พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 909


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๙๐๙

    ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๕๗


    ผู้ฟัง วันก่อนฟังซีดีท่านอาจารย์บอกว่าการเจริญสติปัฏฐานไม่มีเจตนาซึ่งเจตนาเจตสิกเกิดกับจิตทุกดวงก็เลยสงสัยว่าที่ท่านอาจารย์บอกว่าไม่มีเจตนาในมรรคมีองค์แปดก็ไม่มีเจตนาต่างกับเจตนาเจตสิกที่เกิดกับจิตทุกดวงยังไงคะ

    ท่านอาจารย์ ทุกคำที่พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วเปลี่ยนไม่ได้ถ้ากล่าวว่าเจตนาเจตสิกเป็นสภาพที่ต้องเกิดกับจิตทุกดวงไม่มีใครสามารถที่จะไปเปลี่ยนแปลงได้เลยเพราะเหตุว่าเป็นสัจธรรมแต่ว่าเจตนาไม่ใช่มรรคมีองค์แปด มรรคมีองค์แปดก็คือสัมมาทิฏฐิหนึ่ง และสัมมาสังกัปปะได้แก่วิตกเจตสิกสัมมาวาจาสัมมากัมมันตะสัมมาอาชีวะสัมมาวายามะ และสัมมาสติสัมมาสมาธิจะเรียง หรือไม่เรียงก็ได้แต่ให้ทราบว่าทั้งแปดไม่มีเจตนาเจตสิกที่เป็นมรรคมีองค์แปดแต่ไม่ใช่ว่าเวลาที่สติเกิดแล้วก็จะมีแค่แปด หรือว่าไม่ใช่ว่าเวลาที่เป็นมรรคมีองค์แปดจะไม่มีเจตสิกอื่นเกิดร่วมด้วยเลยเจตสิกต้องเกิดตามที่จิตประเภทนั้นๆ เกิดเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลยในเมื่อเจตนาเจตสิกต้องเกิดกับจิตทุกดวงไม่ว่าจะเป็นจิตเมื่อไหร่ขณะไหนก็ต้องมีแต่ว่าเวลาที่ทรงแสดงมรรคมีองค์แปดเจตนาไม่ใช่มรรคมีองค์แปดแต่ต้องเป็นสัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้องถ้าไม่มีความเข้าใจว่าเดี๋ยวนี้เป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดงว่าการตรัสรู้ก็คือรู้สิ่งที่มีจริงซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนไม่เคยเข้าใจถูกมาก่อนว่าแท้ที่จริงสิ่งที่ปรากฏขณะนี้ไม่ใช่ว่าไม่มีแต่มีเมื่อเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไปจึงเป็นทุกขอริยสัจจ หรือทุกขลักษณะของสภาพธรรมทั้งหมดที่เกิดต้องดับไม่มีเจตนาเจตสิกที่เป็นมรรคมีองค์แปดแต่เจตนาเจตสิกผัสสเจตสิกเวทนาเจตสิกต้องเกิดกับจิตทุกดวง

    ผู้ฟัง เกี่ยวกับเรื่องของความมีกำลังของสภาพธรรมไหมคะว่าในขณะที่โลกุตตรจิตเกิดนี่คือมรรคมีองค์แปดต้องมีกำลังมากกว่าเจตนา

    ท่านอาจารย์ ทั้งหมดต้องทราบว่าพระธรรมทุกคำเพื่อให้มีความเห็นถูกต้องในสิ่งที่มีจริงๆ เพราะว่าเกิดมาแล้วถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมเลยก็จะไม่รู้อะไรเลยซักอย่างเดียวแม้แต่คำพูดก็พูดคำที่ไม่รู้จักทั้งนั้นเช่นคำว่าโลกก็พูดคำว่าจิตก็พูดทุกอย่างพูดหมดเลยแต่ว่าไม่รู้จักว่าเป็นสิ่งที่มีจริงเมื่อเกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วทำหน้าที่ของตนแล้วก็ดับไป ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นการฟังธรรมทั้งหมดเพื่อค่อยๆ เข้าใจตามความเป็นจริงว่าสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของใครไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครด้วย เพราะฉะนั้นถ้าฟังแต่ยังไม่น้อมไป หรือว่าไม่ค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่าฟังเพื่อเข้าใจถูกต้องเพราะสิ่งที่มีจริงเป็นอย่างนั้นจริงๆ เกิดแล้วดับจริงๆ ไม่ใช่เราจริงๆ ไม่ใช่ใครจริงๆ ไม่ใช่ของใครจริงๆ

    ผู้ฟัง ขออนุญาตอีกคำถามหนึ่งค่ะว่าทานกับจาคะต่างกันอย่างไรคะเพราะเหมือนเคยได้ยินว่าทานที่ประกอบด้วยจาคะ และมีทานที่ไม่ประกอบด้วยจาคะ

    ท่านอาจารย์ คุณหมอเคยให้ทานไหมคะให้อะไร

    ผู้ฟัง ให้ขนมให้ของกินกับผู้ช่วยพยาบาลพยาบาลค่ะ

    ท่านอาจารย์ แล้วหวังอะไร หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่หวังค่ะ

    ท่านอาจารย์ ไม่หวังแต่ขณะนั้นมีความเข้าใจไหมว่าสามารถสละความติดข้อง หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เข้าใจได้ค่ะ

    ท่านอาจารย์ หรือว่าเป็นอุปนิสัยที่สะสมมาที่เป็นคนที่ให้ง่ายๆ บางคนเห็นคนที่ยากไร้เขาให้ได้ทันทีเลยเขาสะสมมาที่จะเป็นอย่างนั้นในขณะนั้นแต่เขาจะมีความรู้ถูกมีความเห็นถูกไหมว่าการที่เขาได้ฟังเรื่องราวที่เกี่ยวกับการให้ และสามารถที่จะให้ได้แต่เขายังไม่ได้เข้าใจธรรมเลยเป็นเขาที่ให้ เพราะฉะนั้นจะมีความรู้สึกไหมว่าให้ทุกครั้งด้วยความเห็นที่ถูกต้องว่าเพื่อสละความติดข้องแม้ในสิ่งที่เป็นวัตถุก่อนที่จะสามารถสละความติดข้องในความเป็นเราได้เพราะว่าใครก็ตามไม่ได้สละอะไรเลยทั้งสิ้นแล้วก็ไปคิดว่าสามารถที่จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนได้เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยเพราะเหตุว่าแม้วัตถุภายนอกยังสละไม่ได้แล้วก็จะสละความคิดที่ว่านี่เป็นเราแล้วจะเห็นว่าไม่ใช่เราเป็นแต่เพียงสิ่งที่มีลักษณะอย่างนั้นที่เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นแล้วก็ดับไปนี่ยากกว่าใช่ไหม เพราะฉะนั้นทานการให้ขณะที่ให้โดยที่ว่าไม่ได้รู้ และไม่ได้คิดที่จะละกิเลสเลยคุณหมอเคยโกรธไหมคะ

    ผู้ฟัง บ่อยเลยค่ะ

    ท่านอาจารย์ บ่อยแล้วคิดที่จะไม่โกรธบ้างไหมคะ

    ผู้ฟัง ก็ตั้งแต่ฟังพระธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็คิดอยู่ตลอดค่ะ

    ท่านอาจารย์ คิดอยู่ตลอดแต่ก็ยังเกิดใช่ไหมคะ

    ผู้ฟัง ใช่ค่ะ

    ท่านอาจารย์ ยังโกรธ เพราะฉะนั้นในขณะที่โกรธมีกำลังพอที่จะเข้าใจไหมว่าขณะนั้นไม่ใช่เราเพียงแต่เป็นสิ่งที่มีลักษณะอย่างนั้นเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจอย่างนั้นสละความเป็นเราจากโกรธที่กำลังโกรธทีละเล็กทีละน้อยทีละนิดทีละหน่อยจนกว่าจะมีกำลังเพราะเหตุว่าแม้ว่าขณะนี้เราจะได้ฟังคำว่าทุกอย่างไม่ใช่เราสิ่งที่มีจริงก็มีลักษณะแต่ละหนึ่งหนทางเดียวที่จะสละความเป็นเราที่เคยยึดถือมานานก็คือว่าเมื่อเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมแต่ละหนึ่งเพิ่มขึ้นจนกระทั่งเห็นความชัดเจนว่าลักษณะนั้นเป็นเราไม่ได้เลยจนกว่าจะประจักษ์แจ้งการเกิดขึ้น และดับไปเมื่อนั้นสิ่งที่เกิดดับจะเป็นเราได้ยังไงแต่กว่าจะถึงขณะนั้นก็ให้คิดถึงสภาพของจิตสะสมความไม่รู้มานานเท่าไหร่สะสมกิเลสต่างๆ มามากเท่าไหร่เพราะไม่รู้ เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจไม่ว่าจะสละความติดข้องขณะนั้นก็มีปัญญาได้สละความโกรธกำลังโกรธขุ่นใจจริงๆ แต่พระธรรมที่ได้ฟังมาเป็นอุปนิสสยโคจรทุกครั้งที่จิตเกิดจะต้องมีสิ่งที่ปรากฏแต่เมื่อสิ่งนั้นปรากฏแล้วติดข้อง หรือเปล่าเดือดร้อน หรือเปล่า และอะไรจะคุ้มครองรักษาไม่ให้จิตประเภทนั้นๆ เกิดเพราะทุกคนรู้ว่าโลภะไม่ดีโทสะไม่ดีโมหะไม่ดีแต่ก็มีแล้วจะทำยังไงได้ เพราะฉะนั้นเมื่อฟังแล้วก็จะเห็นว่ากว่าการที่เราได้ยินได้ฟังบ่อยๆ เป็นโอกาสทำให้คิดถึงสิ่งที่ได้ฟังไตร่ตรองจนกระทั่งเห็นประโยชน์จริงๆ จนกระทั่งเมื่อสภาพธรรมใดเกิดขึ้นก็สามารถที่จะสละความเป็นเราจากสภาพธรรมนั้นตามสมควรแก่ปัจจัยจนกว่าจะถึงกาลที่สามารถจะเข้าใจลักษณะนั้นด้วยความไม่ใช่เราจนกว่าลักษณะนั้นจะปรากฏตามความเป็นจริงว่าเพียงเกิดขึ้นแล้วดับไป เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้จิตที่ไม่สะอาดเต็มไปด้วยความไม่รู้ความติดข้องเต็มไปด้วยกิเลสต่างๆ จิตนั้นไม่มีโอกาสเลยที่แม้แต่จะฟังธรรมก็ไม่เข้าใจเพราะเป็นเราที่ฟังตั้งจิตไว้ไม่ชอบเลยฟังเพื่อเราแต่ไม่ใช่ฟังเพราะรู้ว่าไม่ใช่เรา และก็ยากมากที่จะเข้าใจความจริงว่าไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นฟังเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงยิ่งขึ้นละเอียดขึ้นเพื่อที่จะได้เป็นปัจจัยที่ทำให้สามารถที่จะอารักขาเพราะว่าได้ฟังมามากว่าเป็นธรรมทั้งนั้นเลยอกุศลไม่ดีอย่างไรธรรมฝ่ายดีเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นเวลาที่อกุศลเกิดขึ้นก็สามารถที่จะแค่เพียงคิดได้ก็ยังมีบางคนบอกพออกุศลเกิดเกิดคิดได้ว่านั่นเป็นธรรมนั่นคือคิดแต่ลักษณะที่เป็นธรรมไม่ใช่ใครเลยก็ยังเข้าไม่ถึงกว่าจะมีการรู้จริงๆ ที่จะสามารถที่ทำให้จิตที่ได้ฟังเรื่องของรูปเสียงกลิ่นรสสิ่งที่กำลังปรากฏผูกพันอยู่ที่สิ่งที่ปรากฏเพื่อเข้าใจก็จะต้องเป็นอีกขั้นหนึ่ง

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์คะสรุปว่าจาคะนี่คือหมายความว่ารู้ว่าขณะที่เราให้เป็นการสละความตระหนี่ และไม่มีเรา

    ท่านอาจารย์ จาคะหมายความถึงสละนะคะ

    ผู้ฟัง อาจารย์ช่วยอธิบายว่าเราอยู่คนเดียวในโลกกับความคิดครับ

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ค่ะไม่ว่าเมื่อไรก็ตามธรรมก็ต้องเป็นธรรมถ้าไม่คิดจะมีใครไหมคะ

    ผู้ฟัง ไม่มีครับ

    ท่านอาจารย์ เพียงแค่เห็นดับแล้วไม่เป็นอะไรเลยมีสิ่งที่สามารถกระทบตาคิดดูธาตุชนิดนั้นไม่เหมือนธาตุแข็งไม่เหมือนหวานไม่เหมือนธาตุดังเป็นเสียงอะไรเลยแต่เป็นธาตุหนึ่งมีจริงกำลังกระทบกับจักขุประสาท เพราะฉะนั้นที่จะรู้ว่าอยู่คนเดียวก็คือว่าเมื่อจิตเห็นเกิดขึ้นแล้วดับไปไม่มีการคิดใดๆ เลยทั้งสิ้นจะเป็นอะไรได้แต่ทุกครั้งที่มีการเห็น และทรงแสดงไว้โดยละเอียดว่าเวลาที่เห็นสิ่งใดแล้วดับไปแล้วใจก็ยังคิดถึง และรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏจนกระทั่งมีความจำที่มั่นคงเป็นอัตตสัญญาว่าสิ่งนั้นเป็นอะไรแต่ตามความเป็นจริงจิตหนึ่งขณะเกิดขึ้นเห็นแล้วดับจะเป็นใครไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นถ้าจิตไม่คิดก็ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้นไม่ได้มีแต่คนอื่นยังมีสิ่งอื่นด้วย เพราะฉะนั้นก็ไม่ได้อยู่คนเดียวเพราะขณะใดที่คิดถึงคนหนึ่งอยู่กับคนนั้นแล้วคิดถึงอีกคนหนึ่งอยู่กับอีกคนหนึ่งไม่ใช่คนก่อนที่คิดแล้วก็อยู่ไปเรื่อยๆ กับความคิดจริงๆ แล้วถ้าเข้าใจตามความเป็นจริงถ้าไม่มีการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนเลยลองคิดดูมีแต่จิตอย่าลืมเดี๋ยวนี้มีแต่จิตเข้าถึงความหมายไหมคะมีแต่จิตไม่มีอะไรเลยจิตเกิดแล้วก็ดับขณะแรกคือขณะที่เป็นชาตินี้ หรือว่าสืบต่อจากชาติก่อนเกิดขึ้นโดยกรรมเป็นปัจจัยให้เป็นอย่างนี้แต่ยังไม่เป็นตัวคุณไพโรจน์เล็กกว่านั้นมาก และอยู่ในครรภ์แล้วก็ดับไปก็สืบต่อเป็นภวังค์จนกว่าจะมีการเห็นแล้วก็เป็นภวังค์คิดดูนะคะ เพราะฉะนั้นเวลานี้ก็มีภวังค์ก่อนได้ยินด้วย เพราะฉะนั้นก็เป็นภวังค์ก่อนจะได้ยินพอได้ยินแล้วก็เป็นภวังค์ต่อไปอีก เพราะฉะนั้นวันหนึ่งวันหนึ่งสภาพของจิตจริงๆ ก็คือจิตดำรงภพชาติโดยเป็นภวังคจิตจนกว่าจะมีการเห็นนิดหนึ่งแล้วก็เป็นภวังค์กวาระจะเป็นภวังค์เท่ากับว่าเหมือนเกิดมาแล้วก็ต้องเห็นแล้วก็เป็นภวังค์ต่อไปแล้วก็เกิดความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ และก็สะสมความติดข้องบ้างความโกรธบ้างที่เกิดขึ้นแต่ละครั้งไว้ในจิตขณะต่อๆ ไปสืบต่อไปเรื่อยๆ นี่คือความจริงของปรมัตธรรมเท่านี้เองแค่เกิดแล้วก็ดับเกิดแล้วก็ดับแล้วก็เห็นแล้วก็เกิดดับดำรงภพชาติแล้วก็ได้ยินแล้วก็เกิดดับอย่างนี้ไปในสังสารวัฏจนกว่าสามารถจะตเข้าใจจริงๆ ว่าไม่มีอะไรนอกจากปรมัตถธรรมสิ่งที่มีจริงซึ่งใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้มีธาตุรู้ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานถ้าไม่มีธาตุรู้ก็ไม่มีการเห็นการได้ยินไม่มีการคิดนึกใดๆ เลยแต่ใครก็ไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงการที่ธาตุรู้เกิดขึ้นต้องเกิดดับสืบต่อต้องเห็นต้องคิดจึงเต็มไปด้วยความไม่รู้ความจริงซึ่งขณะนี้ความจริงเป็นอย่างนั้น

    ผู้ฟัง อาจารย์อีกเรื่องหนึ่งเรื่องภวังค์ภวังค์ไม่ใช่มันมีขณะนี้ภวังค์มาตั้งแต่เรายังไม่เกิดสืบต่อมาเป็นสังสารวัฏตลอดมา

    ท่านอาจารย์ จนถึงเดี๋ยวนี้

    ผู้ฟัง จนถึงเดี๋ยวนี้ครับ

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่ต่างกับทุกๆ ขณะพื้นจิตเป็นภวังค์เกิดดับจนกว่าจะมีการเห็นขั้น และเป็นภวังค์ต่อไปการคิดนึกเรื่องสิ่งที่เห็นก็เป็นโลกทุกวันนี้ค่ะเดี๋ยวนี้จิตกำลังเป็นอย่างนี้ หรือเปล่าคะแน่นอนเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยแต่ไม่รู้เพราะว่าสืบต่อยังเร็วมากจนไม่ปรากฏลักษณะของภวังค์เลยมีแต่เห็นแล้วก็รู้ว่าเห็นเป็นอะไรมีแต่ได้ยินแล้วก็รู้เรื่องที่ได้ยินเป็นเรื่องเป็นราวไปหมดแต่ความจริงก็คือการเกิดดับสืบต่อของภวังค์เป็นพื้น และก็มีการขั้นด้วยการเห็นวาระหนึ่งการคิดการได้ยินการได้กลิ่นการลิ้มรสก็เป็นแต่วาระแล้วก็เป็นภวังค์ ภวังค์คือไม่มีอะไรเหลือเลยที่เห็นแล้วก็ดับแล้วที่ได้ยินแล้วก็ดับแล้วที่คิดเป็นเรื่องราวต่างๆ ก็ดับแล้วหมด

    อ.ธิดารัตน์ ท่านอาจารย์คะอย่างภวังค์ก็เป็นจิตเป็นสภาพรู้แต่เวลาขั้นระหว่างวิถีส่วนใหญ่เราก็จะรู้ขณะที่เป็นวิถีจิตลักษณะของภวังค์ไม่ปรากฏง่ายๆ

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไรคะ

    อ.ธิดารัตน์ เพราะภวังค์มีอารมณ์ของชาติที่แล้ว

    ท่านอาจารย์ เพราะภวังค์ไม่ได้อาศัยตาเกิดขึ้นถ้าขณะใดก็ตามที่อาศัยตามีสิ่งที่ปรากฏเป็นอารมณ์ขณะนั้นไม่ใช่ภวังค์ด้วยเหตุนี้ต้องเข้าใจเพราะหวังว่าหมายความถึงขณะที่ไม่เห็นไม่ได้ยินไม่ได้กลิ่นไมีลิ้มรสไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสไม่คิดนึกด้วยจะรู้ได้ง่ายๆ ก็คือตอนที่หลับสนิทหลับสนิทไม่มีอะไรเหลือเลยเมื่อวานนี้ทั้งวันเวลาหลับสนิทหมดไม่เหลือแต่ก่อนจะเป็นอย่างนั้นเพียงแค่เห็นชั่วขณะที่เห็นก็หมดแล้วแต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นผู้ที่ตรงทรงตรัสรู้คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุเคราะห์สัตว์โลกซึ่งไม่สามารถจะรู้ได้ด้วยตัวเองว่าแท้ที่จริงแล้วทุกขณะไม่มีอะไรเหลือเลยเป็นแต่เพียงธาตุซึ่งมีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับไป

    อ.ธิดารัตน์ ท่านอาจารย์ยกตัวอย่างหลับก็คือชัดเจนเลยหลับแล้วไม่รู้เรื่องเลยเพราะว่าไม่ได้มีอะไรปรากฎ และภวังค์ที่ขั้นระหว่างวิถีขณะที่ตื่นนี่ล่ะคะท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ถ้าเห็นไม่ดับได้ยินจะมีได้ไหม

    อ.ธิดารัตน์ ก็ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ดับแล้วจิตเป็นอะไร

    อ.ธิดารัตน์ ก็ต้องเป็นภวังค์

    ท่านอาจารย์ ก็ต้องมีภวังค์ขั้นอยู่ทุกวาระ

    อ.ธิดารัตน์ หมายถึงอันนี้เป็นการศึกษาขั้นเข้าใจนี่คะท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ การเข้าใจความจริงว่าความจริงเป็นอย่างนี้มิฉะนั้นแล้วก็ยังเป็นเราไปตลอดทุกชาติเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปตลอดทุกชาติไม่มีโอกาสที่จะได้เข้าใจจริงๆ ว่าธรรมคือเป็นสิ่งที่มีจริงชั่วคราวมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปแล้วก็ไม่กลับไม่เหลือเลยสักอย่างเดียวทุกขณะด้วยจึงใช้คำว่าขณิกมรณะทุกขณะดับหมด

    อ.ธิดารัตน์ ท่านอาจารย์คะถ้าอย่างสภาพของจิตที่ภวังค์ก็คือจิตประเภทหนึ่ง และถ้าเวลาที่ภวังค์จะปรากฏก็ต้องปรากฏโดยเหมือนกับจิตประเภทอื่นๆ ไหมคะ หรือจะมีความต่างกัน

    ท่านอาจารย์ ปรากฏกับอวิชชาได้ไหม

    อ.ธิดารัตน์ ไม่ได้ค่ะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นปรากฏกับอะไร

    อ.ธิดารัตน์ ปัญญาค่ะ

    ท่านอาจารย์ พระพุทธเจ้าตรัสสรู้ หรือเปล่าทรงแสดงธรรมให้คนอื่นรู้ตาม หรือเปล่า เพราะฉะนั้นถ้ารู้ธรรมจะต้องรู้ตามธรรมที่เป็นธรรมอย่างนี้ หรือว่าเป็นอย่างอื่น

    อ.ธิดารัตน์ ก็ต้องรู้ตามอย่างนี้ค่ะค่อยๆ เข้าใจขึ้นจนกว่าภวังค์จะปรากฏกับปัญญา

    ท่านอาจารย์ คือทุกคำที่ได้ฟังเป็นความจริงซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อมีความเข้าใจขั้นนี้ก็เป็นความจำที่มั่นคงว่าสภาพธรรมเปลี่ยนไม่ได้แต่ว่าปัญญายังไม่พอที่จะเห็นอย่างนี้เข้าใจอย่างนี้รู้อย่างนี้แต่ปัญญาที่อบรมแล้วมีไหมพระอรหันต์ดับกิเลสหมดซึ่งใครรู้บ้างว่าเพียงแค่เห็นรูปกระทบตารูปยังไม่ดับมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับสิบเจ็ดขณะอกุศลเกิดแล้วแต่พระอรหันต์ไม่มีแสดงให้เห็นปัญญาระดับไหนที่สามารถจะดับแม้อกุศลซึ่งเกิดซึ่งไม่ปรากฏว่ามี

    ผู้ฟัง กราบเรียนท่านอาจารย์ครับแม้ว่าปัญญาจะถึงขั้นการเห็นการเกิดดับแต่ทำไมจึงกล่าวว่าเป็นการเห็นการเกิดดับของนิมิตอย่างไรครับท่านอาจารย์ครับ

    ท่านอาจารย์ เห็นเกิดดับหมายความว่ายังไงคะใครเห็นเมื่อไหร่ยังไง

    ผู้ฟัง ขณะเห็นเห็นสิ่งที่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏเกิด หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เกิดครับ

    ท่านอาจารย์ แต่ไม่ประจักษ์การเกิด

    ผู้ฟัง ครับ

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นภวังค์ปรากฏกับปัญญาการเกิดจะประจักษ์ไหมว่ามีสิ่งหนึ่งเกิดต่อจากขณะที่สิ่งนั้นยังไม่ได้ปรากฏ

    ผู้ฟัง แสดงว่าขณะเห็นเห็นดับไปแล้ว

    ท่านอาจารย์ กำลังคิดทั้งนั้นเลยตามที่ได้ฟังแต่ยังไม่ประจักษ์ลักษณะหนึ่งลักษณะใดเกิดแล้วดับเลยเพียงแต่เข้าใจว่าเดี๋ยวนี้ทั้งๆ ที่เหมือนเห็นแล้วไม่ดับเลยแล้วก็ได้ยินด้วยแล้วก็คิดด้วยจำด้วยชอบด้วยไม่ชอบด้วยทั้งหมดแท้ที่จริงก็มีแต่เพียงสภาพธรรมที่เกิดแล้วดับทีละหนึ่งขณะสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้จนปรากฏว่ามีเพราะหนึ่งขณะจิตใครจะรู้แต่ว่าถ้าสิ่งนั้นเกิดดับสืบต่อก็ปรากฏรูปร่างสัณฐานคุณไชยาลองจุดธูปดอกหนึ่งดอกเดียวนะคะ แกว่งได้ไหมคะ

    ผู้ฟัง ได้ครับ

    ท่านอาจารย์ ให้เป็นรูปร่างอื่นได้ไหมถ้าทำเร็วๆ

    ผู้ฟัง ได้ครับ

    ท่านอาจารย์ มายากลทำได้ทุกอย่างนั่นมายากลยังไม่ใช่รู้เรื่องการเกิดดับของจิตเลยแต่อาศัยความเร็วก็ยังสามารถที่จะทำให้เห็นสิ่งดูเหมือนว่าทำไมเป็นอย่างนั้นได้แต่ว่าความจริงเกิดดับเร็วกว่านั้นถ้าเป็นจิตเจตสิกรูปเพราะว่าขณะที่เราดูมายากลไม่เห็นมีอะไรดับมีแต่ว่าทำไมเป็นอย่างนั้นได้นกอยู่ในหมวกหมวกเปล่าๆ อยู่ไปอยู่มานกออกมาจากหมวกได้เขามีมายากลที่ลึกลับละเอียดไปเรื่อยๆ ตามความสามารถของจิตแต่จิตเร็วกว่านั้นมากมาย เพราะฉะนั้นให้คิดดูชั่วขณะหนึ่งเพียงแค่แสงไฟที่ธูปที่จุดแล้วแกว่งเร็วๆ ยังเป็นวงกลมได้ทั้งๆ ที่มีขณะของแสงไฟเพียงขณะสั้นๆ ขณะเดียวเท่านั้นแต่ต่อกันจนเป็นวงกลมได้ เพราะฉะนั้นจิตเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้แต่พระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีตรัสรู้ถึงความเป็นพระอรหันต์ตัดสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงให้คนอื่นได้รู้ตามด้วยมิฉะนั้นเราไม่มีโอกาสจะได้ยินฟังคำจริงวาจาสัจจะแต่ว่าต้องรู้ด้วยปัญญาตามลำดับขั้น

    ผู้ฟัง ก็แสดงว่าแม้ว่าปัญญาจะเห็นการเกิดดับแต่ก็ไม่ไวเท่าการกระทำของจิตจึงเป็นนิมิต

    ท่านอาจารย์ ปัญญาก็เกิดดับด้วยอะไรไม่มีนิมิต

    ผู้ฟัง นิพานใช่ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ เท่านั้นค่ะ เพราะฉะนั้นอย่างอื่นเป็นนิมิตของสิ่งที่มีไม่จำเป็นต้องไปคิดถึงไกลมากแต่ว่าเข้าใจสิ่งที่กำลังฟังทีละเล็กทีละน้อยเพิ่มขึ้นแล้วค่อยๆ ละคลายการยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงแม้ขั้นฟัง

    ผู้ฟัง อาจารย์ครับภวังคจิตมีกิจดำรงภพชาติอย่างเดียวใช่ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าจิตเกิดขึ้นต้องทำกิจหนึ่งกิจใดจะทำหลายๆ กิจไม่ได้ถ้าจิตเห็นขณะนี้เกิดเห็นแล้วดับจะไปทำกิจอื่นไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นจิตที่เกิดต่อจากปฏิสนธิคือจิตขณะแรกของชาตินี้จิตทุกขณะต้องดับปฎิสนธิจิตก็ดับแต่กรรมก็ทำให้จิตประเภทเดียวกันนั้นเกิดสืบต่อไม่เกิดสืบต่อไม่ได้เลยเว้นจุติจิตของพระอรหันต์เท่านั้นซึ่งเมื่อดับแล้วไม่มีจิตอื่นเกิดสืบต่อเลย เพราะฉะนั้นจิตใดที่เกิดต่อจากปฎิสนธิไม่ใช่จิตเห็นไม่ใช่จิตได้ยินจิตประเภทเดียวกับปฏิสนธิจิตนั่นแหละเกิดสืบต่อแต่ไม่ใช่ปฏิสนธิจิตเพราะปฎิสนธิจิตต้องเกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อนทันทีแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นภวังค์ไม่ได้เกิดต่อจากจุติจิตของชาติก่อนแต่เกิดต่อจากปฏิสนธิจิตของชาตินี้ก็ดำรงรักษาความเป็นบุคคลนี้ไว้เพื่อที่จะรับผลของกรรมในขณะที่เห็นในขณะที่ได้ยินในขณะที่ได้กลิ่นในขณะที่ลิ้มรสในขณะที่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสเท่านั้นห้าทาง

    อ.ธิดารัตน์ ท่านอาจารย์พระสูตรเมื่อวันเสาร์ก็มีการสนทนากัน และยังมีคำถามที่ท่านผู้ร่วมสนทนาฝากไว้แล้วยังไม่เข้าใจอยากทราบเรื่องของการไม่แสวงหาเขตบุญนอกศาสนานี้ค่ะท่านอาจารย์หมายความถึงว่าบุญนอกศาสนาค่ะ

    ท่านอาจารย์ มีศาสนาเดียวคำสอนเดียว หรือว่ามีหลายคำสอน

    อ.ธิดารัตน์ มีหลายคำสอนค่ะ

    ท่านอาจารย์ ก็ชัดเจนอยู่แล้ว

    อ.ธิดารัตน์ เดี๋ยวอ่านตรงนี้เลยค่ะท่านอธิบายอุบาสกสองประเภทก็จะมีทั้งอุบาสกที่ดีกับไม่ดี และก็กล่าวถึงอุบาสกที่ดีเป็นผู้ที่มีศรัทธาเป็นผู้ที่มีศีลเป็นผู้ไม่ถือมงคลตื่นข่าวเชื่อกรรมไม่เชื่อมงคลไม่แสวงหาเขตบุญภายนอกศาสนานี้ทำการสนับสนุนในศาสนานี้ก็หมายถึงว่าเราจะไม่เจริญกุศล หรือช่วยเหลือคนที่นอกศาสนาเลยเหรอคะ หรือสนับสนุนเฉพาะศาสนา

    ท่านอาจารย์ ถ้ารู้ว่าบุญคืออะไรแล้วเราจะไปแสวงหาบุญที่ไหนคือธรรมเป็นเรื่องเข้าใจไม่ใช่เป็นเรื่องที่เราพยายามจะไปคิด หรือไปนึกแต่ต้องเข้าใจจริงๆ ว่าบุญคืออะไร

    อ.ธิดารัตน์ บุญก็คือกุศล หรือความดีซึ่งก็มีหลากหลายอย่างค่ะ

    ท่านอาจารย์ เกิดเมื่อไหร่เป็นเรา หรือเปล่า

    อ.ธิดารัตน์ ไม่ใช่ค่ะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นบุญจะเจริญขึ้นได้อย่างไร

    อ.ธิดารัตน์ ด้วยความเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเมื่อเข้าใจแล้วขณะนั้นเป็นบุญยิ่งขึ้น หรือเปล่า

    อ.ธิดารัตน์ เป็นค่ะ

    ท่านอาจารย์ จะไปแสวงหาบุญที่อื่นได้ไหม

    อ.ธิดารัตน์ ก็จะไม่แสวงหาบุญที่อื่นค่ะคือท่านผู้ที่สนทนามาสนทนาด้วยมีการเกี่ยวข้องมีเพื่อนที่นับถือศาสนาอื่นยังไงเราก็ต้องมีเมตตากับเขาใช่ไหมคะท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ถ้ารู้ว่าไม่มีเราแต่มีจิตที่เป็นกุศล และอกุศลก็ง่ายใช่ไหมคะ

    อ.ธิดารัตน์ คือเราก็เมตตาเขาช่วยเหลือเขาได้

    ท่านอาจารย์ ถ้ารู้ว่าบุญคืออะไรขณะนั้นปัญญาที่เข้าใจอย่างนั้นก็ทำให้บุญเจริญขึ้นได้

    อ.ธิดารัตน์ เพราะท่านผู้ร่วมสนทนาก็กลัวจะเป็นการไปสนับสนุนศาสนาอื่น หรือเปล่าทำนองนี้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจคำว่าบุญด้วยว่าหมายความว่าอะไร

    อ.ธิดารัตน์ บุญก็คือกุศลจิตนั่นเอง


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 194
    23 ธ.ค. 2566

    ซีดีแนะนำ