พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 382


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๓๘๒

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๐


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังฟัง ก็เริ่มเข้าใจสิ่งที่ปรากฏ อย่าทิ้ง ไม่ใช่ไปเข้าใจคำในหนังสือ และไม่เข้าใจสิ่งที่ปรากฏ แต่สิ่งที่ปรากฏเข้าใจยากมาก ไม่ง่ายเลย เพราะเราคุ้นเคยที่จะไม่เข้าใจสิ่งที่ปรากฏ ไปเข้าใจสิ่งที่เกิดดับสืบต่อ จนปรากฏเป็นนิมิตว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด และเข้าใจว่า สิ่งนั้นเที่ยง ที่จริงแล้วการเกิดดับของสิ่งที่ปรากฏทางตา กว่าจะปรากฏให้เห็นเป็นนิมิตต่างๆ แล้วก็มีการจำนิมิตที่หลากหลายว่า นิมิตนี้เป็นคน นิมิตนั้นเป็นสัตว์ จะเป็นสัตว์ที่ต่างกัน เป็นนก เป็นแมว เป็นหมู เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ อะไรก็ตาม ข้ามการเข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏทางตา

    ด้วยเหตุนี้จะเห็นได้ว่า อวิชชามาก แล้วเราก็ไปเรียน ไปจำ โดยที่ไม่เข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ แต่ถ้าเป็นการฟังด้วยการเข้าใจถูกต้องว่า เพื่อเข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ เดี๋ยวนี้ที่ฟังกำลังมีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา แม้ว่าจะยังไม่สามารถเข้าใจรู้ชัด แต่เริ่มที่จะเข้าใจความจริงว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏเท่านั้นเอง แล้วต่อไปก็จะค่อยๆ เข้าใจสลับกับการฟังอย่างนี้ ได้ยินอย่างนี้ เข้าใจเรื่องอย่างนี้ แล้วก็มีสิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ อย่างนี้

    เพราะฉะนั้นก็ค่อยๆ เป็นความเข้าใจในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ แล้วไม่ต้องไปเรียกเลยว่า ขณะไหนเป็นสติปัฏฐาน ขณะไหนหลงลืมสติ ไม่จำเป็นต้องไปเรียกชื่อ แต่สภาพความเป็นจริงก็คือว่า ในขณะที่ได้ยิน ขณะนั้นเป็นจิตที่รู้เสียง แต่ก็มีสิ่งที่ปรากฏทางตา แล้วก็มีจิตเห็น มีจิตได้ยิน มีจิตคิดนึก เพราะฉะนั้นเริ่มที่จะเข้าใจสภาพธรรมใด ก็รู้ว่าความจริงของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่ปรากฏนั้นเป็นอย่างนั้น นี่คือการศึกษาธรรมที่จะเข้าใจว่า สิ่งที่ปรากฏเป็นธรรมซึ่งไม่ใช่เรา เท่านั้นเอง เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ แต่ก็ติด ก็หลง ยึดถือเพราะว่าเกิดดับอย่างรวดเร็ว เหมือนกับลวงให้เห็นว่า มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดว่าเที่ยง แต่ความจริงเป็นสิ่งที่เพียงกระทบปรากฏแล้วก็หมดไป แล้วเราก็ไปติดไว้มากมายเหลือเกินในแสนโกฏิกัปป์ เพราะไม่รู้ความจริง

    เพราะฉะนั้นกว่าที่จะมีความเข้าใจในขณะที่ฟัง ก็เป็นสติระดับหนึ่ง แต่สติขั้นที่สามารถจะระลึกลักษณะของสภาพธรรม จะเหมือนกับสติที่กำลังฟัง และเริ่มเข้าใจ หรือไม่ หรือว่ามีกำลังเพิ่มขึ้นสามารถเป็นการรู้ลักษณะที่ปรากฏ แม้สั้น และไม่ต้องไปคิดถึงว่า เกิดแล้ว ดับแล้ว ก็ปรากฏอีก ก็คือจากการที่ไม่เคยสนใจ ใส่ใจ ที่จะเข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ การฟังมากๆ ก็เป็นปัจจัยหนึ่งซึ่งเป็นสังขารขันธ์ ทำให้เริ่มเข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏในขณะที่กำลังฟังเรื่องสิ่งที่ปรากฏ แต่ถ้าเป็นขณะอื่นยากไหม แม้ขณะที่กำลังฟังแล้วมีสิ่งที่ปรากฏ แล้วก็กำลังฟังเรื่องนี้ ก็ยังเริ่มที่จะเข้าใจจนกว่าจะรู้ตามความเป็นจริงว่า ขณะเห็นไม่ใช่ขณะคิด เพราะฉะนั้นการที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมก็ละเอียดขึ้น ทำให้รู้ว่า ค่อยๆ เป็นธรรมทั้งหมด จนกว่าจะหมดความสงสัยในลักษณะของสภาพธรรม

    ผู้ฟัง นั่นหมายความว่า การฟังให้เข้าใจอย่างที่ท่านอาจารย์อธิบายจริงๆ แล้วก็ไตร่ตรองตามว่าความจริงเป็นอย่างนี้ กับฟังไปเรื่อยๆ ก็จะต่างกัน เพราะว่าฟังให้รู้ อย่างที่ท่านอาจารย์บอกว่าฟังด้วยความจริงใจ เพื่อจะรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แล้วก็ไตร่ตรองว่าจริงตามนี้จริงๆ เพราะว่าพระผู้มีพระภาคไม่ได้ตรัสรู้อย่างอื่น นอกจากความจริงที่ปรากฏ ถ้าฟังไปเรื่อยๆ ก็เรื่อยไป แต่ถ้าฟังแล้วไตร่ตรอง ก็มีโอกาสเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เพียงฟัง ไม่ใช่เพียงได้ยิน แต่เข้าใจในขณะที่ฟัง แล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏตามความเป็นจริงให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    ผู้ฟัง ในวิถีจิต การเห็นมันขณะเดียว ซึ่งเร็วมาก สติจะระลึกอย่างไร หรือต้องระลึกถึงเหตุปัจจัยไหม

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ระลึกชื่อปัจจัย

    ผู้ฟัง ไม่ใช่ระลึกชื่อปัจจัย แต่สติต้องระลึกไปถึงตรงนั้นไหม

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ระลึกชื่อปัจจัย ขณะนี้ทุกคนทราบว่า จิตเห็นจะเป็นจิตเห็นได้ไหมถ้าไม่มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาให้เห็น มีได้ไหม เพราะฉะนั้นจิตเห็นต้องอาศัยสิ่งที่ปรากฏทางตาแน่นอน ไม่ได้อาศัยเสียง เพราะว่าสิ่งที่ปรากฏทางตากำลังปรากฏกับจิตที่เห็น ถ้าคุณสุกิจเข้าใจอย่างนี้จริงๆ คุณสุกิจเข้าใจความเป็นอารัมมณปัจจัย ถ้าใช้ชื่อเรียก หมายความว่าจิตจะเกิดโดยไม่อาศัยสภาพธรรมที่เป็นอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นในขณะนี้ที่ไม่ได้กล่าวถึงปัจจัย ก็เพราะเหตุว่ายังไม่ได้รู้ลักษณะของจิตเห็น ธาตุเห็น เพียงแต่จำชื่อว่า ขณะนี้เป็นจิตเห็นที่กำลังเห็น เพราะฉะนั้นจะไปรู้แล้วจะไปนึกถึงชื่อทำไม แต่การที่สามารถจะรู้ได้ว่า ขณะนี้เป็นจิตชนิดหนึ่ง เป็นธาตุรู้ที่กำลังเห็น ไม่ใช่เป็นธาตุรู้ที่คิด ไม่ใช่เป็นธาตุรู้ที่ได้ยินเสียง เพราะฉะนั้นในขณะนี้สิ่งที่ปรากฏทางตานี้แหละต้องเป็นปัจจัยแก่จิต เพราะฉะนั้นจิตนี้จึงเกิดได้ และกำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏ ถ้ากล่าวเป็นคำก็คือ ขณะนี้รูปารมณ์เป็นอารัมมณปัจจัย คือ เป็นปัจจัยของจิตที่กำลังเห็นนั่นเอง เพราะฉะนั้นถ้ายังไม่รู้ลักษณะของจิต จะไปกล่าวถึงชื่อ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร แต่การที่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมเพิ่มขึ้น ก็สามารถรู้ในความเป็นปัจจัย โดยไม่ต้องกล่าวถึงชื่อ เพราะเหตุว่าจิตก็เป็นธาตุรู้ ซึ่งรู้ทุกอย่างได้หลากหลาย

    ผู้ฟัง มีคำถามจากท่านผู้ฟังฝากกราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า ขณะนี้ธรรมกำลังปรากฏมากมายตลอดเวลา แต่ไปคิดนึกถึงชื่อเรื่องราวของธรรมอื่นๆ ที่ไม่ใช่ธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้ จึงไม่รู้ และเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้เอง ดังนั้นจากการศึกษาขั้นการฟังก็รู้ว่า ความรู้ความเข้าใจจะต้องเป็นไปตามลำดับขั้นจริงๆ ว่าเป็นลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม จึงเรียกชื่อ และใช้ชื่อเรื่องราวของลักษณะธรรมต่างๆ นำมาสนทนาธรรมกัน คำถามก็คือ แม้จะเรียกชื่อเรื่องราวของธรรมได้ถูกต้องนั้น เป็นการรู้ และเข้าใจลักษณะตัวจริงของสภาพธรรมนั้น จริงๆ หรือไม่

    ท่านอาจารย์ การฟังธรรมเพื่อปัญญาของตัวเอง ตรงนี้ลืมไม่ได้เลย ถ้ายังไม่เข้าใจก็ไตร่ตรอง พูดมาแล้วก็จะสรุปให้ใครตอบ ถ้าเขาตอบอย่างหนึ่ง เราเชื่อไหม จริง หรือไม่ที่เขาตอบ หรือเขาตอบผิด ถ้าสมมติจะตอบให้ผิด เชื่อไหม ไม่เชื่อ เพราะเป็นความเข้าใจของเราเอง ต้องมีความมั่นใจในสิ่งที่เข้าใจ เพราะพิจารณาแล้ว เป็นเหตุเป็นผลถูกต้อง หรือไม่ แต่ไม่ใช่ฟังแล้วจริง หรือไม่ แต่ต้องไตร่ตรองด้วยตัวเอง ที่ต้องกล่าวแบบนี้บ่อยๆ เพราะว่าไม่อยากให้มีการฟัง แล้วยังไม่ใช่ความรู้ความเข้าใจของตัวเอง แต่ว่าฟังแล้วขอให้เป็นความเข้าใจของตัวเอง จะถูกจะผิดอย่างไร ก็คือไตร่ตรอง แล้วก็ทบทวน แล้วก็ฟัง แล้วก็ปรึกษาหารือ แต่ไม่ใช่ให้คนอื่นตัดสิน เขาจะพูดว่าอย่างไรก็ต้องฟังอีกว่า ที่พูดนั้นถูกต้อง หรือไม่

    อ.อรรณพ เพราะว่าฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจไป แม้ขั้นการฟัง จนกว่าจะเข้าใจความจริงในขณะนี้ เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีผู้รู้ได้ตามนั้น พระองค์จะทรงแสดงทำไม ใช่ไหม ก็ต้องมีผู้รู้ได้เป็นขั้นๆ ผู้รู้เป็นพระอรหันต์ก็มี เป็นพระโสดาบันก็มี เป็นผู้ที่รู้แจ้งเป็นวิปัสสนาญาณแต่ละขั้นก็มี หรือเพียงอบรมเจริญสติปัฏฐาน หรือเพียงฟังแล้วมีความเห็นถูกก็มี เพราะฉะนั้นก็ต้องรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้ตามความเป็นจริง แต่ไม่ได้หมายความว่า พอได้ยินตรงนี้ก็คิดว่า จะต้องรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงได้จริงๆ ไหม จะต้องได้จริงๆ แน่ ถ้าความเข้าใจจากการฟังนั้นเพียงพอ

    อ.ธิดารัตน์ เราอาจจะศึกษาเยอะมาก แต่สภาพธรรมที่ปรากฏ เข้าใจเพียงลักษณะหนึ่ง สอง ลักษณะ แม้กระทั่งรูปที่ปรากฏ ๗ รูปในชีวิตประจำวัน ก็คือต้องศึกษารูปเหล่านี้ แล้วก็สภาพจิตที่มีลักษณะต่างๆ เท่าที่รู้ได้ เมื่อศึกษาจะเข้าใจได้ว่า เมื่อเข้าใจธรรมที่ปรากฏ จะค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปจริงๆ ทีละเล็กทีละน้อย แต่เมื่อเข้าใจก็จะไม่ต่างจากพยัญชนะที่เราศึกษา เมื่อจะอธิบายลักษณะก็ตามพยัญชนะนั้น

    เพราะฉะนั้นการศึกษาบัญญัติต่างๆ ก็เกื้อกูลที่จะเป็นปัจจัยให้เข้าถึงสภาพธรรมโดยไม่ติดในชื่อ เพราะว่าศึกษาชื่อเพื่อเข้าใจลักษณะ และเมื่อลักษณะมีปรากฏอยู่ แต่ถ้าเราไม่เคยศึกษาชื่อเลย แม้ลักษณะปรากฏก็ไม่รู้ หรือศึกษาชื่อจนหมด แต่ไม่เคยพิจารณาลักษณะที่ปรากฏ ก็ไม่สามารถเข้าใจตัวจริงๆ ของธรรมได้ และเมื่อเริ่มเข้าใจตัวจริงๆ ของธรรม เราจะทราบเลยว่า การที่เราจะเข้าใจเพิ่มขึ้นอีก ก็คือฟัง และศึกษาเพิ่มขึ้น เพื่อความมั่นคงขึ้น และจะรู้ตัวเองว่า ปัญญาไม่สามารถข้ามขั้นตอนไปได้ ถึงแม้อธิบายเรื่องอินทรีย์ แต่เข้าใจความเป็นนามธรรม และรูปธรรม หรือไม่ ถ้ายังไม่เข้าใจว่าเป็นเพียงสภาพธรรมที่ปรากฏทีละอย่าง มีลักษณะของรูปธรรมอย่างไร มีลักษณะของนามธรรมอย่างไร ลักษณะของนาม ไม่เคยปรากฏตามความเป็นจริงเลย แล้วเราจะไปรู้โดยความเป็นใหญ่ของลักษณะจิตจะเป็นไปได้ไหม ผู้ศึกษา และผู้พิจารณาสภาพธรรมจะรู้ตัวเองว่า ตอนนี้ความเข้าใจของเราที่รู้สภาพธรรมแค่ไหน กับการศึกษาเรื่องราวต่างกันอย่างไร

    อ.กุลวิไล เพราะว่าพระธรรมที่ทรงแสดงทั้งหมดก็ไม่พ้นสภาพธรรมที่มีจริง ที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้นั่นเอง เพราะฉะนั้นถ้าเราศึกษาพระธรรม ก็เป็นปัจจัยให้เราไตร่ตรอง และพิจารณาถูกต้อง แม้แต่เรื่องอินทรีย์ ซึ่งอินทรีย์ ๒๒ ก็ไม่พ้นสภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิก และรูปนั่นเอง ก็คือนามธรรม และรูปธรรมที่มีอยู่ในขณะนี้ แต่เราจะรู้ในความเป็นอินทรีย์ หรือไม่ เพราะแม้แต่ปสาทรูปทั้ง ๕ ไม่ว่าจะเป็นจักขุปสาท โสตปสาท ที่ว่าเป็นอินทรีย์ ก็เพราะว่าสามารถกระทบกับรูปารมณ์ที่จะเป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิดขึ้น ซึ่งขณะนี้ก็มีจักขุนทรีย์ แต่เรารู้ถึงความเป็นจักขุนทรีย์ หรือไม่ นอกจากความเป็นนามธรรม หรือรูปธรรมที่ปรากฏแต่ละทาง

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้ธรรมกำลังปรากฏมากมายตลอดเวลา ขณะนี้ต้องทีละ ๑ ขณะ และเวลาที่สภาพธรรมปรากฏทีละ ๑ ขณะ ต้องเป็นสภาพธรรมเดียว จะเป็นหลายๆ ขณะ จะเป็นหลายๆ สภาพธรรมพร้อมกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นการฟัง ถ้ารวมสภาพธรรมทั้งหมดก็เป็นเรา แต่ถ้าได้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมทีละอย่างให้ชัดเจน และค่อยๆ เข้าใจว่าเป็นธรรม ก็จะไม่มีเรา เพราะฉะนั้นถ้าขณะนี้สภาพธรรมปรากฏ ที่กล่าวว่ามากมายตลอดเวลา ก็ต้องทราบว่า มากมาย เพราะเราคิด หรือสภาพธรรมปรากฏจริงๆ ทีละลักษณะ เช่นขณะที่กำลังเห็น เสียงไม่ได้ปรากฏเลย และขณะที่เสียงปรากฏ สิ่งที่ปรากฏทางตาจริงๆ ไม่ได้ปรากฏ แต่เพราะความรวดเร็วก็ทำให้เห็นว่า เหมือนปรากฏพร้อมกัน พูดว่า “มากมาย” เพราะตำราบอกใช่ไหม จิต ๑ ขณะ มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย แล้วแต่ว่าเป็นจิตประเภทไหน ก็มีเจตสิกหลายประเภทเกิดร่วมด้วย และเกิดดับสืบต่อเร็วจนเหมือนว่ามากมาย แต่ว่าตามความเป็นจริงสภาพธรรมปรากฏมากมาย หรือว่าเข้าใจ หรือว่าคิดว่ามากมาย นี่ก็เป็นสิ่งที่จะต้องเข้าใจถูกต้อง

    ผู้ฟัง ขณะนี้ธรรมกำลังปรากฏมากมายตลอดเวลา แต่ไปคิดนึกถึงชื่อเรื่องราวของธรรมอื่นๆ ที่ไม่ใช่ธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้

    ท่านอาจารย์ ตอนนี้ก็เป็นความเข้าใจถูกว่า ขณะที่คิดถึงชื่อ ไม่ใช่เป็นการรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ แสดงว่าคิดมาก แล้วอีกความหมายหนึ่งของจิต ก็คือจิตเป็นสภาพที่มากด้วยความคิด มีใครปฏิเสธบ้าง ถ้ารู้ว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาแสนสั้น แต่ว่าคิดมากมายจากสิ่งที่ปรากฏทางตา ถึงแม้ไม่มีสิ่งใดปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจก็ยังคิดมาก เพราะฉะนั้นจิตเป็นสภาพที่มากด้วยความคิด

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นจึงไม่รู้ และเข้าใจลักษณะของธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้เอง

    ท่านอาจารย์ นี่ก็ถูกต้อง กำลังคิดแต่ลักษณะของสภาพธรรมก็ปรากฏ เพราะฉะนั้นจะรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏได้อย่างไร ในเมื่อเพียงกำลังคิดเรื่องสิ่งที่ปรากฏ นี่แสดงให้เห็นว่า ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระมหากรุณาที่ทรงแสดงพระธรรม โลกมืดด้วยความไม่รู้ ความจริงของสภาพธรรม ตื่นก็ไม่รู้ว่าเป็นเรา หรือไม่ หรือเป็นธรรม หาเราไม่เจอ หาธรรมไม่เจอ หาอะไรไม่เจอ แต่ตื่น แล้วนั่นอะไร ก็เป็นธรรมที่มีจริง เป็นสภาพธรรม ให้เข้าใจว่าขณะนี้กำลังฟังธรรม เรื่องธรรม เพื่อรู้จักธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ที่กำลังปรากฏ นั่นจึงจะเป็นการศึกษาธรรมจริงๆ มิฉะนั้นมีแต่ชื่อ และไม่รู้ว่า ขณะนี้เป็นธรรม

    เพราะฉะนั้นการที่จะเข้าใจธรรมว่าเป็นธรรม ไม่ง่าย เพราะว่าเคยไม่รู้มานาน แม้แต่เวลาที่ได้ยินได้ฟังคำว่า “ธรรม” คำเดียว ก็ไม่สามารถที่จะรู้ว่า อะไรเป็นธรรม ขณะนี้เป็นธรรม หรือไม่ และธรรมขณะนี้เป็นธรรมอะไร ก็ไม่รู้ทั้งนั้นเลย เป็นเราบ้าง เป็นของเราบ้าง เป็นเรื่องราวต่างๆ บ้าง เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้มีความอดทน ขันติบารมี ในการที่จะฟังจนกว่าจะเข้าใจถูกต้องในลักษณะที่เป็นจริงของสภาพที่กำลังปรากฏ ไม่หลงเข้าใจผิด ไม่หลงไม่รู้ และไม่หลงไปในเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดจากสิ่งที่ปรากฏทางตา

    ผู้ฟัง ถ้าลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน ที่เป็นปรมัตถธรรม ในสภาพที่ยังไม่สามารถรู้ได้จริงๆ แต่จากการศึกษา จะอยู่ในลักษณะของความเข้าใจได้ แล้ววันหนึ่งๆ ก็มีแต่ความไม่รู้ แล้วหลงเพลิดเพลินไปในชีวิตประจำวัน แล้วปัญญาจะเจริญขึ้นได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ปัญญามี ๓ ขั้น หรือมีเพียงขั้นฟังขั้นเดียว

    ผู้ฟัง มี ๓ ระดับ

    ท่านอาจารย์ ขณะที่กำลังฟัง เป็นความเข้าใจในขณะที่ฟัง มีการคิดนึกถึงสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วมีความเข้าใจว่า ขณะนี้ที่ฟังเป็นสภาพที่เป็นจริงของสิ่งที่ปรากฏ ขั้นเข้าใจ แต่ไม่สามารถรู้จักตัวธรรมตามที่ได้ยินได้ฟังได้เลย แม้ว่ากำลังมี เช่น เห็น กำลังเห็น พูดเรื่องเห็น เห็นมีจริง เห็นอย่างอื่นไม่ได้เลย นอกจากมีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็เป็นเพียงธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งจะไม่ปรากฏถ้าไม่มีการเห็นสิ่งนั้น สิ่งนั้นจะไม่ปรากฏเลย แต่ว่าเวลาที่มีสภาพธรรมที่เกิดขึ้นกำลังเห็นเดี๋ยวนี้ สภาพธรรมที่กำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏขณะนี้ก็มีจริงๆ นี่คือฟังให้เข้าใจ ขณะที่กำลังฟังเข้าใจตามที่ฟัง หรือไม่ นี่เป็นขั้นต้น เมื่อรู้ว่า สภาพธรรมเป็นจริงอย่างนี้ สามารถจะประจักษ์ธาตุที่กล่าวถึงที่กำลังปรากฏ โดยการแทงตลอดความจริงของสภาพธรรมนั้นได้ไหม ว่าสภาพธรรมนั้นต้องเกิด ถ้าไม่เกิดจะไม่มีการเห็น และสิ่งที่ปรากฏทางตาก็ต้องเกิดด้วย เมื่อเกิดแล้วยังต้องกระทบกับจักขุปสาท ถ้าไม่กระทบกับจักขุปสาท เช่น สีสันวัณณะที่อยู่ข้างหลัง ไม่ปรากฏเลย เพราะว่าไม่ได้กระทบกับจักขุปสาท แต่สิ่งใดก็ตามที่กำลังปรากฏให้เห็นในขณะนี้ กระทบกับจักขุปสาท แล้วจิตเห็นเกิดขึ้น สิ่งนี้จึงปรากฏ

    เพราะฉะนั้นเมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ ปัญญาสามารถอบรมจนประจักษ์แจ้งแทงตลอด เป็นปัญญาอีกระดับหนึ่งซึ่งเนื่องมาจากความเข้าใจในขั้นการฟัง ถ้าความเข้าใจในขั้นการฟังไม่เป็นอย่างนี้ ไม่มีทางที่จะประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรมได้ เพราะฉะนั้นเมื่อมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ก็ควรที่จะได้รู้ว่า พระธรรมที่ทรงแสดง ทรงแสดงเรื่องความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ให้เห็นแจ้ง ประจักษ์จริงๆ ว่า สิ่งนั้นเป็นธาตุแต่ละอย่าง ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว มิฉะนั้นจะไม่มีการละคลายการติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ เสมือนว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ไม่เกิดดับเลย

    เพราะฉะนั้นก็ยังต้องติดข้องต่อไป แต่ว่าปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ คลายความไม่รู้ จนสามารถทำให้มีปัญญาพร้อมกับสติสัมปชัญญะที่กำลังรู้ตรงลักษณะของสิ่งที่กำลังได้ยินได้ฟัง ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏ กำลังพูดเรื่องสิ่งที่ปรากฏ สามารถรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ แล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกระทั่งคลายความไม่รู้ เพราะว่าทุกอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่มีเฉพาะสิ่งที่ปรากฏทางตา เสียงก็มี ได้ยินก็มี คิดนึกก็มี สุขก็มี ทุกข์ก็มี เฉยๆ ก็มี ทั้งหมดเป็นธรรม ไม่มีสักอย่างเดียวซึ่งเกิดปรากฏแล้วไม่ใช่ธรรม แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม

    เพราะฉะนั้นกว่าจะฟังเข้าใจ แล้วก็อบรมจนกระทั่งสามารถจะรู้ตรงลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ด้วยปัญญาที่เพิ่มขึ้น จึงสามารถคลายการที่เคยยึดถือว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ เพราะว่าเมื่อไรที่ถามก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งนั้นเลย เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่ต้องสะสมความเห็นถูก จนกว่าจะมีกำลัง จนสามารถรู้ว่าเรื่องความคิดเป็นเรื่องราว แต่สิ่งที่ปรากฏจริงๆ ไม่ได้คิด เกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย แล้วปรากฏ ซึ่งสิ่งที่เกิดแล้ว เกิดดับด้วย เพราะฉะนั้นในขณะที่กำลังฟังอย่างนี้ แล้วเวลาที่สติสัมปชัญญะกำลังรู้ตรงลักษณะ จะรู้ได้เลยถึงความต่างกันของลักษณะที่คิดหมดแล้ว ไม่เหลือเลย แต่สิ่งที่มี ที่กำลังปรากฏนี้แหละ ที่จะทำให้เข้าใจความจริงของสิ่งนั้นว่า ไม่มีอะไร นอกจากสภาพธรรม ไม่ใช่เรื่องที่เราคิด ไม่ใช่เรื่องโต๊ะ ไม่ใช่เรื่องเก้าอี้ แต่เป็นลักษณะของธรรมที่มี ที่กำลังปรากฏ ให้รู้ว่าเป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด

    ผู้ฟัง เวลาฟังท่านอาจารย์บรรยาย แม้จะเป็นประโยคเดิมๆ สิ่งที่กล่าวก็เหมือนเดิม แต่ทุกครั้งที่ฟังก็มีความเข้าใจเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย แต่เมื่อไม่ได้ฟัง ก็ไม่รู้เหมือนเดิม

    ท่านอาจารย์ แน่นอน เพราะเหตุว่าไม่ใช่มีแต่สติกับปัญญา อวิชชาก็มาก โลภะก็มาก อกุศลทั้งหลายก็สะสมมากกว่าด้วยซ้ำ และอะไรจะเกิดบ่อยกว่า แต่ปัญญาก็สามารถรู้ได้ว่า ขณะนั้นไม่ใช่การเข้าใจธรรม เพราะว่าเป็นเรื่องของโลภะ เรื่องของสภาพธรรมที่เป็นอกุศล

    ผู้ฟัง ทีนี้ลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดในชีวิตประจำวันไม่สามารถบังคับบัญชาให้รู้สภาพธรรมนั้นๆ ได้

    ท่านอาจารย์ แต่ค่อยๆ ฟังเข้าใจขึ้น จึงจะค่อยๆ คลายการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นตัวตน เราเกิดมากี่ชาติ แต่ละชาติรู้ลักษณะของธรรมที่ปรากฏในแต่ละชาติ หรือไม่ เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า แม้ได้ยินได้ฟังก็ต้องเป็นการอบรมความเข้าใจถูก ความเห็นถูก จนกว่าจะรู้จริงๆ ว่า ไม่มีเรา แต่เป็นธรรมที่เกิดแล้วดับ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 168
    10 ม.ค. 2567