พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 397


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๓๙๗

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐


    อ.ธิดารัตน์ การที่จะศึกษาลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตาก็ยังไม่ทราบว่า จะเข้าถึงสิ่งที่ปรากฏทางตาจริงๆ ได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ เป็นตัวตนที่ฟังเพื่อจะถึง หรือฟังเพื่อที่จะรู้ว่า ไม่มีตัวตนเลยทั้งสิ้น เป็นแต่เพียงสภาพธรรมจริงๆ

    อ.ธิดารัตน์ คือทุกคนที่ศึกษาก็จะเข้าใจอย่างนี้ แต่ความที่ว่าเขาก็ยังอาจจะยังมีโลภะกันอยู่เป็นเรื่องปกติ ก็ทำไมยังไม่เข้าใจสักที

    ท่านอาจารย์ สักที ป่านนี้ ก็มีอยู่แต่ ๒ คำนี้ แต่ว่าตามความเป็นจริงสภาพธรรมขณะนี้เป็นอย่างนี้ ความเข้าใจเพียงเท่านี้ หรือความไม่เข้าใจที่เกิด แล้วไม่เข้าใจจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ไหม

    อ.ธิดารัตน์ กราบเรียนท่านอาจารย์อีกนิดหนึ่ง คือจะศึกษาเหมือนอย่างที่มูลนิธิ เราก็จะฟังกันหลากหลายมาก แล้วการฟังหลากหลายเหล่านี้ที่จะอุปการะให้สามารถที่จะเข้าใจในลักษณะสภาพธรรมได้

    ท่านอาจารย์ มีธรรมกำลังปรากฏ และก็ฟังเรื่องสิ่งที่ปรากฏจนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น จุดประสงค์คืออย่างนี้ หรือเปล่า หรือว่าแม้มีธรรมที่กำลังปรากฏ อยากจะรู้ให้มากจนกระทั่งประจักษ์แจ้งการเกิดดับของสภาพธรรมในขณะนี้

    อ.ธิดารัตน์ คงหลายๆ ท่านที่เข้าใจแล้วคงไม่คิดอย่างนี้ เพราะรู้ว่าเป็นเรื่องที่ยาก และอีกไกล

    ท่านอาจารย์ เสียดาย แล้วก็มีมีดที่สึกแล้ว แล้วก็มีมีดที่ด้ามยังไม่สึกเลย แล้วก็ใครก็ตามที่จับด้ามมีดมีรอยนิ้วมือปรากฏ หรือไม่ แม้เพียงรอยนิ้วมือหลังจากที่จับแล้ว ทุกคนที่บ้านมีมีดแต่ไม่ทราบว่าจะมีด้ามมีดที่เป็นไม้ หรือไม่ ก็ลองกลับไปดูว่า ด้ามมีดเคยถูกจับแล้วแล้วมีรอยนิ้วมือปรากฏบ้าง หรือยัง นี่ยังไม่ถึงการสึก

    เพราะฉะนั้นการฟังแต่ละครั้งให้ทราบว่า เป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคทรงบำเพ็ญพระบารมีนานมาก ถ้าเป็นผู้ที่ยิ่งด้วยปัญญาถึง ๔ อสงไขยแสนกัปป์ ไม่ใช่วัน ไม่ใช่เดือนไม่ใช่ปี หลังจากที่ได้รับคำพยากรณ์แล้วว่าต้องบรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอนอีก ๔ อสงไขยแสนกัปป์

    เพราะฉะนั้นถ้าใครก็ตาม เพียงฟังครั้งแรกได้ยินสิ่งที่ไม่เคยฟัง แต่ว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ ให้รู้ว่า กำลังฟังเรื่องความจริงของสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นกว่าจะค่อยๆ เข้าใจความจริงของสิ่งนั้น จะเร็ว หรือจะช้า เพราะว่าทำไม ก่อนฟังสิ่งนี้ก็ปรากฏ แล้วไม่เข้าใจตามความเป็นจริง แสดงให้เห็นว่าเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง แล้วก็หลอกลวง เพราะเหตุว่าความจริงเป็นสภาพธรรมที่เพียงปรากฏให้เห็นแล้วดับ เร็วขนาดไหนก็ไม่เคยรู้ตามความเป็นจริงเลย

    เพราะฉะนั้นเมื่อฟังแล้ว ความเห็นที่ถูกต้องก็คือต้องถูกต้องตามความเป็นจริงของธรรมนั้น ไม่ใช่ฟังแล้ว เมื่อไรเราจะรู้ อย่างนั้นคือไม่เข้าใจธรรมเลย เพราะว่าเป็นเราที่ฟังเพราะอยากรู้ อยากถึง แต่ไม่รู้ว่าตามความเป็นจริง สภาพธรรมที่เป็นจริงอย่างนี้ ถึงด้วยปัญญาตามลำดับขั้นด้วย ถ้าไม่มีการฟังที่เข้าใจตามความเป็นจริงว่า ขณะนี้เป็นธรรม จะไปเรียนอย่างอื่น ตำราเยอะๆ แต่ว่าไม่รู้ว่าขณะนี้เป็นธรรม ซึ่งมีแสดงไว้ตามตำราที่มีทุกประการ แต่เป็นเรื่องราวของสภาพธรรมที่ไม่ยังเคยรู้เลย เพียงแต่ว่าถ้าฟังเมื่อไรก็เพิ่งเริ่มฟังเริ่มเข้าใจว่า เป็นสิ่งที่เป็นจริงอย่างนั้น แต่ให้รู้ว่าแม้ความจริงเป็นอย่างนั้น ต้องอาศัยปัญญาที่มากพอที่สามารถที่จะแทงตลอดลักษณะของสภาพธรรมได้ และลองคิดถึงขณะนี้ ได้ยินได้ฟังว่า สิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นธรรมที่มีจริง เกิดแล้ว ปรากฏแล้วดับไปอย่างเร็วมาก ไม่ปฏิเสธ ใช่ไหม ความรู้แค่ไหน เห็นไหม ลืมเลยว่าทั้งๆ ที่ฟังอย่างนี้ แต่ความเข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏแค่ไหน และนี้เป็นการฟังเรื่องราวเข้าใจ ยังไม่ใช่สติสัมปชัญญะที่รู้ลักษณะที่เป็นอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้นจะใช้คำว่านามธรรม หรือรูปธรรม ไม่ใช่ให้เราไปนั่งคิด แล้วนั่งตอบ เสียงเป็นรูปธรรม หรือนามธรรม ไปนั่งคิด ไม่ใช่ แต่ว่าลักษณะของเสียง มี ปรากฏ ทุกคนรู้จักเสียง ตอบได้ว่าเป็นเสียง แต่ไม่รู้ความต่างกันของเสียงกับสภาพที่กำลังได้ยินเสียง ไม่ใช่มีแต่เสียง ต้องมีธาตุที่ได้ยินเสียงด้วย

    เพราะฉะนั้นขณะนี้ก็เป็นธาตุทั้งหมด ซึ่งเพียงเริ่มฟัง และเริ่มเข้าใจเพียงบางส่วนบางประการ แต่ก็ยังไม่ประจักษ์ความจริงว่า ทำไมต้องรู้เสียง เหมือนกับบางคนก็ถามว่า ทำไมต้องรู้แข็ง ก็แข็งมี แล้วแข็งก็เกิดดับ ไม่ใช่ว่าโดยไม่รู้ อย่างเวลานี้ถ้าถามว่าเสียงมี เสียงเกิดปรากฏแล้วดับ ทุกคนตอบได้ แต่ไม่รู้ความเป็นธาตุซึ่งเกิดดับของเสียงซึ่งเหมือนกับธาตุอ่อน หรือแข็ง ซึ่งมีปรากฏเพราะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป และเช่นเดียวกับเห็นที่ขณะนี้ ก็เป็นธาตุอึกชนิดหนึ่งซึ่งเกิด ต่างกับเห็น ต่างกับสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แล้วก็ดับ ไม่รู้ความเป็นธาตุจึงไม่ละ เสียงก็เป็นเสียง แล้วก็เป็นเราได้ยินเสียง ไม่ใช่เสียงเป็นธาตุชนิดหนึ่งซึ่งเสมอกับรูปธาตุอื่นๆ คือ มีอายุที่สั้นมาก เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้นที่จะรู้ว่าแข็งประโยชน์อะไร ไม่เคยรู้เลยว่าเป็นธาตุ ซึ่งขณะที่ธาตุนั้นปรากฏ อย่างอื่นไม่ได้ปรากฏเลย เช่นเดียวกับขณะที่เสียงปรากฏ ขณะนั้นไม่มีอย่างอื่นปรากฏเลย เพราะเหตุว่าธาตุรู้เกิดขึ้นกำลังได้ยินเสียงชั่วขณะที่เสียงปรากฏ เพราะไม่รู้อย่างนี้ ความเป็นเราจึงมีอยู่มากมายในสิ่งซึ่งเกิดดับสืบต่อเพราะไม่รู้

    ด้วยเหตุนี้ถ้ามีการรู้เพิ่มขึ้น การคลายความไม่รู้ต้องมี ก่อนที่จะประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไปของสภาพธรรมได้ ไม่ใช่ว่าทั้งๆ ที่ไม่รู้อะไรก็จะไปประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม หรือไม่ใช่เพียงแต่ขั้นได้ยินได้ฟังแล้วก็คิดไตร่ตรองทั้งวัน ประจักษ์แล้วว่าสภาพธรรมเกิดดับ ไม่ใช่อย่างนั้นเลย แต่ต้องเป็นการเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมจริงๆ โดยรู้ความต่างของขณะที่เป็นขั้นฟังเรื่องราว กับขณะที่สติสัมปชัญญะเกิด นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะไม่มีเรา ถ้าสติสัมปชัญญะไม่รู้ลักษณะที่เป็นธรรม ที่เป็นธาตุ จะคลายความไม่รู้ และความติดข้องไม่ได้

    เพราะฉะนั้นถ้าเพียงฟังชื่อสติ แต่สติสัมปชัญญะก็ไม่ได้เกิด ก็ยังรู้ว่า สติขั้นฟังขณะนี้เป็นอย่างหนึ่ง แม้ไม่ปรากฏเลย ขณะนี้กำลังได้ยินกำลังฟัง สติขั้นฟังก็ยังไม่ได้ปรากฏ แต่ว่าจิตที่เป็นกุศลมี ไม่ใช่จิตที่เห็น จิตที่เข้าใจสิ่งที่ได้ฟังมี ไม่ใช่เพียงแต่จิตได้ยินเสียง นี่ก็แสดงถึงความละเอียด ซึ่งทั้งหมดเป็นธรรมทั้งนั้น ต้องตรง ไม่ใช่ฟังว่าเป็นธรรม แล้วก็เป็นเราไปตลอดโดยที่ว่า ไม่มีการรู้ลักษณะของสภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใด ถ้ายังคงเป็นอย่างนั้น ก็เป็นปัญญาขั้นฟังเท่านั้น ซึ่งพระผู้มีพระภาคไม่ได้ทรงเกื้อกูลเพียงให้ฟังเรื่องราวของสภาพธรรม แต่ทรงเกื้อกูลอนุเคราะห์ให้ถึงการประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมด้วย

    อ.ธิดารัตน์ คือสนทนากันแล้วก็จะมีผู้สนทนาด้วย คือเหมือนกับเขาจะคล้ายๆ กับใช้คำว่ามีสภาพธรรมปรากฏ คือ จะสามารถเข้าใจได้อย่างไรว่า สภาพธรรมนั้นปรากฏกับสติ หรือว่าเป็นเพียงการคิดถึงสภาพธรรม เพราะว่า ๒ อย่างสำหรับผู้ที่ยังไม่เคยรู้ลักษณะสภาพธรรมจริงๆ จนเป็นปกติจริงๆ จะแยกกันยากมากเลย ระหว่างการคิดถึงลักษณะกับการรู้ลักษณะจริงๆ

    ท่านอาจารย์ นี่คือประโยชน์ของปริยัติ ถ้าไม่มีการฟังก่อน ไม่มีทางที่จะรู้ความต่างของธรรมระดับต่างๆ เช่น สติขั้นทาน สติขั้นศีล สติขั้นฟังธรรมเข้าใจ สติขั้นที่กำลังสงบ หรือสติที่สามารถเริ่มรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ แต่จากการฟัง ไม่เหมา ไม่เข้าใจผิดไม่สับสน ไม่ไปเอาแค่ฟัง ไปเป็นการรู้ลักษณะของสภาพธรรม แม้ว่าสติสัมปชัญญะ หรือสติปัฏฐานยังไม่ได้เกิดเลย แต่ฟังแล้วรู้เข้าใจความต่างกันเมื่อไร ก็จะเป็นปัจจัยให้สติสัมปชัญญะเกิดได้ เพราะว่าสภาพธรรมทุกอย่างต้องมีเหตุปัจจัย ปัญญาเกิดขึ้นมาเองไม่ได้ หรือเพียงฟัง โดยที่ไม่รู้ความต่างของสติ แล้วสติสัมปชัญญะจะเกิดได้โดยเพียงขั้นฟังไม่เข้าใจความต่าง

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่าต้องเป็นผู้ที่ละเอียด และก็ต้องเป็นผู้ที่ตรง ต่อการที่จะรู้ว่าแม้ธรรมมี แต่เรารู้ธรรมนั้นจริงๆ หรือเปล่า อย่างบางคนชอบพูด ขณะนี้เห็นเพราะว่ารูปธาตุ หรือรูปารมณ์ ใช้คำนั้นเลย กระทบจักขุปสาทใช้คำนี้ แล้วผัสสะก็เกิดกับจิต แล้วก็กระทบกับรูปารมณ์ คือเป็นคำทั้งหมดเลย เราสามารถจะรู้ผัสสะได้ไหม เราสามารถที่จะรู้ขณะที่วัณณธาตุกระทบกับจักขุปสาทได้ไหม เราสามารถที่จะรู้ได้ไหมว่า ในขณะที่เห็นเดี๋ยวนี้มีความรู้สึกเกิดร่วมด้วย มีผัสสเจตสิก มีสัญญาเจตสิก คือสภาพจำ มีเจตนาเจตสิก สภาพที่ขวนขวายกระทำกิจของตน ซึ่งคำอธิบายจะมีมาก เพราะเหตุว่าเป็นเรื่องสภาพธรรมที่มีจริง แต่ไม่ได้ปรากฏ แต่รู้ได้ เข้าใจได้ว่า เป็นปัจจัยที่จะทำให้สภาพธรรมแต่ละขณะเกิดขึ้นกระทำกิจนั้นๆ

    เพราะฉะนั้นมีธรรมอีกมากที่ฟังแล้วรู้ว่ามีจริง แต่ว่าลักษณะนั้นไม่ได้ปรากฏ ฉันใด แม้แต่คำว่า “สติ” ก็ได้ยินชื่อ สติ ได้ยินชื่อ หิริ ได้ยินชื่อ โอตัปปะ ได้ยินชื่อ ศรัทธา ได้ยินชื่อ ตัตตรมัชฌัตตตา มี จึงได้ทรงกล่าวถึงสภาพธรรมนั้นให้รู้ว่ามี แต่ว่าเมื่อไม่ได้ปรากฏ ก็เป็นความเข้าใจในเหตุในผล ฉันใด ถ้าสติสัมปชัญญะไม่เกิด ก็ฟังจนกระทั่งรู้ความต่างว่า แม้ในขณะที่ฟังเป็นกุศลจิต เข้าใจ มีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย ขณะนั้นต้องมีสติเกิด ทุกครั้งที่มีปัญญา ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก มีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วย ต่างกับขณะที่เป็นไปในขั้นทาน ซึ่งไม่มีความเข้าใจลักษณะสภาพธรรม แต่ก็มีสติเจตสิกระดับทาน เกิดขึ้นเป็นไปในการให้

    เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ ก็จะรู้ว่ากำลังฟังเรื่องเห็น จิตเห็นมี เกิดเห็นแล้วก็ดับไป แต่ว่าขณะใดก็ตามที่ไม่ได้เริ่มเข้าใจสภาพที่กำลังเห็น ขณะนั้นไม่ใช่สติสัมปชัญญะ ไม่ใช่ว่า จะเอาตัวสติมาทำงานให้เห็นว่า ขณะนี้สติสัมปชัญญะเกิด แต่จากการฟัง โดยไตร่ตรองโดยความละเอียด สภาพธรรมขณะนี้เป็นปกติไหม (เป็น) แน่ใจไหม เป็น หรือไม่ ปกติธรรมดา อย่าได้ไปทำให้ผิดปกติ ทำเมื่อไรก็คือไม่สามารถที่จะเข้าใจธรรมที่เกิดเป็นปกติ และก็ดับไปเป็นปกติด้วย

    เพราะฉะนั้นจิตเห็น เกิดขึ้นเห็น เป็นปกติไหม (เป็น) ถ้ามีการเข้าใจ กำลังเริ่ม ไม่ไปคิดเรื่องอื่นเลยทั้งสิ้น แต่มีลักษณะที่กำลังปรากฏ ตรงนี้ยากไหม ไม่ได้ไปคิดเรื่องอื่น ไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย กำลังใส่ใจ มีสภาพที่ปรากฏ แล้วก็เห็นมาโดยตลอด แต่ขณะนี้ไม่ใช่เพียงแต่ฟังเรื่องสิ่งที่ปรากฏ แต่เริ่มน้อมไปสู่ เห็นไหม กว่าจะน้อมไป ไม่ใช่เราด้วย แต่จากการฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น จะทำให้ รู้ในลักษณะที่มีจริง แล้วแต่ว่าขณะนั้นจะเป็นการรู้สิ่งที่ปรากฏให้เห็น หรือเป็นการรู้ธาตุที่กำลังเห็น ยากไหม

    เพราะฉะนั้นธรรมลึกซึ้งตามลำดับขั้น ข้ามขั้นไม่ได้เลยแม้แต่การฟังเข้าใจ ก็ไม่ใช่ว่าเข้าใจแล้ว สติสัมปชัญญะจะเกิดทันที เป็นอนัตตา ถ้าไม่ฟังธรรมที่จะทำให้ละความติดข้อง หรือความต้องการ ขณะนั้นไม่ชื่อว่าเข้าใจธรรม เพราะเหตุว่ามีความหวังซึ่งเป็นตัวตน เพราะไม่รู้ว่าเป็นธรรม แต่จากการฟังให้เห็นความยาก ความลึกซึ้ง นี่เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้คลายโลภะ มิฉะนั้นแล้วไม่มีอย่างอื่นเลยที่จะคลายโลภะได้เพราะว่าซ่อนอยู่อย่างหนาแน่น มั่นคง หยั่งรากลึก ไถ่ถอนออกยากมาก ต้องด้วยปัญญาจริงๆ

    เพราะฉะนั้นในขณะที่มีสิ่งที่กำลังปรากฏ ขณะนี้เปลี่ยนจากสิ่งที่ปรากฏทางตาก็ได้ เพราะว่าไม่ใช่มีแต่เฉพาะสิ่งที่ปรากฏทางตาอย่างเดียว แข็งมีไหม ปรากฏแล้วหมดไปเลย ไม่ได้รู้ตรงลักษณะที่แข็ง เห็นความต่างไหม ทั้งวันที่กระทบสิ่งหนึ่งสิ่งใด ข้ามไปโดยการนึกคิดทันทีเร็วมาก ซึ่งความจริงจิตเกิดดับสืบต่อนานกว่านั้น แต่ไม่รู้เลย เพราะความรวดเร็วว่า หลงลืมไปแล้ว แล้วก็มีความยินดี หรือไม่ชอบใจในสิ่งที่ปรากฏ แต่จากการฟังเริ่มเข้าใจความละเอียดขึ้น แม้แต่แข็งวันนี้ มีจริงๆ รู้ด้วยว่า แข็ง แต่ไม่ใช่รู้ด้วยสติ รู้เป็นปกติว่า แข็ง ซึ่งทุกคนเวลากระทบสัมผัสบอกได้ เย็น หรือร้อน อ่อน หรือแข็ง ตึง สัมผัสบางอย่างลักษณะที่ตึงจะปรากฏ บางอย่างก็เป็นลักษณะที่ไหวปรากฏ

    นี่คือปกติซึ่งจิตเป็นธาตุที่เกิดขึ้นรู้สิ่งซึ่งปรากฏ แต่ไม่ใช่สติสัมปชัญญะ เพราะฉะนั้นสติสัมปชัญญะจะเกิดได้ ต่อเมื่อมีความเข้าใจเรื่องสภาพธรรมที่เป็นอนัตตา ไม่มีการเจาะจง แต่รู้ได้ว่า สิ่งที่ปรากฏอย่างแข็งปรากฏกับกายวิญญาณ ใช้คำภาษาบาลี ภาษาไทยก็คือธาตุรู้ที่กำลังรู้ลักษณะที่แข็ง หมายความถึงจิตซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานเกิดขึ้นรู้ลักษณะที่แข็ง แข็งจึงปรากฏเป็นปกติธรรมดา แต่เวลาที่สติสัมปชัญญะเกิดเป็นปกติ ไม่ได้ไปทำอะไรให้เปลี่ยนแปลง แต่แข็งซึ่งไม่ได้ปรากฏกับสติ เพราะว่าปรากฏกับกายวิญญาณเป็นปกติ หมดไปแล้วอย่างรวดเร็ว ขณะนั้นก็มีการรู้ตรงแข็ง จะเห็นได้ว่า ขณะนั้นมีความเข้าใจที่จะเข้าใจว่า ขณะนั้นมีธาตุชนิดหนึ่งปรากฏเป็นลักษณะที่แข็ง แล้วถ้าเป็นความจริงขณะนั้นจะไม่มีอะไรปรากฏเลยทั้งสิ้น นอกจากธาตุรู้ และแข็ง

    นี่คือการประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมที่จะรู้ว่า เพราะเหตุใดจึงต้องรู้แข็ง เพราะว่าแข็งเป็นธรรมที่เกิด และขณะนั้นอย่างอื่นจะปรากฏร่วมด้วยไม่ได้เลยจริงๆ มีแต่ธาตุที่กำลังรู้แข็งที่ปรากฏ แล้วสติสัมปชัญญะก็คือปกตินั่นแหละ แต่ว่ารู้แข็งนั้นด้วย ไม่ใช่เพียงแต่รู้แล้วก็ผ่านไป เหมือนเวลาที่สติสัมปชัญญะไม่เกิด ยังไม่สามารถประจักษ์การเกิดดับขณะนั้นได้เลย แต่เป็นการรู้ความต่างของขณะที่สติสัมปชัญญะ ซึ่งใช้คำว่า “สติปัฏฐาน” เกิด เพราะว่าขณะนั้นมีแข็ง คือ สภาวธรรม หรือธาตุชนิดหนึ่งซึ่งเป็นปกติกำลังเป็นอารมณ์ที่สติกำลังรู้ตรงนั้น จนกว่าความเข้าใจจะเพิ่มขึ้นว่า ไม่มีใครเลยนอกจากธาตุที่รู้ และแข็งที่ปรากฏ

    นี่คือทางเดียว แต่ว่าชีวิตตามความเป็นจริง ไม่ใช่มีแต่เฉพาะทางกาย ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางใจ โดยนัยเดียวกัน เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจความหมายของสติสัมปชัญญะว่า ต่างกับสติขั้นอื่น จนกว่าสติสัมปชัญญะเกิดเมื่อไรเป็นปกติ ก็จะรู้ได้ว่า ขณะนั้นเป็นลักษณะของสติปัฏฐาน หรือสติสัมปชัญญะ

    อ.ธิดารัตน์ เป็นความกรุณาอย่างยิ่ง เพราะว่าหลายๆ ท่านก็คงจะฟังด้วยความแช่มชื่น

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ ก็เป็นปัญหาต่อเนื่อง ขออภัยท่านผู้ฟัง เพราะว่าผมลืมไปประเด็นหนึ่ง เมื่อเช้าที่เกี่ยวกับเรื่องตัวตน บุคคล เรา เขา คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือพอมาถึงตรงนี้แล้วก็ความเข้าใจก็มีเป็นระดับๆ ขึ้นมา ผมก็ไม่เข้าใจว่า คำว่าตัวตน เรา เขา มันมาจากไหน เกิดขึ้นมาอย่างไร เพราะว่าเท่าที่เราเรียนรู้ มันก็มีแค่ จิต เจตสิก รูป นิพพาน แยกออกไปทีละอันทีละอัน ไอ้ตัวตน เรา เขา มันก็ไม่มี แล้วทำไมมันติดแหงกที่เรามากมาย มาจากไหน

    ท่านอาจารย์ มีตัวตนใช่ไหม ยังไม่ต้องมาจากไหน มีใช่ไหม

    ผู้ฟัง มี มันมาจากไหน

    ท่านอาจารย์ ยังไม่ถามว่ามาจากไหน แค่มีจริงๆ หรือว่าหลอกเล่น

    ผู้ฟัง ผมว่ามันมี แต่มันหลอกเรา

    ท่านอาจารย์ ยังไม่ต้องไปหลอก หรืออะไร มีจริง แค่มีจริง

    ผู้ฟัง คือรู้ว่ามันมี

    ท่านอาจารย์ มีจริงๆ ความเห็นผิดมีไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ การยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา มีไหม

    ผู้ฟัง ก็เป็นธรรมอีกเหมือนกัน

    ท่านอาจารย์ เป็นกุศล หรืออกุศล

    ผู้ฟัง เป็นอกุศล

    ท่านอาจารย์ ไม่ให้เกิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้ ต้องแยกอย่างนี้ต่อไปอีก

    ท่านอาจารย์ ต้องเข้าใจ เกิดแล้วเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า มีจริงๆ บังคับบัญชาไม่ได้ ที่จริงแล้วทุกขณะเป็นสภาพธรรมที่ส่องถึงความเป็นอนัตตาทั้งหมด ไม่มีใครสามารถจะบังคับบัญชาได้เลย แต่ไม่รู้ เห็นไหม อวิชชามี ไม่สามารถที่จะเห็นถูก เข้าใจถูกว่าเป็นธรรม จนกว่าจะมีการฟัง พิจารณา ไตร่ตรองเข้าใจขึ้น ค่อยๆ คลายความไม่รู้ แม้ในขั้นการฟังก็ต้องฟังจนกระทั่งเป็นความเข้าใจขึ้น

    ผู้ฟัง ในการที่เราจะศึกษาให้เข้าใจความจริงที่มีอยู่ ที่เราไม่เคยเข้าใจมาก่อน หรือว่าเข้าใจผิดว่ามีสัตว์ ตัวตน บุคคล แต่จริงๆ แล้ว เป็นสภาพธรรมที่ปรากฏ มีสิ่งที่รู้สิ่งที่ปรากฏเท่านั้น

    ท่านอาจารย์ สภาพธรรมที่กำลังปรากฏมีจริงๆ ประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ง่าย หรือยาก

    ผู้ฟัง ยากมาก

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าฟังเรื่องราว ทั้งๆ ที่สภาพธรรมกำลังปรากฏ ก็เพียงฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงว่า เป็นสภาพธรรมที่ไมใช่ตัวตน ก็เข้าใจได้ แต่ยังไม่ประจักษ์แจ้ง เพราะฉะนั้นกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้นจนประจักษ์แจ้ง เป็นความอดทน หรือไม่

    ผู้ฟัง ขันติเป็นตบะ ต้องมีความอดทนที่จะเพียรเผากิเลสที่สะสมมาเนิ่นนาน

    ท่านอาจารย์ โดยไมใช่เรา แต่เป็นเพราะปัญญาเกิดขึ้น ปัญญาก็ทำหน้าที่ของปัญญา ค่อยๆ เข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ โดยการฟัง แล้วก็ไตร่ตรองจนกระทั่งแม้กำลังมีสภาพธรรมใดปรากฏก็เริ่มเข้าใจลักษณะที่มีจริงๆ เฉพาะลักษณะนั้นทีละอย่าง จนกว่าจะรู้ว่า เป็นลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่าง จนทั่ว จนไม่สงสัย กว่าจะประจักษ์ความจริงที่กำลังปรากฏ โดยรู้รอบในสภาพนั้น เพราะไม่มีสภาพธรรมอื่นปรากฏร่วมด้วย

    ผู้ฟัง เมื่อฟังธรรมพอเข้าใจระดับหนึ่ง ก็จะมีความคิดเรื่องธรรมมากขึ้น ซึ่งเมื่อเราคิดเรื่องธรรมจริงๆ ก็เป็นอนัตตา ห้ามไม่ได้ แต่ก็ไม่แน่ใจว่า การคิดเรื่องธรรมนี่ จะเป็นอุปสรรค หรือเป็นตัวเสริมที่ทำให้เราเข้าถึงลักษณะของธรรม

    ท่านอาจารย์ ขณะที่คิดนั้นเข้าใจ หรือไม่

    ผู้ฟัง ก็เข้าใจขั้นคิด

    ท่านอาจารย์ ถ้าเข้าใจแล้วจะเป็นอันตรายอะไรไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่เป็น ประเด็นก็คือว่าจะต้องคิดแบบเข้าใจถูก

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่จะต้อง เข้าใจสภาพธรรมที่ปรากฏ ถ้าคิด ขณะนั้นไม่มีอย่างอื่น นอกจากคิด เป็นธรรมอย่างหนึ่งซึ่งคิด แต่ว่าไม่ใช่มีแต่คิด ใช่ไหม อย่างเดียวโดยอย่างอื่นไม่ปรากฏเลย คิดก็ดับ จึงมีสภาพธรรมอย่างอื่นปรากฎ เช่นเห็น ไม่ใช่คิด ได้ยิน ไม่ใช่คิด นี่คือความละเอียดของธรรมเป็นธรรมจริงๆ ความรู้ก็รู้จริงๆ เข้าใจจริงๆ ยิ่งขึ้นในสิ่งซึ่งกำลังปรากฏ เดือดร้อนไหม เข้าใจจริงๆ ค่อยๆ เข้าใจถูกต้อง ลักษณะของสภาพธรรมกำลังปรากฏ เดือดร้อนอะไร หรือไม่

    ผู้ฟัง คือไม่เดือดร้อน แต่ว่าบางครั้งต้องย้ำถาม เพื่อให้มั่นใจว่าไม่ได้หลงทาง ว่า เจ้าโลภะจะพาให้เราคอยจดจ้องให้รู้ว่าคิด เมื่อคิดมากๆ ไม่ทราบว่าจะเป็นอุปสรรค ในการให้เข้าถึงลักษณะ หรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ถึงได้ถามว่าเข้าใจ หรือเปล่า หรือคิดเฉยๆ ไม่เข้าใจ

    ผู้ฟัง ถ้าคิดแบบเข้าใจ ก็คิดว่าจะเป็นปัจจัยให้

    ท่านอาจารย์ และนี่คือการเข้าใจธรรม หรือว่าเป็นการห่วงเรา


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 168
    11 ม.ค. 2567