พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 408


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๔๐๘

    ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐


    ท่านอาจารย์ เพียงแค่จิตเห็นกำลังมีจริงๆ ถ้าไม่ศึกษาให้เข้าใจจริงๆ ว่าเป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพียง ๑ ขณะ ไม่ได้มีการเกิดขึ้นทำกิจเห็นในสิ่งที่ปรากฏทางตาที่ยังไม่ดับไป ๒ ขณะเลย เพียงแค่ ๑ ขณะ แล้วโดยกิจทำทัสนกิจ แม้ว่าจิตอื่นก็สามารถที่จะมีสิ่งที่ปรากฏทางตาด้วยเป็นอารมณ์ รู้สิ่งนั้นด้วย เพราะเหตุว่าสิ่งที่ปรากฏทางตายังไม่ดับไป แต่กิจของแต่ละจิตที่เกิดขึ้นก็ต่างกัน โดยชาติก็ต่างกัน โดยประเภทของความเป็นวิญญาณก็ต่างกันได้

    ฟังแล้วเรื่องวิถีจิต ใช่ไหม เข้าใจแล้วด้วยใช่ไหม ฟังแล้วเข้าใจว่า วิถีจิต หมายความถึงจิตที่อาศัยทางหนึ่งทางใดเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางนั้นๆ ซึ่งไม่ใช่ขณะที่เป็นภวังคจิต ปฏิสนธิจิตเกิดแล้วดับแล้ว อารมณ์ของปฏิสนธิจิตไม่ปรากฏ เพราะเหตุว่ากรรมที่จะทำให้จิตเกิดปฏิสนธิ เป็นผลของกรรมที่ทำให้ใกล้จะตาย มีจิตซึ่งเศร้าหมอง หรือผ่องใสตามอารมณ์ที่ปรากฏในขณะนั้น เพราะเหตุว่าเป็นผลของกรรมจะทำให้ปฏิสนธิ ซึ่งเราเลือกไม่ได้เลยแล้วแต่ว่าเราจะจากโลกนี้ไปขณะไหน และมีอะไรขณะนั้น และจิตจะเศร้าหมอง หรือผ่องใส ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ แต่ผลก็คือว่า ทุกคนได้มาสู่โลกนี้ เพราะใกล้จะจุติของชาติก่อนเป็นผลของกุศลกรรมหนึ่ง ที่ทำให้เกิดเป็นบุคคลนี้ในภพนี้ชาตินี้ เมื่อมีการเกิดขึ้นแล้วต้องเป็นไป ที่จะหยุดยั้งไม่เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นการเป็นไปของชาติหนึ่งๆ ก็คือว่า ไม่ใช่มีแต่เพียงปฏิสนธิจิตเกิด ๑ ขณะแล้วดับไป ไม่มีอะไรอีก แต่ว่าการดับไปของปฏิสนธิจิต ก็เป็นปัจจัยให้จิตประเภทเดียวกันเป็นผลของกรรมประเภทนั้นแหละ ที่ทำให้มีจิตขณะต่อไปเกิดขึ้น ดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนั้นไม่สิ้นสุดโดยทำภวังคกิจ ยังไม่เห็น ยังไม่ได้ยิน ยังไม่รู้ว่า เป็นใคร อะไรทั้งนั้น โลกนี้ไม่ปรากฏ เพราะการที่จะปรากฏว่าเป็นโลกนี้ได้ ต้องอาศัยตา หรือหู หรือจมูก หรือลิ้น หรือกาย หรือใจ จึงสามารถที่จะรู้ว่า ขณะนี้เป็นโลกอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น

    เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังเป็นภวังคจิต เป็นผลของกรรม เป็นวิบากจิต ไม่ใช่เป็นกุศลจิต เพราะเหตุว่าเกิดเป็นมนุษย์เป็นผลของกุศลกรรม จิตที่เป็นปฏิสนธิเกิดขึ้นเป็นจิตที่เป็นผล เพราะฉะนั้นเป็นกุศลวิบาก ทำกิจปฏิสนธิ ดับไป ขณะเดียวเท่านั้นในชาติหนึ่งจะมีปฏิสนธิจิตเพียง ๑ ขณะดับไป จิตขณะที่เกิดสืบต่อดำรงภพชาตินับไม่ถ้วน ไม่ต้องมีการนับ เพราะว่าไม่มีอะไรที่ปรากฏให้นับได้เลย แต่ว่าถ้ากรรมให้ผลเพียงเท่านั้นจะมีประโยชน์ไหม ไม่มีอะไรปรากฏเลยทั้งสิ้น แต่ว่ากรรมไม่ได้ให้ผลเพียงเท่านั้น ก็ยังจะมีการให้ผลของกรรมเมื่อถึงกาละที่กรรมหนึ่งกรรมใดจะให้ผล

    เพราะฉะนั้นความเป็นไปในชีวิต จึงมีการที่ไม่ใช่ว่าเพียงปฏิสนธิ และภวังค์ เวลาจะหลับ อยากหลับก็หลับ หรือไม่ หรือว่าอยากตื่นก็ตื่น หรือไม่ เพราะอะไร เพราะว่าเมื่อกรรมที่ทำให้ภวังคจิตสิ้นสุดจะเป็นภวังค์ต่อไปไม่ได้ แล้วแต่ว่าหลังจากนั้นแล้วจะเป็นการคิดนึก หรือจะเป็นการเห็น หรือจะเป็นการได้กลิ่น หรืออะไรก็ได้ ๑ ใน ๖ ทาง เพราะว่าไม่ว่าจะเป็นโลกไหนทั้งสิ้น การที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดจะปรากฏได้ จะไม่พ้นจาก ๖ ทางนี้เลย น้อยกว่า ๖ ก็ได้สำหรับคนที่ตาบอด สีสันวัณณะไม่ปรากฏ หรือว่าคนที่ไม่มีโสตปสาท เสียงไม่ปรากฏก็ได้ แต่ว่าถ้าอย่างครบถ้วนก็คือ ๖ ทาง คือไม่เกิน ๖ ทาง ลองคิดดู ในวันหนึ่งๆ เกิดมาแล้วนานเท่าไร หรือแม้ในวันนี้จะครบ ๖ ทางนี้ได้ไหม นี่คือการที่จะเข้าใจความเป็นไปของชีวิตว่า เกิดแล้วก็ดับ แล้วก็เกิดแล้วก็ดับ ไม่กลับมาอีกเลยสักขณะเดียว

    เพราะฉะนั้นชีวิตจริงๆ ไม่มีอะไรเหลือ แล้วก็น้อยมาก คือ เพียงชั่ว ๑ ขณะจิตที่เกิด มีสภาพธรรมที่อาศัยกัน และกันเกิดขึ้น แล้วแต่ว่าขณะนั้นจะเป็นอะไร เกิดมาแล้วคงจะไม่มีใครจำได้ว่า วาระแรกที่สุดที่จะมีการรู้สึกตัว เป็นทางใจ ไม่ใช่เป็นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่ว่าทันทีที่มีการรู้สึกตัวเกิดขึ้น จะเป็นภพไหนภูมิไหนก็ตาม มีความติดข้องในภพภูมิที่เกิดแล้ว ขณะนั้นเป็นวาระหนึ่ง

    เพราะฉะนั้นคำว่า “วาระ” หมายความถึงขณะที่จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์หนึ่งเป็นไปจะกี่ขณะก็ตามแต่ เป็น ๑ วาระ เช่น อย่างเสียงมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ จิตใดก็ตามที่มีเสียงที่ยังไม่ได้ดับไป เฉพาะเสียงนั้นเป็นอารมณ์ก็เป็นวาระหนึ่ง หมายความถึงขณะจิตซึ่งเกิดดับรู้อารมณ์เดียวกันทางทวารหนึ่ง ชั่ววาระหนึ่ง

    เพราะฉะนั้นหลังจากนั้นแล้ว ชีวิตก็เป็นไปโดยที่เราไม่รู้เลยว่า เราเกิดมาตอนเป็นเด็ก หลังจากที่มโนทวารวิถีจิตเกิดขึ้นติดข้องในภพภูมินั้นแล้วดับไป อะไรจะเกิดขึ้น มีใครจำได้ไหม เด็กเล็กๆ ก็มีตา และก็เห็น ไม่ใช่ภวังคจิต มีสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า ขณะนั้นเป็นธรรม ฉันใด ใครก็ตามที่มีการเห็น การได้ยิน ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต แล้วไม่รู้ว่าเป็นธรรม จะต่างกันไหมในความรู้กับความไม่รู้ หรือแม้แต่สัตว์เดรัจฉาน เกิดมาก็เห็น นกเห็น ช้างเห็น มดก็เห็น แต่ว่าไม่มีการเข้าใจ หรือการรู้ในสิ่งที่ปรากฏเลย นี่ก็คือเป็นธรรมทั้งหมด

    เพราะฉะนั้นทรงแสดงธรรมตามความเป็นจริง เพราะเหตุว่ากล่าวถึงธรรมที่เป็นจิต เป็นธาตุรู้ เกิดขึ้นเป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้งลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ แต่การที่จะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องแล้วแต่ว่าขณะนั้นมีปัจจัยอะไร ถ้าเป็นเสียงจะทำให้จิตเห็นเกิดไม่ได้ ถ้าเป็นกลิ่นก็ทำให้จิตได้ยินเกิดไม่ได้ ถ้าเป็นเสียง จิตเกิดขึ้นได้ยิน แล้วก็ดับไปชั่วขณะหนึ่งๆ

    เพราะฉะนั้นเวลาที่ใช้คำว่า “วิถี” เข้าใจแล้วใช่ไหม ไม่ใช่เพียงแต่ไปจำว่า ขณะใดที่ไมใช่ปฏิสนธิจิต ภวังคจิต จุติจิต แล้วเป็นวิถีจิต แต่วิถีจิตก็หมายความถึงขณะที่รู้อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด โดยอาศัยทางหนึ่งทางใดเกิดขึ้น ซึ่งต่างกับขณะที่เป็นปฏิสนธิ และภวังค์ เพราะขณะนั้นอะไรๆ ก็ไม่ปรากฏ เหมือนขณะที่กำลังหลับสนิท ขณะนั้นไม่มีอะไรปรากฏเลย ชื่ออะไร รู้ไหมขณะนอนหลับ มีญาติพี่น้อง มีทรัพย์สมบัติ มีเรื่องราว ทุกข์สุขประการใดก็ไม่ปรากฏเลยทั้งสิ้น

    เพราะฉะนั้นขณะนั้นไม่ใช่วิถีจิต แต่ทำภวังคกิจ โดยไม่ได้อาศัยทางหนึ่งทางใดเกิดขึ้นรู้อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดเลย เพราะฉะนั้นการเข้าใจธรรมตามลำดับ ต่อไปนี้ยังไม่ต้องก้าวถึงจิตอีกเยอะแยะเลย เพียงแต่ให้มีการรู้จริงๆ ขณะไหนเป็นวิถีจิต ขณะไหนไม่ใช่วิถีจิต

    อ.กุลวิไล กราบเรียนท่านอาจารย์ ถึงการที่จะเข้าถึงความจริงของสภาพธรรม เพราะว่าในการศึกษา เป็นการที่ศึกษาให้ความเห็นถูกในสภาพธรรมที่กำลังมีจริงแล้วก็กำลังปรากฏด้วย แต่การที่จะเข้าถึงตัวธรรมที่มีในชีวิตประจำวัน ผู้ศึกษาควรจะมีความเข้าใจอย่างไร ในการที่จะอบรมความเห็นถูก

    ท่านอาจารย์ ก่อนอื่นก็ต้องทราบว่า ธรรมอยู่ที่ไหน และคืออะไร ซึ่งเป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ ก็จะไม่พ้นจากสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ขณะนี้หลายคนคงจะคาดไม่ถึงว่า เป็นธรรม เพราะฉะนั้นการที่จะศึกษาธรรมก็คือ ศึกษาให้เข้าใจว่าสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นธรรม คือ เป็นสิ่งที่มีจริงแน่นอน แล้วก็เป็นสิ่งที่เกิดแล้วด้วยจึงได้ปรากฏ ขณะนี้ไม่ลืมที่จะรู้ว่า กำลังมีธรรมปรากฏ ที่สำคัญที่สุดก่อนที่จะได้ฟังเรื่องของธรรม คือไม่ลืมว่าขณะนี้มีธรรมที่กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่เคยปรากฏเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ความจริงแท้ก็คือว่า สิ่งนั้นเกิดโดยที่ไม่มีใครสามารถจะทำให้เกิดขึ้นได้เลย แล้วก็แต่ละสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ใครก็ไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงความจริงของสิ่งนั้นได้

    เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม ไม่ใช่ศึกษาเรื่องตัวเรา หรือคนอื่น หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด อย่างวิชาการทางโลก แต่เป็นการศึกษาสิ่งซึ่งมีจริงๆ แล้วก็ยากที่จะรู้ความจริงของสิ่งนั้นได้ เพราะฉะนั้นก็ต้องอาศัยความอดทน แล้วก็ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ พิจารณาว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังเป็นความจริง หรือว่าไม่จริง ถ้าเป็นความจริงก็หมายความว่า เมื่อเริ่มเข้าใจว่า สิ่งที่มีจริง รู้ความจริงของสิ่งที่มีในขณะนี้มากน้อยแค่ไหน ถ้าไม่ฟังเลย ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ถึงความจริงที่ละเอียดมาก แม้แต่ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้เกิดแล้ว ก็ไม่เห็นการเกิด มีแต่สิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วสิ่งที่เกิดแล้วดับเร็วมากด้วย ก็ยังไม่เห็นการดับ

    เพราะฉะนั้นลองพิจารณาว่าสิ่งที่ปรากฏมีลักษณะเพียงอย่างเดียว คือ สิ่งที่ปรากฏทางตา หรือว่าทางหู ก็มีเสียงด้วยกำลังปรากฏ ใครทำให้เสียงเกิดขึ้น ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้เสียงเกิดขึ้นได้เลย เสียงที่เกิดแล้ว ถ้าไม่มีจิตที่เกิดขึ้นได้ยิน เสียงนั้นก็ปรากฏไม่ได้อีก

    เพราะฉะนั้นแต่ละขณะที่ไม่เคยรู้ความจริงว่า เป็นชั่วขณะที่แสนสั้นจริงๆ มีปัจจัยทำให้เกิดขึ้นแล้วก็หมดไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นการฟังที่จะเห็นถูกตามความเป็นจริงว่า ทั้งหมดที่มี ไม่ใช่ของใคร ไม่ใช่ใคร แต่ว่าเป็นธาตุ หรือเป็นธรรมทั้งหมดที่เกิดปรากฏ แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจถูกต้องขึ้น จึงจะรู้ความจริงว่า เป็นธาตุ ไม่ใช่เป็นใครสักคน

    อ.กุลวิไล ที่ท่านอาจารย์กล่าวถึงว่า ความที่จะเห็นถูก หรือเข้าใจถูกในธรรมที่มีจริง ที่กำลังปรากฏนั้นคือปัญญา แต่ถ้าความไม่รู้ก็คืออวิชชานั่นเอง การที่จะรู้ธรรมตามความเป็นจริงจะเป็นประโยชน์อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก่อนอื่น รู้กับไม่รู้ ยังไม่มีตัวเราเลย เวลาที่ศึกษาธรรม เอาตัวเราออก เอาความคิดดั้งเดิมว่าเป็นของเรา เราเคยเข้าใจอย่างนี้ เราคิดอย่างนี้ ฟังธรรมก็คือพิจารณาลักษณะของธรรมว่าเป็นธรรม

    เพราะฉะนั้นมีธรรม ๒ อย่าง รู้กับไม่รู้ ไม่มีใคร แต่ว่ามีธรรม ซึ่งสามารถที่จะรู้ถูก เห็นถูก เข้าใจถูกในสิ่งใดๆ ก็ตามที่มีจริง ที่กำลังปรากฏ กับสภาพที่ไม่รู้ ไม่สามารถที่จะรู้ตามความเป็นจริงของสิ่งนั้นได้ อย่างไหนถูกต้อง และอย่างไหนดี อย่างไหนมีประโยชน์ อย่างไหนไม่มีประโยชน์

    อ.กุลวิไล รู้ต้องเป็นประโยชน์กว่า ท่านอาจารย์ อย่างผู้ไม่ได้ศึกษาธรรมแล้วก็ไม่รู้ว่าธรรมก็คือชีวิตประจำวันนั่นเอง เพราะว่าถ้าหากเราไม่ได้ศึกษาธรรม เราก็จะคิดว่า ธรรมต้องไปแสวงหา แต่ไม่รู้ว่าธรรมมีอยู่ในขณะนี้ ท่านอาจารย์ช่วยขยายความเกี่ยวกับธรรมที่มีจริงที่กำลังปรากฏในชีวิตประจำวัน

    ท่านอาจารย์ ก่อนเกิด จะเป็นคนนี้ได้ไหม ก่อนจะเกิดมาในโลกนี้จะเป็นคนนี้แต่ละคนๆ อย่างนี้ได้ไหม

    อ.กุลวิไล ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เกิดแล้วที่จะไม่ให้เป็นไปต่างๆ กัน ได้ไหม หรือต้องเป็นเหมือนกันหมด

    อ.กุลวิไล ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ คิดให้คิดเหมือนกันหมด ทำให้ทำเหมือนกันหมด เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นเมื่อมีการเกิดขึ้นก็ไม่รู้ว่า ทำไมเกิดต่างๆ กัน เช่น เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดเป็นปลา เกิดเป็นช้าง เกิดเป็นนก เกิดเป็นผีเสื้อ เกิดเป็นคน เกิดเป็นหญิง เกิดเป็นชาย ไม่ได้รู้เลยว่า มีปัจจัย หรือว่าทำไมจึงเกิดมาต่างๆ กัน

    เพราะฉะนั้นก็ไม่รู้ต่อไปอีก เกิดมาแล้วทำไมมีหู มีตา มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจ ก็ไม่รู้อีก มีตาแล้ว ทำไมบางครั้งเห็นสิ่งที่น่าพอใจบ้าง ไม่น่าพอใจบ้าง ได้ยินเสียงที่พอใจบ้าง ไม่น่าพอใจบ้าง ก็ไม่รู้อีกว่า ทำไมเป็นอย่างนั้น แล้วเวลาที่ได้เห็นสิ่งที่น่าพอใจ มีความติดข้องต้องการในสิ่งนั้นสิ่งนี้ต่างๆ กันไป ก็ไม่รู้อีกว่าทำไมต่างกัน ทำไมบางคนชอบสีแดง บางคนทำไมชอบสีฟ้า ทำไมบางคนชอบสีเขียว ก็เป็นชั่วขณะเมื่อสิ่งนั้นปรากฏ แต่ปรากฏกับทุกคน สีขาวก็ปรากฏกับทุกคน สีแดงก็ปรากฏกับทุกคน แต่ทำไมบางคนชอบสีนี้ ไม่ชอบสีนั้น มีคนหนึ่งเขาบอกว่า สีที่เขาไม่ชอบที่สุดคือสีน้ำเงิน เห็นไหม นี่ก็แสดงให้เห็นว่า นานาจิตตัง คำโบราณใช้คำที่ถูกต้อง แต่ว่ายังไม่เข้าถึงความเป็นจริงว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล แต่ทั้งหมดที่เกิดจากพื้นฐานของความเข้าใจความจริงของธรรม ก็จะทำให้มีความคิดเป็นหลักของชีวิตที่จะดำเนินไปต่างๆ กันตามความรู้ความเข้าใจ

    เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า เกิดก็เลือกไม่ได้ ชีวิตที่เกิดมาแล้ว จะบังคับให้เป็นไปตามที่ต้องการก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ยังไม่ได้รู้ความจริงของสิ่งที่เพียงปรากฏ แล้วก็ยึดถือว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด รวมทั้งเป็นเราด้วย ขณะนี้มีดอกไม้ ไม่ใช่เรา แต่เป็นดอกไม้ ขณะนั้นมีโต๊ะ ไม่ใช่เรา แต่เป็นโต๊ะ คือ ไม่เข้าใจว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาลักษณะจริงๆ แท้จริงที่สุดเพียงปรากฏให้เห็น ทุกคำต้องพิจารณาเพื่อให้เข้าใจคำว่าธรรม เพราะเหตุว่าทุกคนเกิดมา แล้วก็จากโลกนี้ไป หายไปไหน เกิดมาแล้วก็หายไป เพราะไม่มีสภาพธรรมที่เป็นบุคคลนี้เกิดสืบต่อๆ ไปขณะนี้เป็นสภาพธรรมที่เกิดแล้วเห็น ขณะที่เห็นเพราะไม่รู้ก็คิดว่า เราเห็น ขณะที่เห็นหมดไป ได้ยินเกิดขึ้น แค่ได้ยินเกิดขึ้นก็ไม่มีความรู้ความเข้าใจว่า เป็นธาตุ หรือเป็นธรรมที่ต่างจากสิ่งที่ปรากฏทางตา

    เพราะฉะนั้นมีปัจจัยที่จะทำให้เกิดปรากฏต่างกัน ถ้าไม่มีจักขุปสาท สิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้ปรากฏไม่ได้ เห็นจะไม่มีเลย ขณะนี้เสียงปรากฏโดยไม่รู้ว่ามีรูปที่สามารถกระทบเสียง แล้วก็ต้องมีจิต ธาตุรู้ที่เกิดขึ้นกำลังได้ยินเสียง คือ ธรรมเป็นธรรมทุกขณะถ้าค่อยๆ เข้าใจขึ้น ก็จะเห็นความเป็นธรรม คือ เป็นธรรมดา เป็นปกติ แต่ปกติไม่เคยรู้ว่าเป็นธรรม จนกว่าจะได้ฟัง แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจความหมายของธรรมว่า หมายความถึงธาตุที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ แล้วก็มีลักษณะเฉพาะของแต่ละธาตุ เพราะฉะนั้นขณะที่ได้ยินเหมือนเป็นเราได้ยิน แต่ถ้าได้ยินไม่เกิดขึ้น จะมีเราได้ยินได้ไหม ก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้นตลอดชีวิตที่เกิดมา เหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตทั้งหมด เพราะว่าเป็นสภาพของธาตุแต่ละธาตุที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยแล้วก็ดับหมดไป ไม่เหลือเลย เพราะฉะนั้นถ้ามีการจากไปของใคร ก็คือว่า เพราะธาตุนั้นๆ ซึ่งเคยเกิดเป็นอย่างนั้นๆ ไม่ได้เกิดอีกต่อไป แต่ก็ไม่ได้สิ้นสุด ยังมีปัจจัยที่จะทำให้ธาตุนั้นๆ เกิดสืบต่อไป แต่ว่า ไม่ใช่สิ่งที่เราเคยคิดว่า เป็นคนนั้น แต่ความจริงก็คือจะเป็นคนไหนก็ตาม ก็คือธาตุ ขณะนี้เป็นธาตุฉันใด กำลังเห็น จากโลกนี้ไป เราเรียกชื่อคนที่จากไป แต่เพราะธาตุที่เคยเกิดกับคนที่เราเรียกชื่อนี้ไม่เกิดอีก เราก็เลยหาคนนั้นอีกไม่ได้เลย จะไปหาคนนั้นได้ที่ไหน ไม่มีแล้ว เพราะว่าธาตุที่เคยเกิดกับคนนั้นไม่มี แต่ว่าเหมือนเราจากโลกก่อน ชาติก่อนมาเป็นบุคคลนี้ ก็มีธาตุที่เกิดขึ้นเป็นบุคคลนี้แล้วก็เห็นไป มีเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิต มีโลภ มีโกรธ มีหลง มีรัก มีชัง มีเหตุการณ์ต่างๆ ลาภ ยศ สรรเสริญต่างๆ แล้วก็หมดไปจากความเป็นบุคคลนี้ เพราะธาตุทั้งหลายที่เกิดกับธรรมตั้งแต่เกิดจนตายไม่สืบต่อ แต่ว่ามีปัจจัยที่จะให้เกิดในชาติต่อไป

    นี่ก็คือการให้เข้าใจความจริงว่า ทั้งหมดคือธาตุ หรือธรรมนั่นเอง ถ้าไม่เข้าใจว่าขณะนี้เป็นธรรมแล้วเป็นธาตุต่างๆ การศึกษาธรรมจะไม่มีประโยชน์เลย เพราะเหตุว่าไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร

    อ.กุลวิไล การเป็นบุคคลนี้ก็เป็นแต่เพียงชาตินี้เท่านั้นเอง เพราะว่าท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงว่า หลายท่านที่เรารู้จักคุ้นเคย แล้วอยู่ๆ เขาก็หายไปไหน แล้วก็มีเพียงแต่ชาตินี้เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นทั้งหมดก็เป็นธรรมนั่นเอง เราอาจเพียงศึกษารู้ถึงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีแล้วหามีไม่ แต่นั่นก็คือแค่ชั่วขณะจิตเอง แต่จริงๆ แล้วการสืบต่อของจิตมี และความจริงคนต่างๆ เมื่อมีการเกิดแล้วก็ดำรงภพชาติของบุคคลนั้น และแน่นอนความตายก็เป็นสิ่งที่เลือกไม่ได้ เพราะฉะนั้นชีวิตเป็นบุคคลนั้นก็เพียงแต่ชาตินี้เท่านั้นเอง แต่การสืบต่อของบุคคลนั้นด้วยการที่สะสมธรรมฝ่ายดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ก็เป็นปัจจัยให้เราเกิดเวียนว่ายอยู่นั่นเอง

    เพราะฉะนั้นชีวิตที่เป็นไป ถ้าหากไม่รู้ความจริงแล้ว ก็ดูเหมือนว่า เราก็อยู่ในโลกของอวิชชาคือความไม่รู้ แต่การที่จะรู้ความจริงเห็นถูกตามสภาพธรรมที่มีจริงที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ย่อมเป็นประโยชน์กว่า เพราะเห็นสาระของการเกิด อย่างวันนี้ดิฉันผ่านมาก็ยังเห็นป้ายชมรมต่างๆ ก็ยังเคยคิดเลยว่าเวลาที่อยู่ในที่ชมรมต่างๆ ส่วนใหญ่เราก็ทำกิจการรมเพื่อความสนุกสนาน แล้วก็พบปะกัน มีกิจกรรมที่ทำร่วมกัน และขณะเดียวกันก็อาจจะมีการทำกุศลขั้นทานเล็กๆ น้อยๆ บ้าง นั่นคือชีวิตของการเป็นมนุษย์ แต่สำคัญที่สุดคือการศึกษาธรรมนั่นเอง ถ้าเป็นผู้ที่มีความเห็นถูก เข้าใจถูกแล้ว สังสารวัฏก็ไม่ใช่แค่ชีวิตนี้ชีวิตเดียว ต้องเดินทางอีกไกลแต่การที่จะสะสมปัญญาที่จะเห็นถูกในสิ่งที่มีจริง แล้วก็เป็นปัจจัยให้เราวันหนึ่งสามารถที่จะพ้นทุกข์ได้ อันนี้น่าจะเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่า

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์เคยกล่าวว่าถ้ามีความเข้าใจในธรรม แล้วก็รู้ว่า ทุกสิ่งเป็นธรรม จะมีความเป็นปกติ และก็เบาสบาย

    ท่านอาจารย์ ถ้ารู้จริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่ฟัง ถ้าเป็นธรรม อย่างแข็งเกิดเป็นแข็ง ใครเปลี่ยนแข็งได้ไหม ให้เป็นอย่างอื่น

    ผู้ฟัง เปลี่ยนไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ความรู้สึกเป็นสุขเกิดขึ้นแล้ว จะเปลี่ยนความรู้สึกเป็นสุขให้เป็นทุกข์ได้ไหม

    ผู้ฟัง เปลี่ยนไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ฉันใด ความรู้สึกเป็นทุกข์เกิดแล้วจะเปลี่ยนให้ความรู้สึกที่เป็นทุกข์ เป็นอย่างอื่นได้ไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ บังคับให้สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดเกิดได้ไหม

    ผู้ฟัง บังคับไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้ารู้ว่าบังคับไม่ได้ แล้วก็เป็นธรรม ไม่ใช่เรา เลิกคิด เลิกหวังจนกระทั่งหมดความหวัง สบายไหม ไม่ต้องหวัง หวังหมายความว่า อยากจะให้มีสิ่ง หนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น แต่สิ่งที่จะหวังให้เกิด จะเกิดอย่างที่หวังไหม ก็ไม่เกิด

    เพราะฉะนั้นสิ่งใดจะเกิดขึ้นไม่ใช่เพราะหวัง แต่เพราะมีปัจจัยสมควรที่จะให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น แล้วต้องหวังอะไร จะหวังเห็น หรือจะหวังได้ยิน หรือจะหวังอะไรในเมื่อเกิดเพราะเหตุปัจจัย เลือกไม่ได้เลย

    ผู้ฟัง ความหวังก็เป็นธรรมอย่างหนึ่งซึ่งบังคับบัญชาให้เกิดก็ไม่ได้ แล้วไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ แต่จะแทรกอยู่ตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน

    ท่านอาจารย์ แล้วรู้ว่า หวังเป็นธรรม ไม่ใช่เรา จะดีกว่าหวังเปล่าๆ ไปเรื่อยๆ หรือไม่ โดยไม่รู้ เหมือนเห็น อย่างไรก็ต้องเห็น แต่ก็ยังรู้ว่า เห็นเกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็ไม่ยั่งยืนเลย ไม่มีอะไรสักอย่างที่ยั่งยืน ลองหาดู แต่ละขณะสั้นมาก แสนสั้นจริงๆ แต่ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นหวังเกิดขึ้นแล้วก็ไม่รู้ว่า เป็นธรรมอย่างหนึ่ง กับรู้ว่าก็เหมือนอย่างอื่นคือ เป็นเพียงสิ่งที่มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็หมดไป


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 168
    11 ม.ค. 2567