ปกิณณกธรรม ตอนที่ 654


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๖๕๔

    สนทนาธรรม ที่ หมู่บ้านเมืองทองนิเวศน์ ๑

    พ.ศ. ๒๕๔๖


    ท่านอาจารย์ ถึงแม้ไม่ได้เฝ้า ที่จะมีโอกาสได้ฟังพระธรรม จะมีในชาติไหนบ้าง ชาตินี้เป็นชาติหนึ่ง แต่ไม่รู้ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ไม่จำเป็นจะต้องให้กุศลประเภทอื่นๆ แข็งแรงมั่นคงก่อน แล้วปัญญาเจตสิก ถึงเกิดทีหลัง อันนี้ ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ ก็เราคิด เรื่องความเป็นเรา เพราะฉะนั้น โลภะ ติดได้ทุกอย่าง โลภะต้องการกุศลได้ไหม ได้

    เพราะฉะนั้น ก็วนเวียนไปในสังสารวัฏฏ์ ต้องการกุศลประเภทไหน จะเป็นเศรษฐีก็ทำทานไป ถ้าจะรูปงามก็รักษาศีลไป ก็อยู่อย่างนี้ เดี๋ยวก็ร่ำรวยเป็นมหาาเศรษฐี เดี๋ยวก็รูปแสนงาม เดี๋ยวก็ไปเกิดเป็นเทพ เป็นนางฟ้าเทวดาอะไร ก็ไปเกิดเป็นรูปพรหม อรูปพรหม ก็อยู่อย่างนี้

    ผู้ฟัง ไม่เป็นเหตุปัจจัยให้ ปัญญาเกิด ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ปัญญาเกิด คือความเข้าใจ ลักษณะของสภาพธรรม แล้วจะมาจากใคร ถ้าไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครจะแสดงได้ ใครจะกล่าวได้ว่าขณะนี้ เป็นธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งเกิดเพราะมีเหตุปัจจัย แล้วก็ดับ เลือกไม่ได้เลย แม้แต่คิด ต่างคนต่างคิด คิดก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ทำไมคิดไม่เหมือนกัน ทำไมคิดคนละอย่าง ทำไมพูดคนละอย่าง ทั้งหมด มีเหตุปัจจัยทุกขณะจิต ทั้งนามธรรม และรูปธรรมที่เกิด ต้องมีเหตุปัจจัยแล้วถ้าไม่รู้อย่างนี้ ชาตินี้ ที่มีโอกาสได้ฟัง ชาติไหน ชาติไหนอีกที่จะได้ฟังอีก ได้อบรมอีก ได้เข้าใจอีก

    เรื่องของธรรม เป็นเรื่องที่ ถ้ามีปัญญาแล้ว ก็จะทำให้กุศลทุกประเภทเจริญขึ้นด้วย แต่ไม่ใช่ว่ามากมายอย่างที่เราหวังหรือคิด ว่าต้องการที่จะให้กุศลนั้นๆ เกิดมากแล้วแต่เหตุปัจจัยจริงๆ เพราะฉะนั้น ถ้าสะสมไป แต่ละคนก็จะรู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่าแลกเปลี่ยนกันไม่ได้เลย แต่ละคนก็แต่ละหนึ่ง จะซ้ำกันก็ไม่ได้ ไม่มีอะไรที่สามารถถจะซ้ำกันได้เลย แม้แต่ความจะเป็นคนดี หรือความจะเป็นคนเลว ระดับต่างๆ ก็ไม่ซ้ำกันตามความวิจิตรของจิต

    ผู้ฟัง ถ้าพูดอย่างนี้ก็แปลว่า ความเข้าใจก็ต้องมาอันดับแรก

    ท่านอาจารย์ แน่นอน

    วิทยากร. คุณณรงค์ต้องเข้าใจอันนี้ สัมมาทิฏฐิ การศึกษาธรรม ผมบอกไว้อย่างหนึ่ง ผมนี่ เอาความเข้าใจมาอันดับแรก ผมไม่เคยเอาศีล สมาธิ มา

    ผู้ฟัง ผมไปงงตรงที่ว่า ปัญญาเจตสิก คือเข้าใจ ใช่ไหม ซึ่งยากมากที่จะเกิด

    วิทยากร. คือเอาความเข้าใจก่อน เพราะว่าความเข้าใจเอง มันก็มีลำดับขั้น

    ท่านอาจารย์ ยากแต่อบรมได้ ใช่ไหม ไม่มีใครบอกว่าง่าย แต่อบรมได้ ท่านที่อบรมแล้ว มีมากมาย ท่านที่กำลังอบรมอยู่ก็มี

    ผู้ฟัง แต่ของเรานี้เรียกว่าขั้นฟัง ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ อบรมด้วย ถ้าไม่มีการฟัง ปัญญาเกิดไม่ได้เลย ไม่ว่าระดับไหน

    วิทยากร. เพราะการฟังธรรม เป็นภาวนาด้วย

    ผู้ฟัง ชื่อว่าปฏิปัตติ นี้คือ ต้องไปทำกันเองใช่ไหม สังสารวัฏฏ์

    ท่านอาจารย์ ถ้าถูกก็สมควร ใช่ไหม ดีกว่าหลงผิดคิดว่า ถึงเร็ว

    ผู้ฟัง ที่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านแสดงว่าความกำหนัดที่เกิดด้วยสามารถแห่งความดำริของบุรุษ ชื่อว่า กาม อารมณ์ อันวิจิตร ทั้งหลายในโลก ไม่ชื่อว่า กาม ก็จะเรียนถามท่านอาจารย์ว่า กามนี้จริงๆ แล้วต่างจากตัณหาอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ตรงนี้ก็เพียงแต่มุ่งหมายให้ทราบว่า ไม่ได้หมายความถึงโลภเจตสิก หรือสภาพที่ใคร่ เพราะว่าถ้าพูดถึงรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็เป็นที่ใคร่ แต่ว่าตัวใคร่จริงๆ ก็คือโลภะ เพราะฉะนั้น ที่ใดที่กล่าวว่าอย่างนี้ ก็หมายความว่า ไม่ได้มุ่งถึงตัวที่เป็นรูป แต่หมายความถึงสภาพธรรม ที่เป็นนาม

    จริงๆ แล้วเวลาที่จะฟังพระสูตร อย่างบุคคลในครั้งอดีต ไม่มีโอกาสที่จะได้มีกระดาษ แล้วก็มานั่งอ่านพร้อมๆ กันอย่างนี้ ใช่ไหม แต่ว่าต้องมีการสะสมมาแล้วในอดีต ที่เห็นประโยชน์ ว่าการฟังพระธรรมก็จะได้รู้สภาพธรรมที่มีจริงๆ เพราะเหตุว่าไม่มีใครสามารถที่จะ ทรงแสดงสภาพธรรมนั้นได้

    เพราะฉะนั้น ในพระสูตรนี้ แม้ว่าชื่อจะกล่าวว่า เป็นธรรมปริยาย เหตุที่ทรงเทศนาเรื่อง การชำแรกกิเลส ก็เพราะเหตุว่า ทุกคนมีกิเลสมาก มีใครลืมไปหรือเปล่า ว่ามีกิเลสมาก วันหนึ่งๆ ก็มีชีวิตอยู่ ด้วยความเพลิดเพลิน ไม่ว่าเราจะทำอะไรทั้งนั้น ไม่ได้คิดเลย ว่าเราเป็นผู้ที่มีกิเลสมาก ผู้ที่มีปัญญา ย่อมเห็นกิเลสของตนเอง เพราะฉะนั้น ก็หาทางที่จะทำให้ละ หรือดับกิเลสได้ แต่ว่าต้องเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ไม่ใช่ว่าพอเราฟังจบกี่หน้า นับไป แล้วก็กิเลสหมด ถ้าอย่างนั้นไม่มีประโยชน์เลย

    เพราะฉะนั้น การศึกษาพระธรรม ก็คือว่าน้อมระลึกถึงพระคุณ แล้วก็รู้ว่าทุกคำมีประโยชน์ ที่จะทำให้เรา สามารถที่จะเห็น ความจริงของแต่ละคำ แล้วก็การที่ได้เข้าใจความจริงที่ได้ฟัง แต่ละคำ ก็จะค่อยๆ ชำแรกกิเลส แต่ไม่ใช่ว่าง่ายเลย ด้วยเหตุนี้ จึงทรงแสดงพระธรรมมากมาย โดยประการทั้งปวง เพราะฉะนั้น ผู้ฟัง ฟังแล้วก็ให้รู้ ว่าขณะนั้นกำลังกล่าวถึง กิเลสของใคร คงไม่ใช่กิเลสของผู้แสดง ไม่ใช่กิเลสของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แน่นอนเพราะเหตุว่าทรงดับกิเลสแล้ว แต่ทรงพระมหากรุณาที่จะให้ผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ แล้วไม่รู้ตัวเอง หรือลืมว่ามีกิเลสมาก เมื่อเวลาที่ได้ฟังพระธรรมแล้วก็ จะได้รู้ความจริง เพราะเหตุว่าจะไม่มีอะไรเลย ที่จะชำแรกกิเลสได้นอกจากปัญญา แล้วก็ต้องปัญญาของผู้ฟังเอง

    เพราะฉะนั้น คงจะไม่ได้หมายความถึงว่า เราพยายามไปเข้าใจคำแปลของพยัญชนะ แล้วก็ติดอยู่ที่ตรงคำแปล แต่ว่าคำแปลนั้นส่องถึงอรรถที่มีจริงๆ ในแต่ละคน ที่จะให้เห็นความจริงว่าแม้ว่าสภาพธรรมมีจริงอย่างนั้น แต่ก็ทรงอาศัยคำมากมาย ที่จะแสดงให้เห็นว่า กว่าเราจะเข้าถึง ความจริงของสภาพธรรมที่มีอยู่ต้อง อาศัยพระธรรมเทศนาหลากหลาย

    วิทยากร. กิเลสของพวกเรา อย่าลืม ท่านเตือน ว่าอย่าลืม มันมีอยู่ แล้วก็การที่จะเจาะแทงไม่ใช่ง่าย แน่นอนอย่างที่ท่านพูดถูกต้อง แล้วก็เราก็ไม่มีทางอื่นใด นอกจากระลึกรู้ธรรมที่กำลังปรากฏ นี้เป็นทนทางที่จะเจาะแทงกิเลส อย่างหนึ่ง

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าประโยชน์ จากการฟังจริงๆ ก็คือ รู้ความจริง แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจถูกต้องยิ่งขึ้น แต่จะสังเกตเห็นได้ว่า พอจบการอ่าน ก็จะมีการถามเรื่องความหมาย ของคำ รู้สึกจะสนใจอยู่ที่เรื่องราว หรือคำ

    แต่ว่าจริงๆ แล้ว ถ้าพิจารณาตั้งแต่ต้นแต่ละคำ ก็จะเห็นได้ว่า เป็นเรื่องของการที่จะให้เกิด ปัญญาของตัวเอง แล้วก็ให้เห็นโทษของกิเลส แล้วให้เห็นว่าการที่จะชำแรกถึงตัวกิเลสจริงๆ ไม่ใช่เพียงด้วยตัวหนังสือ ตัวหนังสือไม่สามารถที่จะทำให้เรา ชำแรกลงไปถึงกิเลสได้เลย แต่การที่เรามีกิเลส ทุกวันมากๆ ด้วย ก็ทรงแสดง โดยละเอียด เพื่อที่จะว่า ผู้ใดที่ฟังด้วยการเห็นพระคุณ ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง ก็จะได้สาระ ได้ประโยชน์ จากความเข้าใจ ในพระสูตรนั้น ไม่ใช่ติดอยู่เพียงแค่คำ แต่คำก็จะช่วยทำให้เรา เห็นพระคุณว่า ทรงพระกรุณาแสดงเพื่อที่จะให้เรา มีความเข้าใจละเอียด ว่าเป็นเรื่องละเอียด มีใครคิดว่ากิเลส นี่จะดับได้ง่ายๆ บ้างไหม มีแต่จะเพิ่มง่าย เพิ่มง่ายมากเลย ทุกวันนี้เพิ่มอยู่แล้ว แต่การที่จะมีวาระที่ได้ฟังพระธรรม ด้วยความเคารพด้วยความนอบน้อมที่จะประพฤติปฏิบัติตาม เป็นโอกาสที่รู้ยาก เพราะเหตุว่าบางคนอาจจะสนใจเพียงเรื่องราวเท่านั้น แต่ว่าไม่ได้สนใจในเรื่องของการที่จะเข้าถึงสภาพธรรม

    เพราะฉะนั้น ถ้าทราบอย่างนี้แล้ว เราก็จะไม่ประมาทเลย ในแต่ละคำที่เราศึกษา ไม่ใช่เพียง ต้องการเข้าใจความหมาย แต่ต้องเข้าถึงลักษณะของสภาพธรรมด้วย

    วิทยากร. สมัยพุทธกาล ไม่มีตำราให้เรามากางอ่านอย่างนี้ พอมีตำรามากางอ่าน นี่ แทนที่จะรู้ธรรม แล้วไปรู้ตัวหนังสือ เมื่อไปรู้ตัวหนังสือแล้ว ธรรมเราก็เลยไม่เห็น ธรรมปรากฏ แต่ไม่เห็น เมื่อไม่เห็นธรรมปรากฏ เราก็ไม่ได้พิจารณาธรรม ก็ไปพิจารณาแต่ตัวหนังสืออยู่นั่นแหละ พิจารณาอย่างไรๆ มันจะเป็นธรรมขึ้นมา ตัวหนังสือ พอธรรมปรากฏ แต่เราไปได้พิจารณา เราไม่ได้ศึกษา เราไปมัวจ้องอยู่แต่ตัวหนังสือ อ่านว่าอย่างไร ตัวนั้นหมายความว่าอย่างไรมันก็เลย ไม่ได้พิจารณาธรรม ไม่ได้ศึกษาธรรม ไม่ได้อ่านธรรมจริงๆ ที่กำลังปรากฏ อาจารย์ท่านให้ ท่านก็แสดงอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นก็ลอง สมมติเป็นในครั้งพุทธกาล ไม่มีตัวหนังสือ แต่ฟัง แล้วดูว่าความเข้าใจของเรา จะติดตามความเข้าใจได้สักแค่ไหน พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เตือนให้ฟังแล้ว เราจะแสดงธรรมปริยาย ที่เป็นปริยาย เป็นไปในส่วนแห่งการชำแรกกิเลส แก่เธอทั้งหลาย ทุกคนที่ไปฟัง พร้อมที่จะรับฟังว่า มีกิเลส แล้วก็ทรงแสดงพระธรรม ที่จะทำให้เข้าใจถึงการที่จะชำแรกกิเลส ก็ต้องตั้งใจฟัง ใช่ไหม เพราะว่าไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางที่จะชำแรกกิเลสได้ เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจะกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมปริยาย ที่เป็นปริยายเป็นไปในส่วนแห่งการชำแรกกิเลสนั้น เป็นฉะไหน เริ่มฟังแล้ว ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงทราบกาม แล้วก็ทรงแสดงพระธรรมต่อไป ซึ่งถ้าคนฟังยังไม่มีความเข้าใจตรงนั้น เพียงแค่ประโยคนี้ ก็ฟังไป จนจบ ใช่ไหม แต่ว่าความเข้าใจ แต่ละคำ จะมีแค่ไหน แต่ถ้าเราเป็นบุคคลในรุ่นนี้ สมัยนี้ การฟังต้องฟังโดยละเอียดแล้วก็โดยพิจารณาด้วย ที่ตรัสว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงทราบกาม เราทราบหรือยัง กาม อยู่ที่ไหน เมื่อไร ทั้งๆ ที่มีอยู่ที่ตัว คือความใคร่ ความพอใจ ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ

    เพราะฉะนั้น เวลากล่าวว่ารูป เสียง กลิ่น รส ไม่ใช่กาม ต้องหมายความว่าไม่ใช่กิเลสกาม แต่เป็นวัตถุกาม เพราะเหตุว่ากิเลสกาม คือสภาพธรรม ที่ใคร่ ที่พอใจ

    แล้ววันหนึ่งๆ เราติดข้องในอะไร ถามทุกคนดูจริงๆ ว่าเราติดข้องในอะไร พ้นไปจากรูป ที่เราเห็นทุกวัน ได้ไหม ในเมื่อมีสิ่งที่เห็น ก็ต้องพอใจในสิ่งที่เห็น มีเสียงปรากฏให้ได้ยิน ทุกคนก็ลืมอีกแล้ว ก็ติดข้องในเสียงที่ได้ยิน มีกลิ่น มีรส มีสิ่งที่กระทบสัมผัส ก็วนเวียนอยู่อย่างนี้ ทั้งวันทั้งคืน ให้รู้จักกาม ว่ามีอยู่ประจำ แล้วก็ความใคร่ความติดของเรา ก็ติดอยู่ในสิ่งที่กำลังมี เพิ่มขึ้นทุกวันด้วย ข้อสำคัญคือต้องรู้จักตัวจริง ในแสนโกฏิกัปป์ที่ผ่านมาแล้ว มีมากเท่าไรลองคิดดู เมื่อวานนี้แค่นี้ แล้วแสนโกฏิกัปป์ ลองคิดดูว่าแค่ไหนแล้วยังจะต่อไปอีก ตราบใดที่ยังไม่รู้หนทาง แล้วยังไม่เห็นประโยชน์ของการที่จะละ คลายกิเลส เราก็จะเพิ่มไปเรื่อยๆ แต่ก็เป็นบุญของผู้ที่ได้สะสมมา ที่มีโอกาสที่จะได้ฟัง พระธรรม เพราะว่าไม่แน่เลย ว่าใครจะได้ฟังอีกนานเท่าไร แล้วก็ถ้าไม่ได้อยู่ในภพนี้ภูมินี้ ไม่มีทางที่จะได้ฟังพระธรรม ถ้าเกิดในอบายภูมิ หรือว่าเป็นสัตว์เดรัจฉาน ที่บ้านก็คงจะมีสัตว์เลี้ยงหลายตัว เราก็มีความรักใคร่ในสัตว์เลี้ยงนั้น แต่ขณะเดียวกันก็เห็นว่า เขาไม่มีโอกาสที่จะได้ฟัง ได้เข้าใจพระธรรมเลย

    เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม เพื่อประโยชน์จริงๆ ว่า ให้เห็นตัวเอง ไม่ใช่ข้ามไป แล้ว เราไม่สนใจละตอนนี้ ทั้งๆ ที่เราเองก็มีความติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แต่เมื่อฟังแล้วต้องรู้ ต้องเห็นว่าควรที่จะ อบรมเจริญปัญญา เพราะเหตุว่าเป็นหนทางเดียว

    ถ้าไม่มีปัญญา ใครก็ไม่สามารถที่จะ ละ หรือว่าดับความติดข้อง ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่เป็นกาม หรือเป็นวัตถุกามได้ นอกจากนั้น เราจะรู้ไหมว่าอะไร เป็นเหตุเกิดแห่งกาม ถ้าไม่ทรงแสดง แล้วการทรงแสดงก็มีหลายนัยมาก เพราะฉะนั้น ผู้ที่ฟังก็จะเริ่มได้เห็นว่า ที่ทรงแสดงว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงทราบกาม เหตุเกิดแห่งกาม เพราะรู้แน่ว่าใครๆ ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ ถ้าไม่ทรงแสดง เธอทั้งหลาย พึงทราบกาม เหตุเกิดแห่งกาม ความต่างแห่งกาม วิบากแห่งกาม ความดับแห่งกาม ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับกาม นี่แค่เรื่องเดียว เรื่องของสิ่งที่เราติดข้อง แต่วันหนึ่งๆ มีแค่นี้หรือ รู้ตัวไหม

    ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมก็จะไม่รู้เลย ว่าเธอทั้งหลาย พึงทราบเวทนา มีแต่เรื่องที่จะต้องรู้ตามความเป็นจริง ว่าเป็นสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป แต่ว่าต้องมีความละเอียดมาก ผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ด้วยการไตร่ตรองด้วยความละเอียด เพื่อความเข้าใจของตัวเอง ก็จะเห็นได้ว่าไม่ใช่ให้พิจารณาเผินๆ คือเพียงแค่ให้รู้จักกาม ก็ยังไม่พอ ถึงแม้ว่าจะทรงแสดงเรื่องเหตุเกิดแห่งกาม ความต่างแห่งกาม วิบากแห่งกาม ความดับแห่งกาม ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับกาม เท่านั้นยังไม่พอ เพราะยังมีเวทนาคือความรู้สึกด้วย ในวันหนึ่งๆ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รู้จริงๆ ก็ไม่สามารถที่จะละกิแลสได้

    วันนี้มีใครรู้เรื่องเวทนาบ้าง ทุกคนมีเวทนา ทุกขณะจิต แต่ไม่เคยรู้ เวทนาที่น่าพอใจ ตั้งแต่เช้ามามีไหม มากไหม อุเบกขาเฉยๆ โทมนัสเวทนา ความขุ่นใจก็มี ยังโสมนัสเวทนาอีก เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องของความไม่รู้ มากมายแค่ไหน ที่จะต้องรู้จริงๆ โดยที่ข้ามไปไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น จึงได้ทรงแสดงว่า เธอทั้งหลายพึงทราบเวทนา เหตุเกิดแห่งเวทนา ความต่างแห่งเวทนา วิบากแห่งเวทนา ความดับแห่งเวทนา ปฏิปทาให้ถึงความดับเวทนา ทั้งๆ ที่มีเวทนาตลอด ก็ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร หรือว่าความต่างของเวทนา ทำไมเวทนาจึงต่างๆ กันออกไป ไม่เหมือนกัน เวทนาแต่ละขณะนี้ แล้วยังถึงวิบาก แห่งเวทนา ผล ของเวทนา ความดับแห่งเวทนา ปฏิปทาให้ถึงความดับแห่งเวทนา มีใครจะแสดงได้อย่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม ไม่มี นี้คือการที่จะระลึกถึงพระคุณ ไม่ใช่ว่าเราต้องไปท่อง แต่ว่าขณะใดที่มีความเข้าใจสภาพธรรม ขณะนั้นก็เป็นการน้อมระลึกถึงพระคุณ เรื่องแค่นี้ อาจจะพูดไปได้ทั้งวันก็อาจจะได้ เพราะเหตุว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวัน แต่ถ้าจะให้จบ ก็จบไปแล้ว โดยที่ว่าขึ้นอยู่กับความเข้าใจของเรา ว่าแม้แต่พระสูตร ๑ พระสูตรใด เราสามารถที่จะหาสาระ หาประโยชน์ จากพระสูตรนั้น จริงๆ ด้วยการไตร่ตรอง แล้วก็ผลก็คือว่า ได้ ความซาบซึ้งในพระมหากรุณา เพราะเหตุว่าจะทำให้จิตใจของเรา อ่อนโยนแล้วก็น้อมที่จะเข้า ใจธรรมโดยการที่ว่าเห็นตัวเองตามความเป็นจริง เพราะว่าบางคนก็ไม่อยากจะเห็นตัวเองตามความเป็นจริง ใช่ไหม อยากจะให้เห็น หรือว่าให้คนอื่นเห็น อย่างที่เราอยากจะให้เขาเห็น ว่าเราเป็นอย่างนั้น แต่ความจริงนั่นไม่ใช่ประโยชน์เลย เพราะเหตุว่าความจริงเป็นสิ่งที่ ต้องรู้ด้วยตัวเอง ถึงใครจะบอกว่าอย่างไร จะเท่ากับที่เรารู้ตัวไหม ไม่เท่า

    เพราะฉะนั้น แม้แต่ความรู้สึกของเรา คนอื่นจะมา บอกแทนได้ไหม บางคนก็มาถามบอกว่า แล้วอย่างนี้เป็นเวทนาอะไร คนอื่นจะตอบแทนไม่ได้เลย เพราะว่าเวทนาคือความรู้สึกของใคร ก็เกิดขึ้นแล้วดับแล้ว ดับเร็วมาก แล้วจะให้คนอื่นไปบอกแล้วอย่างนี้ เป็นเวทนาอะไร เป็นโสมนัสหรือว่าเป็นอุเบกขา คนอื่นตอบไม่ได้เลย ทั้งหมดต้องเป็นชั่วขณะที่สภาพนั้นเกิดขึ้น เป็นอย่างนั้น แล้วก็ดับไปด้วย เมื่อดับแล้วไม่ต้องไปกังวลถึงเลย เพราะอะไร เวทนาใหม่เกิดแล้ว เพราะฉะนั้น บางคนก็จะไปถามซ้ำ ถึงเหตุที่เกิดขึ้นในอดีต อยากจะมีความเข้าใจว่าตรงนี้ คืออะไร ก็ตรงนี้ที่กำลังเป็น ทำไมไม่เข้าใจ ว่าเวทนาอะไร แล้วสภาพธรรมอะไร แต่อยากจะไปรู้สิ่งที่ผ่านมาแล้ว แล้วก็ไปสงสัยอยู่นั้นแหละ แล้วก็ไปพยายามค้นคว้า หาคำตอบ จากคนนี้ก็ไปถึงคนโน้น จนกว่า คิดว่าใครจะให้คำตอบได้ แต่ไม่ได้คิดถึงว่าคำ ตอบจริงๆ คืออยู่ขณะที่ กำลังถาม กำลังคิด หรือกำลังเป็น ในขณะนั้นเอง นี้ก็เป็นเรื่องของเวทนา จบไหมแค่นี้ วันหนึ่งๆ ไม่จบนี้เป็นแต่เพียง ฉักกนิบาท คือคำที่ทรงแสดง ในเรื่องของธรรม ๖ ประการ แต่ที่ทรงแสดงอีกหลากหลายมากมาย โดยนัยประการต่างๆ เพราะว่าความหลากหลายของสภาพธรรม มากมาย เพราะฉะนั้น เมื่อมีความหลากหลายมากมาย พระธรรมก็ทรงแสดงได้ โดยนัยต่างๆ ตามความหลากหลายนั้น ต่อไปตานี้คล่องแล้ว ใช่ไหม ต่อจากกาม แล้วก็เวทนา

    เธอทั้งหลายพึงทราบ สัญญา สัญญาทุกคนก็ทราบแล้ว ว่าเป็นความจำ เหตุเกิดแห่งสัญญา ความต่างแห่งสัญญา วิบากแห่งสัญญา ความดับแห่งสัญญา ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับสัญญา พระธรรมไม่ได้ทรงแสดง เพียงครึ่งๆ กลางๆ แต่ทรงแสดงโดยตลอด คือเมืม่อทรงกล่าวถึงสภาพธรรมใด ก็ทรงแสดงถึงเหตุ เกิดของสภาพธรรมนั้นด้วย และความต่างของสภาพธรรมนั้น วิบากแห่งสภาพธรรมนั้น และความดับแห่งสภาพธรรมนั้น เพราะฉะนั้น ใครที่คิดว่าจะดับกิเลส เร็วๆ เป็นไปได้ไหม อย่าคิดเลย ไม่มีวันที่จะสำเร็จได้ ด้วยความไม่รู้ แล้วผู้ที่ไม่คิดจะละกิเลสเลย จะเป็นอย่างไร ไม่มีทางเลยใช่ไหม ที่จะเข้าใจความจริงของสภาพธรรม ที่จะหมดทุกข์ได้เพราะเหตุว่า แม้เพียงจะคิดก็ยังไม่คิด ที่จะเห็นโทษ และที่จะละกิเลสได้

    สำหรับใน นิพเพธิกสูตร ก็ได้ทรงแสดง ธรรมต่อไปก็คือ เธอทั้งหลายพึงทราบอาสวะ เหตุเกิดแห่งอาสวะ ความต่างแห่งอาสวะ วิบากแห่งอาสวะ ความดับแห่งอาสวะ ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับอาสวะ ถ้าไม่เคยฟังพระธรรมมาก่อน เลย ไม่มีทางที่จะรู้ว่า อาสวะคืออะไร เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะอ่านพระสูตร ได้เข้าใจจริงๆ ก็คือ ผู้ที่ศึกษาธรรม แล้วก็มีความเข้าใจ ในปรมัตถธรรม ในสภาพธรรมแล้ว จึงสามารถจะเข้าใจข้อความในพระสูตรได้ เพราะเหตุว่าทรงแสดงกับผู้ที่สามารถเข้าใจได้ ไม่ใช่บุคคลในครั้ง ที่ยังไม่ได้มีการศึกษา หรือว่ายังไม่ได้มีการฟังเลย ข้อความต่อไปก็ได้ทรงแสดงถึง เธอทั้งหลายพึงทราบกรรม เหตุเกิดแห่งกรรม ความต่างแห่งกรรม วิบากแห่งกรรม ความดับแห่งกรรม ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับกรรม มีบ้างไหมกรรมมากมาย ก็ขออนุโมทนา ทุกท่านที่ได้เข้าใจตัวเอง ตามความเป็นจริง เพราะเหตุว่ากรรมเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก เราเกิดมาเราเห็นผลของกรรม แทบจะทุกวัน จริงๆ แล้วก็มีผลของกรรมอยู่ทุกขณะ แต่ไม่เห็น จนกว่าจะมีผลของกรรม ที่น่าอัศจรรย์ไม่คิดว่า เป็นไปได้ ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นได้ ไม่มีใครคิดล่วงหน้าเลย ว่าอะไรจะเกิดกับใคร วันไหนเมื่อไร แต่ก็มีเหตุจะให้เกิด กับคนอื่นฉันใด กับเราจะไม่มีกรรมที่ได้กระทำแล้ว ที่จะเกิดหรือ เพราะฉะนั้น ก็เป็นผู้ที่ไม่ประมาทเลย ต้องรู้ถึง เธอทั้งหลายพึงทราบกรรม เหตุเกิดแห่งกรรม ความต่างแห่งกรรม วิบากแห่งกรรม ความดับแห่งกรรม ปฏิปทาให้ถึงความดับกรรม

    ข้อความต่อไป ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครไม่รู้ เธอทั้งหลายพึงทราบทุกข์ แต่ว่าไม่รู้ เหตุแห่งทุกข์ ความต่างแห่งทุกข์ วิบากแห่งทุกข์ ความดับแห่งทุกข์ ปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งทุกข์

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 103
    25 มี.ค. 2567