พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 571


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๕๗๑

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๒


    ท่านอาจารย์ ภวังคจิตเกิดต่อจากจุติจิตได้หรือไม่ ไม่ได้ ยังไม่ถึงเวลาที่จะเกิดก็เกิดไม่ได้ ต่อเมื่อปฏิสนธิจิตเกิดต่อจากจุติจิตแล้วดับ ถึงเวลาแล้วที่จิตจะเกิดต่อแล้วทำภวังคกิจ

    เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่า จิตแต่ละขณะเกิดเมื่อถึงเวลาของจิตนั้นๆ จริงๆ ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่เพราะความไม่รู้ เช่น ขณะนี้มีจิตเห็น ถึงเวลาที่จิตเห็นเกิดก็เห็น แต่ก่อนจิตเห็นจะเกิด ถึงเวลาของจักขุทวาราวัชชนจิตจะเกิด มีรูปมากระทบเป็นปัจจัยให้จิตที่เป็นวิถีจิตแรกเกิด ทำอาวัชชนกิจ คือ รู้ว่าอารมณ์นั้นกระทบที่ตา จิตอื่นไม่สามารถเกิดได้ ภวังคจิตรู้ไม่ได้ หลังจากปฏิสนธิจิตเกิดแล้วดับไป ภวังคจิตก็เกิดดับสืบต่อจนกว่าจะรู้อารมณ์ที่ไม่ใช่อารมณ์ของภวังค์ และการที่จิตจะรู้อารมณ์แต่ละอารมณ์ ใครบังคับได้ เลือกได้ไหมว่า ให้กรรมนั้นๆ ชาตินั้นๆ ให้ผลทำให้เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาหรือให้ได้ยินเสียง ขณะนี้กำลังเป็นอย่างนั้นทุกขณะ ถึงเวลาของจิตใดจะเกิด จิตนั้นก็เกิด และก็เปลี่ยนไม่ได้ด้วย

    หลังจากที่ปฏิสนธิจิตดับ และจิตเป็นภวังค์ต่อ เป็นภวังค์นานเท่าไร ใครรู้ ถึงเวลาหรือยังที่จะรู้อารมณ์อื่น ยังไม่ถึงก็ต้องเป็นภวังค์ไปเรื่อยๆ แต่จากการที่แต่ละคนสะสมความติดข้อง ความต้องการทุกสิ่งทุกอย่างมากมายจนประมาณไม่ได้ก็เป็นปัจจัยให้วิถีจิตแรกเกิดเมื่อถึงเวลา เมื่อถึงเวลาก็คือว่า มโนทวาราวัชชนจิตเป็นจิตที่ไม่ต้องอาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่เพราะสะสมมาที่ติดข้องในภพชาติ ก็ทำให้รู้สึกตัวโดยมโนทวาราวัชชนจิตเกิด แล้วยินดีในภพ ไม่ว่าจะเป็นขณะไหน อะไรๆ ก็ไม่ปรากฏ เพียงแต่ว่ามีชีวิต เป็นอยู่ ก็ยินดีในขณะนั้น

    เพราะฉะนั้น วิถีจิตแรกของทุกภพชาติ ไม่ว่าจะเกิดเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นพรหม วิถีจิตแรกก็คือมโนทวาราวัชชนจิต เป็นกิริยาจิตเกิด ๑ ขณะ ต่อจากนั้นก็คือโลภมูลจิตเกิดทันที ถึงเวลาแล้ว เกิดได้แล้ว ก่อนนั้นก็ยังไม่ถึงเวลาที่โลภะจะเกิด กำลังเป็นภวังค์ แม้ว่ามีอนุสัยกิเลส มีอาสยะ คือสิ่งที่สะสมมาทั้งกุศล และอกุศล อาสยานุสยะมากมายสักเท่าไร ยังไม่ถึงเวลาเกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น ต้องถึงเวลา และเวลาของโลภะจะเกิดเป็นวิถีแรกก็ต้องมีวิถีจิตเกิดก่อน คือ มโนทวาราวัชชนะ เกิดแล้วดับไป หมด ไม่เหลือแล้ว มโนทวาราวัชชนะที่ดับ ไม่กลับมาอีกแต่เป็นปัจจัยให้โลภมูลจิตเกิดสืบต่อทันที

    เห็นความติดข้องหรือไม่ ถึงเวลาก็ต้องเป็นอย่างที่เป็นมาแล้ว และจะเป็นต่อๆ ไปอีก

    ด้วยเหตุนี้ถ้าเข้าใจจริงๆ ก็คือรู้ว่า ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ปัญญาสามารถค่อยๆ เข้าใจความเป็นธรรม และไม่คิดถึงสิ่งที่ยังไม่มาถึงเพราะยังไม่ถึงเวลา ไม่มีใครไปเตรียมหรือไปจัดแจงกรรมของใครได้ในแต่ละคน แต่มีธรรม คือ กรรมที่ได้กระทำแล้วเป็นปัจจัย แล้วแต่จะมีผลสุกงอมพร้อมเมื่อไร แม้เหตุคือกุศลจิต และอกุศลจิตดับไปนานแสนนานตั้งแต่ชาติก่อนโน้นๆ หรือว่าในชาติไหนก็ตามที่ได้กระทำแล้ว ยังสามารถทำให้สภาพนามธรรมซึ่งเป็นจิต และเจตสิกเกิดได้ เป็นผลของกรรมนั้นๆ

    เพราะฉะนั้น ในขณะนี้กำลังเห็น ถึงเวลาเห็น ไม่เห็นได้ไหม ไม่ได้ พอเห็นแล้วดับ จะกลับมาอีกได้ไหม ไม่ได้ แต่ถึงเวลาของจิตที่จะเกิดขึ้นรับสิ่งที่จิตเห็นเห็นต่อ เป็นสัมปฏิจฉันนจิต ทำสัมสันตีรณกิจ

    เพราะฉะนั้น วิถีจิตเริ่มตั้งแต่ขณะที่ ๑ คือ อาวัชชนจิต เป็นกิริยาจิต ต้องเกิดก่อนทุกวิถี ถ้าเป็นทางใจก็เป็นมโนทวาราวัชชนจิตเกิดแล้วดับไป ต่อจากนั้นก็เป็นกุศลหรืออกุศลทันที ไม่ต้องมีสัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ โวฏฐัพพนะ เพราะเหตุว่าสิ่งนั้นๆ ไม่ได้มาปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่ใจที่เก็บสะสมไว้ทั้งหมด ทั้งกุศล อกุศลสารพัดเรื่อง อย่างกำลังคิดถึงเรื่องหนึ่งเรื่องใด ไม่รู้เลยว่าถึงเวลาที่จิตจะคิดเรื่องนั้น เรื่องนั้นก็เป็นอารมณ์ของจิตที่คิด มโนทวาราวัชชนจิตมีเรื่องนั้นเป็นอารมณ์ ๑ ขณะ ต่อจากนั้นอารมณ์นั้นที่เคยรู้ เคยมี ด้วยโลภะหรือโทสะ ก็เป็นปัจจัยให้โลภะเกิดอีก หรือโทสะเกิดทันทีได้ หรือกุศล ถ้าได้อบรม

    เพราะฉะนั้น ใครจะไปเปลี่ยนแปลงการถึงเวลาของสภาพธรรมแต่ละอย่าง เป็นไปไม่ได้ ถ้ารู้ความจริงอย่างนี้ ทำให้เข้าใจธรรมมั่นคงขึ้น จนกระทั่งขณะนี้สามารถเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมเมื่อถึงเวลา แต่ถ้ายังไม่ถึงเวลาก็รู้ว่ากำลังสะสมปัจจัยที่ทำให้ความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยเป็นปัจจัยให้เริ่ม ไม่สนใจว่าอะไรจะเกิดต่อ เพราะขณะนี้กำลังเห็น สิ่งที่กำลังเห็นมีจริงๆ เพราะฉะนั้น ก็ถึงเวลาที่สติสัมปชัญญะจะเกิด และเริ่มเข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทีละเล็กทีละน้อย

    เพราะฉะนั้น แม้แต่เพียงคำพูดสักคำ ก็สามารถหยั่งหรือส่องไปถึงความเป็นอนัตตาของธรรมโดยประการต่างๆ จนกระทั่งสามารถอุปการะเวลาที่สติสัมปชัญญะเกิด ก็มีปัจจัยที่จะรู้ว่า ถึงเวลาที่สภาพธรรมนั้นจะเป็นอย่างนั้น บางคนพอสติสัมปชัญญะเกิดแล้วดับ เริ่มวุ่นวายแล้ว จะทำอย่างนั้น จะจงใจอย่างนี้ ต้องเพียรอย่างนั้นถึงจะรู้ ทั้งหมดคือถึงเวลาที่สภาพนั้นๆ จะเกิดขึ้น จะไม่ใช่ปัญญาที่สามารถแทงตลอด และละการยึดถือ เพราะยังไม่ถึงเวลา

    ด้วยเหตุนี้ก็จะรู้ได้ว่า ตั้งแต่เกิดจนตาย ชีวิตก็เป็นไปเมื่อถึงเวลาที่สภาพธรรมใดจะเกิดขึ้น สภาพธรรมนั้นๆ ก็เกิดขึ้น เช่นเวลานี้ถ้าถามว่า ถึงเวลาของอะไร จะตอบว่าอย่างไร

    ผู้ฟัง ก็มีเห็นแล้วคิด ได้ยินแล้วคิด

    ท่านอาจารย์ กำลังเห็นก็ต้องถึงเวลาเห็น กำลังคิดก็ต้องถึงเวลาคิด เพื่อให้รู้ว่า ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ถึงเวลาอย่างนี้ไปอีกนานใช่หรือไม่ที่จะค่อยๆ เข้าใจลักษณะของสภาพธรรม แล้วรู้จริงๆ ว่า ไม่ว่าจะเคยปรารถนาอยากได้อะไร ก็เคยได้แล้ว แล้วก็หมดไปแล้วทั้งนั้น แต่ความเข้าใจธรรมซึ่งยังมีไม่พอ ควรเป็นสิ่งที่สะสมเพื่อรู้ความจริงมากกว่าสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น เพราะสิ่งอื่นๆ ที่ไม่ใช่ปัญญาที่เคยอบรมแล้ว ก็เคยได้แล้ว แล้วก็หมดไปแล้วทั้งนั้น ยังอยากได้อีกหรือไม่ อยากได้อีก ได้แล้วก็หมดไปอีก

    ผู้ฟัง แต่การถึงเวลามาฟังธรรม หรือถึงเวลาฟังสิ่งที่ไม่ทำให้ปัญญาเจริญ ก็ต้องมีเหตุปัจจัยที่ทำให้เป็นเช่นนั้น

    ท่านอาจารย์ แน่นอน ด้วยเหตุนี้กว่าจะเข้าใจคำว่า “ปัจจัย” จริงๆ ต้องรู้ลักษณะของสภาพธรรมก่อน ไม่ว่าจะเรียนเรื่องชื่อมากมาย วิถีจิต จุติจิต ปฏิสนธิจิตเป็นชาติวิบาก แต่ว่าต่างกัน เพราะจุติจิตเป็นวิบาก คือผลของกรรมเดียวกับปฏิสนธิ ปฏิสนธิเป็นผลของกรรมอะไร ภวังคจิตก็ดำรงความเป็นบุคคลที่จะต้องเป็นไปตามกรรมนั้นตราบจนกระทั่งสิ้นสุดกรรม ถึงแก่กรรมคือ จุติจิตเกิดเป็นปัจจัยทำให้หลังจากจุติจิตดับแล้ว จิตอื่นก็ต้องเกิดสืบต่อ

    เพราะฉะนั้น เมื่อถึงเวลาของจุติจิตดับ เป็นผลของกรรมเดียวกับปฏิสนธิ และภวังค์ แต่พอจุติจิตดับไปแล้ว กรรมหนึ่งใครจะรู้ เป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตชาติต่อไปเกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาตินี้

    เพราะฉะนั้นรู้ได้ไหม ขณะนั้นรู้ไม่ได้ และขณะนี้จะรู้ได้ไหม กำลังมีปัจจัยที่จะเห็น จะไปต่างจังหวัด ไปดูมหรสพต่างๆ หรือได้ยินเสียงอะไร ก็ถึงเวลาที่จะเป็นอย่างนั้น เพราะว่าสะสมมาที่จะเป็นปัจจัยให้คิดอย่างไร คิดถึงธรรมทั้งวันหรือไม่ เห็นหรือไม่ ไม่ถึงเวลาที่จะให้คิดถึงธรรม จะให้คิดถึงได้ไหม ก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจจริงๆ ก็จะรู้ว่า ธรรมทั้งหลายทั้งหมดเป็นอนัตตา เมื่อเกิดแล้วถึงรู้ว่า ถึงเวลาที่สิ่งนั้นจะเกิด เวลาไปสนุกสนาน รับประทานอาหารอร่อยๆ ถึงเวลาที่รสนั้นจะปรากฏ เพราะจิตลิ้มรสเกิด รสนั้นจึงปรากฏได้ ไม่ใช่รสอื่น แล้วก็หมดไป เพราะฉะนั้นอะไรที่ต้องการทั้งหมด ก็มีปัจจัยที่จะเกิดเมื่อถึงเวลา แต่เมื่อเกิดแล้วก็หมดไป ไม่มีใครสามารถดลบันดาลอะไรได้ทั้งสิ้น แต่การศึกษาจนกระทั่งเข้าใจปัจจัยที่ทำให้สภาพธรรมแต่ละอย่างเกิดละเอียดขึ้น จนสามารถเข้าใจในขั้นของการฟัง ก็คลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนหรือเป็นเรา เมื่อเข้าใจความละเอียดของธรรม

    ไม่เพียงถามว่า เดี๋ยวนี้ถึงเวลาของอะไร ก็ถึงเวลากลับบ้าน จริง ไม่ใช่ไม่จริง แต่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้นก็คือว่า ไม่ว่าขณะไหนก็ตาม ถึงเวลาของสิ่งใดจะปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เพราะจิตเกิดขึ้นรู้สิ่งนั้นๆ แต่แม้จิตจะเกิดขึ้นรู้สิ่งใด ก็เมื่อถึงเวลาของจิตนั้นที่จะเกิดได้

    ผู้ฟัง เมื่อศึกษาเราก็ทราบได้ว่า อดีตก็ทำอะไรไม่ได้ ปัจจุบันนี้ ถ้าเป็นวิบากจิตก็เป็นผลของกรรมในอดีต เช่น ปฏิสนธิจิตเป็นคนนี้ แล้วอนาคตจะเป็นอะไร ก็เป็นเรื่องของกรรม แต่ก็สามารถสะสมใหม่ที่จะให้เกิดปัญญา เข้าใจสิ่งที่มีจริงที่ไม่เคยเข้าใจว่า เป็นอย่างที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ถึงเวลาที่ต้องเป็นแล้ว

    ท่านอาจารย์ จริงๆ ก็ถึงเวลาที่จะพูดอย่างนี้ ใช่ไหม ถึงเวลาที่จะคิดอย่างนี้ ก็คิดอย่างนี้ เป็นเรื่องที่ต่อไปจะสะสมอะไรๆ ต่างๆ แต่ให้ทราบว่า ขณะนี้จิต และเจตสิกเกิดดับสืบต่อทำหน้าที่ของจิตเจตสิกนั้นๆ ไม่รู้เลยว่า ขณะนี้ที่ได้ยินคำว่า “สังขารขันธ์” กำลังทำหน้าที่ของสังขารขันธ์ มีการฟังแล้วเข้าใจสิ่งที่ได้ฟังทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งเข้าใจยิ่งขึ้น รู้ได้เลยว่าถ้าไม่มีสภาพธรรมที่เป็นสังขารขันธ์ ความเข้าใจขึ้นจะมาแต่ไหน ตอนนี้กำลังมีสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แล้วจะรู้อะไร เห็นหรือไม่ เมื่อสักครู่กล่าวถึงสะสมกุศลจนกว่าจะรู้ จนกว่าจะออกจากสังสารวัฏ แต่เวลานี้มีสภาพธรรมอะไรที่ควรรู้ยิ่ง เพราะกำลังมี ไม่ข้าม

    เพราะฉะนั้น ความละเอียดทุกขณะจิต ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น รู้อะไร รู้สิ่งที่กำลังเป็นอย่างนี้ในขณะนี้

    เพราะฉะนั้น เวลานี้ขณะนี้ใครเป็นอย่างไร ก็รู้สิ่งที่กำลังเป็นอย่างนี้ในขณะนั้นสำหรับคนนั้น

    ขณะที่รูปารมณ์หรือสิ่งที่กำลังเห็นขณะนี้กระทบกับจักขุปสาทรูป ขณะกระทบจิตขณะนั้นเป็นอะไร ทำกิจอะไร

    ผู้ฟัง ขณะเห็น

    ท่านอาจารย์ ยังไม่เห็น ขณะที่รูปเกิด รูปที่กำลังปรากฏขณะนี้ต้องเกิด แล้วกระทบกับจักขุปสาท ถ้าไม่กระทบรูปนี้จะปรากฏได้หรือไม่ ไม่ได้ เพราะฉะนั้นรูปที่กำลังปรากฏขณะนี้ต้องเกิดแล้วกระทบจักขุปสาทรูป จักขุปสาทรูปเกิดแล้วหรือยัง ขณะที่รูปนี้กระทบ

    ผู้ฟัง ยังไม่เกิด

    ท่านอาจารย์ รูปที่เกิดจากกรรมทุกอนุขณะของจิต

    ผู้ฟัง ที่ท่านอาจารย์ถามหมายถึงขณะปฏิสนธิ ใช่หรือไม่

    ท่านอาจารย์ ถามถึงหลังปฏิสนธิ จิตเกิดขึ้นไม่มีอารมณ์ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ปฏิสนธิจิต และภวังคจิตไม่ได้รู้อารมณ์ทางตา คือ สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ไม่ปรากฏกับปฏิสนธิจิต และภวังคจิต เพราะฉะนั้น ขณะที่จิตไม่รู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจก็ไม่ได้คิดนึกด้วย ขณะนั้นจิตเป็นอะไร และกำลังทำกิจอะไร

    ผู้ฟัง ไม่รู้อะไร ขณะนั้นทำภวังคกิจ

    ท่านอาจารย์ แล้วเป็นจิตชาติอะไร

    ผู้ฟัง ชาติวิบาก

    ท่านอาจารย์ แล้วเวลาที่รูปเกิดขึ้น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเกิดกระทบอะไร

    ผู้ฟัง สี

    ท่านอาจารย์ สีเป็นรูปที่ปรากฏให้เห็นทางตา กระทบกับอะไร ช่วยๆ กันที่ไม่ต้องพลิกหนังสือ ไม่ต้องเปิดตำรา แต่ให้เข้าใจว่าขณะนี้เป็นอย่างนี้ และจะเมื่อไร พอระลึกได้ก็รู้ตามที่ฟังมาทั้งหมด รูปนี้ต้องเกิด เกิดแล้วกระทบกับปสาทรูปที่สามารถกระทบได้ ก่อนจิตเห็น เพราะฉะนั้น ถามว่า ขณะที่รูปเกิด สิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะนี้ต้องเกิดก่อน ก่อนจิตเห็น ขณะที่รูปนี้เกิดกระทบกับอะไร เสียงสามารถกระทบกับอะไรได้

    ผู้ฟัง กระทบกับโสตปสาทรูป

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้กระทบอะไร กำลังกระทบอยู่หรือไม่ ขณะนี้ กำลังกระทบก็ไม่รู้ เห็นไหม แต่ศึกษาเพื่อให้รู้ว่า ชีวิตเป็นอย่างนี้ ธรรมเป็นอย่างนี้ ความจริงเป็นอย่างนี้ ค่อยๆ เห็นความเป็นอนัตตา

    อ.กุลวิไล คุณวิชัยจะร่วมสนทนาในช่วงนี้

    อ.วิชัย จริงๆ เรื่องนี้ก็ฟังบ่อยมาก เรื่องสิ่งที่ปรากฏ คุณบุษกรก็กล่าวได้ถูกต้องว่า เสียงกระทบกับโสตปสาทรูป และสิ่งที่ปรากฏทางตากระทบกับอะไร

    ผู้ฟัง จักขุปสาทรูป

    อ.วิชัย ตาบอดนี่เห็นได้หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    อ.วิชัย เพราะฉะนั้น สีกระทบกับอะไร

    ผู้ฟัง ก็ต้องจักขุปสาทรูป

    อ.วิชัย ตาเป็นรูปหรือเป็นนาม

    ผู้ฟัง ตาเป็นรูป

    อ.วิชัย แล้วสีกระทบกับอะไร ถ้าตาบอดเห็นสีหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่เห็น

    อ.วิชัย ตารู้อารมณ์ได้หรือไม่

    ผู้ฟัง ตาเฉยๆ ก็รู้อารมณ์ไม่ได้

    อ.วิชัย สิ่งที่ปรากฏทางตากระทบกับอะไร

    ผู้ฟัง ก็ต้องจักขุวิญญาณ ถูกต้องหรือไม่

    อ.วิชัย ก็ต้องกระทบกับตา ก็คือจักขุปสาทรูป

    ผู้ฟัง คือจักขุปสาทรูปเมื่อเกิดแล้วใช่ไหม กระทบกับสี เมื่อกระทบกับสีแล้วใช่ไหม

    อ.วิชัย คือเมื่อมีสี หรือสิ่งที่ปรากฏทางตามีอยู่ จักขุปสาทรูปก็ยังมีอยู่ ดังนั้นรูปคือสิ่งที่ปรากฏทางตาหรือวัณณรูป กระทบได้กับรูปเดียวเท่านั้น ทั่วทั้งตัวทั้งหมด สีกระทบได้ที่เดียวก็คือกระทบกับจักขุปสาทรูป แต่ลักษณะนั้นยังไม่เกิดนามธรรมหรือเกิดจิตที่รู้สีนั้น เพราะขณะที่กระทบกันเป็นภวังคจิต แสดงว่าขณะนั้นเป็นอตีตภวังค์ ยังไม่รู้สิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะเป็นเพียงการกระทบกันของรูป คือ วัณณรูปหรือสิ่งที่ปรากฏทางตากับจักขุปสาทรูป ซึ่งยังไม่ดับในขณะนั้น ยังมีอยู่ เมื่อกระทบกันขณะนั้นก็ยังเป็นภวังคจิตอยู่ คือยังไม่มีจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ที่ปรากฏ ขณะที่กระทบกัน ซึ่งก็แสดงว่า ขณะนั้นเป็นอตีตภวังค์ หลังจากที่อตีตภวังค์ดับไปแล้ว ภวังคจลนะก็เกิดสืบต่อ ก็แสดงว่าเมื่อมีการกระทบกันของรูป ภวังค์ก็เริ่มแสดงถึงวาระของการสิ้นสุดกระแสภวังค์ ใกล้แล้ว คือ ภวังค์ไหว จนภวังคจลนะดับไปแล้ว จิตเกิดขึ้นทีละขณะ ใช่ไหม ภวังคจลนะดับแล้ว ภวังคุปัจเฉทะเป็นภวังคจิตขณะสุดท้าย จะไม่มีภวังคจิตเกิดสืบต่ออีกแล้ว ขณะนั้นยังเป็นภวังค์อยู่ แต่แสดงถึงเป็นภวังค์ขณะสุดท้าย หลังจากภวังคุปัจเฉทะดับแล้ว จักขุทวาราวัชชนจิตเกิดขึ้นรู้สิ่งที่ปรากฏทางตาทางตาโดยทำอาวัชชนกิจ

    เพราะฉะนั้น จิตทุกๆ ขณะที่เกิด เมื่อเกิดแล้วก็ต้องกระทำกิจของจิต ขณะแรกซึ่งเป็นวิบากจิตเป็นผลของกรรม เกิดขึ้นทำปฏิสนธิกิจ คือ เป็นจิตที่เกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติที่แล้ว ทำปฏิสนธิกิจ หลังจากปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว จิตก็เกิดสืบต่อ ก็เป็นผลของกรรมเดียวกับปฏิสนธิ แต่ไม่ได้ทำปฏิสนธิกิจ ทำกิจอะไร

    ผู้ฟัง ต้องเป็นภวังคกิจ

    อ.วิชัย เกิดขึ้นทำภวังคกิจ แล้วเรียกชื่อตามกิจ เป็นภวังคจิต ภวังค์ก็เกิดสืบต่อเรื่อยไป จนมีปัจจัยให้วิถีจิตเกิดขึ้นเป็นวิถีจิตขณะแรกทางมโนทวาร ก็เป็นมโนทวาราวัชชนจิต เป็นวิถีจิตแรก ทำกิจอาวัชชนกิจ คือรำพึงหรือนึกถึงอารมณ์ทางมโนทวาร

    สิ่งที่ปรากฏทางตากระทบกับอะไร

    ผู้ฟัง สิ่งที่ปรากฏทางตา กระทบกับสี

    อ.วิชัย สิ่งที่ปรากฏทางตากับสีก็อย่างเดียวกัน จะใช้หลายคำที่กล่าวถึงสิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้

    ผู้ฟัง หมายถึงจิตที่เห็นสีใช่หรือไม่

    อ.วิชัย เสียงกระทบกับอะไร

    ผู้ฟัง โสตปสาทรูป

    อ.วิชัย แล้วสีกระทบกับอะไร

    ผู้ฟัง ก็ต้องจักขุปสาทรูป

    อ.วิชัย กลิ่นกระทบกับอะไร

    ผู้ฟัง ฆานปสาทรูป

    อ.วิชัย รสกระทบกับ

    ผู้ฟัง ชิวหาปสาทรูป

    อ.วิชัย โผฏฐัพพะ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว กระทบกับอะไร

    ผู้ฟัง กายปสาทรูป

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้มีจักขุปสาทรูปหรือไม่

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ กำลังได้ยิน มีจักขุปสาทรูปหรือไม่

    ผู้ฟัง มี

    ผู้ฟัง กำลังเห็น มีโสตปสาทรูปหรือไม่

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ กำลังนอนหลับ มีจักขุปสาทรูป โสตปสาทหรือไม่

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ มี เพราะกรรมทำให้เกิดทุกอนุขณะของจิต ตอนขณะที่จุติจิตเกิด มีปสาทรูปหรือไม่

    ผู้ฟัง ขณะจุติจิตเกิด ขณะนั้นไม่มีปสาทรูป

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ถึงแม้กรรมจะเป็นปัจจัยทำให้รูปเกิดทุกอนุขณะของจิตก็จริง แต่เวลาที่จุติจิตเกิดแล้วดับ กัมมชรูปดับหมดพร้อมกัน เพราะฉะนั้นกัมมชรูปซึ่งมีอายุ ๑๗ ขณะของจิต ไม่เกิดก่อนจุติจิต ๑๗ ขณะ เพราะเหตุว่ารูปจะมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ ไม่ว่าจิตจะทำกิจอะไร ไม่ว่าจะเป็นมโนทวาราวัชชนะ ปัญจทวาราวัชชนะ หรือกำลังเห็น กำลังได้ยินก็ตาม แต่รูปที่เกิดจากกรรม จะไม่เกิดอีก ก่อนจุติจิต ๑๗ ขณะ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 173
    13 ม.ค. 2567