็ลักษณะนั้น เฉพาะลักษณะนั้นเลย ไม่ใช่ลักษณะอื่น และขณะนั้นก็ไม่ใช่เราด้วย แต่เกิดรู้ตรงนั้นเมื่อไร หมายความว่าที่เราเรียกว่า “สติ” ก็คือขณะนั้น ที่เราเรียกว่า “สัมปชัญญะ” ก็คือขณะนั้น ที่เราเรียกว่า “สติปัฏฐาน” ก็คือขณะนั้น เพราะสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นปัฏฐาน เป็นที่ตั้งที่สติเกิดแล้วระลึกทันที

    เพราะฉะนั้น ก็จะเข้าใจความเป็นอนัตตาโดยตลอด แม้แต่สติสัมปชัญญะก็ไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง ถ้าไม่ตรงลักษณะ ก็เป็นขั้นฟังเท่านั้น

    ท่านอาจารย์ แน่นอนค่ะ เวลานี้มีลักษณะไหนที่กำลังรู้เฉพาะบ้างหรือไม่

    ผู้ฟัง ยังไม่เกิดครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าสติเกิดเมื่อไร ก็จะรู้ความต่างของขณะที่เพียงฟังแล้วก็หลงลืมสติ กับฟังแล้วสติเกิด

    เมื่อวานนี้เราพูดถึงพระสูตร ซึ่งเมื่อฟังพระสูตรนั้นจบแล้ว ผู้ฟังเป็นพระอรหันต์ คิดดูนะคะ จะเห็นความน่าอัศจรรย์ของปัญญา ขณะที่ผู้ฟังคนหนึ่งก็คิดเรื่องงูพิษ ๔ ตัวแล้วเป็นเครื่องประดับ อีกคนหนึ่งก็คิดว่า โจรเป็นใคร บ้านร้างเป็นอะไร ก็คิดไปตามที่ได้ยินได้ฟัง แต่ขณะเดียวกันคนที่ได้อบรมเจริญปัญญามาแล้วก็สามารถรู้ลักษณะของสภาพธรรมในขณะนั้นทั้งหมด เพราะว่าเป็นธรรมทั้งหมด ขณะนี้เราเพียงแต่กล่าวว่า ทุกอย่างเป็นธรรม แล้วฟังเรื่องราวของธรรม แต่ไม่ได้รู้ลักษณะของธรรมแต่ละอย่าง แต่ผู้ที่ได้อบรมมาแล้ว เห็นเกิด รู้แล้วละ ละ ได้ยินเกิด รู้ความจริงแล้วก็ละ จนกระทั่งขณะที่ฟังนั้นเอง เมื่อจบแล้วสามารถถึงความเป็นพระอรหันต์ เพราะรู้ลักษณะที่เป็นธรรมในขณะนั้นทั้งหมด เห็นการเกิดดับของสภาพธรรมนั้นในขณะนั้น วิปัสสนาญาณเกิดตามลำดับขั้น ถ้าผู้ที่ไม่เคยเป็นพระอรหันต์เลย ก็ต้องเป็นพระโสดาบันก่อน แล้วแต่จะมีปัจจัยที่สามารถละได้จนถึงระดับไหน แต่ให้ทราบว่า ก็คือธรรมอย่างนี้ แต่นี่คือความต่างกันของปัญญา ความน่าอัศจรรย์ที่ว่า ความเข้าใจเพียงเล็กๆ น้อยๆ นิดๆ หน่อยๆ จากการเริ่มฟัง วันหนึ่งกำลังฟังอย่างนี้ แต่ก็สามารถรู้ลักษณะของสภาพธรรมด้วยสติสัมปชัญญะ และประจักษ์ความจริง และดับกิเลสได้จากการสะสมความเข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อยนั่นเอง

    ผู้ฟัง คือบางท่านอาจจะไม่เข้าใจคำว่า ฟังธรรมด้วยความเคารพ บางท่านอาจจะเข้าใจว่า นั่งเคารพ หรือประนมมือฟัง ขอให้ท่านอาจารย์อธิบายว่า ฟังธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความเคารพคืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ ได้ยินคำว่า “ธรรม” รู้หรือยังคะ

    ผู้ฟัง รู้ขั้นฟังค่ะ

    ท่านอาจารย์ เคารพในธรรมที่จะฟังว่า ลึกซึ้งกว่านี้หรือไม่

    ผู้ฟัง เคารพในการฟังลึกซึ้งกว่านี้ค่ะ

    ท่านอาจารย์ ต้องละเอียด ต้องรอบคอบที่จะเข้าใจว่า ธรรมหลากหลายต่างกันอย่างไร ไม่ใช่คิดเอง อย่างบางคนได้ยินคำว่า อิทธิบาทในภาษาไทย คือ อิทธิปาท ก็คือทำอะไรสำเร็จ เกือบจะพูดได้ว่า หุงข้าวเป็น ก็เป็นอิทธิบาทเพราะว่าสำเร็จแล้ว หรือทำสิ่งที่ยากแล้วทำได้ ก็เข้าใจว่าสำเร็จ แต่ความจริงอย่างนั้นไม่ใช่ความสำเร็จ เพราะเต็มไปด้วยโลภะ มีโลภะเสียอย่างทำอะไรได้หมด ที่ชาวโลกอาจจะเห็นว่า น่าอัศจรรย์ ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์หรืออะไรก็ตาม แต่ไม่ได้รู้ความจริงจนกระทั่งสามารถดับกิเลสได้ เพราะฉะนั้น นั่นไม่ใช่ความสำเร็จ นั่นไม่ใช่อิทธิปาท หรือจริงๆ เป็นบาทที่สามารถทำให้ดับกิเลสได้

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เราศึกษาโดยไม่เคารพ ได้ยินคำเดียว คิดเอง พูดเอง เข้าใจเองไปหมด นั่นไม่เคารพในพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือเพียงแต่เข้าใจคำว่า “สติ” บางคนก็บอกว่า วันนี้สติเกิดทั้งวัน ไม่ได้ศึกษาความละเอียดว่า สติเป็นนามธรรม และสติเกิดเมื่อไร และเป็นสติขั้นไหน หรือแม้แต่ศีล ความประพฤติทางกาย ทางวาจาก็มีหลายระดับ ขั้นของคฤหัสถ์ และขั้นของบรรพชิต หรือแม้แต่เป็นบรรพชิต ถ้าเพียงปฏิบัติตามปาติโมกขสังวรศีล แต่ใจยังมีกิเลสอยู่ เพราะฉะนั้น ศีลอย่างนั้นก็ยังไม่บริสุทธิ์

    เพราะฉะนั้น การฟังด้วยความเคารพ คือฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจ แล้วรู้ว่า สิ่งที่เข้าใจระดับไหน และสามารถรู้ได้มากกว่านี้จนกระทั่งแม้กำลังฟังอยู่ สภาพธรรมที่เป็นอายตนะก็ไม่สงสัย สภาพธรรมที่เป็นธาตุก็ไม่สงสัย แล้วแต่ว่าขณะนั้นลักษณะของสภาพธรรมปรากฏ ความรู้ทั้งหมดนำไปสู่การละความติดข้อง เพราะขณะนี้เราจะไม่รู้ว่า แค่เห็น ทั้งๆ ที่สิ่งที่ปรากฏทางตามีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ เร็วแค่ไหน ยังไม่ดับ อกุศลก็เกิดได้แล้ว

    เพราะฉะนั้น ที่จะถึงการรู้ และดับกิเลสได้ก็คือสามารถรู้ความจริงของสภาพธรรม เพราะสามารถรู้ได้จริงๆ ด้วยปัญญาที่อบรมแล้วเท่านั้น ถ้ายังไม่อบรมก็ยังไม่สามารถรู้ได้

    ผู้ฟัง แล้วการฟังธรรมด้วยความเคารพจริงๆ ก็คือความเข้าใจ ขณะเข้าใจขณะหนึ่งก็เคารพแล้ว

    ท่านอาจารย์ ไม่ประมาทในความลึกซึ้ง ในความละเอียดของธรรม ผู้ที่เป็นพระอรหันต์แล้ว ยังฟังพระธรรมหรือไม่

    ผู้ฟัง ฟังค่ะ

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร หมดกิเลสแล้ว แล้วฟังทำไม

    ผู้ฟัง ที่เข้าใจก็คือฟังเพื่อเป็นขุนคลัง

    ท่านอาจารย์ เพราะหมดกิเลส จะไปฟังอะไร แม้แต่ป่าสิงคาลสาลวันงามเพราะเหตุใด พระอรหันต์ทั้งหลายแสดงความคิดเห็นต่างๆ กัน ยังไปเฝ้าทูลถามพระผู้มีพระภาค นี่คือความเคารพสูงสุด ซึ่งอาจจะเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยเหลือเกิน

    ผู้ฟัง ฉะนั้น การฟังธรรมด้วยความเคารพก็มีหลายระดับขั้น

    ท่านอาจารย์ ใครเคารพพระธรรมมากระหว่างปุถุชนกับพระโสดาบัน

    ผู้ฟัง พระโสดาบันแน่นอน

    ท่านอาจารย์ ใครมีศรัทธามากกว่ากัน

    ผู้ฟัง พระโสดาบัน

    ท่านอาจารย์ ก็ต้องเห็นว่า ศรัทธาก็เจริญได้ ปัญญาก็เจริญได้ แล้วพระโสดาบันกับพระสกทาคามีล่ะคะ

    ผู้ฟัง พระสกทาคามี

    ท่านอาจารย์ มากกว่าเพราะเจริญขึ้นอีก พระอนาคามีก็มากกว่า เพราะเจริญขึ้นอีก

    ผู้ฟัง ที่ท่านอาจารย์ว่า ฟังให้เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ขอให้ท่านอาจารย์ช่วยขยายความค่ะ

    ท่านอาจารย์ ธรรมเป็นธรรม หรือธรรมเป็นเรา เห็นไหมคะ แม้แต่เพียงเท่านี้ก็ต้องตรง ก่อนจะตอบคำนี้ต้องรู้ว่า ธรรมคืออะไร ธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ แม้ในขณะนี้สิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นธรรม เห็นเป็นธรรม ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชา หรือทำให้เกิดเห็นขึ้นมาได้ ถ้าไม่มีปัจจัยของเห็นที่จะเกิด ปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า เมื่อมีจักขุปสาทเกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย มีสิ่งที่กระทบจักขุปสาทได้ คือสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา แต่ถ้าไม่ถึงกาลที่กรรมจะให้ผลคือทำให้เห็นสิ่งนั้น จิตเห็นก็เกิดไม่ได้

    เพราะฉะนั้น จึงต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างที่สภาพธรรมแต่ละอย่างที่กำลังปรากฏขณะนี้ เกิดดับ จะเร็วมากสักเท่าไรก็ตาม แต่ละอย่างที่เกิดดับนั้นก็มีเหตุปัจจัยทำให้เกิดแล้วก็ดับไป

    ผู้ฟัง แต่ผู้ใหม่รวมทั้งตัวดิฉันเองที่เริ่มฟังก็จะค้านที่ท่านอาจารย์บอกว่า ธรรมไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เพราะฟังจากคำถามครั้งก่อนๆ ก็จะติดตรงนี้ว่า ถ้าไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนแล้วเป็นอะไร ซึ่งเข้าใจยากมากสำหรับผู้เริ่มฟังใหม่ๆ

    ท่านอาจารย์ เวลาที่คิดว่า ธรรมไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ บุคคล แล้วธรรมเป็นอะไร ถ้าไม่ใช่อย่างนี้แล้วเป็นอะไร

    ผู้ฟัง ก็สิ่งที่มีจริงแต่ละลักษณะ

    ท่านอาจารย์ ก็ตอบได้แล้ว สิ่งที่มีจริงซึ่งเกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัยด้วย ถ้ายังไม่เกิดจะปรากฏได้อย่างไร จะมีได้อย่างไร แต่มีแล้วไม่รู้ว่า สิ่งนั้นเกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้น จะเป็นใคร หรือจะเป็นของใคร สิ่งที่ปรากฏทางตาทำอะไรได้นอกจากเพียงปรากฏให้เห็นอย่างเดียว เมื่อปรากฏแล้วก็เป็นที่ติดข้องต้องการของโลภะด้วย จะไม่ให้ติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ เป็นไปไม่ได้ ตราบใดที่ยังไม่รู้ว่า สิ่งนั้นมีปัจจัยเกิดปรากฏแล้วหมดไป แล้วไม่กลับมาอีก ความจริงนี้สามารถประจักษ์แจ้งได้ เพราะเป็นความจริง

    ผู้ฟัง เริ่มฟังบารมี ๑๐ ในชีวิตประจำวัน และปกิณณกธรรม

    ท่านอาจารย์ แล้วจากการฟัง เข้าใจธรรมเดี๋ยวนี้หรือไม่ เข้าใจว่า ขณะนี้เป็นสิ่งที่มีจริงๆ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สัจธรรม จะเป็นที่อื่น ขณะอื่นได้อย่างไร ในเมื่อขณะนี้จริงๆ แล้วไม่มีอะไรนอกจากสิ่งที่มีในขณะนี้เท่านั้น

    เดี๋ยวนี้มีบ้านไหมคะ เดี๋ยวนี้มี Texas มีบ้านอะไรหรือไม่

    ผู้ฟัง ถ้าตอบท่านอาจารย์ก็จะบอกว่า มี และไม่มีขณะนี้

    ท่านอาจารย์ นี่คือพื้นฐานของธรรมที่มีจริงๆ ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏทางตาเดี๋ยวนี้กำลังปรากฏเป็นบ้านหรือไม่

    ผู้ฟัง กำลังปรากฏไม่เป็นบ้านค่ะ

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่บ้านใช่ไหมคะ เป็นสิ่งที่สามารถจะมองเห็นว่า ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏมีจริงๆ และไม่ใช่บ้านด้วย เพราะฉะนั้น บ้านมีหรือไม่

    ผู้ฟัง บ้านไม่มี

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ไม่มี แล้วมีเมื่อไรคะ นี่คือธรรม และเป็นความจริง และเป็นปัญญาของคนที่ฟังจนกว่าจะรู้จักธรรม เพราะเราได้ยินคำว่า “ธรรม” จริง แต่ความเผิน หรือการที่เราไม่ได้ฟังโดยละเอียด หรืออาจจะไม่ได้ยินได้ฟังความละเอียด ก็ทำให้เราไม่สามารถคิดไตร่ตรองเอาเอง แต่เพียงคำถามเล็กๆ น้อยๆ สั้นๆ ก็เหมือนกับสอบความเข้าใจว่า สิ่งที่เราได้ยินได้ฟังมา เราเข้าใจระดับไหน แล้วเป็นจริงหรือไม่

    เพราะฉะนั้น ที่ถามว่า บ้านมีไหม และถามว่า เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏจริงหรือไม่

    ผู้ฟัง จริงค่ะ

    ท่านอาจารย์ เปลี่ยนสิ่งที่ปรากฏให้เป็นอย่างอื่นได้หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ได้ค่ะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น สิ่งที่กำลังมองเห็นเดี๋ยวนี้เป็นบ้านหรือไม่ บ้านเดี๋ยวนี้มีในสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาหรือไม่

    เดี๋ยวนี้มีเห็น แล้วมีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น ใครก็ไปบังคับเปลี่ยนแปลงสิ่งที่กำลังปรากฏให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ เมื่อเป็นอย่างนี้ ความจริงก็คือว่าสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้มีจริงๆ ถูกต้องไหม สิ่งที่มีจริงขณะนี้เป็นบ้านหรือไม่ เดี๋ยวนี้ที่กำลังปรากฏ

    ผู้ฟัง เป็นค่ะ

    ท่านอาจารย์ บ้านใคร อยู่ที่ไหน

    ผู้ฟัง ตอบด้วยการเรียนกับท่านอาจารย์ ก็คงไม่ใช่บ้าน เป็นสิ่งที่ปรากฏในบ้าน

    ท่านอาจารย์ คือธรรมเป็นสิ่งที่ฟังแล้วเข้าใจสภาพที่เป็นธรรม ที่เคยหลงผิดว่าเป็นโน่นเป็นนี่ เป็นนั่น แต่ความจริงแล้วธรรมเป็นธรรม ซึ่งก็มีสภาพที่ต่างกันเป็นสภาพที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ แต่สามารถจะปรากฏให้รู้ได้ เช่น แข็ง ปรากฏให้รู้ได้เมื่อกระทบสัมผัส แล้วขณะนั้นลักษณะที่แข็ง จริง เปลี่ยนแข็งเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะแข็งกำลังปรากฏ ฉันใด ทางตาขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น ไม่ใช่ให้ไปคิดนึกอะไร ไม่ต้องนึกคิด กำลังเห็นมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นแล้ว

    เพราะฉะนั้น สัจจะ ความจริงของธรรมก็คือว่า ธรรมอื่นใดจะมีในขณะที่สิ่งนี้กำลังปรากฏได้ไหม อย่างแข็งจะปรากฏพร้อมกับสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นขณะนี้ได้ไหม ก็ไม่ได้ ต้องทีละ ๑ อย่าง ที่จะปรากฏได้ เพราะฉะนั้น ในขณะนี้แม้แต่เพียงสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา เราฟังเรื่องธรรมมามาก แต่ยังไม่สามารถเข้าถึงสภาพธรรมที่ไม่ใช่ตัวตน เพราะว่าต้องฟังแล้วเห็นความละเอียดของธรรมด้วย ฟังเผินๆ ตอบได้ มีเห็นกับมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ตอบได้ทุกคน แต่ถ้าถามว่า ขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้บ้านมีหรือไม่

    ผู้ฟัง บ้านไม่มีค่ะ

    ท่านอาจารย์ แน่นอนใช่ไหม จะมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร จะมาให้เห็นได้อย่างไร เพราะสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเป็นอย่างนี้ แค่เป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น ยังไม่ทันไปนึกถึงอะไร ลองนึกถึง ยังไม่ทันนึกถึงอะไร เพียงเห็น แล้วไม่นึกก็มีเฉพาะสิ่งที่ปรากฏเท่านั้นเอง

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตานี้มีจริง เป็นสัจธรรม ไม่ใช่บ้าน แล้วจะมีบ้านเมื่อไร ทุกคนมีบ้าน และขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาซึ่งไม่ใช่บ้าน แล้วจะมีบ้านเมื่อไร


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 173
    13 ม.ค. 2567