พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 403


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๔๐๓

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐


    ท่านอาจารย์ มั่นคงขึ้นอย่างนี้ตลอดไปเรื่อยๆ ปัญญาจึงจะค่อยๆ เจริญขึ้นได้ เพราะความเข้าใจธรรม แต่ไม่ใช่เพียงมีกุศลขั้นทาน ขั้นศีล แต่ว่าไม่มีการรู้จักธรรมที่กำลังปรากฏเลย แล้วหวังว่าจะละเป็นสิ่งที่ละไม่ได้ แม้แต่ความอยากที่จะละกิเลสโดยไม่รู้อะไรก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย ขณะนั้นที่อยากละกิเลส เป็นอะไร เป็นอยาก เป็นอกุศล เพราะฉะนั้นก็ต้องฟังละเอียดขึ้น เหมือนอย่างที่ถามว่า ฟังโดยละเอียดแล้วก็จะทำให้มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น

    อ.กุลวิไล ดูเหมือนท่านอาจารย์จะเน้นให้เราเข้าใจในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ แต่เวลาที่เราศึกษาในส่วนของพระอภิธรรม ท่านก็แสดงละเอียดมากเลย แม้แต่ชื่อของสภาพธรรมต่างๆ จิต เจตสิก และรูป ซึ่งผู้ที่ศึกษาบางครั้งก็จะพยายามที่จะไปจำชื่อด้วย เพื่อที่จะเอาชื่อนี้มาใช้ในการสนทนาด้วย ท่านอาจารย์คิดว่าเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง หรือว่าผิดพลาดอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นคนที่ละเอียด เดี๋ยวนี้เป็นธรรม เข้าใจแค่ไหน แล้วจะเอาชื่ออะไร ไปคิดถึงชื่ออะไร ชื่อเยอะๆ มาจากไหน ทั้งหมดในพระไตรปิฎก และอรรถกถา ก็จากสภาพธรรมที่มีจริงที่กำลังปรากฏ และความเข้าใจคำที่ได้ยินได้ฟัง จะเข้าใจต่อเมื่อเข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏนั้นเอง

    อ.กุลวิไล เพราะจริงๆ ถ้าเป็นธรรม ถึงชื่อก็ไม่มี เพราะสภาพธรรมเขามี ลักษณะที่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม ถ้าหากเราอาศัยความเข้าใจในสภาพธรรมที่มีจริง แล้วเป็นปัจจัยให้เรามีความเห็นถูกในสิ่งที่ปรากฏ ก็ย่อมเป็นประโยชน์กว่าที่เราจะไปเรียนแล้วมีความจำในชื่อ หรือเรื่องราวมากๆ โดยที่ไม่รู้สภาพธรรมที่ปรากฏในขณะนี้

    ผู้ฟัง ยังไม่เข้าใจว่าจะศึกษาอย่างไร ให้ไม่ไปติดชื่อ อย่างยกตัวอย่างวิถีจิต เมื่อศึกษาก็เข้าใจว่า การที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ เราไม่สามารถรู้วิถีจิตตามนั้นได้ แต่ว่าให้เข้าใจว่าเขาเกิดดับด้วยเหตุปัจจัย และเป็นอนัตตา เป็นจิตนิยามอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้ที่กำลังเห็น แล้วไม่รู้ ปกติธรรมดา มีความติดข้องในสิ่งที่เห็น แต่ไม่รู้เลยว่า เป็นความติดข้อง ขณะนี้เป็นอย่างนี้ แล้วก็กำลังฟังว่า ในขณะที่เห็นแล้วไม่รู้ นี่แหละมีโลภะ นี่คือฟัง แต่ก็ยังไม่รู้อีก ว่าโลภะความติดข้องนั้นเป็นอย่างไร เพราะเหตุว่าถ้ากล่าวถึงความติดข้องที่ปรากฏชัดๆ อยากได้อะไร รู้เลยว่าเป็นโลภะ ติดข้องต้องการ แสวงหาอะไร ก็รู้อีก แต่เพียงมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ แล้วไม่รู้ ขณะนั้นมีความติดข้องระดับหนึ่ง จริง หรือไม่จริง

    ฟังธรรมให้เข้าใจ ไม่มีวิธีอื่นเลย ให้เข้าใจว่า ความติดข้องรวดเร็วแค่ไหน แล้วถ้าจะรู้จริงๆ เวลาที่ปัญญาสามารถรู้ความจริง ได้ ก็ต้องรู้ตรงนี้ มิฉะนั้นปัญญาละความติดข้องตรงนี้ไม่ได้ เห็นไหม ความละเอียดกว่าจะรู้ความจริงของสภาพธรรม จนสามารถที่จะสละความเป็นเรา ไม่ยึดถือ ไม่เห็นว่า สิ่งที่กำลังปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วสภาพเห็นขณะนี้ก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งปรากฏสืบต่ออย่างเร็วมาก จนกระทั่งไม่ประจักษ์การไม่เที่ยง การเกิดดับ การเป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างซึ่งปรากฏได้แต่ละทาง เช่น สิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะนี้ ไม่ใช่เสียงที่ปรากฏทางหู แล้วก็เสียง ใครไปทำให้เสียงเกิด ใครไปทำให้เสียงปรากฏ เป็นธรรมทั้งหมดเลย แต่ความไม่รู้เต็มทุกทาง แล้วก็มีการยึดถือแต่ละทางมากมายด้วย นานมาแล้วด้วย เพราะฉะนั้นเพียงฟังเข้าใจเพียงเล็กน้อย จะไปละความเป็นตัวตนไม่ได้

    เพราะฉะนั้นจึงต้องเป็น ภาวนาธิษฐาน มีการอบรม มีความเข้าใจอย่างมั่นคง ว่า แม้สภาพธรรมปรากฏ แต่เพียงขั้นฟังแค่นี้ ไม่สามารถที่จะสละความเป็นเรา ที่จะยึดถือว่า เป็นธรรมแต่ละอย่างซึ่งเกิดแล้วดับไปอย่างเร็วมาก ยังไม่เห็นว่า โลภะอยู่ตรงไหน มากน้อยแค่ไหน แต่ถ้าเป็นการอบรมเจริญปัญญาที่จะละ ดับอกุศลเป็นสมุจเฉทไม่เกิดอีกเลย ก็ต้องเป็นปัญญาที่สามารถที่จะถึงการรู้จริงอย่างที่ได้ฟัง

    ผู้ฟัง แต่ว่าการที่จะเข้าใจ สมมติว่า ทุกอย่างเกิดดับตามเหตุปัจจัยเป็นอนัตตา ไม่มีตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้ ในการละเอียดศึกษาเราก็ต้องเข้าใจปัจจัย แต่เมื่อเข้าใจแล้ว คือเมื่อศึกษา คือไม่ให้ไปติดในชื่อ แต่ต้องมาศึกษาปัจจัย ให้เข้าใจว่า ธรรมที่เห็นมีปัจจัยอะไรอย่างไร ต้องทำนองนั้น หรือไม่

    ท่านอาจารย์ เมื่อสักครู่ฟังละเอียดไหมเรื่องที่ว่า สภาพธรรมเกิดดับสืบต่อ และในขณะที่เพียงเห็นเกิดขึ้นปรากฏ ก็จะไม่รู้ว่าขณะนั้นมีความไม่รู้ ตาบอดแต่กำเนิด แล้วมีความติดข้องในระดับหนึ่งในขณะที่สิ่งนั้นกำลังปรากฏ เพราะว่าส่วนใหญ่จะรู้เพียงความติดข้องใหญ่ๆ เช่นความต้องการที่เกิดขึ้น ฟังแค่นี้เข้าใจ อย่างนี้ หรือไม่ หรือจะไปหาชื่ออะไรอีกเยอะๆ ชื่อมี ชื่อของโลภะ ความติดข้อง ไม่ได้มีแต่โลภะ ตัณหา นันทิ ราคะ อะไรก็อีกมากมาย จะต้องการชื่อ หรือว่ารู้ว่า ขณะนี้ความไม่รู้ระดับไหน มีสิ่งที่ปรากฏจริง แต่ทำไมไม่สามารถที่จะประจักษ์ว่า เป็นสภาพธรรมที่เกิดแล้วดับ สืบต่ออย่างเร็วมากจนเหมือนไม่ดับเลย ฟังอย่างนี้ละเอียดพอที่สามารถที่จะเห็นความจริงว่า ขณะนี้เป็นอย่างนี้ หรือไม่ หรือต้องไปหาชื่อ หาปัจจัย หาอะไรอีกหลายอย่าง ซึ่งถ้าเป็นความเข้าใจจริงๆ แม้แต่คำว่า “อนัตตา” เข้าถึงไหมในความหมายที่ว่าขณะนี้ใครทำได้ สิ่งที่ปรากฏทางตาเดี๋ยวนี้ที่ปรากฏ ใครทำให้เกิดได้ นี่คือความหมายของอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย

    แม้ว่าจะไม่ใช้คำนี้ แต่ถ้ามีความเข้าใจว่า ลักษณะนี้มีจริง เกิดแล้ว โดยที่ไม่มีใครทำเลย แล้วถ้าปัญญาสามารถที่จะสมบูรณ์ ก็รู้ว่าเพราะปัจจัยทำให้เกิดขึ้น ไม่ใช่ว่าไม่มีสภาพธรรมปรากฏ แล้วไปนั่งกล่าวถึงปัจจัยต่างๆ แต่ในขณะนี้เองจากการที่มีความเข้าใจ ถ้าเป็นความเข้าใจที่สะสมมาแล้ว เพียงฟังสั้นๆ สามารถที่จะละความติดข้อง แล้วจึงประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมได้ เพราะเหตุว่าขณะนี้ถูกปิดบังไว้ ทั้งด้วยอวิชชา และโลภะ จึงไม่สามารถที่จะเห็นว่า เป็นธรรมจริงๆ ปรากฏแล้วหมดไป แต่ถ้าไม่ประจักษ์อย่างนี้ แล้วจะเข้าถึงความเป็นอนัตตา ของสภาพธรรมว่า ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย เป็นธรรมจริงๆ เกิดจริงๆ ดับจริงๆ ด้วย

    ผู้ฟัง คืออวิชชาคงยังเยอะมาก ปัญญาก็เหมือนรู้แค่เรื่องราวว่า ธรรมเป็นอย่างนี้ๆ ฟังแล้วก็ยังคงรู้แค่ขั้นฟัง

    ท่านอาจารย์ แล้วจะหาวิธีอื่นไหม

    ผู้ฟัง ก็ฟังต่อไป

    ผู้ฟัง กราบเรียนท่านอาจารย์ว่า โทสะ และโมหะจะเป็นเครื่องกั้นเจริญปัญญา หรือไม่

    ท่านอาจารย์ อกุศลทุกประเภท ขณะใดที่โมหะเกิด ขณะนั้นไม่รู้

    ผู้ฟัง ถ้าโทสะเกิดล่ะ

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่รู้อีก

    ผู้ฟัง ก็ไม่รู้ หรือ

    ท่านอาจารย์ อกุศลทั้งหมดจะเป็นบารมีได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่เป็น

    ท่านอาจารย์ ที่จริงไม่ทราบว่า เราเข้าใจความเป็นผู้ละเอียดในการศึกษาธรรม แล้วก็ประโยชน์ของการเป็นผู้ละเอียด เพราะเหตุว่าถ้าเราไม่ไตร่ตรองโดยละเอียดเราสามารถที่จะเข้าใจความละเอียดของธรรมในขณะนี้ได้ไหม ไม่มีทางที่ใครจะรู้จักจิต เจตสิก และรูปประเภทต่างๆ ตามที่ได้ยินได้ฟัง แต่เมื่อได้ยินได้ฟังแล้วก็ต้องไตร่ตรองด้วย เพื่อที่จะได้รู้ว่า ความเป็นผู้ละเอียดจะทำให้เราสามารถเข้าใจความละเอียดของธรรมที่ไม่ใช่ตัวตน เมื่อกี้นี้มีจิตที่ทำผุสนกิจ เพราะกำลังรู้เย็น หรือร้อน อ่อน หรือแข็ง คือสิ่งที่กระทบกาย ไม่ได้ทำกิจเห็น เพราะเหตุว่าขณะใดที่รู้สิ่งที่กระทบกาย ขณะนั้นต้องเป็นหน้าที่ของจิตประเภทหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นแล้วรู้อื่นไม่ได้ นอกจากรู้สิ่งที่เย็น หรือร้อน อ่อน หรือแข้งที่กระทบกาย เข้าใจแล้ว เราสามารถที่จะค่อยๆ คิด ค่อยๆ พิจารณา เพราะว่าวันหนึ่งๆ เราคิดเรื่องอื่น และเราก็เห็นว่า ถ้าไตร่ตรองเรื่องอื่น เราก็จะเข้าใจความละเอียด ความลึกซึ้งของสิ่งที่เราคิดแม้แต่ในทางโลก แต่ถ้าเป็นทางธรรม ความเป็นผู้ละเอียดจากทางโลกมาสู่ทางธรรม ก็จะทำให้เราไม่ขาดการที่จะไตร่ตรอง แล้วก็เป็นความเข้าใจเพิ่มขึ้นแม้ในขั้นฟัง ขั้นปริยัติก็เป็นประโยชน์ ที่จะเป็นสังขารขันธ์ที่จะทำให้เวลาที่มีสภาพธรรมปรากฏ ก็สามารถเป็นผู้ละเอียดที่สามารถระลึกได้ถึงสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ไม่หลงลืม เพราะเหตุว่ายิ่งเข้าใจความละเอียดขึ้น เข้าใจ ไม่ใช่เพียงแต่จำชื่อ ก็สามารถจะเป็นสังขารขันธ์ที่จะทำให้ขณะนั้นสามารถเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้นเราคิดเองคงจะตอบไม่ได้ แต่ถ้าเราได้ฟังธรรมละเอียดขึ้น ไมใช่จำชื่อ แต่ต้องด้วยความเข้าใจว่า จิตที่สามารถที่จะรู้เย็น หรือร้อน อ่อน หรือแข็งได้ มีเฉพาะกายวิญญาณเท่านั้น หรือ หรือว่าจิตอื่นก็สามารถที่จะรู้เย็น หรือร้อน อ่อน หรือแข็งด้วยได้

    ผู้ฟัง ได้ครับ

    ท่านอาจารย์ แน่ใจ นี่คือเริ่มสับสน ใช่ไหม เพราะว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้วยังไม่มั่นคงพอ เพราะฉะนั้นถ้ามีความมั่นคงพอไม่เปลี่ยน เปลี่ยนไม่ได้เลย อย่างรูปไม่ใช่สภาพรู้ ก็ต้องไม่ใช่สภาพรู้ แล้วจิตที่กำลังรู้สิ่งที่อ่อน หรือแข็ง แข็งกำลังปรากฏ แต่ถ้าไม่มีจิตที่กำลังรู้อ่อน หรือแข็ง อ่อน หรือแข็งไม่ปรากฏ แต่คำถามมีว่า เฉพาะจิตที่รู้เย็น ร้อนอ่อน แข็ง ทางกายที่เป็นกายวิญญาณเท่านั้น หรือที่รู้เย็น หรือร้อน อ่อน หรือแข็งได้เห็นไหม ละเอียดขึ้นมาอีกหน่อยหนึ่ง เพื่อให้มีความเข้าใจที่มั่นคง มิฉะนั้นฟังแล้ว เข้าใจแล้ว แต่ความละเอียดไม่พอ

    เพราะฉะนั้นคำตอบจะทำให้รู้ว่า มีความละเอียดเพิ่มขึ้นไหม ด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่ด้วยการจำ แค่นี้ก็เป็นชีวิตจริงทุกขณะ แล้วก็ทรงแสดงไว้โดยละเอียด สำหรับให้ผู้ที่ฟังไม่เผิน แล้วก็สามารถที่จะรู้ว่าความเข้าใจ เข้าใจแค่ไหน เข้าใจพอไหม เข้าใจละเอียด หรือไม่ หรือว่าเข้าใจเพียงบางส่วน เช่นบอกว่าจิตเกิดขึ้นรู้เย็น หรือร้อน อ่อน หรือแข็ง อาศัยกายปสาท จิตนั้นเกิดที่กายปสาท และรู้สิ่งที่กระทบแล้วดับไป แต่ว่าจิตอื่นที่ไม่ใช่กายวิญญาณ ไม่ใช่จิตที่กำลังรู้ทำผุสนกิจ รู้เย็น หรือร้อน อ่อน หรือแข็ง จิตอื่นที่ไม่ได้ทำผุสนกิจ สามารถจะรู้เย็น หรือร้อน อ่อน หรือแข็งได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ แสดงให้เห็นว่าที่ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา เพื่ออุปการะไม่ให้เข้าใจผิด ไม่ให้คิดเอาเอง แต่ให้มีความตรงที่ว่า ถ้าเป็นความเข้าใจแล้ว เหตุผลก็ต้องมี

    ผู้ฟัง อยากจะกราบเรียนถามท่านอาจารย์ถึงความติดข้องในอารมณ์

    ท่านอาจารย์ ได้ยินคำว่า “อารมณ์หมายความถึงซึ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น การฟังธรรมที่มีประโยชน์จริงๆ คือไม่คิดเรื่องอื่น แต่ว่าเข้าใจคำที่ได้ยิน แล้วก็พิจารณาเพราะว่าคำนั้นกล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ให้เข้าใจขึ้น เพราะเหตุว่าเราใช้คำว่าธรรม ฟังธรรม แต่ว่ารู้จักธรรม หรือไม่ เพียงแต่ฟังชื่อว่าธรรม แต่รู้จักธรรม หรือไม่

    นี่เป็นสิ่งที่กว่าจะได้เข้าใจจริงๆ รู้จักธรรมจริงๆ เป็นธรรมจริงๆ ซึ่งไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ของใคร แล้วก็มีอยู่ให้รู้ ให้เห็น ให้ได้ยินอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าไม่อาศัยการฟังด้วยความเข้าใจขึ้น ก็ไม่สามารถที่จะเห็นว่าเป็นธรรมเลย ขณะที่กำลังฟังคำว่าธรรม เป็นธรรม หรือไม่ เพียงแต่ฟังแล้วก็คิดเพื่อที่ให้เข้าใจขึ้นว่า ความจริงเป็นอย่างนั้น แต่ความรู้รู้แค่ไหน รู้จริงๆ หรือไม่ หรือว่าฟังเพื่อที่จะเข้าใจ แล้วก็สะสมจนกว่าขณะที่กำลังฟังเดี๋ยวนี้เอง เป็นสภาพที่ได้ยินเสียง หลังจากนั้นก็เป็นสภาพธรรมที่คิดนึกไตร่ตรอง โดยไม่มีเราต้องไปทำอะไรเลย เป็นธรรมทั้งหมดตั้งแต่เกิดจนตาย

    เพราะฉะนั้นฟังธรรมจนกว่าจะเข้าใจจริงๆ ว่าเป็นธรรม และรู้จักธรรมว่าเป็นธรรม นี่คือจุดประสงค์ของการทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงเพื่อที่จะได้ประจักษ์แจ้งความจริงนั้น ไม่มีความสงสัย ไม่มีความไม่รู้ ไม่มีการยึดถือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่า เป็นตัวตน หรือเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เมื่อได้ทรงตรัสรู้แล้วก็ ทรงพระมหากรุณาแสดงธรรม คือ สิ่งที่กำลังมีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ไม่ใช่ต้องไปฟังเฉพาะบางจุด อยากจะรู้เฉพาะบางคำ หรือว่าบางเรื่อง แต่ว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้จริงๆ แล้วก็มีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏทีละเล็กทีละน้อยในขณะที่กำลังฟังโดยไม่ไปคิดถึงคำอื่น เรื่องอื่น เพราะว่ากำลังมีสิ่งที่ปรากฏ และกำลังมีคำที่แสดงถึงลักษณะจริงๆ ของสิ่งนั้นที่เป็นธรรม จนกว่าปัญญาจะค่อยๆ เห็นถูก เข้าใจถูก ว่าเป็นธรรม

    เพราะฉะนั้นเมื่อถามเรื่องการติดข้องขณะนี้มี หรือไม่ ไม่รู้เลยว่ามี แต่ถามถึงด้วยความต้องการจะรู้ ในลักษณะที่ติดข้อง เพราะฉะนั้นต้องตั้งต้นด้วยความเข้าใจจริงๆ ในคำว่าธรรม แม้แต่สภาพของการติดข้อง ไม่ใช่ไม่มี แต่ได้ยินคำว่า “ติดข้อง” ก็ไม่รู้ว่าติดข้องในอะไร แต่ถ้าไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏเลย จะติดข้องในสิ่งนั้นได้ไหม เพราะฉะนั้นให้ทราบว่า ทันทีทันใดที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ เดี๋ยวนี้ มีความติดข้องเพราะไม่รู้ความจริงของสิ่งนั้น แล้วสิ่งที่กำลังปรากฏดับไปอย่างเร็วมาก เพราะฉะนั้นความติดข้องจะยังคงอยู่ไหม

    นี่เป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง เป็นสิ่งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงความจริงให้มีความเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริงตามลำดับขั้น โดยไม่ใช่ไปหวังว่า จะรู้แจ้ง อริยสัจธรรม โดยไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้เพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย

    เพราะฉะนั้นขณะนี้พูดถึงความติดข้องในขณะที่มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา เกือบไม่รู้เลยว่า ติดข้องแล้ว ใช่ไหม แต่เวลาที่วันนี้คุณสุกัญญาอยากได้อะไรบ้าง เป็นคุณสุกัญญาที่อยากได้ หรือว่าเป็นสภาพความติดข้องที่สามารถจะปรากฏให้เห็นว่า มีความต้องการในสิ่งนั้น ลักษณะที่ต้องการมีจริงๆ เป็นธรรม

    เพราะฉะนั้นการรู้จักธรรม ไม่ใช่เพียงรู้จักชื่อ แต่ในขณะใดก็ตามที่สภาพธรรมใดเกิด ถ้าไม่มีการฟังให้เข้าใจเลย ไม่มีทางที่จะรู้ว่า ขณะนั้นเป็นธรรม แม้ว่าจะฟังเรื่องธรรมมากมายสักเท่าไร จะรู้จักชื่อต่างๆ ของโลภะ ความติดข้อง ความต้องการ ความเพลิดเพลิน สารพัดที่จะได้ยินได้ฟัง แต่ไม่รู้ว่าขณะไหนเป็นสภาพธรรมที่กำลังติดข้อง ขณะนั้นก็ไม่ชื่อว่ารู้จักธรรม ไม่รู้จักสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง

    เพราะฉะนั้นจากการฟังก็ให้ทราบว่า มีสิ่งที่กำลังปรากฏแน่นอนขณะนี้ ฟังให้เข้าถึงความจริงของสภาพธรรมนั้นซึ่งมีจริงๆ เกิดแล้วปรากฏแล้วก็ดับไป ถ้าขณะใดที่ไม่รู้ความจริง ขณะนั้นก็ติดข้องในสิ่งที่ปรากฏทันที อย่างเร็วมาก โดยไม่รู้ตัวเลย ยอมรับไหม เป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือไม่ หรือพูดในสิ่งที่ไม่จริง ในสิ่งที่ไม่มีในขณะนี้

    ผู้ฟัง ที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า คุณสุกัญญาวันนี้อยากได้อะไร หรือว่าหวังอะไร ต้องคิด แล้วก็ต้องนึก แต่จริงๆ ในขณะที่ความหวัง หรือความอยากเกิดมันรวดเร็วมาก แล้วมันก็กระทำทั้งกายวาจาไปตามสิ่งเหล่านั้นโดยที่ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ

    ท่านอาจารย์ ด้วยเหตุนี้ปัญญาจะเกิดขึ้นต่อเมื่อได้ยินได้ฟัง เรื่องที่มีจริงๆ ขณะนี้จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    ผู้ฟัง ถ้าตราบใดที่ยังไม่รู้จักจริงๆ ว่า ทุกสิ่งเป็นธรรม หรือยังเข้าไม่ถึง ลักษณะของสภาพธรรมที่แท้จริง ก็ยังไม่รู้จักสภาพของความติดข้อง

    ท่านอาจารย์ แน่นอน ได้ยินแต่ชื่อ เดี๋ยวนี้มีไหม ตอบได้ แต่รู้ลักษณะนั้น หรือไม่ เพียงแค่ได้ฟังเรื่อง รู้ว่ามี แต่ก็ไม่ได้รู้ลักษณะของสภาพที่ติดข้องซึ่งไม่ใช่คุณสุกัญญา เป็นแต่เพียงธรรมอย่างหนึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ทำกิจนั้น

    ผู้ฟัง อย่างนั้นลักษณะของอกุศลจิต ที่เราคิดว่าเรารู้จัก ก็ยังไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ ก็รู้เรื่อง เดี๋ยวนี้มีอกุศลจิต หรือไม่ เห็นไหม ไม่รู้จักตัวอกุศลจิต แต่รู้ว่า หลังเห็นแล้ว เพราะไม่รู้ จึงมีความต้องการติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ ขณะที่ติดข้องต้องการก็เป็นสภาพของจิตที่เป็นอกุศล เพราะไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมนั้นๆ

    อ.กุลวิไล พูดถึงความรู้โดยเรื่องราว กับความรู้ที่รู้ถึงลักษณะของสภาพธรรม จะแตกต่างกันอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้เป็นธรรม หรือเป็นเรา

    อ.กุลวิไล จากการศึกษาเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเป็นการรู้ลักษณะที่เป็นธรรมว่าเป็นธรรม หรือไม่ ฟังธรรมต้องละเอียด ละเอียดมาก ให้ทำ ให้คิด ให้ระลึก หรือว่าระลึก คิด เป็นธรรม

    ผู้ฟัง ระลึก คิด เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ระลึกก็เป็นธรรม คิดก็เป็นธรรม เมื่อมีความเข้าใจว่าทุกอย่างที่เป็นธรรม มีลักษณะจริงๆ เป็นธรรมเพราะไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้ อย่างเห็นขณะนี้ เกิดแล้ว ใคร คนไหนทำให้เห็นเกิดขึ้น ไม่มีทางเป็นไปได้เลย เพราะฉะนั้นการฟังธรรมถ้าฟังด้วยความเป็นเรา พอได้ยินได้ฟังก็ทำตาม หรือเข้าใจว่าบอกให้ทำตาม นั่นถูก หรือผิด

    ผู้ฟัง คือถ้าตามความเข้าใจ คือก็ไม่น่าจะถูก เพราะว่าธรรมเป็นอนัตตา ต้องมีปัจจัยให้เกิดถึงเกิด หลังจากฟังคำที่ว่า หนูเองเมื่อฟังคำว่าระลึกทันที หมายความว่าปัญญา มีเหตุปัจจัยให้เกิด แล้วสติก็จะทำหน้าที่ระลึกทันทีได้ แต่เมื่อไรที่มีตัวตนไประลึก ก็จะขัดกับอนัตตาไปแล้ว นี่เป็นความเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ หลังเห็นแล้วโลภะเกิด หลังเห็นแล้วสติเกิด บอกให้ทำ หรือไม่ หรือว่า แสดงความจริงว่า แล้วแต่ขณะนั้นมีปัจจัยที่สภาพธรรมใดจะเกิด

    เพราะฉะนั้นหลังเห็นแล้วเป็นโลภะ ไม่ได้บอกให้ใครเป็นโลภะ จะมาคิดว่า พอพูดอย่างนี้ ก็คือหลังเห็นแล้วเป็นโลภะ ให้มาเป็นโลภะกัน ไม่ใช่ หรือว่าหลังเห็นแล้วระลึก ก็ไม่ได้หมายความว่าไปบอก ไปสั่งให้ใครระลึก แต่ความจริงก็คือว่า หลังเห็นแล้วเป็นโลภะก็มี ตามเหตุตามปัจจัย หลังเห็นแล้วสติเกิดระลึกก็มี ไม่มีใครไปบังคับบัญชาได้เลย

    เพราะฉะนั้นคำพูดทั้งหมดไม่ได้หมายความว่าให้ไปทำ หรือบอกให้ทำ แต่พระธรรมที่ทรงแสดง ทรงแสดงความจริง ฟังบ่อยๆ ก็เหมือนเตือนให้เข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟังเพิ่มขึ้น แต่ว่าไม่มีใครสามารถที่จะไปบังคับให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดได้เลย แต่ว่าสังขารขันธ์จะรู้ได้ ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน จิต เจตสิก รูป เป็นธรรมที่เกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่ง และสำหรับสังขารขันธ์ก็ได้แต่เจตสิก ไมใช่เรา ขณะนี้กำลังฟัง แม้เข้าใจก็ไม่ใช่เรา เพราะสภาพธรรมที่เป็นสังขารขันธ์เกิดขึ้นปรุงแต่งจากวันก่อนๆ ขณะก่อนๆ ชาติก่อนๆ จนกระทั่งถึงได้ยินได้ฟังขณะนี้ ปรุงแต่งให้มีความแยบคาย ความเข้าใจที่ถูกต้อง ซึ่งถ้าไม่เป็นอย่างนี้มาก่อน เฉพาะใครก็ตามที่มาฟังวันนี้ จะเข้าใจว่า เป็นธรรมไหม


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 168
    11 ม.ค. 2567