พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 410


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๔๑๐

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐


    ท่านอาจารย์ การที่เริ่มที่จะรู้ว่าสภาพธรรมมีจริงๆ ไม่ใช่เพียงแต่ชื่อ แต่มีลักษณะจริงๆ ที่สามารถที่จะปรากฏให้เข้าใจถูกได้ เมื่อมีการฟัง และมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นว่า ขณะนั้นไม่มีเรา ไม่มีอะไรทั้งสิ้น แต่แข็งมีจริงๆ เกิดขึ้นแล้วดับไป

    เพราะฉะนั้นก่อนที่จะรู้ลักษณะที่แข็ง เราคิดเรื่องอื่นมากมายเลย ทั้งวัน แต่ว่าขณะที่แข็งปรากฏ ไม่ใช่เรื่องราวที่คิด แต่มีลักษณะจริงๆ เกิดแล้ว โดยที่ว่าไม่ต้องไปคิดเลย ลักษณะนั้นเป็นลักษณะของธรรมซึ่งมีปัจจัยเกิดปรากฏ ให้เข้าใจให้ถูกต้องว่าจริงๆ แล้วทุกอย่างก็เกิดแล้วก็ดับไป แม้แต่คิดก็มีจริง แต่ว่าเรื่องที่คิด ถ้าจิตไม่เกิดขึ้นคิด เรื่องนั้นไม่มีเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น จะเป็นห่วง จะเป็นสุข หรือว่าจะเป็นเรื่องโรคภัย หรือว่าเป็นเรื่องเพื่อนฝูงมิตรสหายใดๆ ก็ตาม จิตคิดเมื่อไรก็มีเมื่อนั้น แต่ว่ามีเพียงคิด แต่ตัวจริงๆ ของคนที่เราคิดก็ไม่ได้มีในขณะนั้น เรื่องต่างๆ ที่เราคิดว่ามีในขณะนั้น เช่นจะคิดเรื่องบ้าน เรื่องการก่อสร้าง เรื่องอะไรก็ตามแต่ สิ่งนั้นก็ไม่ได้ปรากฏในขณะนั้น เพียงแต่จิตคิดถึง

    นี่ก็แสดงให้เห็นถึงความต่าง ที่จะเริ่มเข้าใจว่า อะไรจริง สิ่งที่มีลักษณะจริงๆ เกิดแล้วปรากฏ โดยไม่มีใครทำเลย กับเรื่องที่เพียงคิดเมื่อจิตเกิดขึ้นคิดถึงเรื่องอะไรก็เหมือนว่ามีเรื่องนั้น แต่ความจริงที่มีเรื่องนั้นเพราะจิตคิด แต่ที่มีจริงๆ คือตัวจิตที่คิด ซึ่งบังคับไม่ได้ ธรรมทั้งหมด บังคับไม่ได้ แม้แต่คิดก็บังคับให้คิดไม่ได้

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์สุจินต์ และท่านวิทยากรที่เคารพ ทุกสรรพสิ่งล้วนเกิดปรากฏแล้วหมดไป บังคับบัญชาไม่ได้ นี่คือสิ่งที่ผมสรุปได้จากการฟังธรรม และการบรรยาย และการสนทนาธรรมที่มูลนิธินี้ ใคร่ที่จะขอความกรุณาท่านอาจารย์ช่วยกรุณาแนะนำด้วย

    ท่านอาจารย์ ได้ยินคำว่า “ธรรม” อยากจะเข้าใจความหมายของคำนี้ แล้วจะไปใช้สูตรอื่น วิชาอื่น เพื่อที่จะให้เข้าใจได้ไหม นี่ก็แสดงให้เห็นว่าได้ยินคำนี้จากใคร พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดง ไม่ใช่เพียงตรัสรู้ ทรงแสดงให้คนอื่นเข้าใจด้วย หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่ไม่มีอยู่ในขณะนี้ แล้วจะไปเทียบเคียงให้เกิดความเข้าใจ ไกล อย่างเช่นจะพูดถึงแกงส้ม ตอนนี้ก็ไม่มีแกงส้ม พูดถึงไม้เท้า ตอนนี้ก็ไม่มีไม้เท้า แต่มีอะไรที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงเป็นธรรม

    เพราะฉะนั้นถ้าจะรู้จักธรรมไม่ใช่ไปอาศัยศาสตร์อื่นเลย แต่ต้องฟังว่าเป็นพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงซึ่งเป็นสัจจะ เป็นความจริง เปลี่ยนความจริงนี้ให้เป็นอย่างอื่นไมได้เลย เช่นในขณะนี้ถ้าถามว่า อะไรเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ลืมว่าขณะนี้เห็นมีจริงๆ ไหม ทำให้เห็นเกิดขึ้นได้ไหม เปลี่ยนเห็นให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม แล้วเห็นๆ อะไร

    ผู้ฟัง เห็น ถ้าให้หนูบอกตอนนี้เยอะมาก สิ่งที่หนูเห็น

    ท่านอาจารย์ ถ้าเห็นเกิดขึ้น ขณะเห็นนั้นนะ เป็นคนเห็น เป็นสุนัขเห็น เป็นช้างเห็น เป็นเทวดาเห็น เป็นนกเห็น หรือเห็นเป็นเห็น

    ผู้ฟัง เห็นเป็นเห็น

    ท่านอาจารย์ นี่คือจะต้องรู้ว่า ถ้าไม่เป็นเห็น และไม่มีรูปร่างใดๆ เลย เราสามารถจะบอกได้ไหมว่าอะไรเห็น แต่พอมีเห็นแล้วมีรูปร่างต่างๆ เราก็บอกว่า แมวเห็น สุนัขเห็น นกเห็น คนเห็น เทวดาเห็น พรหมเห็น เพราะอาศัยรูป แต่เห็นไม่ใช่รูป เห็นเป็นธรรม เห็นเป็นสิ่งที่มีจริง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบันดาล หรือทำให้เห็นเกิดขึ้นได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร

    ผู้ฟัง เพราะเห็นเกิดขึ้นอยู่แล้ว เป็นอยู่แล้ว มีจริงอยู่แล้ว

    ท่านอาจารย์ เพราะเห็นมีปัจจัย เกิดขึ้นเป็นเห็น ไม่เป็นอื่น ขณะที่คิดนึกไม่ใช่เห็น คิดก็ต้องเกิดขึ้น คิดขณะนั้นเกิดแล้ว คิดแล้ว จะเป็นอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นเวลาที่กล่าวถึงธรรม สิ่งที่กำลังมีจริงขณะนี้ ค่อยๆ เข้าใจค่อยๆ พิจารณา ค่อยๆ รู้ว่าทำไมไม่กล่าวว่า เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เพราะว่าสภาพธรรมใดๆ ก็ตามเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยแล้วดับไป สิ่งที่เกิดแล้วดับแล้ว เป็นของใคร หรือว่าเป็นใครได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้เลย

    ท่านอาจารย์ นี่คือการเริ่มที่จะเข้าใจธรรม มีอะไรบ้าง ที่ปรากฏขณะนี้ ที่ไม่ใช่ธรรม

    ผู้ฟัง ที่ไม่ใช่ธรรม ใช่ไหม ไม่มีเลย

    ท่านอาจารย์ เพราะเกิดแล้วปรากฏแล้วตามเหตุตามปัจจัย มีจริงๆ ปฏิเสธไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นสิ่งที่เป็นสากล เป็นธรรมจริงๆ ไม่ใช่เป็นของคนนั้น ของคนนี้ หรือของใครที่คิดถึงเรื่องนั้น

    ด้วยเหตุนี้เมื่อเริ่มเข้าใจธรรมแล้ว จะศึกษาให้เข้าใจธรรม คือ ศึกษาให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏในขณะนี้ให้เพิ่มความเห็นถูกความเข้าใจถูก เพื่อที่จะได้เข้าใจว่าเป็นธรรมซึ่งไม่ใช่ของใคร และไม่ใช่เราด้วย ก่อนฟังธรรม เราเห็น เราได้ยิน เราคิดนึก แต่พอฟังธรรมแล้ว เห็นเป็นธรรม ได้ยินเป็นธรรม เกิดแล้วดับแล้ว จึงไม่มีเรา และไม่มีของเราด้วย อย่างนี้ต้องอาศัยศาสตร์อื่นวิชาอื่นไหม

    ผู้ฟัง ไม่ต้องอาศัย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นขณะนี้ความละเอียดของธรรม ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ ถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงแสดง ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดเห็น เห็นเกิดไม่ได้เลย พอที่จะเห็นตามว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ตามที่จะเกิดได้ ต้องมีปัจจัย และมีเหตุที่จะทำไห้สิ่งนั้นเกิดขึ้น เช่น ถ้าไม่มีจักขุปสาท รูปที่ตัวนี่ทั้งหมด แต่มีรูปเดียวที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา รูปอื่นไม่สามารถจะกระทบสิ่งที่ปรากฏทางตาได้เลย เพราะฉะนั้นเมื่อมีรูปนี้ และมีสิ่งที่เกิดกระทบจักขุปสาทเป็นปัจจัยให้ธาตุรู้เกิดขึ้นเห็นแล้วดับไป ถ้ามีความเข้าใจในความเป็นธาตุ ในความเป็นธรรม ซึ่งต้องเป็นธรรม จะบอกให้แข็งไม่เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นจะบอกให้เห็นไม่เกิดไม่ได้ เมื่อมีปัจจัยเห็น เห็นก็เกิดขึ้น คือเห็นแล้วก็ดับไป ขณะที่ได้ยินเป็นอีกขณะหนึ่งแล้ว เมื่อกี้นี้เห็นดับแล้ว ไม่ใช่ของใคร และก็ไม่ใช่เราด้วย เวลาที่เสียงปรากฏ มีรูปที่กายรูปหนึ่งที่สามารถกระทบเสียง กระทบสีสันวัณณะ กระทบแข็ง กระทบรสไม่ได้เลย รูปนี้มีลักษณะที่สามารถจะกระทบเสียง

    เพราะฉะนั้นเวลาที่เสียงเกิดขึ้น ทีแรกก็ไม่มีเสียง ใช่ไหม และเสียงก็เกิดขึ้น กระทบกับโสตปสาท รูปที่สามารถกระทบเสียง เป็นปัจจัยให้จิตได้ยินเกิดขึ้น แสดงว่าจิตได้ยินจะเกิดตามลำพัง โดยไม่อาศัยโสตปสาท ไม่อาศัยเสียงไม่ได้ เมื่อมีปัจจัยก็ทำให้มีจิตได้ยินเกิดขึ้นได้ยิน เสียงจึงปรากฏได้ มิฉะนั้นเสียงจะปรากฏไม่ได้เลย แม้ว่ามีเสียง คนที่หลับสนิทไม่มีจิตได้ยิน เพราะฉะนั้นเสียงก็ไม่ปรากฏ กลิ่นก็ไม่ปรากฏ เพราะว่ากำลังหลับสนิทนี่คือชีวิตตามความเป็นจริงตั้งแต่เกิดจนตาย ซึ่งเป็นธรรมทั้งหมด

    เพราะฉะนั้น ธรรมไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย ขณะนี้เป็นธรรม ฟังเพื่อให้เข้าใจว่าเป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นพระไตรปิฎกทั้ง ๓ ปิฎก และอรรถกถา พูดเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ มิฉะนั้นจะไม่ใช่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครก็ตามพูดเรื่องอื่น ทฤษฏีอื่น จะทำให้เข้าใจธรรมขณะนี้ได้ไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็จะรู้ได้เลย ฟังธรรม คือฟังเรื่องสิ่งที่มีจริง ให้มีความเข้าใจในความเป็นธรรมของสิ่งนั้นๆ ตามคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้ และทรงแสดง

    ผู้ฟัง ที่หนูได้เจอกับท่านอาจารย์สุจินต์แล้วก็ได้มาสนทนาธรรมเผยแพร่ธรรมเป็นบุญกิริยาวัตถุของหนูอย่างหนึ่ง

    ท่านอาจารย์ กำลังฟังธรรม หรือไม่ เห็นไหม ทุกคนที่เข้าใจถูกต้อง ตอบว่ากำลังฟังธรรม เพราะว่ามีเสียง แล้วก็มีจิตที่คิดนึก จะกล่าวว่าไม่ได้ฟังธรรมไม่ได้ นอกจากคนนั้นไม่เข้าใจธรรม เพราะว่าทุกขณะเป็นธรรม ไม่ใช่ใครคนหนึ่งคนใดเลยทั้งสิ้น นี่เป็นสิ่งซึ่งคนหนึ่งเกิดมา แล้วก็มาจนถึง ณ วันนี้ เลือกได้ หรือไม่ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย แม้แต่ความคิดของแต่ละคน แต่ละขณะ เราไม่รู้เลยว่าขณะต่อไปเราจะคิดอะไร แต่ลืมอีกแล้วว่า ที่คิดอย่างนั้นก็ไม่ใช่เรา มีเหตุปัจจัยที่แต่ละคนจะคิดต่างกัน นั่งอยู่ด้วยกัน ได้ยินด้วยกัน ก็คิดต่างๆ กันไป ตามการสะสม

    เพราะฉะนั้นถ้ายิ่งเข้าใจธรรมจริงๆ ก็จะรู้ว่าการได้เข้าใจอย่างนี้ จะมีประโยชน์กว่าการที่เกิดมาแล้วเป็นคนเก่ง มีความสำเร็จต่างๆ มีลาภ มียศ มีสรรเสริญ แต่ว่าไม่รู้ความจริงว่า เป็นธรรม ไม่มีตัวใครเลยสักคนเดียว อย่างที่กล่าวถึงในตอนต้น เกิดมาเป็นอย่างนี้ พรุ่งนี้หายไปได้ ไม่อยู่ในโลกนี้อีกต่อไปแล้ว ลองคิดดู เพราะอะไรจึงกล่าวว่าไม่มีคนนั้นอีกแล้ว หรือไม่มีอีกเลย เพราะไม่มีสภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดขึ้นเป็นไป โดยใครก็บังคับบัญชาไม่ได้ ว่าจะให้อยู่ในโลกนี้อีกนานต่อไป หรือว่าอยู่ในโลกนี้เพียงอีกไม่นานเลย

    เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า จริงๆ แล้วเราไม่ได้เข้าใจว่าไม่มีเรา ประกาศนียบัตร หรืออะไรทั้งหมด ก็เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา ให้คิดให้นึก ปรุงแต่ง ให้ติดข้อง โดยไม่รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแล้ว ชั่ว ๑ ขณะจิตที่เกิดแล้วดับไป ไม่มีใครสามารถที่จะทำอะไรได้เลย เพราะมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้ขณะต่อไปเกิด โดยเลือกไม่ได้ แต่สามารถที่จะเข้าใจได้ในความเป็นอนัตตา และในทุกอย่างของทุกชีวิตเกิดมาเป็นอย่างนี้ แล้วก็หายไป ไม่กลับมาอีกเลยเป็นคนนี้ต่อไปไม่ได้เลยทั้งสิ้น เพราะว่าเรายึดถือสภาพธรรมที่เกิดดับว่าเป็นเรา ยึดถือสภาพธรรมที่เกิดดับว่าเป็นเขา ยึดถือสภาพธรรม แล้วแต่ว่าจะเป็นสัตว์ เป็นบุคคลใดๆ ก็ตามแต่ เมื่อหมดปัจจัยที่จะให้สภาพธรรมซึ่งเป็นจิต เจตสิก รูป เกิดดับที่เป็นบุคคลนั้นสิ้นสุดลง ก็จะหายไป หายไปเลย ไม่กลับมาอีกเลย แต่ธรรมไม่หาย ตราบใดที่ยังไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็มีปัจจัยที่จะให้เกิด แล้วก็เลือกไม่ได้อีก เกิดต่อไปไม่มีสักใบหนึ่งก็ได้ จะไปเกิดที่ไหนเมื่อไร อย่างไรก็ได้ทั้งนั้นเลย ตามเหตุตามปัจจัย แต่การรู้การเข้าใจธรรม จะเห็นได้เลยว่า มีค่ามากกว่าอย่างอื่น เพราะเหตุว่าสามารถที่จะรู้ความจริงว่า ไม่มีเรา แต่ว่ามีธรรม ซึ่งเป็นความเห็นที่ถูกต้อง ถ้าละความหวังอย่างที่ทุกคนหวัง ต้องด้วยการรู้ว่า หวังเป็นสภาพธรรมที่ไม่ใช่เรา ตราบใดที่ยังไม่รู้ว่า ขณะใดก็ตาม หวังต้องเกิด ทุกคนหวัง เพียงแค่ขณะต่อไปก็หวังแล้ว เดี๋ยวจะดื่มน้ำ หรือว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่ นิดๆ หน่อยๆ ก็หวัง หวังอยู่เรื่อยเพราะมีปัจจัยที่จะทำให้หวัง แต่ถ้ารู้ว่าหวังเกิด แล้วก็หมดไป หวังก็ไม่ใช่เรา หวังก็ไม่ใช่ใคร หวังสิ่งที่ปรากฏทางตาให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หวังเสียงที่ปรากฏทางหู หวังกลิ่น หวังรส หวังสัมผัส หวังคิดนึกเรื่องราวให้เป็นสุข จนกระทั่งได้ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แต่ขณะนั้นก็เพียงเกิดขึ้นแล้วก็หมดไป

    เพราะฉะนั้นชีวิตจริงๆ ก็คือธรรม หรือธาตุซึ่งมีปัจจัยเกิดดับสืบต่อไม่สิ้นสุด ถ้าไม่มีปัญญาที่จะรู้ความจริง ก็จะต้องเป็นอย่างนี้ เพราะเป็นมาแล้วแสนโกฏิกัป แล้วก็จะเป็นต่อไป ถ้าย้อนคิดถึงอดีตที่จะมาเป็นวันนี้ แล้วก็ถึงอนาคตที่จะเกิดขึ้นต่อไป โดยไม่รู้สภาพธรรมขณะนี้ ชื่อว่าไม่รู้ความจริง เป็นแต่เรื่องคิด และเข้าใจตามความคิดด้วยความเป็นตัวตน

    เพราะฉะนั้นธรรมเป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง แล้วก็เป็นจริง แล้วถ้าเห็นคุณค่า เห็นประโยชน์ของการบำเพ็ญพระบารมีของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จากผู้ที่แสนโกฏิกัปมาแล้วด้วยกัน แต่ไม่มีการที่จะพิจารณา แม้แต่ว่าความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ความจริงแท้ๆ นั้นคืออะไร ก็จะไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เพราะเหตุว่ามีการที่จะพิจารณาเพื่อที่จะได้รู้ความจริง ไม่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่ปรากฏ ความจริงแท้ของสิ่งนั้นคืออะไร ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่มีใครทำขึ้นมาได้ แต่ว่ามีตามเหตุตามปัจจัย กว่าจะได้รู้ความจริง ก็ต้องเป็นการอบรมความเห็นถูก ซึ่งตรง ไม่ใช่มุ่งต่อใบต่างๆ อย่างที่ว่า แล้วก็จะทำให้ละความไม่รู้ เพราะว่าไม่รู้ว่า แท้ที่จริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างเพียงปรากฏให้ติดข้อง เพราะไม่รู้ความจริง

    ผู้ฟัง เรียนถามสั้นๆ ว่า ความหวังเป็นสัจจธรรม เป็นของมีจริงเป็นของที่พระพุทธเจ้านำมาใช้เพื่อการตรัสรู้ ก็อยากจะขอความกระจ่างตรงนี้ เพราะถ้าหวังไม่ใช่สันตติสืบต่อแล้ว แล้ววันข้างหน้า เราจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร และอย่างไร

    ท่านอาจารย์ หวังจริงๆ มีจริงๆ สิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นธรรม แล้วหวังซึ่งมีจริง ก่อนอื่นต้องทราบว่า เป็นเรา หรือว่าเป็นธรรม ตั้งต้นด้วยการที่จะเข้าใจว่า สิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นธรรม ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้

    เพราะฉะนั้นหวังเกิดขึ้นเป็นหวัง เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้ แล้วก็ไม่ใช่ใครหวังด้วย แล้วหวังก็ดับไป เพราะฉะนั้นหวังก็เป็นธรรม สัจจธรรมของหวังก็คือเกิดขึ้นแล้วดับไป แต่ข้อที่ควรจะพิจารณา ก็คือว่าหวังมีจริงๆ หวังเป็นสิ่งที่ดี เป็นกุศล หรือว่าเป็นอกุศล เพราะว่าเป็นความติดข้อง หรือไม่ ถ้าไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครจะละหวังได้ ก็ยังจะต้องหวังกันเรื่อยไป

    เพราะฉะนั้นก่อนอื่นก็ต้องทราบว่า แม้แต่สภาพธรรมที่มีจริงซึ่งเป็นความหวังก็มีหลายระดับขั้น ความหวังซึ่งไม่เป็นโทษเป็นภัยกับใคร และถ้าความหวังในแสนโกฏิกัป หวังที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรม หวังเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่หวังเพื่อไม่รู้ ไม่ใช่หวังเพื่อติดข้องในลาภ ในยศ ในสรรเสริญ แต่หวังที่จะรู้ความจริง ความหวังนั้นไม่เป็นโทษ เมื่อ สามารถบรรลุถึงความจริง

    เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่มีจริงๆ ก็มีหลายระดับขั้น ยังมีกิเลสอยู่ตราบใดไม่หมดหวัง ก็ยังต้องหวังอยู่ แต่หวังด้วยความเป็นเรา ด้วยความเป็นตัวตน เพื่อตัวเรา เพราะว่าเมื่อมีเราก็ต้องหวังทุกอย่างเพื่อตัวเอง อย่างนั้นก็จะทำทุจริตกรรมได้ หวังอย่างนั้น ความติดข้องอย่างนั้นเป็นโทษ แต่ถ้าเป็นความหวังใดๆ แม้เป็นความหวัง แต่ว่าหวังเพื่อที่จะได้รู้ความจริง และหวังนั้นไม่ใช่เพียงแต่หวังเลื่อนลอย หวังว่าจะรู้ความจริง แต่ก็ไม่ได้สามารถจะนำไปสู่การรู้ความจริงได้ หวังนั้นๆ ก็ เป็นโทษ เพราะเหตุว่าไม่สามารถที่จะทำให้ละความหวังได้ แต่ถ้าความหวังใดแม้มี แต่ก็สามารถจะนำไปสู่การรู้แจ้งสภาพธรรมได้ หวังนั้นไม่เป็นโทษ เพราะเหตุว่านำไปสู่การรู้แจ้งอริยสัจธรรม

    ด้วยเหตุนี้ทุกอย่างตรง แล้วก็จริง แต่ว่าต้องเป็นความละเอียดที่จะรู้ว่า หวังอะไรแล้วก็เป็นกุศล หรือเป็นอกุศล มีใครหวังที่จะหมดกิเลสบ้างไหม มีใครหวังที่จะถึงนิพพานบ้างไหม มีใครหวังที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้บ้าง หรือไม่ หวังใช่ไหม ต้องดำเนินไปเพื่อที่จะให้สมความหวังคือรู้แจ้งสภาพธรรม เพียงหวังเลื่อนลอย ไม่ฟัง ไม่ไตร่ตรอง แล้วก็หวังเลื่อนๆ ลอยๆ ว่าทำอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็ จะได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม หวังอย่างนั้นเป็นโทษ เป็นความติดข้อง โดยที่ว่าไม่ทำให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง หวังขณะนั้น หวังอย่างนั้นไม่เป็นโทษ แต่ตัวหวังเองเป็นสภาพธรรมที่ยังคงติดข้อง ก็ต้องเป็นธรรมฝ่ายไม่ดี แต่ว่าธรรมฝ่ายไม่ดีนั้นไม่ได้ทำให้เกิดโทษ เพราะเหตุว่านำไปสู่การที่อบรมเจริญปัญญาที่จะทำให้รู้แจ้งสภาพธรรมได้ เพราะฉะนั้นก็ต้องตรง อกุศลเป็นอกุศล โลภะเป็นโลภะ แต่มีโทษ หรือไม่มีโทษ แล้วแต่ว่านำไปสู่อะไร

    ผู้ฟัง กราบเรียนท่านอาจารย์ กระผมพันเอกบุญเลิศ สิทธิกุล อนุศาสนาจารย์กองทัพภาคที่ ๓ ก็อยากจะขออนุญาตเรียนถาม เห็นอริยสัจจ์ตามความเป็นจริงนั้น เห็นอย่างไร อันนี้เป็นประการแรกที่อยากจะถาม ประการที่ ๒ บอกว่าภพใหม่ไม่มีอีกต่อไปนั้น หมายถึงไม่เกิดอีกใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ อริยสัจจะที่ ๑ คือ ทุกขอริยสัจจะ ทุกอย่างที่เกิดแล้วดับเป็นสุข หรือเป็นทุกข์ ทุกอย่างที่เกิดแล้วดับไป เกิดแล้วดับไป เกิดแล้วดับไป ไม่เหลือด้วย เป็นสุข หรือเป็นทุกข์ เกิดมาทำอะไร เพียงเกิดแล้วก็ดับ แล้วก็หมด แล้วก็ไม่มีเลย ควรจะเกิดไหม ในเมื่อเกิดแล้วดับ แล้วไม่เหลือ เหมือนตอนที่ไม่เกิด ไม่มีต่างกันเลย ถ้าเกิดแล้วยั่งยืน ก็เป็นที่น่าพอใจ แต่สิ่งใดก็ตามที่เกิดแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีก ก็เหมือนตอนที่ไม่ได้เกิดขึ้น แล้วจะติดข้องพอใจในสิ่งนั้น หรือไม่ ซึ่งเพียงเกิดแล้วก็ดับไป แล้วก็บังคับไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ จะบังคับสิ่งที่เกิดแล้วไม่ให้ดับก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้นขณะนี้ เห็นต้องเกิดแล้วดับ อริยสัจจะคือความจริงที่ทำให้ผู้ที่เห็นทุกข์นี้ คือ การเกิดขึ้นแล้วดับไป ละความติดข้องตามลำดับขั้น ความติดข้องแรกที่จะละก็คือความติดข้องว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะว่าการเกิดดับสืบต่อเร็วมาก ในขณะนี้ถ้าจะพูดถึงว่า จิตเห็นกำลังเกิดดับสืบต่อ ไม่มีใครเห็นการเกิดดับสืบต่อของจิตเห็นเลย แต่ก็ยังมีเห็น เป็นนิมิต เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นนิมิตของสภาพธรรมที่เกิดดับสืบต่อ

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่าการที่จะเข้าใจเรื่องของการเกิดดับ ไม่ใช่เพียงแต่คิดไตร่ตรอง เพราะว่าขณะที่คิดไตร่ตรองก็ยังเป็นเรา ยังไม่ได้เป็นธรรมแต่ละอย่างซึ่งเกิดตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นในครั้งก่อน มีผู้ที่ถามพระภิกษุว่าท่านบวชในศาสนาของท่านพระผู้มีพระภาคพระสมณโคดมเพื่ออะไร ท่านเหล่านั้นตอบว่าเพื่อรู้ทุกข์ ไม่ได้หมายความว่าเราทุกคนรู้ทุกข์ เป็นเราทุกข์ แต่ไม่ได้รู้ว่า ทุกข์เป็นสภาพธรรมซึ่งเกิดตามเหตุตามปัจจัย แล้วทุกข์อะไรที่ทนได้ยาก ทุกข์กาย ถ้ามีกายต้องมีทุกข์ ขณะนี้ใครกำลังเคืองตา เจ็บตา เพราะมีตา ใครกำลังจะปวดท้อง หรือทำอะไรก็ได้เพราะมีท้อง คือว่าเมื่อมีรูป ก็จะต้องทีสภาพธรรมที่เป็นทุกข์เพราะมีรูปร่างกายเป็น ทุกข์กาย แต่ว่าจริงๆ แล้ว ทุกข์กายกับทุกข์ใจ ทนอะไรได้มากกว่ากัน คนที่มีปัญญาถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ยังต้องมีทุกข์กาย เพราะทุกข์กายเป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้วในอดีต ไม่มีใครสามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้ เหมือนในขณะนี้ ทางตาเห็น ไม่ใช่ทุกข์ หลีกเลี่ยงให้เห็นไม่ได้เลย แล้วก็ไม่สามารถจะรู้ได้ว่า เห็นขณะนี้เป็นผลของกรรมไหน ชาติไหนทำให้เห็นขณะนี้

    เพราะฉะนั้น แม้แต่ความปวดเจ็บทางกายที่เกิดขึ้น ก็เพราะกรรมเป็นปัจจัย ทำให้เกิดทุกข์ทางกายขึ้น หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย แต่ว่าผู้ที่เป็นพระอรหันต์ มีแต่ทุกข์กาย ทุกข์ใจไม่มี แต่คนที่ยังมีกิเลสอยู่ทุกข์กายก็เดือดร้อน หรือว่าถึงแม้ว่าไม่ใช่ทุกข์ ก็เดือดร้อนเพราะความติดข้อง เพราะฉะนั้นก็มีทุกข์หลายอย่าง แล้วแต่ว่าใครสะสมอบรมมาที่จะทนได้ในทุกข์ไหน


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 168
    11 ม.ค. 2567