พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 401


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๔๐๑

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐


    ท่านอาจารย์ ด้วยเหตุนี้การที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมในอดีตนานเท่าไร ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ แต่ก็ยังมีศรัทธาที่ได้สะสมมาที่จะฟังต่อไป แล้วก็เห็นประโยชน์ว่า จะอยู่ในโลกโดยไม่รู้ความจริง หรือว่ารู้ความจริงที่เคยยึดถือว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ บุคคล ต้องเป็นผู้ที่อดทน ฟังแล้วเข้าใจ แต่ไม่ใช่ฟังแล้วหวังว่า จะละโลภะ

    อ.กุลวิไล เมื่อสักครู่ท่านอาจารย์ยกตัวอย่างของสติที่เป็นไปในทาน เพราะขณะนั้นก็มีการระลึกที่เป็นไปในการให้ หรือทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น ซึ่งขณะนั้นกุศลจิตก็เกิด แต่เราจะรู้ลักษณะของสติ หรือไม่ แต่จากการศึกษาสติต้องเกิดกับสภาพธรรมที่เป็นโสภณจิต รวมทั้งกุศลจิตทุกประการด้วย ทีนี้สติที่เป็นไปในศีล จะแตกต่างกันอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ทางกาย ทางวาจา ขณะใดที่มีการวิรัติทุจริต ซึ่งเป็นวาริตศีล หรือขณะใดก็ตามที่มีความประพฤติทางกาย ทางวาจาที่เหมาะควร เป็นประโยชน์ เป็นจาริตศีล ศีลเป็นคำเดียวที่ได้ยิน แต่ลักษณะของสภาพธรรมกว้างขวาง และละเอียดมากจนกระทั่งแม้ถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็เป็นเรื่องที่มีความเข้าใจขึ้นของสภาพธรรมที่มีการเกิดแล้วดับอย่างรวดเร็ว และถูกต้อง

    ผู้ฟัง ความเข้าใจสภาพธรรมในชีวิตประจำวันว่า ทุกอย่างเป็นธรรม จะเป็นความเข้าใจเพียงแค่พื้นฐานได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ เพียงแค่พื้นฐาน หมายความว่ามากกว่าพื้นฐาน

    ผู้ฟัง ในเมื่อเข้าใจว่า ทุกอย่างเป็นธรรม แล้วก็ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน แต่ก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่สามารถทำให้สติรู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ ได้

    ท่านอาจารย์ พอรู้ก็สติสัมปชัญญะเกิดทันที หรือ

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจเพิ่มขึ้นอีก เพิ่มขึ้นอีก จะเป็นปัจจัยให้มีการรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏในขณะนี้ตามที่ได้ฟัง หรือไม่

    ผู้ฟัง แต่สภาพธรรมในชีวิตประจำวัน เมื่อปรากฏก็ยึดมั่นว่าเป็นสภาพธรรม

    ท่านอาจารย์ ยึดมั่นว่าเป็นสภาพธรรม หรือ หรือมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น

    ผู้ฟัง คือจริงๆ แล้วความเข้าใจสภาพธรรม เป็นเรื่องลึกซึ้ง แล้วก็เป็นเรื่องละเอียด เมื่อกล่าวว่าทุกอย่างเป็นธรรม แล้วก็ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน ก็หันมายึดในสภาพธรรมนั้นว่า เห็นเป็นธรรมอีก

    ท่านอาจารย์ แสดงว่าไม่ได้เข้าใจธรรม เปลี่ยนชื่อยึด ทีแรกยึดว่าเป็นเรา ตอนหลังยึดว่าเป็นธรรม

    ผู้ฟัง มีความรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เพราะว่าความเข้าใจจริงๆ แล้ว มันน่าจะเป็นสิ่งที่ละคลายอย่างที่ท่านอาจารย์กล่าว

    ท่านอาจารย์ ทันที หรือไม่

    ผู้ฟัง ก็ไม่ใช่ทันที แต่ว่าแม้เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา ปรากฏก็ต้องหมดไป แต่ว่าปรากฏก็ไม่ได้หมดไป

    ท่านอาจารย์ แสดงว่า

    ผู้ฟัง ยังอยู่ในกรงเล็บของกิเลส

    ท่านอาจารย์ ยังไม่ถึงความสมบูรณ์ของปัญญาที่ประจักษ์ความจริงของสภาพธรรม ซึ่งจะต้องอบรมปัญญาเพิ่มขึ้น รู้มากขึ้น

    ผู้ฟัง ทำไมเปลี่ยนได้ ท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ จากไม่รู้เป็นรู้ได้ไหม เมื่อมีการฟังเข้าใจกับตอนที่ยังไม่ได้ฟังเลย เหมือนกัน หรือไม่

    ผู้ฟัง จริงๆ ก็มีความต่างกัน แต่ว่ามันเหมือนกับวนๆ เวียนๆ

    ท่านอาจารย์ เพราะว่ายังไม่รู้จริงๆ คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าง่ายอย่างที่พอพูดแล้วคนก็ประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมนั้น หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ใช่ แต่ว่าลักษณะของสภาพธรรมเป็นอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ แล้วทำไมไม่รู้ ต้องแสดงถึง ๔๕ พรรษา ก็ยังไม่รู้อีก

    ผู้ฟัง มันเหมือนมีอะไรมืดๆ

    ท่านอาจารย์ ความไม่รู้ ที่ไม่รู้นั่นเองเป็นอย่างนั้น

    ผู้ฟัง แล้วมันจะผ่อนคลายได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ อยากมา หรือยัง โลภะไม่ไกลเลย

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ โลภะเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ต้องการอะไรเดี๋ยวนี้

    ผู้ฟัง ต้องการคำอธิบายจากท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ เป็นโลภะ หรือไม่

    ผู้ฟัง แต่บางทีเหมือนมองไม่เห็นตัวเลย

    ท่านอาจารย์ อยู่ด้วยกันมานานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ ยากที่จะรู้ว่าขณะนี้เป็นโลภะ

    ผู้ฟัง แล้วเกลียดก็ไม่ได้ ชอบก็ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ กำลังเป็นโลภะ หรือไม่

    ผู้ฟัง คือจริงๆ แล้วขณะที่ท่านอาจารย์กล่าว มีความเข้าใจ และก็มีความรู้สึกเบาสบาย แล้วก็มีความเข้าใจ แต่ว่าเมื่อมีความต้องการ จริงๆ ก็ใช่ เป็นโลภะ แต่ว่ามันไม่สามารถบังคับบัญชาได้จริงๆ ว่าไม่ให้ต้องการ

    ท่านอาจารย์ คุณสุกัญญามีความมั่นใจว่า ทุกอย่างเป็นธรรม

    ผู้ฟัง มั่นใจ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าโกรธเป็นคุณสุกัญญา หรือเป็นธรรม

    ผู้ฟัง จริงๆ ตอบท่านอาจารย์ว่าเป็นธรรม แต่ว่าโกรธทีไรเป็นสุกัญญาโกรธทุกที

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่ตรงตามคำแรกที่พูด คำแรกบอกว่าทุกอย่างเป็นธรรม ยังไม่ถึงคำนี้เลย เพียงแต่ว่าได้ยินได้ฟัง และเริ่มเข้าใจ แต่ตัวจริงๆ ก็คือว่า ปัญญาต้องรู้ว่าเป็นธรรม ลักษณะของธรรมแต่ละอย่าง ไม่ใช่ปล่อยไป แล้วก็ไม่รู้อะไรเลย แล้วก็มีแต่ความอยาก ทั้งๆ ที่พูดว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ยังไม่ตรง ก็จนกว่าจะตรง

    อ.กุลวิไล ดูเหมือนท่านอาจารย์จะเน้น ให้เราพิจารณาสภาพธรรมที่มีกับเราในชีวิตประจำวันมากกว่าที่เราจะไปคิดถึงเป็นไปกับอกุศลที่มีในชีวิตประจำวัน

    ท่านอาจารย์ เป็นหนทางเดียว เพราะว่าไม่มีใครจะสามารถที่จะบังคับบัญชาธรรมได้เลย ธรรมใดที่เกิดแล้วแสดงว่า มีปัจจัยที่ได้สะสมมาที่จะเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว รู้ลักษณะที่เป็นธรรม หนทางเดียวที่จะรู้จริงๆ ว่า ไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง การอยากเข้าใจธรรม แล้วก็ฟังธรรมให้เข้าใจ ก็เป็นโลภะ หรือ

    ท่านอาจารย์ แล้วแต่จิต

    ผู้ฟัง แล้วแต่จิต ถ้าเกิดอยากไม่อยากไม่ทราบ แต่ว่าเราก็รู้ว่า เราไม่รู้ธรรมมาก่อน ต่อเมื่อมีโอกาสฟังพระพุทธเจ้าอธิบาย ฟังแล้วก็น่าสนใจนะ ความจริงที่เราไม่รู้เลย ก็ตั้งใจฟังไป เพื่อให้รู้ขึ้นๆ

    ท่านอาจารย์ เพื่อรู้ลักษณะของความอยากด้วย เพราะอยากก็เป็นธรรม จะละอยากโดยไม่รู้จักอยาก เป็นไปไม่ได้

    ผู้ฟัง เมื่อจะละอะไรก็ต้องรู้จักสิ่งนี้ก่อน

    ท่านอาจารย์ กำลังเป็นโลภะ หนีโลภะไปดับโลภะ ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้ ต้องให้รู้ ให้เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ แล้วแต่อะไรปรากฏ เกิดแล้วหมดแล้วก็ไม่รู้ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะรู้ว่าเกิดแล้ว สภาพนั้นเป็นธรรม

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ ต้องปัญญามากพอ ปัญญาก็เหมือนเดิม ไม่ใช่สภาพธรรมช้าลง ให้ปัญญารู้ ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เปลี่ยนลักษณะของธรรมไม่ได้เลย ถึงจะเข้าถึงความหมายของคำว่าธรรม

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ อย่างโกรธ ก็ให้รู้ว่า เป็นลักษณะของโกรธ ก็เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ให้รู้ เข้าใจว่าขณะนั้นลักษณะนั้นมีจริงๆ ไม่ใช่เรา เปลี่ยนลักษณะของสิ่งนั้นให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้

    ผู้ฟัง แต่การโกรธจริงๆ ก็จะต้องเกิดกับตัวเองแน่นอน

    ท่านอาจารย์ เกิดแล้วใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ มีใครบังคับไม่ให้เกิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้ ทีนี้จะกราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า เมื่อมีการคับแค้นใจ ก็ระลึกว่าเป็นสภาพธรรม

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ระลึก ขณะนั้นไม่ต้องมีใครไปทำอะไรเลย เข้าใจ หรือไม่ว่าขณะนั้นลักษณะนั้นมีจริงๆ จะใช้คำว่าธรรมก็ได้ แต่ไม่ใช่ให้อย่างนั้นให้อย่างนี้ ฟังเข้าใจแล้วเวลาที่สภาพธรรมใดปรากฏก็เข้าใจลักษณะนั้น ทุกอย่างขณะนี้ปรากฏให้เห็นความเป็นอนัตตา ก็ไม่เห็น

    ผู้ฟัง ตรงนี้ไม่เข้าใจว่าเป็นสภาพธรรม ขณะที่เดือดร้อน

    ท่านอาจารย์ แล้วอะไรเป็นธรรม

    ผู้ฟัง ทุกอย่างก็เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ เมื่อกี้ก็ต้องเป็นธรรมด้วย ความคับแค้นใจก็ต้องเป็นธรรมด้วย

    ผู้ฟัง แต่ว่ามันเดือดร้อนไปต่อเนื่องๆ

    ท่านอาจารย์ ลักษณะของความเดือดร้อน บังคับได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เข้าใจว่านาน ความจริงเกิดดับอยู่ตลอดเวลา ที่ลักษณะนั้นปรากฏ

    ผู้ฟัง แต่มันก็ทุกข์อยู่นั่น

    ท่านอาจารย์ เปลี่ยนลักษณะที่เป็นทุกข์ให้เป็นสุขได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร

    ผู้ฟัง เพราะมีเหตุปัจจัยให้เกิด

    ท่านอาจารย์ เพราะเป็นธรรม นี่คือความมั่นคงที่ทุกอย่างเป็นธรรมที่มีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่าง ไม่ใช่ให้ไปเปลี่ยนลักษณะธรรมนั้น แต่ให้มีความเข้าใจในสภาพที่กำลังปรากฏว่า ลักษณะนั้นเปลี่ยนไม่ได้เลย เกิดแล้วด้วย แล้วจริงๆ ก็ดับ แต่ไม่รู้

    ผู้ฟัง เข้าใจยากมากเลย การที่จะเข้าใจว่า เป็นสภาพของธรรม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งพูดง่ายๆ ว่าทุกอย่างเป็นธรรม ใช่ไหม แค่ฟัง พูดได้ แต่พอถึงเวลาปรากฏจริงๆ ไม่ใช่ เป็นเราทั้งนั้น

    ผู้ฟัง ใช่ พอความเป็นจริงแล้วมันไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจนกว่าจะไม่มีเรา แล้วเป็นการรู้ลักษณะของธรรมทั้งหมด ไม่สงสัยเลย และยังประจักษ์การเกิดดับด้วย สิ่งใดที่ทรงแสดง สิ่งนั้นเป็นความจริงที่สามารถที่จะประจักษ์ได้ มิฉะนั้นไม่มีประโยชน์ที่ทรงแสดง เสียเวลา

    ผู้ฟัง อย่างนี้เวลาโทสะเกิดแล้วเกิดความเดือดร้อน เกิดความคับแค้นใจ เป็นทุกข์ไปหมดเลย ก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้เลย

    ท่านอาจารย์ ใครจะทำ ไม่มีใคร ไม่ใช่ หรือ

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ โทสะเป็นโทสะ เกิดแล้วดับแล้ว เห็นเป็นเห็น เกิดแล้วดับแล้ว ได้ยินเป็นได้ยิน เกิดแล้วดับแล้ว เราอยู่ที่ไหน

    ผู้ฟัง ถ้าไม่มีเรา ก็ไม่มีทุกข์

    ท่านอาจารย์ ไม่มีสภาพธรรมใดๆ เกิดเลยนั่นแหละ สงบที่สุด

    ผู้ฟัง เห็นเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่ถึงลักษณะของตรงที่ว่าเห็นจริงๆ

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    ผู้ฟัง แล้วการที่จะเข้าใจถึงสภาพเห็นจริงๆ เป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ จะบอกให้ทำดีไหม จะสอนให้ทำให้ได้ ดีไหมคะ

    ผู้ฟัง ให้เข้าใจดีกว่า

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็ฟัง จนกระทั่งเป็นความค่อยๆ เข้าใจขึ้นของตัวเอง

    อ.กุลวิไล ดูเหมือนความเข้าใจจากการฟัง แม้แต่ฟังรู้ว่าทุกอย่างเป็นธรรม แต่ก็ ไม่ใช่ขณะที่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ เพราะว่าเวลาความโกรธเกิดขึ้นมา ขณะนั้นก็เป็นธรรม แต่ถ้าเราไม่รู้ลักษณะความเป็นธรรมที่เป็นความโกรธแล้ว ก็ยังเป็นไปในอกุศล เพราะว่ายังมีเราที่โกรธแล้วก็ยังเป็นความขุ่นเคืองใจ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นที่พูดว่าทุกอย่างเป็นธรรมขั้นฟัง ฟังตาม พูดตาม

    อ.กุลวิไล การฟังเราก็ยังไม่เพียงพอ ต้องฟังจนกระทั่งเป็นปัจจัยให้รู้ลักษณะสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง

    ท่านอาจารย์ จะรู้ว่าขณะนั้นต่างจากกำลังฟัง แล้วก็ไม่ได้รู้ลักษณะ ทั้งๆ ที่ลักษณะปรากฏ

    อ.กุลวิไล ก็เห็นมีหลายอย่างที่ท่านอาจารย์ชี้ให้เราเห็นถึงโลภะที่เรามีในชีวิตประจำวัน เพราะว่าถ้าท่านอาจารย์ไม่พูดถึงโลภะที่เรามีอยู่ ก็ไม่เป็นปัจจัยให้เรารู้ลักษณะของโลภะที่กำลังปรากฏ เพราะเวลาที่เราถาม เราถามด้วยโลภะ แล้วไม่เคยสนใจที่จะรู้ลักษณะของโลภะที่เกิดอยู่ในขณะนี้เลย เพราะฉะนั้นสภาพธรรมมีจริงที่กำลังปรากฏ ก็เป็นสิ่งที่ควรรู้ แต่ก็ต้องอาศัยการอบรม ฟังเรื่องลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม และรูปธรรม แต่ละทาง

    ท่านอาจารย์ ที่จริงฟังธรรมต้องเป็นผู้ที่ตรง การเป็นผู้ที่ตรงจะทำให้เรารู้ว่า สิ่งที่มีจริงๆ แม้ว่าได้ฟังแล้ว เป็นความจริงอย่างที่ได้ฟัง หรือไม่ เช่น พอพูดถึงโลภะ ใครอยากมีโลภะบ้าง ติดข้องต้องการ ไม่รู้จบ ไม่เคยจบเลยสักวันเดียว เมื่อวานนี้อยากได้อะไร ทำอะไรด้วยความต้องการ วันนี้ก็เปลี่ยน ก็มีความอยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ พรุ่งนี้ก็อีก ไม่มีวันจบเลย มีใครอยากมีโลภะต่อไปอีกบ้าง ไม่ใช่หมายความว่าเราอยาก แล้วเราจะไม่มี แต่เป็นผู้ที่ตรงว่า แม้จะรู้ว่าโลภะมีโทษแค่ไหนอย่างไร ก็ยังต้องการโลภะ

    นี่แสดงว่าปัญญาระดับไหนเทียบได้เลยกับผู้ที่ละโลภะแล้วหมดสิ้นไม่เหลือเลย ปัญญาระดับไหน และเป็นความจริงระดับไหน แต่ถ้าเป็นเพียงฟัง แล้วเห็นด้วย แต่ยังชอบโลภะ ปราศจากโลภะไม่ได้เลย จริงๆ ตั้งแต่เช้ามา เป็นไปกับโลภะตลอด ก็จะเห็นว่ากว่าจะหมดโลภะจะเป็นอย่างไร และต้องหมดจริงๆ ไม่ใช่ว่ายังเหลืออยู่เล็กๆ น้อยๆ นิดๆ หน่อยๆ แล้วก็เข้าใจว่าไม่มี นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ปัญญาเท่านั้นที่จะทำให้รู้สภาพธรรมจริงๆ ได้ เหมือนกับกล่าวว่าทุกอย่างเป็นธรรม พูดได้ทุกวัน ถึงเวลาจริงๆ เป็นธรรม หรือไม่ นี่ก็ต้องเป็นผู้ที่ตรง

    ผู้ฟัง สภาพของโลภะมันเป็นตัวที่มันยิ่งใหญ่มากเลย แล้วก็เป็นตัวที่รู้จักได้ยาก เมื่อตอนที่ฟังธรรมใหม่ๆ ท่านอาจารย์เคยกล่าวว่าลืมตาขึ้นมาก็มีโลภะแล้ว

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องเรียกชื่อเลย ชื่ออะไรก็ไม่สำคัญ แต่ว่าขณะนี้เห็น รู้ไหม ว่าขณะนี้เป็นธรรมที่เกิด โดยที่ว่าไม่มีใครสามารถที่จะไปบังคับบัญชาได้ ถ้าไม่รู้ ขณะนี้พอใจในสิ่งที่ปรากฏ หรือว่าไม่ชอบ หรือว่าเพียงไม่รู้ในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ หรือว่าขณะนี้เป็นกุศล ต้องเป็นอย่างหนึ่งอย่างใด มีสิ่งใดที่ปรากฏแล้ว ไม่ใช่มีแต่เห็นเท่านั้น หลังจากเห็นแล้วก็จะต้องเป็นโลภะ หรือโทสะ หรือโมหะ หรือกุศล ขณะนี้ที่สิ่งนี้กำลังปรากฏทางตา หรือว่าเสียงที่ปรากฏ เพียงเสียงที่ปรากฏ แม้เสียงยังไม่ดับ หลังจากที่ได้ยินแล้วก็จะต้องเป็นโลภะ หรือโทสะ หรือโมหะ หรือกุศล อย่างหนึ่งอย่างใด

    ผู้ฟัง แต่ไม่ทราบ

    ท่านอาจารย์ ไม่มีใครรู้ จนกว่าได้ฟังพระธรรมถึงสามารถจะรู้ได้ ว่าเพียงแค่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ ด้วยความไม่รู้ ก็ทำให้เกิดอกุศลต่างๆ ได้ หรือว่าอาจจะเป็นกุศลก็ได้แล้วแต่ เร็วมาก

    ผู้ฟัง แต่ในชีวิตประจำวัน

    ท่านอาจารย์ นี่คือชีวิตประจำวัน

    ผู้ฟัง พอเห็นแล้วได้ยินแล้ว แต่ไม่รู้ตัวเลย

    ท่านอาจารย์ อวิชชาไม่รู้แน่

    ผู้ฟัง แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า ในชีวิตประจำวันสิ่งเหล่านี้เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ มีจริงๆ ไม่มีใครสร้างไม่มีใครทำ คุณสุกัญญาทำได้ไหม

    ผู้ฟัง ทำไม่ได้

    ท่านอาจารย์ สิ่งใดที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เป็นสิ่งที่มีจริงๆ เกิดแล้วปรากฏแล้วด้วย

    ผู้ฟัง แล้ววันหนึ่งอะไรจะเกิดก็ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ได้ศึกษาธรรม เป็นเราทั้งหมดเลย

    ผู้ฟัง แต่ว่าศึกษาธรรมแล้วก็ยังเป็นเราอยู่

    ท่านอาจารย์ ค่อยๆ เข้าใจว่า เป็นธรรม จนกว่าประจักษ์แจ้งว่าเป็นธรรม ถ้าไม่ลืมประโยคนี้ฟังค่อยๆ เข้าใจว่าเป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาได้ ฟังจนกระทั่งมีความเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่กำลังปรากฏ กำลังปรากฏด้วย นี่แหละเป็นธรรม คุณสุกัญญาทำให้สีสันวัณณะเกิดในขณะนี้ไม่ได้ ทำให้เห็นเกิดขึ้นก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ แต่ว่าในวันหนึ่งๆ นอกจากเห็นนอกจากได้ยิน ความคิดนึกจะมีอยู่ตลอดเวลา

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรม หรือไม่

    ผู้ฟัง ก็ต้องตอบท่านอาจารย์ว่าเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ให้คิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ให้เลือกคิดให้เป็นกุศลได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ คิดแล้วไม่ให้หมดไปได้ไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ นี่คือฟังแล้วฟังอีก ฟังแล้วฟังอีก จนกว่าจะรู้ว่าเป็นธรรม

    ผู้ฟัง ที่ตอบท่านอาจารย์ว่าไม่ได้ ไม่ได้ ทุกประโยคเป็นธรรม หรือ

    ท่านอาจารย์ เมื่อสักครู่นี้ทุกอย่างเป็นธรรม ตอนนี้ที่ตอบไม่ได้เป็นอะไร เห็นไหม ที่ตอบไม่ได้มากแค่ไหน เป็นอะไรบ้าง คิด หรือไม่ว่าที่ คิด หรือไม่ว่าตอบ ทั้งหมดเป็นความคิดบังคับไม่ได้ เกิดแล้ว

    ผู้ฟัง ก็เป็นความไม่รู้

    ท่านอาจารย์ ก็ฟังจนกว่าจะรู้ ไม่ได้ฟังเรื่องอื่น ไม่ได้ฟังเรื่องหุงต้มข้าวปลาอาหารตัดหญ้า ทำสวน ไม่ได้ฟังเรื่องต่างๆ เหล่านั้น แต่ฟังเพราะว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏ จะได้เข้าใจถูกต้องว่า สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ มีใครรู้ความจริงบ้าง หรือว่าไม่มีเลย เป็นสิ่งที่มีจริงๆ แต่มีใครที่รู้ความจริงบ้าง หรือไม่ มีไหม

    ผู้ฟัง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มี จะไม่มีทางได้ยินได้ฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงในขณะนี้เลย เพราะฉะนั้นผู้ที่จะกล่าวคำจริง เรื่องจริง ก็ต้องเป็นผู้ที่รู้จริงๆ ในสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ถูกต้อง โดยตลอด โดยประการทั้งปวง โดยสิ้นเชิง

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ ในการศึกษาพื้นฐานพระอภิธรรม ศึกษาแล้วไม่ให้เป็นชื่อ เป็นเรื่อง เป็นตัวเลข แต่ศึกษาสิ่งเหล่านี้เพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ จึงเป็นการศึกษาที่ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เรื่องเรียนหนังสือที่ใครเขียนขึ้นมา แล้วก็ไม่มีตัวจริงๆ แต่ว่ามีสภาพธรรมที่ปรากฏ แล้วผู้รู้ก็สามารถที่จะให้ผู้อื่นเข้าใจด้วย

    ผู้ฟัง ยกตัวอย่าง เห็นก็เป็นจิตชาติวิบาก แล้วก็มีอะไรอื่นร่วมด้วย แล้วก็คือขณะนี้ เข้าใจว่าเป็นอนัตตาอย่างไร แล้วเป็นสภาพธรรมที่เกิดปรากฏในชีวิตประจำวันอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ต้องเข้าใจด้วยที่คุณอรวรรณกล่าวเมื่อกี้ว่า เห็นก็เป็นจิตชาติวิบาก หมายความว่าอย่างไร

    ผู้ฟัง ก็จิตเมื่อเกิดแล้วก็ต้องเป็นชาติใดชาติหนึ่งใน ๔ ชาติ

    ท่านอาจารย์ แล้วทำไมว่าเป็นวิบาก

    ผู้ฟัง เพราะเป็นผลของกรรมที่ทำไว้ในอดีต

    ท่านอาจารย์ แล้วทำไมว่าเป็นวิบาก

    ผู้ฟัง ถ้าตามความเข้าใจ วิบากก็หมายถึงเป็นผลของกรรมที่ทำไว้ในอดีต ถ้าเห็นดีก็เป็นผลของกรรมที่ทำแล้วดีในอดีต

    ท่านอาจารย์ การอุบัติเกิดขึ้นของเห็น ต้องอาศัยจักขุปสาท ต้องอาศัยสิ่งซึ่งเป็นธาตุที่สามารถกระทบจักขุปสาท ต้องมีจิตเห็นเกิดขึ้น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้จึงเกิดขึ้นได้ ไม่มีใครสามารถที่จะไปเลือก เกิดมาก็เลือกไม่ได้ เกิดมาแล้วจะเห็นอะไร ได้ยินอะไร ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เลือกไม่ได้เลยทั้งหมด แสดงถึงการเกิดขึ้นของวิบากทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่เวลาที่ชอบไม่ชอบ เป็นกุศลเป็นอกุศลต่างกับขณะที่เห็น

    เพราะฉะนั้นก็เห็นความต่างกันของปัจจัยที่ทำให้จิตประเภทนี้เกิดขึ้น โดยอาศัยอะไรบ้างเป็นอุปัตติ การเกิดขึ้นของการกระทบกัน ถึงกาละที่จิตเห็นจะเกิดขึ้นก็ต้องเห็นแล้วก็ดับไป ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้ แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้วก็ต้องมีการเห็น การได้ยิน ซึ่งก็ต้องเป็นวิบาก เป็นผลของกรรมซึ่งได้กระทำไว้ เป็นกาละที่จะให้เห็นอะไร สิ่งที่ปรากฏให้เห็นขณะนี้จะต่างกับสิ่งที่ปรากฏให้เห็นต่อไปไหม

    ผู้ฟัง สิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตาเมื่อไรก็เป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตา

    ท่านอาจารย์ แต่ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้ หรือเสียงที่ปรากฏทางหูขณะนี้ ที่กำลังปรากฏ จะต่างกับสิ่งที่ปรากฏทางตา และทางหูขณะต่อๆ ไปไหม


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 168
    11 ม.ค. 2567