พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 395


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๓๙๕

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐


    ท่านอาจารย์ เกิดมาก็สุขบ้างทุกข์บ้าง แล้วก็ตายไป ก็ของธรรมดา ไม่เห็นมีใครไม่ตาย ตายก็ตาย บางคนก็คิดอย่างนั้น ก็อาจจะอยากขอมีความสุขก่อน แต่ว่าเคยได้ยินคำว่า “พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า” ไหม มีคนที่ได้ยินคำนี้ แต่ก็เห็นผิด เข้าใจผิด คิดว่ามีบุคคลที่สูงกว่านี้ คือ เทพ

    พระพุทธเจ้าเป็นแต่เพียงมนุษย์ธรรมดา เกิดในโลกนี้ แต่ไม่ได้รู้เลยว่า เพียงได้ยินคำว่า “สัมมาสัมพุทธเจ้า” ไม่ได้เข้าใจคำนี้เลย ถ้าไม่มีโอกาสได้ฟังสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัส เมื่อตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พุทธคยา และกำลังเดินทางไปโปรดพระปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน มีใครรู้บ้างว่าเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่ทรงแสดงธรรม และในครั้งนั้นก็มีพวกเดียรถีย์ พวกที่มีความเห็นที่สะสมมามากมาย เพราะว่าไม่ใช่จะมีคนที่เห็นถูก หรือมีศรัทธาที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ในชีวิตที่แสนสั้น ก็เพียงแต่พอใจที่จะมีความเห็น ตามความคิดนึกของตัวเองว่าเป็นอย่างนั้นบ้าง เป็นอย่างนี้บ้าง แม้เห็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่รู้ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โกรธ และขุ่นเคืองใจก็ยังมี

    นี่ก็แสดงให้เห็นความต่างกันของแต่ละบุคคล ซึ่งพี่น้องกันก็มีหลายคน อัธยาศัยก็ต่างกัน เพียงในบ้านหนึ่ง ความคิดเห็นก็ยังต่างกัน นอกบ้านออกไป แต่ละครอบครัวจนถึงในโลกกี่จักรวาล ก็ย่อมต่างกันไป เพราะฉะนั้นจะให้ทุกคนเห็นประโยชน์ของการศึกษา และการเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งตัวเองไม่สามารถจะรู้ได้เลย ถ้าไม่มีบุคคลผู้ได้บำเพ็ญพระบารมีที่จะได้ตรัสรู้ความจริง มีพระมหากรุณาที่จะแสดงความจริง เมื่อรู้ว่าคนนั้นสะสมศรัทธา และปัญญาที่สามารถจะฟังเข้าใจสิ่งที่พระองค์ทรงแสดง ก็เสด็จไป ณ ที่นั้นด้วยพระมหากรุณาอย่างยิ่ง

    เพราะฉะนั้นไม่มีการไปฝืนคนที่ไม่เห็นประโยชน์ของการที่จะรู้ทำไม เห็นกับได้ยินก็ธรรมดา ทุกคนเกิดมาแล้วก็เป็นธรรมดา แต่ลืมว่า สุขทุกข์มาจากเห็น มาจากได้ยิน มาจากได้กลิ่น มาจากลิ้มรส มาจากรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และมาจากคิดนึก หรือไม่ ซึ่งความคิดนึกก็มีการเพิ่มวิวัฒนาการ เป็นการไตร่ตรองในสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นวิชาการต่างๆ แต่ไม่สามารถทำให้มีการพ้นจากความทุกข์จริงๆ ได้ เพราะว่าแต่ละชีวิตมีใครบ้างที่ไม่ทุกข์ เกิดมาไม่ต้องรับประทานอาหารได้ไหม ไม่ได้ ใช่ไหม หรือได้ ก็แสดงให้เห็นว่าต้องมีทุกข์แล้ว ประจำตัวด้วย ก็ไม่รู้เลยว่า จริงๆ แล้วเกิดมาเป็นทุกข์ หรือเป็นสุข ต้องเห็น เลือกเห็นสิ่งที่น่าพอใจได้ไหม ไม่ได้ บางครั้งก็ต้องเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ได้ยินเสียงเฉพาะที่น่าพอใจได้ไหม ก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้นความไม่รู้ทั้งหมด จะไม่รู้เลยว่า การเกิดเป็นทุกข์ เพราะเกิดแล้วต้องเห็น ไม่มีใครที่เกิดแล้วไม่เห็น เห็นแล้วก็ต้องคิด และความคิดของแต่ละคนก็ต่างกัน เพราะฉะนั้นเวลาที่เห็นประโยชน์ของการศึกษาวิชาอื่น พอเกิดมาก็อ่านออกเขียนได้ เข้าโรงเรียน แล้วก็เรียนวิชานั้นวิชานี้ แต่วิชาต่างๆ เหล่านั้นทำให้เป็นสุข หรือทำให้พ้นทุกข์ หรือทำให้เป็นคนดีได้ไหม ที่จะพ้นจากสภาพของจิตซึ่งโกรธบ้าง เสียใจบ้าง เดือดร้อนบ้าง กระวนกระวายไปด้วยความต้องการสิ่งซึ่งหวัง แต่ก็ไม่ได้สมหวัง ก็เป็นสิ่งซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา แม้เพียงเกิดมาก็เลือกไม่ได้ และการเกิดใกล้เข้ามาแล้ว เลือกได้ไหม เลือกไม่ได้ แต่รู้เหตุไหมว่า ถ้าเป็นผลของกุศลกรรม จะเกิดในสุคติภูมิ แต่ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม ไม่มีใครสามารถทำให้อกุศลกรรมนั้นทำให้เกิดในสวรรค์ หรือว่าในสุคติภูมิได้ แต่ต้องเกิดในทุคติภูมิ ในอบายภูมิ

    เพราะฉะนั้นต้องจากโลกนี้ไปแล้วจะไปไหน กำลังมีทางเดินอยู่ทุกวัน เดินทุกวัน แต่ว่าจะถึงที่ไหน ด้วยอะไร เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ว่า เกิดมาแล้วสั้น ไม่แน่นอน แล้วก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และจริงๆ แล้ว ถ้าประจักษ์ความจริงก็จะโน้มไปสู่การเข้าใจ และเห็นประโยชน์ และเห็นคุณค่าของการมีโอกาสได้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะความเข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏถูกต้อง ไม่ทำให้เกิดความเดือดร้อนใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่พอไม่รู้ไม่เข้าใจ ติดข้องทันทีโดยไม่รู้ด้วยว่า อยู่ในกรงของกิเลสมานานเท่าไร มีทั้งโลภะ โทสะ โมหะ และความเห็นผิดที่ไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง จึงทำให้อกุศลทั้งหลายไม่จบ และเจริญงอกงามขึ้นเรื่อยๆ ตามความเห็นผิด ตามความเข้าใจผิด

    เพราะฉะนั้นแม้พระธรรมที่ทรงแสดง ลองคิด แค่คิด เป็นธรรมของใคร มาจากไหน ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของบุคคลผู้เป็นเลิศที่ดับกิเลสได้ด้วยพระองค์ พร้อมด้วยพระบารมี และพระญาณมากมาย ถ้าไม่มีการทรงแสดงธรรมที่ได้ทรงตรัสรู้ถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครสามารถจะคิด และเข้าใจความจริงของธรรม ที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏได้เลย

    เพราะฉะนั้นธรรมที่ได้ฟังควรค่าแก่การฟัง หรือไม่ควรค่าแก่การฟัง อันนี้ก็แล้วแต่การสะสม แล้วแต่ศรัทธา แล้วแต่การที่จะพิจารณาว่า ธรรมที่ทรงแสดงต้องละเอียดมาก สุขุม ลุ่มลึก แต่จริง เป็นสัจจธรรม ที่ทำให้ผู้ที่ได้ฟังสามารถอบรมเจริญปัญญารู้ตามเป็นสาวกมากมาย ตั้งแต่กาละที่ทรงตรัสรู้จนถึงกาละต่อๆ มาด้วย

    เพราะฉะนั้นถ้าได้เข้าใจโดยเป็นเรื่องละ ไม่ใช่เรื่องหวังว่า เราจะรู้แจ้งสภาพธรรมหลังจากที่ได้ฟังแล้วสัก ๑๐ ปี ๒๐ ปี นั่นคือความไม่รู้ ไม่รู้ความละเอียดของธรรม เช่น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา มีไหม ขณะนี้ ปรากฏ หรือไม่ ปรากฏ ถ้าไม่มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ซึ่งเป็นรูปใหญ่ เป็นมหาภูตรูป เป็นประธาน ถ้า ๔ รูปนี้ไม่มี รูปอื่นๆ ไม่มีเลย ไม่สามารถจะมีได้ แต่ถ้ามีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ก็มีสิ่งที่สามารถกระทบจักขุปสาทรวมอยู่ด้วย แต่ไม่ใช่ธาตุดิน ไม่ใช่ธาตุน้ำ ไม่ใช่ธาตุไฟ ไม่ใช่ธาตุลม เป็นรูปอีกรูปหนึ่งซึ่งกำลังปรากฏ เพราะสามารถกระทบกับจักขุปสาท แต่มีอยู่ทุกกลาป คือ ในกลุ่มที่เล็กที่สุด เพราะว่ารูปสามารถจะแตกย่อย จนกระทั่งเล็กที่สุดสักแค่ไหนก็ตาม ก็จะมีรูปรวมกัน ๘ รูป ใน ๘ รูปนี้ รูปที่เป็นใหญ่เป็นประธานที่ใช้คำว่า “มหาภูต” มหาภูตรูป มี ๔ รูป คือ ธาตุดิน อ่อน หรือแข็ง ธาตุไฟ เย็น หรือร้อน ธาตุลม ตึง หรือไหว ธาตุน้ำ เอิบอาบเกาะกุมรูปที่เกิดร่วมกัน นอกจากนั้นยังมีสิ่งที่สามารถกระทบจักขุปสาทแล้วปรากฏในขณะนี้ มิฉะนั้นจะปรากฏรูปร่างสัณฐานเป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นคน เป็นดอกไม้ได้ไหม ถ้ามหาภูตรูปนั้นไม่มีรูปที่สามารถกระทบแล้วปรากฏ จนกระทั่งเป็นสัณฐานที่เห็นว่า เป็นลักษณะต่างๆ กัน

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ความจริงสิ่งที่คนไม่สามารถจะคิดเองได้ แม้จะศึกษาวิชาการต่างๆ ก็เป็นเรื่องราวของสิ่งที่ปรากฏจากความคิดนึก ความทรงจำ ความไตร่ตรองในสิ่งที่ปรากฏแล้ว แต่ไม่รู้ความจริงว่า สิ่งนั้นคืออะไร เป็นสภาพธรรมอะไร ต่างจากสภาพธรรมอื่นๆ ซึ่งเป็นธาตุแต่ละธาตุอย่างไร

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ความไม่รู้มีมาก และเมื่อมีผู้รู้ จะฟัง หรือไม่ฟัง ก็บังคับไม่ได้ แล้วแต่อัธยาศัย แต่ว่าเมื่อมีความเข้าใจแม้เพียงเล็กน้อย เห็นความประเสริฐของผู้ที่มีปัญญาสามารถจะรู้ความจริงนี้ได้ไหม ต้องเป็นปัญญาที่เหนือบุคคลใด แล้วเคารพในปัญญา ในความรู้ถูก ในความกรุณา ในความบริสุทธิ์ของผู้ตรัสรู้ โดยไม่ได้หวังสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย นอกจากสัจจะ คือรู้ความจริง เพื่อที่จะให้บุคคลอื่นสามารถรู้ความจริงด้วย

    เพราะฉะนั้นมีศรัทธาในบุคคลนั้นไหม กว่าจะได้รู้อย่างนี้ บำเพ็ญบารมีนานเท่าไร ประมาณไม่ได้เลย เพราะแม้ว่าขณะนี้ที่ได้ฟังพระธรรมแล้ว จะมากน้อยสักเท่าไร เข้าใจแค่ไหน นี่แสดงให้เห็นว่า แม้เพียงการฟังตามเป็นเวลานาน และสิ่งนั้นก็มีจริงๆ และกำลังปรากฏ แต่กว่าจะเริ่มค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจว่า เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นธรรม ไม่สามารถจะบังคับบัญชาได้ เกิดขึ้นปรากฏแล้วก็หมดไป

    นี่เพียงขั้นฟัง แล้วก็คิด พิจารณาไตร่ตรองตาม เพราะฉะนั้นผู้ที่ทรงแสดงความจริงให้คนอื่นได้เข้าใจตาม และบุคคลนั้นเห็นประโยชน์ ความศรัทธาที่จะเข้าใจขึ้นมีไหม ถ้ามี จะเห็นได้ว่า ความศรัทธาแม้เพียงขั้นต้นจากการฟังจะเจริญได้ต่อเมื่อฟังอีก เข้าใจอีก แต่ถ้าไม่ฟัง และไม่เข้าใจอีก ศรัทธานั้นจะเจริญขึ้นได้อย่างไร ประโยชน์ของการที่ขณะนี้เห็นก็เห็น ได้ยินก็ได้ยิน ตายก็ตาย เกิดก็เกิด นั่นก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล

    เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งที่จะรู้ได้ว่า เมื่อสิ่งนั้นเป็นความจริง สามารถจะรู้ความจริงได้ จะทำให้จิตใจค่อยๆ ละคลายอกุศล จากความติดข้อง แต่ต้องตามกำลังของปัญญาด้วย เพียงขั้นฟังนิดเดียวให้ทราบว่า ฟังแล้วก็ยังโกรธ ไม่ใช่ดับกิเลสด้วยการฟัง แสดงว่าการฟังนั้นไม่พอ การเข้าใจธรรมนั้นไม่พอ เพราะฉะนั้นถ้าฟังอีก เข้าใจอีก ก็จะเห็นความจริงเพิ่มขึ้น ไม่มีตัวเราที่ไปบังคับ แต่สังขารขันธ์ สภาพของเจตสิกซึ่งปรุงแต่งแต่ละขณะ ทำหน้าที่ของเจตสิกนั้นๆ แม้แต่การที่จะน้อมไปสู่การเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ด้วยศรัทธาที่มั่นคงขึ้น เพราะรู้ว่า ไม่มีใครสามารถรู้แจ้งสภาพธรรมภายใน ๑๐ ปี ๒๐ ปี แต่ต้องมีการสะสมมาแล้วนานมาก เพราะเมื่อปัญญาได้สะสมแล้ว เพียงฟังก็สามารถจะเริ่มเข้าใจ และถ้าปัญญามากกว่านั้นก็สามารถรู้ความจริงที่กำลังปรากฏได้

    ผู้ฟัง ความเข้าใจระลึกได้ตอนที่เป็นลายลักษณ์อักษร แต่สติไม่เกิด พอเห็นก็เป็นสัตว์บุคคลไปหมดแล้ว

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็มีตัวเราที่ระลึกไม่ได้ และอยากให้สติเกิด เพราะอะไร

    ผู้ฟัง คือบางทีก็หงุดหงิด

    ท่านอาจารย์ ก็เพราะมีตัวเรา เพราะความรักตัวเรา เมื่อได้ฟังแล้วก็อยากให้ตัวเราเป็นอย่างนั้น ตัวเราเป็นอย่างนี้ แต่ตามความเป็นจริงฟังเพื่อเข้าใจธรรม ลืมเรื่องสติปัฏฐาน ที่จะอยากให้สติเกิดโดยที่ความเข้าใจยังไม่พอ เป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่าตลอดทั้งวัน ส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ฟังธรรม เราคิดเรื่องอื่น มีปัจจัยที่จะให้คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้เสมอเลยแม้ในฝัน ก็ยังตามไปที่จะคิดถึงเรื่องต่างๆ แล้วจะให้สติสัมปชัญญะรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏอย่างที่ต้องการได้อย่างไร เพราะมีตัวที่กั้น คือ ความต้องการ แต่ไม่ใช่ปัญญาที่รู้ แล้วบังคับบัญชาไม่ได้ เริ่มเข้าถึงธรรมจริงๆ คือ ทุกอย่างเป็นธรรม เกิดเพราะเหตุปัจจัย ถ้ามีความเข้าใจเพิ่มขึ้น สัมมาสติ ไม่ใช่มีใครเตรียมอยาก หรือต้องการ หรือทำให้เกิดขึ้นมาได้ เหมือนอย่างได้ยิน ไม่มีใครไปเตรียมจะให้ได้ยินเสียงนั้นเสียงนี้ แต่เมื่อมีปัจจัยที่ถึงกาละที่ได้ยินจะเกิด ต้องได้ยิน ไม่ให้ไม่ได้ยินไม่ได้ ฉันใด ถึงกาละที่สติสัมปชัญญะซึ่งเป็นสัมมาสติเกิด ไม่มีใครไปบังคับ ไม่มีใครไปเตรียม แต่เมื่อมีปัจจัย สติเกิดจึงรู้ว่า ขณะนั้นต่างกับขณะที่หลงลืมสติ แต่โลภะจะเข้ามาอีกมากมายที่จะเป็นเครื่องขัดขวาง เป็นธรรมเครื่องเนิ่นช้า เพราะว่าสะสมความต้องการ และการยึดถือว่าเป็นตัวตนมาก

    เพราะฉะนั้นก็ต้องมีความอาจหาญร่าเริงจริงๆ ที่จะรู้ความจริงของธรรม ไม่ใช่ที่จะไปเปลี่ยน หรือที่จะไปอยาก หรือจะไปต้องการให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เช่น ขณะนี้พิสูจน์ได้ทันที กำลังเห็น ความเข้าใจสภาพธรรมที่ปรากฏที่กำลังเห็นแค่ไหน ไม่ต้องไปมุ่งถึงสติสัมปชัญญะ หรืออะไรเลย ถ้าความเข้าใจไม่พอจะให้เริ่มรู้ลักษณะที่กำลังเห็นได้ไหม

    เพราะฉะนั้นทั้งหมดก็เป็นเรื่องของปัญญา ในมรรคมีองค์ ๘ จะปราศจากปัญญาไม่ได้เลย เมื่อมีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูกระดับไหน สังขารขันธ์ทั้งหลายก็ปรุง เริ่มที่จะเจริญขึ้นทีละเล็กทีละน้อย แม้แต่การจับด้ามมีดเพียงแค่วันเดียวยังไม่ปรากฏแม้รอยนิ้วมือที่จับ แล้วจะสึกได้อย่างไร แต่ถ้ามีขันติ มีความอดทน มีความเพียร และมีการรู้ว่า อย่างอื่นไม่จริง เป็นตัวตนซึ่งหวัง แล้วไปทำขึ้น แต่จะทำอย่างไร หวังอย่างไร ก็ไม่ได้รู้สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ว่า เป็นธรรมซึ่งมีลักษณะที่ต่างกัน เป็นธาตุซึ่งไม่มีรูปร่างใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่สามารถเห็นเดี๋ยวนี้ เกิดขึ้นแล้วก็เห็น แล้วก็ดับไป

    นี่คือธรรมที่ไม่ใช่ตัวตน เพราะฉะนั้นจึงต้องเป็นผู้ที่มั่นคง และอดทนที่จะรู้ว่า ธรรมปรากฏเมื่อไร เพื่อให้เข้าใจถูก หรือเพื่อจะเปลี่ยนแปลง อยากจะปล่อย อยากจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ด้วยความไม่รู้ว่าเป็นธรรม นั่นก็แสดงว่า ยังไม่เข้าใจคำว่า “ธรรม” จริงๆ เพราะเหตุว่าถ้าเข้าใจจริงๆ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร จึงเป็นธรรม ถ้าอยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร จะเป็นธรรมได้อย่างไร

    จากขณะซึ่งไม่มีอะไรปรากฏ ขณะนี้มีปรากฏ ไม่ขาดเลย เห็นบ้าง คิดนึกบ้าง ได้ยินบ้าง อะไรบ้าง ต่อกันสนิท ไม่ได้ขาดเลย แต่ขณะที่มีสติสัมปชัญญะรู้จริงๆ เสียงยังไม่ได้ปรากฏเลย แล้วปรากฏ หรือว่าเห็น ก็ยังไม่มี แล้วเกิดเห็น น่าอัศจรรย์ไหม จากไม่มีอะไรเลย นอกจากธาตุรู้ซึ่งเป็นนามธาตุ มืดไหมธาตุรู้ แต่รู้ กำลังรู้ แต่ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ใช่เสียง ไม่ใช่กลิ่น ไม่ใช่รส เป็นธาตุรู้ ซึ่งเกิดขึ้นลักษณะของธาตุรู้นั้นต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่เมื่อสิ่งนั้นไม่ได้ปรากฏเป็นสีสันวัณณะ หรือเป็นเสียง จากการที่เสียงไม่ได้ปรากฏ สีสันวัณณะไม่ได้ปรากฏแล้วปรากฏได้ น่าอัศจรรย์ไหม ถ้าไม่ใช่เรา แต่เป็นธาตุ หรือเป็นธรรม แต่ถ้าเป็นธรรมดาก็คือเราเห็น เราได้ยิน ไม่น่าอัศจรรย์ ทุกคนมีตา ลืมตาก็เห็น แต่จริงๆ แล้วชั่ว ๑ ขณะที่เห็นเกิด คนไม่รู้ก็ไม่สามารถจะหยั่งลงถึงขณะซึ่งไม่มีเห็น แล้วเกิดมีเห็น แล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้

    อ.กุลวิไล การที่จะเข้าใจว่า ทั้งหมดเป็นธรรม จะมีความเข้าใจให้มั่นคงได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก็ต้องเป็นผู้ที่ตรง แล้วเป็นผู้ที่ละเอียด ไม่เผิน ตรงคือขณะนี้ ทุกคนมาที่นี่เพื่อที่จะได้เข้าใจพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ก็แสดงให้เห็นว่า จุดประสงค์ไม่ใช่เพื่อการอื่น แต่เพื่อที่จะได้เข้าใจพระธรรมที่ทรงแสดงยิ่งขึ้น เป็นการบูชาสูงสุด เพราะเหตุว่าถ้าจะบูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียน ก็ไม่ได้ทำให้พระผู้มีพระภาคสมกับที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อที่จะอนุเคราะห์สัตว์โลกให้มีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูกในสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏทุกภพชาติ

    เพราะฉะนั้นจากการเป็นผู้ตรง ก็จะต้องเป็นผู้ละเอียดด้วย ไม่เผิน แต่ละคำที่ได้ยินได้ฟังก็ควรจะได้เข้าใจให้ถูกต้อง ว่าจริงๆ แล้วเราเข้าใจคำนั้น ไม่ใช่เพียงโดยคำแปล โดยเพียงเป็นภาษาที่สื่อให้รู้ว่า หมายความถึงอะไร แต่ต้องรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งเป็นธรรมที่ได้ยินได้ฟังด้วย เพราะฉะนั้นไม่ใช่เราจะหลอกตัวเอง หรือข้าม หรือต้องการจะไปรู้อย่างอื่นมากมาย โดยไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นธรรมจริงๆ ที่กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้นเวลาฟังธรรม ไม่ลืมเลยว่า ฟังเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ที่กำลังปรากฏ และก็เป็นปัญญาของเราเองจริงๆ ไม่ใช่เราจะต้องไปค้นคว้าชื่อต่างๆ แต่ว่าชื่อนั้นจะทำให้เราสามารถเข้าใจสิ่งที่ปรากฏไหม เพราะเหตุว่าพระธรรมที่ทรงแสดงมากมาย ๔๕ พรรษา เพื่อทรงอนุเคราะห์เกื้อกูลให้ผู้ที่ฟังเริ่มเข้าใจสภาพธรรมจริงๆ โดยความเป็นอนัตตา แม้แต่คำว่า “อนัตตา” พูดได้ ไม่ยากเลย แต่ว่าขณะนี้ธรรมที่ปรากฏเป็นอะไร เป็นธรรมแต่ละลักษณะซึ่งเป็นอนัตตา เพราะว่าไม่มีใครสามารถจะบังคับบัญชาได้ ฟังเพื่อให้ละความไม่รู้ และการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะว่าโดยมากก็จะได้รับคำถามว่า ทำอย่างไรเวลาที่เห็นแล้วจะไม่โกรธ หรือเวลานี้โลกก็ยุ่งเหยิงวุ่นวาย ทำอย่างไรถึงจะสงบ ถ้าไม่รู้จริงๆ ว่า อะไรยุ่ง จะสงบได้ไหม ความวุ่นวายนั้นอยู่ตรงไหน ก็ไม่สามารถจะดับความวุ่นวายได้ ถ้าไม่รู้ว่า แท้ที่จริงแล้วสภาพธรรมที่วุ่นวายมีจริงๆ เกิดแล้ว แต่ไม่ใช่เรา ข้อสำคัญก็คืออยู่ที่ไหน

    ส่วนใหญ่เราข้าม เราเผิน ฟังธรรม หรือว่าจะได้ยินได้ฟังเรื่องราวต่างๆ ลืมว่า ขณะนั้น ใจ สภาพของจิตเจตสิกซึ่งมีจริงๆ ซึ่งกำลังรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และเรื่องราวต่างๆ ทางใจนั้นเกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็ดับไปด้วย โดยที่ไม่รู้เลย แต่ชีวิตความจริงก็เป็นอย่างนี้

    เพราะฉะนั้นถ้าฟังเข้าใจขึ้น ก็ไม่มีเราที่จะไปหวัง หรือว่าจะไปทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ว่าสภาพธรรมคงทนต่อการเปิดเผยความจริงกับปัญญาที่ได้อบรมแล้ว เพราะฉะนั้นขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏ ได้ยินได้ฟังว่าเป็นธรรม แค่นี้ก็รู้แล้วว่า เข้าใจสิ่งที่ปรากฏ โดยสภาพที่ไม่ใช่ตัวตน เป็นธรรมแค่ไหน หรือว่ากำลังฟัง กำลังพิจารณา กำลังไตร่ตรอง กำลังเพิ่มความมั่นคงในการที่จะรู้ว่า ไม่มีสิ่งอื่นที่ปรากฏพร้อมกันได้เลย ในขณะนี้สิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏเมื่อเห็นเท่านั้นจริงๆ

    นี่คือสิ่งที่จะต้องฟังแล้วฟังอีก ไม่ว่าจะเกิดอีกกี่ชาติ มีโอกาสอาจจะได้เฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป อาจจะกี่พระองค์ก็ไม่รู้ได้ แต่ความรู้ก็คือความรู้ถูกต้องตามความเป็นจริง คือสิ่งที่มีจริงๆ ไม่เผิน เพียงฟังเรื่องราว และเพียงเข้าใจเรื่องราว แต่ต้องรู้ว่า เรื่องราวนั้นมาจากไหน มาจากความจริงของสภาพธรรมที่กำลังเป็นจริงในขณะนี้อย่างนี้

    เพราะฉะนั้นก็เป็นผู้ที่ละเอียด และตรงที่จะรู้ว่า การที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงไม่ง่ายเลย เพราะว่าเหตุปัจจัยที่จะให้มีความเห็นถูก เข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ แม้กำลังฟังขณะนี้ ก็ไม่ง่าย เพราะเหตุว่าสะสมความไม่รู้มานานมาก ประมาณไม่ได้เลย และเมื่อมีความไม่รู้ สิ่งใดที่ปรากฏ สิ่งนั้นก็เป็นที่ตั้ง เป็นที่ยึดถือ ที่พอใจ เป็นปิยรูป สาตรูป ถ้าจะใช้คำภาษาบาลี หรือว่าเป็นวัตถุที่ตั้งของกาม คือความยินดีพอใจ เพราะไม่รู้ ถ้าสิ่งนั้นปรากฏการเกิด และดับจริงๆ จะติดข้องพอใจในสิ่งนั้นไหม แต่เมื่อสิ่งนั้นแม้เป็นอย่างนั้น ก็ไม่ได้ปรากฏให้เห็นเพราะความไม่รู้มากมายที่จะกั้น กำลังปรากฏจริงๆ แต่ฟังให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น สิ่งที่สะสมมาในจิตนานมาก คือ ความไม่รู้กับความเห็นผิด ใครเป็นผู้ที่จะเอาออกไปได้


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 168
    11 ม.ค. 2567