ปกิณณกธรรม ตอนที่ 624


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๖๒๔

    สนทนาธรรม ที่ หมู่บ้านเมืองทองนิเวศน์ ๑

    พ.ศ. ๒๕๔๕


    ท่านอาจารย์ การศึกษาธรรมอย่าเผิน เพราะเหตุว่าถ้าเผิน เราก็เข้าใจเผิน แล้วไม่สามารถที่จะรู้ว่า ความจริงแล้วลักษณะนั้นๆ ที่แท้จริง เป็นอย่างไร เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ที่กำลังเห็น เกิดแล้วดับ เพราะว่ามีเห็น ถ้าไม่มีเห็นเกิดขึ้น เห็นนั้นก็ดับไม่ได้ แต่ขณะนี้ที่มีเห็น สภาพธรรมที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้เกิดดับ สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ มี ไม่เคยรู้มาก่อน ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ กี่แสนโกฏิกัปป์ ก็ไม่รู้ ทำไมกล่าวว่าอย่างนี้ เพราะเหตุว่าถ้ารู้มาบ้างเพียงพูดเท่านี้ก็รู้ ใช่ไหม ถ้าเคยรู้มาจนกระทั่ง สามารถที่จะพอฟังก็ประจักษ์ความจริงของสภาพธรรม ที่กำลังเกิดดับ แต่ว่าถ้าขณะนี้ฟังแล้ว ก็คือการตั้งต้น ที่จะค่อยๆ พิจารณาค่อยๆ เข้าใจสภาพธรรม ที่มีจริงในขณะนี้ว่า เป็นอย่างนั้น จริงๆ จากความคิด หรือการไตร่ตรอง การพิจารณาของผู้ฟัง

    นี่ประโยชน์จริงๆ คือ ต้องเป็นปัญญาของผู้ที่ฟังจริงๆ ที่จะเห็นด้วย หรือจะไม่เห็นด้วย ที่จะเข้าใจ หรือไม่เข้าใจ เป็นจุดเริ่มต้นของการเจริญขึ้นของปัญญา

    เพราะฉะนั้น ในขณะนี้เมื่อฟังว่า โลก หมายความถึงสภาพธรรม ที่แตกดับ หมายความถึงสภาพธรรม ที่เกิด เพราะมีปัจจัยปรุงแต่งจึงเกิด ไม่ใช่เกิดขึ้นมาได้ลอยๆ แต่ว่าขณะนี้ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม เห็นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ก็ไม่รู้ แต่มี เสียงปรากฏ เสียงเกิดมาได้อย่างไรก็ไม่รู้ แต่มี

    ความไม่รู้มากมาย เริ่มต้นจาก การเป็นผู้เข้าใจถูกต้องว่า ถ้าไม่ได้ฟังพระธรม จะไม่รู้จักธรรม แล้วก็จะไม่เข้าใจสภาพธรรม ตามความเป็นจริง นี่คือจุดเริ่มต้น แล้วก็ธรรมที่ได้ยินทุกคำ ขอให้เข้าใจจริงๆ ไม่เปลี่ยนแปลง

    คำว่า โลก ไม่เปลี่ยน โลกเป็นสภาพที่เกิดดับ คำนี้ไม่เปลี่ยน เลย เป็นสภาพธรรมที่แตกดับ ไม่ว่ขณะไหนก็ตาม เห็นขณะนี้ ถึงจะยังไม่ประจักษ์แต่ ผู้ที่ประจักษ์แล้ว แสดงแล้วว่าสิ่งใดก็ตามที่เกิด สิ่งนั้นดับ ถ้าเห็นไม่ดับ ได้ยินก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น ก็เป็นการพิสูจน์ ธรรมไปในตัว ว่าจริงๆ แล้วก็คือไม่มีผู้ใดสามารถที่จะค้าน คำว่า โลก ซึ่งหมายความถึงสภาพธรรมที่กิดดับได้ มีใครค้านบ้างไหม แต่ก็ยังไม่รู้จักโลกอีก เพียงแต่ว่าโลกหมายความถึงสภาพธรรมที่มีจริงซึ่งเกิดดับ

    เพราะฉะนั้น ขณะนี้ ถ้าถามว่าเห็น เป็นโลกหรือเปล่า ตอบว่าอย่างไร เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นโลกหรือเปล่า เป็น ขณะนี้ อะไรไม่ใช่โลก มีไหม ยังไม่เรียนก็จริง ยังไม่ทราบก็จริง แต่ถ้าพูดถึงสภาพธรรม สภาวะธรรม สิ่งที่มีจริงๆ แล้วปรากฏ พูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ แล้วปรากฏ ต้องเกิดดับทั้งหมด แล้วก็พ้นจากโลกไม่ได้เลย

    ผู้ฟัง นอกจากนิพพาน

    ท่านอาจารย์ ใช่ แต่ทีนี้เรากำลังพูดถึง โลก ไม่ได้ พูดถึงสภาพที่เหนือโลก หรือว่าพ้นจากโลก

    ผู้ฟัง ตามที่คุณธีรพันธ์เขียนไว้ว่าโลก คือ สภาพธรรมที่แตกดับ หรือ ที่เกิดดับนี้ พระพุทธองค์ก็ยังได้แสดงต่อไปว่า ขันธ์ ๕ ก็เป็นโลก อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ ทั้งหมดเลย เป็นโลกทั้งนั้นเลย ถ้าเราศึกษาธรรมแล้ว ขันธ์ ๕ แตกดับไปไหม ก็แตกดับ

    ถ้าศึกษาธรรมให้กว้างขวางขึ้นไปแล้ว ธรรมพระพุทธเจ้า ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ จะต้องสอดคล้องกันหมดเลย จะเอาปิฎกไหนขึ้นมาพูด จะเอาตรงไหนไปได้ถึงกันหมด อย่างนี้จึงจะแสดงถึงความเข้าใจธรรม ที่จะมีเพิ่มขึ้น อย่างที่อาจารย์พูดจบไปเมื่อกี้นี้ว่า สิ่งที่เห็น เห็น เกิดดับไหม เห็นก็เป็นสภาพธรรมที่เกิดดับ ก็ตรงกันอีกกับ โลก สิ่งที่ปรากฏทางตา เกิดดับไหม ก็เกิดดับ ก็ตรงกันอีก ทางตา ถ้าเข้าใจทางตาดีๆ ทางอื่นก็โดยนัยเดียวกัน

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงธรรม ทั้ง ๓ ปิฎกก็ดี หรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกกี่พระองค์ หรือ ที่ล่วงมาแล้ว ตรัสรู้แล้ว ไปแล้ว ก็ตรัสเรื่องอย่างนี้ เรื่องสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น ถ้ามีใครเคยสงสัยเรื่องว่า สังคายนาอาจจะคลาดเคลื่อนตรงนั้น ผิดตรงนั้น อะไรต่ออะไร ไม่ต้องสงสัย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์มาตรัสรู้ ก็มาตรัสรู้เรื่องสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ให้เรารู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ตามความเป็นจริง เป็นจริงขึ้น จึงจะเป็นประโยชน์ในการศึกษาพระธรรม

    ท่านอาจารย์ ธรรมก็เป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง ความลึกซึ้งของธรรม ถ้าไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง มั่นคงตั้งแต่ต้น ถ้าไปอ่านพบข้อความในพระไตรปิฎก ไม่ว่าจะเป็นในพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก หรือพระอภิธรรมปิฎกก็ตาม ถ้าไม่มีความเข้าใจที่มั่นคงในเบื้องต้น จะเข้าใจผิด แล้วก็จะไขว้เขวด้วย แต่ถ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้องจริงๆ ตรงทั้ง ๓ ปิฎก แล้วก็จะไม่คลาดเคลื่อน เช่น คำว่า โลก จะอยู่ส่วนใหนในพระไตรปิฎก โลกก็หมายความถึงสภาพธรรม ที่มีจริงที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น ขณะนี้ สิ่งที่มีจริงๆ ทั้งหมดไม่ว่าทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายทางใจ ก็เป็นโลก แต่ว่าสิ่งที่มีจริง รู้ยาก เช่น ขณะนี้ทุกคนเห็น ก็ยังไม่รู้สภาพจริงๆ ที่เห็น แต่ว่าเห็นมี เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรม คือ ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม เป็นสิ่งซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร สิ่งใดที่จะเกิด ต้องมีปัจจัยปรุงแต่ง พระพุทธเจ้า จะสร้างสิ่งหนึ่งสิ่งใด ธรรมหนึ่งธรรมใด ด้วยอำนาจของพระองค์เอง หรือว่าต้องมีปัจจัย ที่ตรัสรู้ว่าสิ่งนั้นๆ เกิดขึ้น เพราะปัจจัย

    เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า เรื่องของธรรม เป็นเรื่องซึ่งไม่มีใครเป็นเจ้าของ เป็นสิ่งที่มีลักษณะเฉพาะ ธรรมนั้นๆ แม้พระผู้มีพระภาคเองก็ไม่ได้ทรงแสดงว่า พระองค์ทรงสร้าง หรือว่าพระองค์ทำให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น แต่ว่าทรงแสดงเหตุปัจจัย ที่จะทำให้ธรรมนั้นๆ เกิดขึ้น

    เห็น มี ใช่ไหม แต่ยังไม่รู้ว่าลักษณะแท้จริงของเห็น คืออะไร เพราะว่าตลอดเวลา เป็นเราเห็นถูกไหม แต่ว่าสภาพธรรมที่มีจริง ที่ทรงแสดงไว้ จากธรรม ๑ คือทุกอย่างเป็นธาตุซึ่งไม่มีเจ้าของ ไม่มีใครบังคับบัญชาได้ แต่ธรรมก็หลากหลายมากมาย แต่ว่าแยกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ ธรรมที่เป็นรูปธรรม ไม่สามารถที่จะรู้ ไม่สามารถที่จะรู้สึก ไม่สามารถที่จะจำ ความรู้ใดๆ เลยทั้งสิ้น มีไหม สภาพธรรม ที่เป็นรูปธรรม มี แต่ยังมีสภาพธรรม อีกอย่างหนึ่ง อันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก คือ สภาพธรรมนี้เป็นธาตุที่สามารถจะรู้ จะเห็น จะได้ยิน จะคิดนึกเป็นสภาพรู้

    เพราะฉะนั้น แยกสภาพธรรม ออกเป็น ๒ อย่าง คือสภาพธรรม ประเภท ๑ ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ทั้งสิ้น แต่สภาพธรรมอีกอย่าง ๑ นั้นตรงกันข้าม คือ เกิดเมื่อไร ต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏให้รู้ ให้เห็น ให้ได้ยิน เพราะฉะนั้น จึงมีสภาพธรรมที่เป็นรูปธรรม คือ สภาพธรรมที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น ส่วนสภาพธรรม ที่เป็นธาตุรู้ หรือ สภาพรู้ ที่สามารถรู้ได้ ใช้คำว่า นามธรรม เพราะว่าไม่มีรูปร่างใดๆ เจอปนเลย ในนามธรรมนั้น

    ผู้ฟัง ทั้งๆ ที่เราก็ไดฟัง จากท่านอาจารย์ว่า โลก คือ สภาพที่เป็นจริง ที่เกิดปรากฏแล้วก็แตกดับ เราก็ได้ฟังอย่างนี้แล้ว ก็ยังเป็นการฟังตามหนังสือ ก็ยังไม่รู้จริงๆ ว่าโลก มันคืออะไร รู้แต่ตามหนังสือ รู้แต่ตามที่ท่านอาจารย์อธิบาย แล้วจริงๆ ก็ยังไม่รู้ เมื่อยังไม่รู้ เราก็ยังไม่เห็นโลก ได้ฟังแต่คำแปลว่า โลก คือ สภาพที่กำลังปรากฏ แล้วก็แตกดับ ปรากฏขึ้นแล้วก็แตกดับ แต่โลกจริงๆ ที่มันเกิดปรากฏ แล้วก็แตกดับ เรายังไม่รู้สึกเลย เรายังสบายๆ อยู่เลย ยังไม่เห็นว่ามัน จะเดือดร้อนอะไร มันก็เกิดแล้วก็แตกดับอยู่ตลอด เราไม่เห็นเดือดร้อนเลย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็เรากำลังจะเริ่มเข้าใจสภาพธรรม ๒ อย่าง ซึ่งมีจริงๆ คือนามธรรม กับ รูปธรรม แล้วทุกคนก็จะได้ฟัง แล้วก็พิจารณา แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจพร้อมกัน เช่น เห็น ยกตัวอย่างเห็นขณะนี้ ซึ่งมีจริงๆ กำลังเห็น แต่ขณะนี้ มีสิ่งที่ถูกเห็นหรือเปล่า สิ่งที่ถูกเห็นต้องมี ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ต้องมี

    ท่านอาจารย์ แล้วจริงๆ แล้วสิ่งที่ถูกเห็น ก็จะพ้นไปจากสิ่งที่กำลงัปรากฏในขณะนี้ไม่ได้ ยังไม่ต้องเรียกชื่อ ว่าเป็นคนเป็นดอกไม้ หรือว่าเป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้เลย ยังไม่ต้องไปนึกถึงชื่อใดๆ เลย แต่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น อันนี้ถูกต้องไหม เพื่อที่จะได้เข้าใจอย่างที่คุณวิจิตร ถามเมื่อกี้นี้ ว่ายังไม่รู้เลย ว่าลักษณะที่เห็นแท้จริงเป็นอย่างไร ถ้าเราสามารถที่จะเข้าใจรูปธรรม คือ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นขณะนี้ แล้วเราก็จะรู้ว่าที่สิ่งนี้ปรากฏได้ เพราะว่ามีสภาพธรรม ที่กำลังเห็นสิ่งนี้ ไม่ต้องเรียกชื่ออีกเหมือนกัน ธรรมที่มีจริง ยังไม่ต้องเรียกชื่อก็ได้ มีสิ่งที่กำลังปรากฏ ทางตาให้เห็น แล้วก็มีสิ่งที่สภาพที่กำลังเห็นสิ่งนี้อยู่ สิ่งนี้จึงปรากฏได้ ถ้าไม่มีสภาพเห็น สิ่งที่ปรากฏทางตา ปรากฏไม่ได้เลย ธรรมดามาก ชีวิตประจำวันเหมือนไม่มีอะไร แต่แท้ที่จริงแล้วก็คือว่าเป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่เรา สภาพรู้ ธาตุรู้ สามารถที่จะอาศัยตาเกิดแล้วเห็น แต่ถ้าไม่มีจักขุปสาท ไม่มีตา จะมีการเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่ได้เลย

    แม้ว่าเป็นสิ่งที่เราเรียกในชีวิตประจำวัน ว่าเห็น แท้ที่จริงก็คือสภาพที่สามารถรู้ สิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยอาศัย อย่างสภาพที่เห็น ต้องมีตา ถ้าไม่มีตา แล้วอย่างไรๆ สภาพเห็นเกิดไม่ได้ ขณะนี้เสียงปรากฏ แต่ถ้าไม่มีสภาพที่ได้ยินหรือรู้เสียง เสียงก็ปรากฏไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ไม่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ ให้ทราบว่ามีนามธรรมซึ่งเป็นธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถรู้ สิ่งหนึ่งสิ่งใด โดยอาศัยตาเห็น อาศัยหูได้ยิน อาศัยจมูกได้กลิ่น อาศัยลิ้นลิ้มรส อาศัยกายะ ที่กายกระทบสัมผัส ก็รู้ว่าเย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว แล้วก็ยังมีสภาพคิดนึกเรื่องราวต่างๆ น่าเบื่อไหม ฟังอย่างนี้ ไม่เห็นมีอะไร แค่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วก็เห็นได้ยินได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แต่ทำไมจึงต้อง อาศัยพระปัญญาคุณ จึงจะสามารถเข้าใจถูกต้องใน สิ่งที่กำลังมี

    เพราะว่าตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรือว่าเห็นได้ยินได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เป็นแหล่ง ของความสุขหรือความทุกข์ ถ้าไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยินไม่มีการได้กลิ่น ไม่มีการลิ้มรส ไม่มีการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่มีการคิดนึก จะสุขอะไรจากไหน แต่ที่ทุกคนมีความสุขพอใจ จากสิ่งที่เห็น จากเสียงที่ได้ยิน จากกลิ่นที่กระทบจมูก จากรสต่างๆ ที่กระทบลิ้น จากการสัมผัสสิ่งที่น่าสบาย จากใจที่คิดนึกเพลิดเพลินไปในสิ่งต่างๆ เหล่านั้น นี่คือชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รู้ว่านี่คือธรรมที่พระพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ และทรงแสดง ความจริงว่า ไม่มีเรา ไม่มีตัวตน ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคลเลย มีแต่ธรรมที่เกิดขึ้น มีแต่ธรรมที่ดับไป นี่คือโลกจริงๆ เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีตา จะเห็นโลกที่กว้างใหญ่ไพศาล เป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ได้ไหม ถ้าไม่มีหู จะได้ยินเสียงดนตรี เสียงปี่เสียงกลอง เสียงชม เสียงนินทา ได้ไหม ก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ชีวิตวันหนึ่งๆ ก็คือ เห็นบ้างได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง ลิ้มรสบ้าง รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสบ้าง คิดนึกบ้าง สุขหรือทุกข์จะพ้นจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ได้ไหม วันนี้สบายดี พรุ่งนี้เป็นโรคร้ายแรง ทุกข์นั้นมาทางไหน ถ้าไม่มีกาย จะมีโรคต่างๆ ได้ไหม โรคตา เพราะมีตา โรคหู เพราะมีหู ทุกอย่าง ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ซึ่งเป็นรูปก็เป็นสิ่งซึ่งจะนำสุขหรือทุกข์มาให้ แล้วแต่ว่าเป็นสิ่งซึ่งน่าพอใจ หรือไม่น่าพอใจ

    นี่คือสิ่งที่ได้ทรงตรัสรู้ และทรงแสดง ว่าเป็น ธรรมเราจะได้เข้าใจความหมายของธรรมว่า ธรรม นี่คือทุกสิ่งทุกอย่าง ที่มีจริง แต่เมื่อมีความไม่รู้ ก็ยึดถือสภาพนั้นๆ ว่าเป็นเรา เช่น เราเห็น เราได้ยิน เราสุข เราทุกข์ แต่สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ไม่เที่ยงแม้แต่เพียงขั้นพิจารณา ทุกอย่างเมื่อวานนี้ ยังอยู่หรือเปล่า หมดไปหายไปไหน ไปตามกลับมาได้ไหม ว่าเมื่อวานนี้ ไม่ว่าจะเห็นเมื่อวานนี้ ได้ยินเมื่อวานนี้ คิดนึกเมื่อวานนี้ ตามกลับมาได้ไหม ไม่ได้เลย ขณะนี้กำลังเป็นอย่างนั้น ซึ่งพรุ่งนี้ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็ไม่เหลือ แต่ว่าแท้ที่จริงแล้ว แม้แต่ขณะที่กำลังฟัง แต่ละคำ ก็มีธาตุรู้ที่ได้ยินเสียง ธาตุรู้ที่คิดนึก แล้วก็ดับไปอยู่ตลอดเวลา

    เพราะฉะนั้น ถ้าเราศึกษาธรรมเราก็จะมีปัญญา ที่เห็นถูกต้องตามความเป็นจริง แล้วก็สามารถที่จะเข้าใจได้ ว่าสภาพธรรมใดเป็นสภาพธรรมที่ควรเจริญ สภาพธรรมใดเป็นสภาพธรรมที่ควรละ เพราะเหตุว่าสภาพธรรม ที่ดีงาม จะไม่นำความทุกข์มาให้เลย แต่สภาพธรรมที่ไม่ดีงาม เราอาจจะพอใจ เราอาจจะชอบ แต่ว่าไม่ได้นำความสุขที่แท้จริงมาให้ เช่น ข้อความที่ว่า โลกอันอะไรหนอดักไว้แล้ว ถูกดักหรือเปล่า นั่งอยู่ที่นี้ เห็นเมื่อกี้ไม่รู้ว่าเท่าไร ได้ยินเมื่อกี้ก็ไม่รู้ว่าเท่าไร แล้วมีอะไรดักไว้หรือเปล่า ทุกครั้งที่เห็น ไม่พ้นจากถูกดัก

    แล้วอย่างนี้จะไม่ให้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระมหากรุณาได้อย่างไร เมื่อเห็นสัตว์โลก ซึ่งไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น แต่ว่ายึดถือสภาพธรรมที่เกิด ว่าเป็นเราทุกภพทุกชาติ แล้วก็ไม่สามารถที่จะเห็นความจริงได้ เพราะฉะนั้น จึงไม่สามารถที่จะพ้นจากทุกข์ที่แท้จริง คือ ต้องเกิดอีก แล้วก็ต้องตายอีกในระหว่างที่เกิดยังไม่ตาย ก็จะมีชีวิตที่เป็นไป สุขบ้างทุกข์บ้าง มากมายมหาศาล เวลาสุขทุกคนเพลิน พอใจ ใช่ไหม แต่สุขนั้นก็ไม่เที่ยง เวลาทุกข์ยิ่งแย่ ลำบากสาหัส ทนไม่ไหว แต่ก็เป็นความจริง เพราะเหตุว่าต้องมีเหตุที่จะให้เกิด ซึ่งแต่ละคนเลือก ที่จะให้ชีวิตของแต่ละบุคคล เป็นไปตามความต้องการไม่ได้เลย ต้องแล้วแต่เหตุ

    ถ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้อง ก็สะสมเหตุที่จะนำความสุข หรืว่าความไม่เป็นทุกข์มาให้ เท่าที่จะกระทำได้ แต่ก็ยังไม่พ้นจากการที่จะต้องเกิดแล้วเกิดอีก สุขบ้าง ทุกข์บ้าง แล้วก็หนีไม่พ้นจากการเกิด แสนโกฏิกัปป์มาแล้ว แต่ถ้าได้มีความเข้าใจถูกต้อง จะค่อยๆ พ้นจากความทุกข์จนสามารถที่จะพ้นจากทุกข์ได้จริงๆ ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงหนทางไว้

    นี่ก็เข้าใจความหมายของ โลกอันอะไรหนอดักไว้แล้ว ซึ่งแม้ว่าทรงแสดงว่า ตัณหาดักไว้ ตัณหา คือความพอใจติดข้อง ถ้าไม่มีการฟัง จะไม่รู้เลยว่าขณะไหน เมื่อไร เป็นตัณหา หรือว่า เป็นโลภะ ที่ติดข้อง เพราะว่าแต่ละคน วันนี้ตื่นมา ก็เห็น ยังอยากเห็นต่อไปไหม ไม่มีใครที่จะไม่อยากเห็น เวลาที่ได้ยินก็เหมือนกัน

    วันหนึ่งๆ ก็มีแต่โลภะที่ติดข้องในสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ดักไว้รอบ ทุกขณะล้อมรอบ พ้นเมื่อไร ตั้งแต่เช้ามาจนถึงขณะนี้ พ้นบ้างหรือเปล่า พ้นเมื่อกุศลจิตเกิด ขณะนั้นโลภะไม่เกิด แต่ถ้าตราบใดที่ยังไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ก็จะเพียงแต่ละชั่ว ทำความดี แต่ว่าไม่สามารถที่จะชำระจิตให้บริสุทธิ์จากกิเลส ความเศร้าหมอง ที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลได้

    เพราะฉะนั้น ก็ทราบได้เลยว่า การอบรมเจริญธรรมในทางพระพุทธศาสนา ต้องถึงระดับที่สามารถที่จะดับกิเลสได้จริงๆ ไม่ใช่เพียงแต่ว่า รู้ว่ามีกิเลส ตั้งแต่เช้ามาจนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ ก็ถูกดักไว้หมดเลย ไม่ได้ออกไปไหนเลย ทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เดี๋ยวอยากนั่น เดี๋ยวอยากนี่ เดินไปทางโน้นทางนี้ ก็อยากทั้งวัน ใช่ไหม ก็เต็มไปด้วยสิ่งที่ดักเอาไว้ แต่ถ้ามีความเข้าใจขึ้น ก็จะสะสมธรรมฝ่ายที่จะทำให้ รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วก็เป็นธรรมนั่นเอง เป็นเรื่องยาก หรือเป็นเรื่องง่าย มีใครว่าง่ายบ้างไหม

    แต่อบรมได้ ข้อสำคัญที่สุด คือ ยังมีหวัง ตราบใดที่มีพระธรรมคำสอน ผู้ฟังพระธรรมแล้วไตร่ตรอง เกิดปัญญาของตัวเอง เพิ่มขึ้นเมื่อไรนั้นคือหนทาง แต่ก็ต้องเป็นปัญญาที่เห็นถูกต้อง ตามความเป็นจริงของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ให้รู้ให้เข้าใจได้

    ถ.ที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า เห็นง่ายไหม ดิฉันก็ยังแปลกใจ มันน่าจะเห็นง่าย เพราะมันเป็นสภาพธรรม ที่เกิดขึ้นตามความจริง

    ท่านอาจารย์ แม้แต่ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา จะง่าย หรือจะยาก

    ถ.มันยากตรงนี้เอง อีกเรื่องท่านอาจารย์ สภาพธรรมก็ปรากฏอยู่ตลอดเวลา เช่น ขณะนี้ก็มีแข็ง ก็มีเย็น หรือว่ามีเสียง แต่ว่าในการที่เราจะรู้ หรือปรากฏขึ้น มันเป็นผลของกรรม หรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ อันนั้นก็เป็นเรื่องที่เราจะศึกษาต่อไปให้เข้าใจว่า ไม่มีใครสามารถที่จะพ้นไปจากกรรมได้เลย ตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกวันก็เป็นผลของกรรมทั้งนั้นเลย ส่วนหนึ่งแล้ว อีกส่วนหนึ่งก็คือ เป็นกิเลส หลังจากที่ได้เห็น ได้ยินแล้วพวกนี้ ที่จะทำให้เกิดกรรม หรือว่าผลของกรรมข้างหน้าต่อไป

    ผู้ฟัง ถ้าเราคิดว่าเป็นเรื่องผลของกรรมแล้ว มันจะทำให้ทราบว่าเราเกิดมาหลายภพหลายชาติเลย ใช่ไหม แต่ละขณะที่เกิดขึ้น มันก็เป็นผลของกรรมในแต่ละวัน ไม่รู้ผลของกรรมเกิดขึ้นเท่าไร

    ท่านอาจารย์ ถ้าคิดถึงกว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จะตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ ได้พบพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนๆ กี่พระองค์ แต่ท่านได้ตรัสรู้แล้ว เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และบรรดาพระทั้งหลาย ก็ได้ตรัสรู้แล้ว เป็นพระอรหันต์ แล้วเรากี่พระองค์แล้ว แล้วก็ยังเป็นอย่างนี้ แล้วจะต่อไปอีกกี่พระองค์ นั่นก็เป็นเรื่องที่ความจริงก็คือ ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง ว่าง่าย หรือยาก แต่ไม่ท้อถอย ข้อสำคญที่สุดคือไม่ท้อถอย เพราะว่ามีหนทางจริงๆ แล้วก็หนทางนั้นก็คือว่า ผู้ฟังเองไตร่ตรองแล้วเกิดความเข้าใจธรรมขึ้น นั่นคือหนทาง แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรมจะใช้หนทางไม่ได้ จะเป็นปัญญาของคนอื่น แล้วก็บอกว่าเรารู้ตามปัญญานั้นไม่ได้ ต้องเป็นปัญญาของตนเอง ตั้งแต่เริ่มฟัง แล้วก็เริ่มเข้าใจขึ้น

    ผู้ฟัง มันมองไม่เห็นโลก เพราะตัณหามันดักไว้หมด

    ท่านอาจารย์ ถ้าได้ยินคำว่า เป็นธรรมแล้ว ไม่โล่งใจ หรือ

    ผู้ฟัง ก็เป็นธรรม ก็ยังเป็นแต่ตามชื่อ ตามตัวหนังสืออยู่

    ท่านอาจารย์ ก็เริ่มเข้าใจว่าเป็นธรรม จนกว่าจะประจักษ์แจ้ง

    ผู้ฟัง ความเข้าใจก็มันไม่รับว่าเป็นความจริงอย่างนั้น ทั้งๆ ที่รู้ว่าตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เราก็รู้อยู่ แต่ก็เพราะตัณหานี้แหละ มันดักไว้หมด มันดักไว้หมด ก็เลยเพลิดเพลิน ตามไปเลย เห็นก็สวยงาม ได้ยินก็เพราะไป อะไรต่ออะไร มันถูกดักไว้หมด สภาพธรรมที่เป็นจริง มันก็จริง แต่ว่ามันก็ยังจริงไม่จริง มันยังเป็นจริงแบบแบ่งรับแบ่งสู้อยู่

    ท่านอาจารย์ ก็ยังดีกว่าไม่เคยฟัง ว่าจริงคืออะไร และธรรมคืออะไร เพราะฉะนั้น การฟังในวันนี้ก็จะเป็นการสะสม

    ผู้ฟัง ก็ต้องอาศัย ฟังบ่อยๆ

    ท่านอาจารย์ ต้องสะสมปัญญา

    ผู้ฟัง พอมานึกดูอีกที อย่างสัตว์เดรัจฉาน หมู สุนัข กา ไก่ มันอยากจะเห็นหรือเปล่า มันอยากจะได้ยินหรือเปล่า มันอยากจะได้กลิ่นหรือเปล่า

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 103
    25 มี.ค. 2567