พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 567


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๕๖๗

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๒


    ท่านอาจารย์ กำลังเริ่มจะเข้าใจสิ่งนี้ที่กำลังปรากฏจริงๆ ขณะนั้นใครพูดคำว่า สติ ก็รู้ หรือสติปัฏฐาน ก็รู้ เพราะถ้าขยายความ หรือแปลตรง ก็คือระลึก ไม่ใช่คิดเป็นคำ แต่ระลึกคือรู้ว่าเป็นธรรมที่ปรากฏเฉพาะหน้า และสติปัฏฐานต้องมีปัญญา เพราะฉะนั้นขณะนั้นก็จะรู้ว่า เป็นการรู้ลักษณะสิ่งที่ปรากฏเฉพาะหน้าหรือยัง หรือแม้กำลังปรากฏเฉพาะหน้าก็กำลังฟังเรื่องสิ่งที่กำลังปรากฏเฉพาะหน้า แต่ยังไม่เริ่มเข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏเฉพาะหน้า

    ผู้ฟัง ขอเรียนถามว่า ขณะนั้นเป็นเพียงสติสัมปชัญญะที่เราระลึกรู้ ที่ไม่ล่วงวจีทุจริต หรือกายทุจริต

    ท่านอาจารย์ ขณะนั้นคือขณะไหน

    ผู้ฟัง ขณะที่เรารู้ โดยมีสติที่ระลึกรู้ได้ว่า นี้เป็นโทสมูลจิต แล้วไม่ล่วงวจีกรรมที่เป็นอกุศล หรือกายกรรมก็ตาม สิ่งนี้เป็นเพียงสติสัมปชัญญะ ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ สติสัมปชัญญะต้องเป็นขณะที่จิตสงบ แล้วรู้ลักษณะของความสงบของจิต หรือสติสัมปชัญญะคือขณะที่จิตสงบแล้วรู้ลักษณะที่เป็นธรรมซึ่งไม่ใช่ตัวตน ถ้าใช้คำว่า “สติสัมปชัญญะ” หมายความว่า สัมปชัญญะที่นั่นหมายความถึงอสัมโมหสัมปชัญญะ ไม่หลงเข้าใจผิดว่าลักษณะนั้นเป็นอย่างอื่น

    เพราะฉะนั้น ขณะที่เป็นทานกุศล สติเกิดจึงระลึกเป็นไปในการให้ เกิดโทสะตั้งมากมายที่คุณนฤภัคเล่าให้ฟัง กุศลจิตยังไม่เกิด แต่เวลาจะให้ เพราะสติเกิดระลึกเป็นไปในการให้ นั่นคือสติขั้นทาน หรือขณะที่กำลังจะล่วงคำที่ไม่สมควรที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ขณะนั้นก็ไม่ล่วง วิรัติ งดเว้น ขณะนั้นก็เป็นสติขั้นศีล แต่ไม่รู้ว่า ขณะนั้นจิตสงบหรือไม่หรือเป็นกุศลหรือเป็นอกุศลก็ไม่รู้ ใช่ไหม เพราะไม่ใช่สติสัมปชัญญะ

    ผู้ฟัง ถ้าอกุศลทางกาย เช่น ตบตี ก็เป็นขั้นศีล หรือ

    ท่านอาจารย์ ตบตีจะเป็นศีล หรือ

    ผู้ฟัง คือถ้าเกิดความไม่พอใจ เป็นโทสะขึ้นมาแล้ว แล้วระลึกได้ว่าเป็นโทสะ เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ความจริงด้วยความใจร้อนอาจจะดุด่าว่ากล่าว หรือแสดงออกทางกายเป็นอกุศล เช่น ตบ

    ท่านอาจารย์ ขณะนั้นคิดใช่ไหม

    ผู้ฟัง ตอนนั้นมีการพิจารณาอยู่

    ท่านอาจารย์ ถามว่า ขณะนั้นคิด ใช่หรือไม่

    ผู้ฟัง ใช่ครับ

    ท่านอาจารย์ คิดเป็นกุศล หรือคิดเป็นอกุศล

    ผู้ฟัง คิดว่าเป็นอกุศลไปแล้ว แต่ยับยั้งเสียเอง ไม่ทำ

    ท่านอาจารย์ ขณะที่คิดไม่ตบยุง ขณะนั้นเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ขณะนั้นคิดใช่ไหมที่จะไม่ตบ คิดขณะนั้นเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล

    ผู้ฟัง เป็นกุศล

    ท่านอาจารย์ เป็นกุศล เป็นสติปัฏฐานหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่เป็น

    ท่านอาจารย์ ตอบได้ด้วยตัวเอง

    ผู้ฟัง ใน mp๓ ชุดปกิณณกธรรม ตอนที่ ๕๙๓ ตั้งแต่นาทีที่ ๗ เป็นต้นไป ท่านอาจารย์แสดงเกี่ยวกับสติปัฏฐานว่า เป็นการใส่ใจสภาพธรรมโดยความไม่เป็นตัวตน จึงขอเรียนให้ช่วยอธิบายความละเอียดของการใส่ใจในสภาพธรรมโดยความไม่เป็นตัวตนด้วย

    ท่านอาจารย์ วิธี หรือไม่

    ผู้ฟัง คือแค่ไหนถึงจะเป็นใส่ใจ

    ท่านอาจารย์ แค่ไหนคือจะทำได้ไหม ใช่ไหม ถ้าตอบว่าแค่ไหน หรือถามว่าแค่ไหน

    ผู้ฟัง รู้สึกว่า มีเส้นแบ่งที่บางมากๆ ระหว่างใส่ใจที่เป็นตัวตนกับไม่เป็นตัวตน

    ท่านอาจารย์ แล้วรู้เส้นแบ่งนั้นได้อย่างไร ที่ว่ามีเส้นแบ่ง ตรงเส้นแบ่งนั้นคืออะไร รู้ได้อย่างไร หรือไม่รู้

    ผู้ฟัง เกิดสงสัยขึ้นมา

    ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้น สงสัยมีจริงๆ ใช่ไหมคะ เป็นธรรม ฟังเข้าใจ แล้วเวลาสงสัย ลักษณะของสงสัย มีปรากฏ แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้น อย่าไปหาเส้นแบ่งหรืออะไรทั้งสิ้น แต่ฟังจนกระทั่งมีความมั่นคงว่า สิ่งที่มี ไม่ว่าลักษณะใดๆ ทั้งสิ้น พอเกิดแล้วไม่ต้องไปหาชื่อ ไม่ต้องไปหาเส้นแบ่ง ไม่ต้องไปคิดว่า เป็นนามธรรมหรือรูปธรรม เพราะเหตุว่าลักษณะนั้นเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ไม่ชิน ไม่คุ้นกับลักษณะนั้น เพราะฉะนั้น เวลาที่สภาพธรรมที่เป็นความสงสัยเกิดขึ้น เพราะไม่ชินกับการเข้าใจว่า เป็นธรรมอย่างหนึ่งแน่นอน เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ปรากฏแล้วว่าเป็นลักษณะนี้ แต่ไม่เข้าใจ เพราะความเข้าใจเรื่องธรรมยังไม่มั่นคง

    เพราะฉะนั้น บางคนคิดเรื่องอื่นทันที พยายามคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ หรือหาเหตุต่างๆ แต่ไม่ได้พิจารณา ใช้คำว่า “พิจารณา” แต่ไม่ใช่เรา พิจารณาขณะนั้นคือค่อยๆ เข้าใจ เพราะเข้าใจทันทีไม่ได้ ลักษณะนั้นเกิดปรากฏแล้วหมดไปเร็วมาก แต่อาจจะมีสภาพธรรมนั้นเกิดอีก หรือสภาพธรรมอื่นเกิดอีก สติที่ไม่ได้สะสมมา ไม่มีกำลังพอที่จะรู้ ใช้คำว่า “รู้” ก็ได้ ถ้าใช้คำว่า “ระลึก” เดี๋ยวจะเป็นเส้นแบ่งอีกว่า ตรงไหนเป็นระลึก หรือเป็นเพียงความคิด

    เพราะฉะนั้น เมื่อสภาพธรรมเกิดแล้วรู้ ค่อยๆ เข้าใจ เข้าใจคือไม่ใช่เราทำทั้งสิ้น แต่สังขารขันธ์จากการได้ยินได้ฟังบ่อยๆ ก็เข้าใจว่าเป็นธรรม แม้หลังจากที่ไม่ได้ฟังแล้วก็หลงลืมที่จะรู้ว่าเป็นธรรม หรือเพียงคิดว่าเป็นธรรมก็ไม่มี ก็คล้อยตามปัจจัยที่เกิดขึ้นปรุงแต่งเป็นไปเหมือนเดิม แต่จากการฟังแล้วก็รู้ว่า เมื่อลักษณะของสภาพธรรมใดปรากฏ ปัญญาจะเจริญก็ต่อเมื่อเริ่มใส่ใจหรือสนใจ ได้ไหม เพราะเหตุว่าการใส่ใจมีจริงไหม มนสิการเจตสิก ความสนใจ ฉันทะมีไหมขณะนั้น ไม่ต้องมานั่งนึกถึงชื่อต่างๆ แต่จากการที่ไม่สนใจ อย่างเราพบใครแล้วเราไม่สนใจ เราจะรู้ไหมว่า เขาเป็นใคร ผ่านไปเลย แต่ถ้าสนใจเราก็สามารถค่อยๆ รู้ว่า คนนี้มีตา หู จมูก ลิ้น กาย เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้าอย่างไร ก็สามารถรู้ได้เมื่อมีความสนใจหรือใส่ใจ

    เพราะฉะนั้น ขณะนั้นไม่ต้องคิดว่าเป็นสภาพธรรมอะไร แต่มีความเข้าใจ เพราะฟังธรรมเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่ไปเป็นเจตสิกต่างๆ ที่จะพยายามใส่ใจแล้วตอนนี้ ใส่ใจยังไม่พอ เป็นสนใจ หรือไม่ใส่ใจก็สนใจไว้ก่อน ไม่ใช่อย่างนั้น ธรรมปรากฏขณะนี้ชั่วขณะที่เพียงปรากฏแล้วหมดไป

    เพราะฉะนั้น เข้าใจความรวดเร็ว แต่ว่าสิ่งนั้นก็ยังปรากฏให้เป็นความสงสัย ไม่รู้ในลักษณะที่เป็นธรรมนั้นว่า เป็นนามธรรม เป็นจิต หรือเป็นเจตสิก ก็คิดต่อไปอีก ทั้งๆ ที่ลักษณะนั้นก็ไม่เปลี่ยน กำลังมีลักษณะใดปรากฏ ปัญญาที่กำลังค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละน้อย จะต่างกับขณะที่ไม่เข้าใจ

    เพราะฉะนั้น ก็ไม่ติดที่ความใส่ใจ ความสนใจ หรือการพิจารณา หรืออะไรทั้งหมด เพราะจะไม่มีประโยชน์เลยถ้าไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นการฟังธรรมทั้งหมดเพื่อเข้าใจ และเข้าใจนั้นคือปัญญาที่ทำหน้าที่ของปัญญาอีกมากทีเดียวต่อไปข้างหน้าเมื่อเจริญขึ้น

    ผู้ฟัง อย่างนั้นก็คือเป็นลักษณะคล้ายๆ กับใส่ใจหรือสนใจไป

    ท่านอาจารย์ เป็นแล้วขณะนี้ ใช่ไหม ขณะนี้ใส่ใจมีไหม สนใจมีไหม มีแล้ว แล้วก็ไม่รู้ แล้วก็เพียงพูดถึง ใส่ใจบ้าง สนใจบ้าง แต่ขณะนี้ก็กำลังเป็นอย่างนี้

    เพราะฉะนั้น เข้าใจในความเป็นธรรม ก่อนอื่น เป็นธรรมคือไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด นอกจากลักษณะนั้นเท่านั้น เกิดเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น เป็นสงสัยก็เป็นสงสัย เป็นขุ่นใจก็เป็นขุ่นใจ เป็นดีใจก็เป็นดีใจ ก็เป็นลักษณะของธรรม

    เพราะฉะนั้นก็คือเข้าใจให้ถูกต้องว่า เป็นธรรม นี่เป็นขั้นต้น

    ผู้ฟัง หมายความว่า สภาพที่ใส่ใจต้องเป็นสภาพที่เกิดขึ้นเอง

    ท่านอาจารย์ มาอีกแล้ว ทั้งหมดจะชื่ออะไร ภาษาไทย ภาษาบาลี ก็เกิดขึ้นทำกิจการงานเมื่อขณะจิตนั้นเกิดขึ้น ตามประเภทของจิตนั้นๆ และอะไรที่ปรากฏเวลานี้ ค่อยๆ เข้าใจ ไม่ใช่คุณชาลี ธรรมที่เกิดขึ้นร่วมกัน เกิดดับนั่นกำลังทำกิจสังขารขันธ์ ทำกิจของธรรมนั้นๆ

    ผู้ฟัง ขอให้ท่านอาจารย์ช่วยเพิ่มเติมความหมายของคำว่า ความเข้าใจในธรรม

    ท่านอาจารย์ ความจริงเดี๋ยวนี้คือทุกคนกำลังเห็น เป็นธรรมหรือไม่

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าจะเห็นตั้งแต่เกิด ลืมตาเมื่อไรก็เห็น ก็ยังไม่รู้ความจริงของเห็นว่า เห็นเป็นธรรม แต่เวลาเรียน ทราบว่าทุกอย่างที่มีจริงในชีวิตเป็นธรรม เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้เอง ไม่ใช่เมื่อวานนี้ สิ่งที่กำลังมีขณะนี้เกิดปรากฏให้เห็นความเป็นธรรมของสิ่งนั้น แต่ถ้าไม่ได้ฟังให้เข้าใจ ก็ไม่สามารถรู้ได้ว่า ขณะนี้สิ่งที่มีเกิดปรากฏเป็นธรรม เมื่อยังไม่เห็นว่าเป็นธรรม เพียงฟัง และรู้ว่าเป็นธรรม แต่ยังไม่เห็นว่า เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นเป็นธรรม

    เพราะฉะนั้น การพูดถึงธรรม ก็คือพูดถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้นในสิ่งที่กำลังเป็นธรรมแต่ละลักษณะ

    ผู้ฟัง ขณะนี้เกิดขึ้นแล้วเป็นธรรมอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ใครทำให้เกิด

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ เกิดแล้วปรากฏลักษณะให้รู้ว่า สิ่งนั้นเป็นอย่างนั้นหรือไม่

    ผู้ฟัง ต้องมีลักษณะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ลักษณะนั้นเองที่แสดงว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เป็นอะไร อย่างเช่น เห็นอะไร

    ผู้ฟัง เห็นท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ไม่ตอบว่า เห็นธรรมหรือ เพราะว่าทุกอย่างเป็นธรรม ความจริงก็คือเห็นสิ่งหนึ่งแน่นอน และสิ่งที่เห็นเกิดขึ้นจึงปรากฏว่า สิ่งนี้เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่เสียง ไม่ใช่แข็ง แต่สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นเดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น

    เพราะฉะนั้น นี่ก็เป็นลักษณะหนึ่งของธรรมประเภทหนึ่ง ซึ่งสามารถปรากฎให้เห็นว่า มีจริงๆ ตราบใดที่จิตเห็นไม่เกิดขึ้น แม้สิ่งนี้มีจริง ก็ไม่ได้ปรากฏความเป็นจริงของสิ่งนั้นว่า สิ่งนั้นมีจริงๆ เพียงปรากฏให้เห็นได้ เมื่อกระทบกับจักขุปสาท แต่ถ้าไม่มีจักขุปสาท ไม่มีทางที่สิ่งนี้จะปรากฏว่ามีจริงๆ

    ผู้ฟัง ถึงอย่างไรๆ ก็ต้องเห็นเป็นท่านอาจารย์ ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ กำลังเห็น แล้วก็เข้าใจว่า เห็นเป็นคนนั้น เป็นคนนี้ แต่ความจริงถ้าไม่มีอะไรปรากฏ จะเป็นคนนั้นคนนี้ได้ไหม

    ผู้ฟัง เป็นไปไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเมื่อปรากฏ แต่ก็ลืมเข้าใจว่า สิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้เท่านั้นเองที่กำลังปรากฏ ไม่มีคนทำให้ปรากฏเป็นอะไรได้ แต่ต้องเป็นสิ่งที่สามารถกระทบกับจักขุปสาท เอามือไปจับสิ่งที่ปรากฏทางตาได้หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เพียงแค่ปรากฏให้เห็น ชีวิตตามความเป็นจริงตั้งแต่เกิดจนตายก็เห็นไปเรื่อยๆ เห็นอะไร เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แล้วก็คิดนึกไปเรื่อยๆ ว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร จากสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แล้วก็จำไว้มั่นคงว่า สิ่งที่ปรากฏให้เห็นยังมีอยู่ ไม่เคยหมดไป จะคิดถึงพ่อแม่พี่น้องก็เหมือนยังมีอยู่ ไม่เข้าใจว่า ความจริงไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น เป็นแต่เพียงความคิด และความจำว่า สิ่งนั้นที่เห็นมีรูปร่างเป็นอย่างไร แต่ความจริงต้องต่างกับขณะที่กำลังปรากฏจริงๆ

    ฝันเห็นใครได้หรือไม่

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ แล้วเห็นจริงๆ หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ได้เห็นจริง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น สิ่งที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ไม่ปรากฏในฝัน แต่ต้องปรากฏขณะนี้แล้วคิดว่า กำลังเห็นอะไร เหมือนฝัน จำไว้แล้วไปฝันจากสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แต่ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เพราะว่ามีจริงๆ แล้วที่มีจริงๆ ก็ยังน่าสงสัยว่า สิ่งที่มีจริง จริงๆ แล้วอยู่ที่ไหน มีก็ต้องอยู่ที่ไหน

    ผู้ฟัง ก็เมื่อปรากฏถึงจะเห็น ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ แล้วสิ่งที่ปรากฏเพียงให้เห็นได้นั้นอยู่ที่ไหน

    เห็นหรือไม่ ชีวิตประจำวันเป็นธรรม ฟังธรรม ศึกษาธรรม ก็เพื่อให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีจริงขณะนี้

    ผู้ฟัง แล้วอยู่ที่ไหน

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีธาตุที่แข็ง เย็น ตึง ไหว ไม่มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม จะมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏอยู่ที่ไหน

    ผู้ฟัง อยู่ที่ธาตุเหล่านั้น

    ท่านอาจารย์ เป็นรูปรูปเดียวในสิ่งที่มีจริงในธาตุที่รวมกัน ที่สามารถกระทบจักขุปสาทแล้วปรากฏให้เห็นได้ว่า มีสิ่งนั้น

    ผู้ฟัง ฟังท่านอาจารย์บรรยายก็เข้าใจระดับขั้นฟัง แต่เห็นมีจริงไหม ทุกคนตอบได้ว่า เห็นมีจริง แล้วเห็นอะไร ก็ต้องเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่เมื่อเราศึกษาธรรม เราจะเข้าใจเพิ่มขึ้นว่า ก่อนจะเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดต้องมีเห็น

    ท่านอาจารย์ ก่อนที่จะเห็นว่า เห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

    ผู้ฟัง ค่ะ อย่างเห็นท่านอาจารย์ ก่อนจะเห็นเป็นท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ก่อนที่จะเห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ต้องมีเห็นก่อน

    ผู้ฟัง แล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นก่อน แล้วทุกคนก็เพียรพยายาม จะรู้ จะเข้าใจจุดนี้ คือ จะประจักษ์ว่า จริงๆ เป็นสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น ก่อนเห็นเป็นท่านอาจารย์ ก็ต้องเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นสิ่งที่กางกั้นทำให้เราไม่สามารถเข้าถึงลักษณะจริงๆ นั้นได้

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร ทราบหรือไม่

    ผู้ฟัง ก็เพราะมีความต้องการที่จะเป็นอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ความรู้ ที่ละความไม่รู้

    ผู้ฟัง ทีนี้ความรู้ที่จะละความไม่รู้ คือในขณะปัจจุบันเข้าใจได้เพียงแค่ เวลาเห็นแล้วเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็เข้าใจว่า ก่อนจะเห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด จะต้องมีเห็น และมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น คือเข้าใจได้แค่นี้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ขณะนี้เข้าใจแล้วใช่ไหมว่า มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นจริงๆ

    ผู้ฟัง เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เมื่อไรจะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ถึงเฉพาะลักษณะที่เป็นจริง คือ กำลังปรากฏให้เห็น เป็นสิ่งหนึ่งแน่นอนที่มีจริง ที่กำลังปรากฏให้เห็นเท่านั้น จะคลายความยึดติด จะคลายความไม่รู้ไหมว่า หลง พอใจ ยึดถือ ต้องการสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นมานานแสนนานถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม เพราะว่าเห็นอะไรก็ชอบ ต้องการ อยากได้สิ่งนั้น แสวงหาไม่จบสิ้น เพราะปรากฏให้เห็นว่ามีสิ่งนั้น แต่ไม่เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงว่า สิ่งที่มีเกิดแล้วดับ เพียงเกิดมาปรากฏให้เห็นนิดเดียว แล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่ความรู้จริงในลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ ด้วยเหตุนี้ผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริง บำเพ็ญพระบารมีนานแสนนานที่จะรู้ความจริง และรู้ว่าความจริงนี้เป็นสิ่งที่รู้ยาก แต่ก็รู้ว่ามีผู้ที่สะสมอัธยาศัยที่สามารถฟังเข้าใจ และอบรมปัญญาจนสามารถรู้ความจริงนี้ได้ จึงทรงพระมหากรุณาแสดงพระธรรม สำหรับผู้ที่ค่อยๆ อบรมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก จนกว่าสามารถเข้าใจแม้ในขณะที่กำลังฟังว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นสิ่งที่ปรากฏอย่างหนึ่งเท่านั้น คลายไหมจากการเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่พอใจติดข้องมามากมาย

    ผู้ฟัง ถ้าเห็นแล้วยังเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่ ในขณะเดียวกันความเข้าใจขั้นการฟังก็ทราบว่า มีเห็นแล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น การฟัง และการอบรมที่จะทำให้เข้าใจไปเรื่อยๆ แล้วเมื่อสักครู่นี้ท่านอาจารย์กล่าวว่า เมื่อไรจะเข้าใจได้ว่า มีเห็น และมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น

    ท่านอาจารย์ คนอื่นตอบได้ไหมคะ เมื่อไร คนอื่นตอบได้ไหม

    ผู้ฟัง ต้องมีปัญญาที่จะรู้ลักษณะที่ปรากฏจริงๆ

    ท่านอาจารย์ แล้วปัญญาขณะนี้ถึงระดับขั้นที่จะรู้ว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเท่านั้นหรือยัง แค่นี้ ยังไม่ต้องไปไกลถึงการเกิดดับ แค่เริ่มเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเท่านั้นเอง ขณะได้ยิน สิ่งนี้ก็ไม่ปรากฏให้เห็นแล้ว ขณะฝันสิ่งนี้ก็ไม่ปรากฏให้เห็นแล้ว ขณะรับประทานอาหาร รสปรากฏ สิ่งนี้ก็ไม่ปรากฏให้เห็นแล้ว เพราะฉะนั้น ปรากฏเมื่อจิตเห็นเกิดขึ้น สิ่งที่มีจริงๆ นี้จึงสามารถปรากฏว่าสิ่งนี้มีจริงชั่วขณะที่เกิดแล้วก็ดับ นี่ต้องปัญญา แต่ส่วนใหญ่จะไม่อบรมปัญญา ละเว้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ปัญญา จะทำ หวัง เห็น เมื่อไรจะรู้ โดยที่แม้แต่เพียงขณะนี้ได้ยินได้ฟังว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ วันนี้เข้าใจอย่างนี้กี่ครั้ง หรือยังไม่เคยนอกจากขณะที่กำลังฟัง เห็นตั้งแต่เช้า มีปัญญารู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้นบ้างหรือไม่ ยังไม่มี ใช่ไหม จึงต้องฟังจนกว่าไม่ลืม บังคับได้ไหม จะลืมหรือไม่ลืม แต่มีปัจจัยที่สามารถเกิด นึกได้ เป็นคำพูดก็ได้ หรือไม่ใช่เพียงแต่เป็นคำที่คิดเพราะจำ ก็ยังเริ่มเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ หมายความว่า สติ ที่ใช้คำว่า “ระลึก” คือ กำลังรู้เฉพาะตรงลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ ไม่ใช่เราไปทำอะไร แต่มีปัจจัยที่ขณะนั้นกำลังรู้เฉพาะลักษณะของสิ่งที่มีในขณะนี้แต่ละลักษณะ ถ้าใช้คำ ก็คือ สติ ถ้าอธิบายก็คือว่า ขณะนั้นไม่ลืม ถ้าพูดต่อไปอีกก็คือ ระลึก แต่ระลึกทันที คือรู้ตรงลักษณะที่กำลังปรากฏ เฉพาะลักษณะนั้นทีละอย่างๆ จนกว่าความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างจะเริ่มมากขึ้น จนไม่มีเรา มีแต่ลักษณะของสภาพธรรมเท่านั้นที่เกิดดับ

    ดวงตาเห็นธรรม เห็นอย่างอื่นหรือไม่ เห็นธรรมหรืออย่างอื่น หรือไม่ หรือเห็นความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์บรรยายมาทั้งหมด คือ ความเข้าใจพระธรรมที่เป็นความเห็นถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ ถ้าเข้าใจ ความจริงเป็นอย่างนี้หรือไม่ หรือเข้าใจอย่างอื่น ไม่ใช่อย่างนี้ในสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ พระพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้หรือไม่ หรือไม่ใช่สิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้

    ผู้ฟัง ในกรณีที่สิ่งที่ปรากฏทางตาที่ท่านอาจารย์อธิบายเมื่อสักครู่นี้ กับกรณีที่เราได้ยินเสียง สมมติว่าผมหลับตา


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 173
    13 ม.ค. 2567