พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 400


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๔๐๐

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐


    ผู้ฟัง อย่างสภาพคิดมีทั้งกุศล และอกุศล บางครั้งก็มีโทสะมากๆ ก็ระลึกรู้ว่าเป็นสภาพของธรรม แต่ความเป็นจริงแล้ว ไม่ได้ธรรมตลอดเลยในความคิด

    ท่านอาจารย์ เข้าใจความหมายของอนัตตาว่าอย่างไร

    ผู้ฟัง คำว่าอนัตตาก็ยังไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ บังคับบัญชาไม่ได้ ขณะนี้เป็นอนัตตาจริงๆ ทั้งหมด เดี๋ยวเห็น เดี๋ยวได้ยิน เดี๋ยวเป็นกุศล เดี๋ยวเป็นอกุศล ทั้งหมดปรากฏความเป็นอนัตตา แต่อวิชชาไม่สามารถจะเห็นว่า เป็นอนัตตาเลย บังคับได้ไหมที่จะไม่ให้ได้ยิน

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ บังคับได้ไหมที่จะไม่คิด

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ บังคับได้ไหม ที่จะไม่ให้เกิดโทสะ

    ผู้ฟัง ก็ไม่ได้อีก

    ท่านอาจารย์ เป็นอนัตตาแล้วจะทำอะไร

    ผู้ฟัง แต่ทีนี้เมื่อโทสะเกิดขึ้นมามากๆ ก็ไม่ไปผูกกับโทสะมาก ก็พิจารณาว่าเป็นสภาพของธรรม

    ท่านอาจารย์ พิจารณาขณะนั้นคือคิดใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ จนกว่าจะเป็นการรู้ลักษณะ ซึ่งไม่ได้คิด แต่มีลักษณะปรากฏให้เข้าใจในความเป็นธรรม ทั้งหมดที่ฟังเพื่อให้ถึงความเข้าใจของลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏว่าเป็นธรรม เข้าใจในลักษณะที่เป็นธรรม ไม่ใช่เพียงจำชื่อว่าเป็นธรรม

    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์ ช่วยอธิบายคำว่า สำเหนียก สังเกต ระลึกศึกษาสิ่งที่กำลังปรากฏ

    ท่านอาจารย์ ใช้คำว่าอะไรได้ทุกคำ ถ้ากำลังค่อยๆ เข้าใจ มีสิ่งที่ปรากฏจริงๆ กำลังฟังด้วย ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏก็อย่างที่ได้ฟังทุกอย่าง ไม่ได้ไปคิด ไม่ได้ไปนึกถึงเรื่องอื่น แต่ใส่ใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ เป็นอย่างนี้จริงๆ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ยากมากไหมในเมื่อไม่เคยรู้มานาน จนประมาณไม่ได้ว่านานเท่าไร แล้วความไม่รู้ไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย อยู่ในจิต ซึ่งแม้เกิดขึ้นทีละ ๑ ขณะ แต่สะสมทุกอย่างที่ได้ผ่านมาแล้วทั้งกุศล และอกุศล ทั้งกรรม ผลของกรรมที่จะเกิดขึ้น พร้อมในสภาพธรรมซึ่งเป็นจิต ซึ่งไม่มีรูปร่างสัณฐาน ไม่มีปริมาณ แต่จะเห็นได้ว่าสภาพนั้นแหละสะสมทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นปัจจัยให้สภาพธรรมใดๆ เกิดขึ้น เมื่อไรก็ได้ ทั้งๆ ที่เป็นเหตุในอดีตแสนโกฏิกัปป์มาแล้ว ก็ยังสามารถที่จะยังคงเป็นปัจจัยให้สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป ทางตา หรือหู จมูก ลิ้น กาย ใจได้

    นี่แสดงให้เห็นว่าแม้แต่ขณะนี้เรากำลังพูดถึงเรื่องสภาพธรรมที่มีจริง กำลังเห็น กำลังได้ยิน มีจริงๆ แต่ในจิตเห็น มีสภาพธรรมทั้งหมดที่ได้สะสมมา เมื่อเห็นดับแล้วอะไรเกิดขึ้น ถ้าไม่มีการสะสมอยู่ในจิตนั้นเลย สิ่งนั้นก็เกิดไม่ได้ เช่น ถ้าเป็นผู้ที่ดับการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นตัวตน หมดไม่เกิดอีกเลย เห็นแล้วไม่มีการที่จะยึดถือ หลงผิดว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

    ด้วยเหตุนี้จากการที่เห็นแล้วไม่รู้เลย เป็นอกุศลเท่าไรก็ไม่รู้ ไม่รู้จริงๆ มีใครรู้ว่าขณะนี้เป็นโลภะ เพียงเห็น และรู้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ถ้าไม่ใช่กุศล ขณะนั้นเป็นอกุศลแน่นอน ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นความไม่รู้ และอกุศลมีมากในจิต เพิ่มขึ้นอีกๆ ถ้ายังคงอยู่ต่อไปในสังสารวัฏฏ์ แล้วอะไรที่สามารถจะทำให้สิ่งที่สะสมมานั้นดับสนิท ไม่เกิดอีกเลย ถ้าไม่ใช่ปัญญาที่รู้จริงๆ เข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้นก็เป็นเครื่องที่ส่องถึงการสะสมว่า เมื่อสะสมความไม่รู้ และความติดข้องมามาก การที่จะค่อยๆ รู้ ก็จะต้องมากอย่างนั้น หรือไม่ นานอย่างนั้น หรือไม่ ที่จะดับไม่ให้เกิดอีกเลยได้ ทั้งๆ ที่มีอยู่ในจิตทุกขณะแต่ละขณะที่เกิดดับสืบต่อ

    เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะใช้คำอะไรก็ตาม มีสภาพธรรมกำลังปรากฏ จะได้ยินเป็นภาษาอะไรก็ตามแต่ ความหมายเหมือนกัน คือ ได้ฟังแล้วในเรื่องของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ และสิ่งนี้ก็กำลังปรากฏ จะเห็นการที่ยังไม่ได้เข้าใจ ฟังต่อไปอีกแล้วก็อาจจะเข้าใจเพียงนิดหน่อย แล้วก็ฟังต่อไปอีก จนกว่าจะมั่นคง สัจญาณ คือ รู้ว่าปัญญาไม่ได้รู้อย่างอื่นเลย ไม่ได้แทงตลอดสิ่งที่ไม่ปรากฏ แต่สามารถที่จะเห็นถูก เข้าใจถูกในความจริงของสภาพธรรมที่ปรากฏได้

    ก็ขอกล่าวถึงเรื่องของการบวชในครั้งพุทธกาล ผู้ที่ได้รู้แจ้งอริยสัจธรรมก็มีทั้งผู้ที่บวช และไม่บวช อย่างท่านอนาถบิณฑิกะ ท่านก็ฟังธรรม แล้วก็เป็นพระโสดาบัน ก็ไม่ได้บวช ไม่ได้สะสมอุปนิสัย อัธยาศัย ที่จะอบรมเจริญปัญญาในเพศบรรพชิต เมื่อรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงแล้ว จะให้ท่านกลับไปไม่รู้ไม่ได้ แต่ชีวิตของท่านก็เป็นปกติธรรมดาตามการสะสม ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ว่าท่านบรรลุธรรม ถ้าไม่มีการสนทนา

    เพราะฉะนั้นชีวิตของท่านก็ดำเนินไปด้วยการที่ว่ารู้ว่า เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย และปัญญาก็ไม่ได้ยึดถือสภาพธรรมนั้นว่าเป็นตัวตน แต่ในกาลหลังๆ นี่ก็มีผู้ที่ได้ฟังพระธรรมมาก บางท่านก็มีศรัทธา แม้ว่ายังไม่ได้บรรลุคุณธรรมเป็นพระโสดาบัน หรือเป็นพระอริยบุคคล แต่ก็มีศรัทธาที่เห็นประโยชน์ของการบวช อย่างราธพราหมณ์ ที่ได้ฟังธรรมจากท่านพระสารีบุตร เพราะฉะนั้นเมื่อมีจำนวนมากขึ้น ไม่เหมือนในครั้งที่เริ่มที่ได้ทรงแสดงพระธรรม ซึ่งขณะนั้นก็มีผู้ที่ล้วนมีปัญญาที่ได้สะสมมาแล้ว เพียงฟังแล้วก็สามารถที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมได้ แต่ก็ยังต่างอัธยาศัย เป็นผู้ที่บวชก็มี ไม่บวชก็มี ในรุ่นระยะหลังต่อๆ มาก็มีผู้ที่แม้ยังไม่บรรลุคุณธรรมเป็นพระอริยบุคคล ก็มีศรัทธาที่จะบวชด้วย

    ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้ที่ประพฤติปฏิบัติผิด จนเป็นเหตุให้ต้องทรงบัญญัติพระวินัย โดยการประชุมสงฆ์ว่า การประพฤติอย่างนี้เหมาะสำหรับเพศบรรพชิต หรือไม่ เมื่อไม่เหมาะก็ให้เป็นสิ่งที่ทุกคนรับรอง แล้วก็ทรงบัญญัติเป็นพระวินัย อย่างท่านพระสุทิน ท่านก็ล่วงศีล โดยที่ว่าครอบครัวของท่านอยากจะให้ท่านมีบุตรสืบสกุล ขณะนั้นไม่มีการบัญญัติพระวินัยเลย เพราะฉะนั้นท่านก็ประพฤติเป็นสิ่งที่ไม่สมควร ได้ประชุมสงฆ์ แล้วก็ได้บัญญัติพระวินัย

    เพราะฉะนั้นพระวินัยทั้งหมดทุกข้อ เป็นการที่สมควรแก่เพศบรรพชิตที่จะต้องประพฤติปฏิบัติตามด้วยความเคารพ สำหรับคฤหัสถ์ เราอาจจะพูดคำไม่น่าฟัง ใช้คำไม่เหมาะ แต่ว่าก็เกิดขึ้นเพราะอกุศลประเภทเดียวกับที่แม้เป็นภิกษุแล้ว ก็มีการใช้คำนั้นด้วยอกุศลก็ได้ เพราะว่ายังมีอกุศลจิตอยู่ แต่ไม่สมควร จึงต้องอาบัติ คือ เป็นโทษที่ประพฤติในสิ่งที่ไม่สมควรต่อเพศบรรพชิต

    เพราะฉะนั้นนี่ก็เป็นเรื่องของสัจจะ ความจริง และความตรง และก็ไม่ควรประมาท คิดว่าเพียงอยากบวชก็บวช โดยที่ไม่รู้อะไรเลย นั่นเป็นผู้ที่ไม่ตรง แล้วก็ไม่เข้าใจด้วยว่าจุดประสงค์จริงๆ ของการบวชเพื่ออะไร เพื่อบรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์ เพราะว่าไม่บวชก็สามารถที่จะถึงการรู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระอนาคามีบุคคลได้ มีชีวิตแบบคฤหัสถ์ที่ไม่ครองเรือน

    เพราะฉะนั้นนี่ก็เป็นเรื่องของความละเอียด ซึ่งต้องตรง เมื่อได้ฟังธรรมแล้วก็ต้องเป็นผู้ที่ตรงจริงๆ ไม่ใช่ทำเพราะอยาก เพราะว่าดูก็น่าจะดี ถ้าจะบวช แต่ว่าดีจริงๆ ด้วยอัธยาศัยที่เห็นประโยชน์ ที่เป็นผู้ตรง ที่เคารพต่อพระศาสดาที่จะประพฤติปฏิบัติไม่ผิดตามพระวินัย หรือไม่

    ผู้ฟัง เมื่อมีความเข้าใจในธรรมเป็นเบื้องต้น แล้วจะอบรมอย่างไร

    ท่านอาจารย์ กำลังอบรม ไม่มีแบบ ไม่มีวิธี ถ้าไปหาวิธีก็คือว่าไม่ได้เข้าใจความเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นเมื่อได้ยินคำว่า “อนัตตา” เดี๋ยวก็ลืม ก็อย่าให้เป็นอย่างนั้นบ่อยๆ เพราะอย่างไรๆ ก็ต้องลืม เพราะว่าได้สะสมความเป็นอัตตามานานมาก แต่ว่ามีโอกาสได้ฟังอีก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสภาพธรรม เป็นจิต เป็นเจตสิก เป็นรูป เป็นข้อความใดๆ ในพระไตรปิฎก เพื่อให้มีความเข้าใจที่มั่นคงยิ่งขึ้นในความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม

    เพราะฉะนั้นชาตินี้จะมีความเข้าใจในเรื่องราวของธรรม หรือว่ามีการรู้ลักษณะของธรรมมากน้อยเท่าไรก็ตาม เพื่อที่จะถึงความเป็นอนัตตา เป็นแต่เพียงสภาพของธาตุแต่ละอย่าง ซึ่งขณะนี้มีปัจจัย กำลังเกิดขึ้นทั้งหมด ไม่มีความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนเลย ถ้าไม่ลืมแล้วก็จดจำไว้ เพราะว่าได้มีโอกาสฟังบ่อยๆ ทุกชาติ ก็ย่อมทำให้ความเข้าใจธรรมติดตามไป จนกว่าจะถึงกาละที่สามารถประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมได้

    ขณะใดที่หาวิธี ลองคิดสิจะหาวิธีไหน สภาพธรรมกำลังปรากฏแท้ๆ ทางตาก็อย่างนี้แหละ ทางหู เสียงปรากฏแล้วดับไป ทางใจก็คิดนึก แล้วจะหาวิธีไหน ลองทำการหาวิธีซิ ว่าที่จะหาวิธีไหนที่จะทำให้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้ นอกจากฟังแล้วก็รู้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง แล้วก็กำลังปรากฏ แล้วสิ่งที่ได้ยินได้ฟังก็เป็นความจริงทั้งหมดของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ เท่านั้นเอง จนกว่าจะเข้าใจขึ้น

    ผู้ฟัง มีความเข้าใจเพิ่มขึ้นว่า สิ่งที่ปรากฏนี้เป็นสภาพธรรม ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน แล้วเป็นสิ่งที่มีจริง เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ทุกๆ วันก็เกิดขึ้น แต่ว่ายังเป็นสิ่งที่เราคิด เราเห็น เราได้ยิน

    ท่านอาจารย์ เพราะไม่ใช่พระโสดาบัน และจากความไม่รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏ จะละการยึดถือสภาพธรรมที่ยึดถือสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงได้อย่างไร ในเมื่อได้ฟังแล้ว สิ่งที่ได้ฟังก็สามารถที่จะเข้าใจถูก ตามความเป็นจริงก็คือสิ่งใดที่กำลังปรากฏ สิ่งนั้นเกิดแล้ว แล้วก็ดับด้วย เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคง ก็จะไม่ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพื่อต้องการที่จะรู้ ต้องการที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ นอกจากรู้ว่าความรู้เริ่มจากการฟัง ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ขณะที่กำลังฟังเข้าใจ คือ การอบรมความเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ แสนโกฏิกัปป์มาแล้วที่ไม่เคยรู้ความจริงของสภาพธรรมที่ปรากฏ แล้วก็ยึดถือสภาพนั้นๆ ทุกชาติ ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ถ้าไม่ได้ยิน ได้ฟังธรรม จากโลกนี้ไปก็คือเรา จากญาติ จากพี่น้อง จากทุกสิ่งทุกอย่าง ทรัพย์สินเงินทอง แต่ทั้งหมดไม่มี เพราะว่าเป็นเพียงธาตุที่เกิดแล้วดับไปทุกขณะ ไม่เหลือเลย มีสิ่งที่เกิดอีก ปรากฏอีก แล้วก็หมดไป เกิดอีก ปรากฏอีก แล้วก็หมดไป

    เพราะฉะนั้นวันหนึ่งวันใดก็ตามที่มีความเข้าใจจนกระทั่งสามารถที่จะดับ ใช้คำว่าดับ การที่เคยยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ไม่เหลือเลย ไม่เกิดอีกเลย ก็ลองคิดดูว่าอีกนานไหม เพราะว่าสิ่งที่มีในชีวิตประจำวันขณะนี้กำลังบ่งถึง และบอกให้รู้ว่า ความไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏมากขนาดไหน แล้วจะอบรมอย่างไรจึงสามารถที่จะไม่ว่าเห็น ไม่ว่าคิด ไม่ว่าโกรธ ไม่ว่าโลภ ไม่ว่าใดๆ ทั้งสิ้นที่เกิดปรากฏ จะเป็นแต่เพียงธรรมแต่ละอย่าง โดยที่ว่าไม่มีความสงสัยในธรรมนั้นๆ อีกเลย เพราะเหตุว่าถ้ารู้ความจริงก็ดับความสงสัย ความไม่รู้ซึ่งเกิดร่วมกับความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ไม่เกิดความเห็นผิดอีกเลย ไม่เกิดความสงสัยอีกเลย ไม่ใช่ฟังแล้วก็อยากจะรู้แล้วก็ยังสงสัย แล้วก็ยังไม่รู้สภาพธรรมทั้งหมด แม้ในขณะนี้ ซึ่งเกิดแล้วก็ดับ

    อ.กุลวิไล เพราะว่าความไม่รู้ในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ก็เป็นปัจจัยให้เราเข้าใจผิดๆ ในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะว่าจากการศึกษา ท่านอาจารย์ก็ให้เราเข้าใจว่า ต้องเริ่มจากการฟังก่อน หลายท่านก็คงฟังแล้ว ถ้ายังไม่รู้ สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ก็จะเป็นปัจจัยให้คิดว่า ธรรมนี้เป็นสติ หรือธรรมนั้นไม่ใช่สติ ซึ่งจะทำให้เกิดความสับสน หรือแม้แต่ว่าธรรมนี้เป็นกุศล หรือธรรมนี้เป็นอกุศล ก็จะไม่เข้าใจถึงตัวจริงของธรรม

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าได้ยินแต่ชื่อ แต่ว่าลักษณะของธาตุ หรือธรรมที่ไม่ใช่ตัวตนจริงๆ กำลังปรากฏแต่ไม่รู้

    อ.กุลวิไล ได้สนทนากับสหายธรรมท่านหนึ่ง ก็ยังมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องสติเหมือนกัน ยังไม่ค่อยเข้าใจว่า สตินั้นเป็นอย่างไร ลักษณะของสติเป็นอย่างไร เพราะว่าเขาจะสับสนระหว่างความเข้าใจที่ว่า คิดว่าเป็นสติ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่สติ

    ท่านอาจารย์ แล้วเห็นเดี๋ยวนี้ ทำไมไม่อยากรู้ อยากรู้สติ เลือก ใช่ไหม อยากจะรู้อย่างนี้ อยากจะรู้อย่างนั้น อะไรเลือก เป็นความต้องการ หรือว่าเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง ขณะนี้ ถ้าโดยการศึกษา ขณะที่กำลังฟังแล้วเข้าใจเป็นเรา หรือไม่ นี่โดยการศึกษา ไม่เป็นเรา เมื่อไม่เป็นเราแล้วเป็นอะไร

    อ.กุลวิไล เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ เมื่อเป็นธรรมฝ่ายดี เพราะว่ากำลังเข้าใจ ต้องมีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วย แล้วอยากจะไปรู้สติ รู้ลักษณะของสติได้อย่างไร เพราะว่าเป็นความต้องการ ตราบใดที่ต้องการ ไม่รู้ค่ะ ไม่มีทางที่จะรู้เพราะความต้องการเลย แต่ว่าการค่อยๆ ฟังให้รู้ว่า สภาพธรรมทั้งหมดเป็นธรรม แต่อวิชชาไม่สามารถจะรู้ความจริงได้

    เพราะฉะนั้นไม่ใช่เราที่ไม่รู้ เป็นธาตุไม่รู้ เป็นนามธาตุ เวลานี้มีสิ่งใดปรากฏกับจิต และเจตสิก อวิชชาเป็นธาตุที่ไม่สามารถที่จะเห็นถูกเข้าใจถูกในสิ่งซึ่งเป็นแต่เพียงธรรม

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่ามีแต่ตัวตนที่อยาก พอได้ยินคำว่าสภาพธรรม ได้ยินคำว่าสติอยากจะรู้ลักษณะของสติ แต่ความจริงอยากจะรู้ลักษณะของสติ เจาะจงที่จะรู้ลักษณะของสติ สติขณะนี้แม้มี แต่ว่าไม่สามารถที่จะรู้ว่าเป็นธรรม เพราะเหตุว่ากำลังเห็น ไม่ได้อยากจะรู้ กำลังได้ยิน ไม่ได้อยากจะรู้ แต่เลือกอยากจะรู้สติ ไม่มีวันรู้ในขณะที่เลือกอยากจะรู้ลักษณะของสติ

    อ.กุลวิไล ก็จะต้องกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ เพราะท่านอาจารย์เป็นผู้ที่ตรงต่อสภาพธรรม การที่เราเจาะจงที่อยากจะรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วสิ่งที่ปรากฏขณะนี้เราไม่รู้ นี่คือการที่เราล่วงเลยในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏอยู่ในขณะนี้ แล้วถ้าสภาพธรรมจริงๆ ต้องเป็นไปตามลักษณะที่เป็นจริงนั้นเอง ความอยากความต้องการขณะนั้นเป็นกุศล หรืออกุศล ท่านอาจารย์ก็ไม่เห็นด้วยที่เราจะไปติดข้องกับความที่จะรู้ในสิ่งที่ไม่ได้ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ ไม่ทราบมีใครอยากจะรู้ลักษณะของสติ หรือไม่ ฟังเข้าใจก่อนว่า ขณะนี้ไม่ใช่ตัวตน และขณะใดก็ตามที่เป็นความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ขณะนั้นแม้ในขั้นฟังก็ต้องมีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วย

    อ.กุลวิไล แต่ผู้ร่วมสนทนาเขาก็อยากจะทราบถึงความต่างกันของสติในระดับขั้นทาน ขั้นศีล แล้วก็ขั้นอบรมภาวนาด้วยว่า มีความแตกต่างกันอย่างไร

    ท่านอาจารย์ วันหนึ่งๆ เป็นอกุศล ไม่มีสติเกิดร่วมด้วยเลย ขณะใดที่ให้ เป็นเรา หรือว่าเป็นโสภณธรรม เป็นสติที่เกิดระลึกเป็นไปในการให้ ทุกคนคงจะมีสิ่งที่เหลือใช้ เก็บไว้เรื่อยๆ ยังไม่มีสติที่ระลึกเป็นไปในการให้สิ่งนั้น แม้ว่าเห็นอยู่บ่อยๆ แต่ขณะใดก็ตามที่จะเกิดรู้ว่า ถ้าไม่ใช้ หรือไม่มีใครใช้ สิ่งนั้นก็จะไม่มีประโยชน์เลย ไม่มีใครจะได้รับประโยชน์จากสิ่งที่มี

    เพราะฉะนั้นใครคนใดคนหนึ่งที่มีเหลือใช้ แล้วคนอื่นมีน้อย ถ้าสามารถที่จะแบ่งปันให้เป็นประโยชน์กับคนอื่น ขณะนี้ก็เป็นสติแล้ว ธรรมฝ่ายดีเกิดขึ้นขณะไหนก็เป็นสติ ไม่ใช่เรา ขณะนั้นก็จะรู้ได้ว่า ถ้าไม่มีการระลึกเป็นไปในการให้สิ่งที่จะเป็นประโยชน์แก่คนอื่น ขณะนั้นเป็นอกุศล

    เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตามที่เป็น กุศลประเภทหนึ่งประเภทใดแม้แต่การช่วยเหลือคนอื่น เล็กๆ น้อยๆ ถือของให้ หรืออะไรก็ตามแต่ ขณะนั้นก็มีสติเกิดร่วมด้วย ข้อสำคัญคือเป็นเรา แม้ว่าเป็นสติ และเป็นโสภณธรรมก็ไม่รู้ว่า ขณะนั้นไม่ใช่เราเลย ด้วยเหตุนี้การฟังธรรมจึงต้องเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ฟังโดยไม่หวังว่า จะให้สติเกิด หรือว่าฟังโดยหวังว่าเมื่อไรสติจะเกิด อยู่ในอำนาจของโลภะมานานแสนนาน ทั้งๆ ที่จิต และนามธรรมทั้งหลายไม่มีรูปร่างใดๆ เลย แต่จิต ๑ ขณะที่เกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ของแต่ละคนต่างกันหลากหลาย เป็นธาตุซึ่งเป็นธาตุรู้เกิดขึ้น ๑ ขณะแล้วดับไป แต่ว่าจิตของแต่ละคนในขณะนี้ที่เป็นจิต ๑ ขณะที่เกิดขึ้นแล้วดับไป หลากหลายตามการสะสมไว้ แทบจะกล่าวได้ว่าไม่เหมือนกันเลย นี่เป็นเหตุที่แม้แต่หน้าตากิริยาท่าทางของแต่ละคนก็ต่างๆ กันไป

    ด้วยเหตุนี้เมื่อเป็นแต่เพียงธรรมซึ่งเกิด โดยที่แม้ทุกคนมีจิต เกิดมาก็มีจิต ทุกวันก็มีจิต แต่ไม่รู้เรื่องจิต ได้ยินคำบอกเล่าว่าจิตมี แล้วก็ไม่มีรูปร่างสัณฐาน แต่ในจิต ๑ ขณะที่ต่างกันไปเพราะการสะสม ที่ทำให้หลากหลายต่างๆ กันไป เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้ว รู้แค่นี้ เพียงแค่นี้ที่ได้ยินว่า จิตเป็นนามธรรม เป็นธาตุที่มีจริงเป็นสภาพรู้ เป็นใหญ่เป็นประธานในสภาพรู้ ซึ่งขณะนี้กำลังเห็น นั่นคือจิต ก็ยังไม่ได้ถึงความเป็นจิต หรือความเป็นธาตุซึ่งไม่ใช่ตัวตน แล้วจะไปรู้อะไรอีกที่จะเป็นสติสัมปชัญญะ ที่จะเป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างที่อยากจะรู้

    ด้วยเหตุนี้ จิต ๑ ขณะที่เกิดขึ้น ทรงแสดงไว้ว่าแม้เป็นกุศล ก็เพราะยังมีอวิชชาอยู่ ยังไม่หมดอวิชชาเลย เพราะว่ายังเป็นกุศลอยู่ ยังเป็นเหตุที่จะให้เกิดผล คือ วิบาก ด้วยเหตุนี้จะต้องรู้ว่าได้อยู่ในกรงของกิเลส คิดถึงนะคะ ทุกคนอยู่ในกรงของกิเลสนานแสนนานมาแล้ว จะออกจากกรง ทำอย่างไร ออกด้วยความอยาก ไม่มีทางสำเร็จเลยเพราะไม่ใช่ปัญญา กรงนี้คงจะทึบมากด้วยอวิชชาซึ่งมืดสนิทเหมือนคนตาบอดแต่กำเนิด แล้วยังฉาบทาไว้ด้วยโลภะหนาแน่น แล้วที่จะให้พ้นไปจากกรง ถ้าไม่มีปัญญาจริงๆ พ้นไม่ได้ ไมมีช่อง ไม่มีทางที่จะออกไปจากกรงนี้ได้เลย นอกจากปัญญาจะเกิดแล้วก็ค่อยๆ หาทาง หรือเห็นทางที่จะออกจากกรงนี้ได้ อย่างคนที่บอกว่าต้องไปอบรมเจริญปัญญาเพื่อที่จะละโลภะ คำพูดนี้ฟังดูดี ใช่ไหม จะละโลภะโดยการหลบหลีกโลภะไปละโลภะ เป็นไปไม่ได้เลย

    ด้วยเหตุนี้ธรรมจึงละเอียดมาก เดี๋ยวนี้มีโลภะจะละด้วยปัญญาที่รู้ เดี๋ยวนี้มีความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ จะละด้วยการฟังจนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจ จนสามารถที่จะถึงภาวะ หรือความเป็นธาตุแต่ละอย่างซึ่งมีจริงๆ ในขณะนี้

    ด้วยเหตุนี้การที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมในอดีตนานเท่าไร ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้แต่ก็ยังมีศรัทธาที่ได้สะสมมาที่จะฟังต่อไป แล้วก็เห็นประโยชน์ว่า จะอยู่ในโลกโดยไม่รู้ความจริง หรือว่ารู้ความจริงที่เคยยึดถือว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ บุคคล ต้องเป็นผู้ที่อดทน ฟังแล้วเข้าใจ แต่ไม่ใช่ฟังแล้วหวังว่าจะละโลภะ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 168
    10 มี.ค. 2567