พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 915


    ตอนที่ ๙๑๕

    ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๕๗


    อ.คำปั่น กราบเรียนสนทนากับท่านอาจารย์เป็นการย้ำเตือนเพื่อให้เข้าใจถึงความเป็นจริงของธรรม ต้องไม่ลืมคำแรก คือคำว่า "ธรรม" ซึ่งคำนี้ลืมไม่ได้เลยโดยตลอด ในความเป็นจริงของแม้ประโยคสั้นๆ ว่า "ต้องไม่ลืมคำว่าธรรม" จะมุ่งให้ผู้ฟังผู้ศึกษาได้เข้าใจในความเป็นจริงของอะไร ที่จะควรศึกษาควรเข้าใจในขณะนี้

    ท่านอาจารย์ เพื่อเตือนให้รู้ว่าขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ ที่ยังไม่เคยรู้ ใช้คำยาวๆ ก็ยาก ใช้คำสั้นคำเดียวว่า "ธรรม" คือสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นเวลาใช้คำว่าธรรม ไม่ใช่ไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร เมื่อใด แต่ว่าทุกคนต้องมีความเข้าใจอยู่แล้ว ว่าสิ่งที่มีจริงในภาษาไทยที่เราใช้ อีกภาษาหนึ่งใช้คำว่าธรรม เพราะฉะนั้นไม่ลืมอะไร ไม่ลืมที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้ เพราะฉะนั้นไม่ลืมว่าเป็นธรรม ต่อเมื่อได้รู้แล้วว่าธรรมคือสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้ เพราะฉะนั้นไม่เคยรู้ความจริง จึงฟังจนกว่าจะมีความเข้าใจถูกมีความเห็นถูกในสิ่งที่กำลังมีจริงๆ

    อ.คำปั่น เป็นคำที่สำคัญมาก เพราะว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ ก็ครอบคลุมสิ่งที่มีจริงทุกอย่าง ไม่ว่าจะกล่าวถึงเรื่องใดก็ไม่พ้นไปจากธรรม

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์กล่าวถึงว่า มีคนพูดถึงเรื่องร่างทรง แล้วทุกคนก็เป็นร่างทรงอยู่แล้ว แต่ว่าเป็นร่างทรงของอกุศลหรือกุศล ในเรื่องนี้จะะให้เข้าใจอย่างไร อย่างใดถือว่าเป็นร่างทรง และเป็นร่างทรงกุศลหรืออกุศล

    ท่านอาจารย์ แล้วแต่คนพูดใช่หรือไม่ ถ้าคนพูดไม่เข้าใจธรรมเลยแล้วบอกว่าร่างทรง ก็แล้วแต่ว่าคนพูดหมายความว่าอย่างไร ตามความคิดของเขา แต่ถ้าศึกษาธรรมแล้วทุกอย่างเป็นธรรม ใครจะพูดผิด พูดถูก แต่ความจริงคือธรรมต้องเป็นธรรม ใครจะใช้คำว่าร่างทรง ก็หมายความว่ารูปร่างกายไม่สามารถจะรู้อะไรได้ ไม่สามารถจะทำอะไรได้ รูปพูดได้ไหม ไม่ได้ รูปไม่รู้อะไรจริงๆ เป็นแต่เพียงลักษณะที่แข็ง เวลานี้ไม่ว่าจะกระทบส่วนไหน ส่วนที่แข็งไม่สามารถที่จะคิด หรือจะจำอะไรได้ เพราะฉะนั้น บางรูป เช่น รูปของต้นไม้ใบหญ้า จิตไม่ได้เกิดที่นั่น เพราะฉะนั้น ก็เป็นรูปที่ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ เหมือนอย่างสัตว์บุคคลซึ่งมีจิตเกิดที่รูป เพราะฉะนั้นเพียงรูปนี้ไม่มีจิตเกิด รูปนี้ก็เป็นรูปเหมือนรูปอื่นๆ ที่ไม่มีจิตเกิด แต่เมื่อรูปนี้เป็นที่เกิดของจิตเมื่อใด รูปนั้นก็สามารถที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างตามจิต แล้วแต่ว่าขณะนั้นเป็นกุศลจิตหรือเป็นอกุศลจิต รูปก็มีกายวาจาที่เป็นไปตามจิตนั้น จะใช้คำว่าร่างทรงสำหรับคนที่ใช้บ่อยๆ แต่ว่าอาจจะไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร แต่ว่าเมื่อศึกษาธรรมแล้วก็รู้ความต่างกันของนามธรรมกับรูปธรรมว่า รูปธรรมจริงๆ ส่วนที่เป็นรูปธรรมนั้นไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น ทำอะไรก็ไม่ได้ ไม่มีจิตจะลุกขึ้นยืนได้หรือไม่ รูปทั้งหลายก็ทำอะไรไม่ได้ จะเขียนหนังสือได้ไหม ก็ไม่ได้ แต่ทุกอย่างที่เป็นไปที่สามารถจะกระทำโดยร่างกายที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา ก็เพราะเหตุว่าชั่วขณะนั้นยังมีจิตเกิดที่รูปนั้น

    ผู้ฟัง หมายความว่าให้เข้าใจว่า ทุกคนคิดว่าเป็นไปอย่างไร จะทำอะไร จะไม่ทำอะไร จะโศกจะเศร้านั้น แต่ถ้าไม่มีจิตก็เหมือนศพ หรือต้นไม้ใบหญ้า

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นคนที่ยังไม่ได้ศึกษา จะคิดอย่างไร เรื่องของเขา เราก็คงไม่ต้องไปตามว่าความคิดของเขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่คนที่เข้าใจธรรมแล้วมีหรือที่จะไม่เข้าใจลักษณะของรูปธรรม ซึ่งตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าไม่ใช่สภาพรู้ แล้วก็มีจิตเกิดที่รูปนั้น เพราะฉะนั้นก็เหมือนกับมีสิ่งที่ทำให้จิตเคลื่อนไหวเป็นไปด้วยกำลังของรูปนั้น ซึ่งบางคนอาจจะเข้าใจว่าเป็นร่างทรง หรือว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เข้าไปสู่ร่างนั้น แต่ความจริงรูปนั้นก็เป็นที่เกิดของจิต เข้าใจอย่างนี้อย่างมั่นคงไม่ว่าใครจะคิดอย่างไร เราก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าถึงจะคิดอย่างไร ก็เปลี่ยนความจริงว่ารูปเป็นรูป และรูปใดที่ไม่มีจิตเกิด รูปนั้นก็ไม่สามารถที่จะเคลื่อนไหวเป็นไป เหมือนรูปของสัตว์บุคคลซึ่งเพราะมีจิตเกิดที่รูปนั้น รูปนั้นจึงสามารถที่จะกระทำสิ่งต่างๆ ได้ ไม่ว่าเราจะพูดถึงคำถามใด หรือเรื่องใดก็ตาม ถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคง เราก็จะต้องรู้ความจริงของสิ่งนั้น เช่น ถามว่าดอกไม้มีรูปร่างไหม ถ้าไม่มีรูป จะรู้หรือไม่ว่าเป็นดอกไม้ และรูปร่างของดอกแต่ละดอกมีหรือไม่ บางดอกก็กลีบใหญ่ บางดอกก็กลีบเล็ก บางดอกก็มีเกสร นี่ก็คือรูปร่างของสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้นเป็นเพียงรูปร่างต้องมีรูปร่าง ถ้าไม่มีรูปร่างจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นอะไร นี่คือการฟังทั้งหมด จากคำถามเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นการทดสอบว่าความเข้าใจ มั่นคงหรือไม่ คิดถึงเรื่องความเข้าใจ เพราะว่าส่วนใหญ่แต่พอใช้คำว่ารูปร่าง เราคิดถึงคนกับสัตว์ แต่ความจริงรูปเป็นรูปธรรม ต่างกันไปตามมหาภูตรูป ซึ่งทำให้สี หรือสิ่งที่สามารถกระทบตาปรากฎ เมื่อเห็นว่าเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ จึงจำได้ว่านี่รูปร่างคน นี่รูปร่างหญิง นั่นรูปร่างชาย นี่รูปร่างชาวต่างประเทศ หรือคนไทย ก็แล้วแต่ ทั้งหมดก็เป็นเพียงแต่รูปร่างของสภาพธรรมที่รวมกันเป็นกาย แล้วแต่ว่าขณะนั้นจะเป็นรูปร่างภูเขา ภูเขาก็ต่างกันไปอีก หรือเป็นรูปร่างของแม่น้ำ รูปร่างของท้องฟ้า ของเมฆ ของอะไรทุกอย่าง

    ผู้ฟัง ฟังปกิณกธรรม มีผู้สนทนาเรียนถามท่านอาจารย์ว่า การสะกดจิตเป็นอย่างไร ท่านอาจารย์ตอบว่าเวลาดูโทรทัศน์ หรือ ดูละครก็เหมือนกับว่า ถูกให้เราคิดว่า มีพระเอกชื่อนี้ นางเอกชื่อนี้ ทั้งๆ ที่จริงๆ ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ก็เป็นการตอบว่าจริงๆ เหมือนกับเราคิดอะไรที่ไม่ตรงความเป็นจริง ไปตามการแต่งหรือว่าการอะไรก็แล้วแต่ตรงนี้ก็เป็นการสะกดจิตแล้ว ขอเรียนถามว่าจริงๆ แล้วทุกคนเหมือนถูกสะกดจิตอยู่ตลอดเวลาแต่ว่าไม่ทราบ

    ท่านอาจารย์ ไม่จำเป็นต้องใช้คำนี้ก็ได้ ใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นชาวโลกพูดคำมากมายโดยไม่รู้ แล้วก็ใช้คำที่เขาคิดว่าเป็นอย่างนั้น แต่ว่าถ้าเข้าใจธรรมแล้วเราก็ไม่จำเป็นต้องใช้คำนั้นได้ จิตไหน จะถูกสะกด

    ผู้ฟัง เห็นแล้วก็เป็นกุศล อกุศล

    ท่านอาจารย์ ไม่มีอะไรจะมาสะกดจิตได้ แต่จิตคิดเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยที่จะคิดอย่างนั้น ก็คิดอย่างนั้นไม่ได้ ละคร หนัง ภาพยนตร์โทรทัศน์ทั้งหลายเหล่านี้ เรื่องที่มีอยู่ หรือผ่านมาเป็นปัจจัยให้คิดก็มากมายแล้วยังไม่พอ ยังให้มีสิ่งซึ่งทำให้เกิดความคิดนั้นๆ เพิ่มขึ้นมาอีก ด้วยความต้องการของตัวจิตที่ต้องการที่จะมีสิ่งนั้น รู้สิ่งนั้น เห็นสิ่งนั้น คิดสิ่งนั้น ก็แสดงให้เห็นถึงความไม่รู้มีมาก แต่เรื่องของการอบรมเจริญปัญญาความเห็นถูก ต้องเห็นถูกทุกอย่างในชีวิต เว้นไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าขณะใดก็ตามซึ่งสภาพของธาตุที่คิด หรือเห็น ที่เกิดดับสืบต่อโดยไม่รู้ความจริง และก็เข้าใจว่าเป็นเรา มีการปรุงแต่งเกิดขึ้นเป็นอย่างไร สิ่งนั้นปัญญาต้องรู้จึงจะละ นี่เป็นสิ่งซึ่งฟังธรรมเพื่อเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ไม่มีเราที่ไปเพียรที่จะพยายามที่จะไม่มีความโกรธ ไม่มีโลภะ ไม่มีอะไรเลย อยากจะเป็นอย่างนั้น อยากจะเป็นอย่างนี้ ไม่ดูหนัง ไม่ดูละคร ไม่ทำอะไรทั้งหมด นั่นคือเรา ไม่ได้รู้เลยว่าทั้งหมดแม้เวลานี้ก็ไม่ใช่เรา แต่เพราะจิตเกิดขึ้นสืบต่อมานานแสนนานตามลำดับ และเกิดแล้ว ทำให้คิดแล้ว ทำให้พูดแล้ว ทำให้เป็นอย่างนี้แล้ว เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว ไม่มีตัวเราที่จะไปทำ แต่ว่ามีสภาพธรรมที่เกิดขึ้นทำกิจการงานเพราะไม่รู้ จึงเข้าใจว่าเราจะทำ หรือเรากำลังทำ

    ผู้ฟัง ก็ให้ตรึกถึงว่าเรื่องการดูละคร บางคนก็เหมือนว่าถ้าจะไปดูละครแล้วถ้าสติเกิดระลึกรู้ถึงความติดข้อง ก็ไม่เห็นเป็นอะไร

    ท่านอาจารย์ เริ่มตั้งแต่จะไปดูละคร เหมือนเป็นเราใช่ไหม จะไปดู รู้หรือไม่ว่าคิดอย่างนั้นเพราะการสะสม คิดแล้วด้วย แล้วก็ทำแล้วด้วย ทั้งหมดก็ไม่ใช่เราเลย เพราะฉะนั้น ตราบใดที่ฟังธรรม แล้วยังไม่ถึงการที่จะรู้ความจริงว่า ทุกอย่าง ทุกขณะ เป็นธรรม ขณะนั้นก็ไม่สามารถที่จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราได้ นี่เป็นความละเอียดอย่างยิ่ง เป็นความลึกซึ้งอย่างยิ่ง เป็นความยากอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่าอวิชชาความไม่รู้ และอกุศลทั้งหลายที่สะสมมามากมายมหาศาล แล้วใครที่คิดที่จะไปละได้ทันที ถ้าไม่มีการเข้าใจ สิ่งซึ่งทำไมต้องเข้าใจ เช่น เห็นขณะนี้ ทำไมต้องเข้าใจ ก็เพราะเห็นเกิด แล้วก็ไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา แล้วก็มีการยึดมั่น อุปาทานอยู่ที่วิญญาณขันธ์คือจิตเห็นที่กำลังเห็น และก็ทรงแสดงธรรมเพื่อละอุปาทานได้ เพราะฉะนั้นอุปทานอยู่ที่ไหน ปัญญาก็ต้องรู้ตามความเป็นจริงว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมอะไร ซึ่งไม่ใช่เรา แต่ถ้าไม่รู้ว่าเป็นธรรมก็ยังคงเป็นเราอยู่

    ด้วยเหตุนี้ ไม่ใช่เพียงแต่จะไปดูหนังดูละครหรือทำอะไร แม้ขณะนี้ที่กำลังเห็นปัญญาก็ต้องรู้ความจริง เพราะฉะนั้นรู้ความจริงทุกขณะโดยรู้ว่าไม่ใช่เราที่คิดที่ทำ แต่ธรรมนั่นเองปรุงแต่งมานานแสนนานทำให้เกิดสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ทุกขณะ เพราะฉะนั้นต้องมั่นคงจริงๆ เวลานี้ก็มีสิ่งที่กำลังปรากฏอย่างที่คุณอรวรรณเพิ่งกล่าว มีอยู่ตลอดเวลาเมื่อมีเห็นเกิดขึ้น ขณะนั้นจะไม่มีอย่างอื่นเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นความรู้ที่เรียกว่า รู้รอบ รู้จริง ในสิ่งที่กำลังปรากฏ ต้องต่อเมื่อฟังเข้าใจจนมั่นคง ไม่หวัง เพราะเหตุว่า ถ้าหวังก็เนิ่นช้าไปอีก เพราะความเป็นตัวเราที่ต้องการ เพราะฉะนั้นจึงได้มีผู้ที่กล่าวว่า การฟังธรรมไม่ต้องทำอะไร เพราะทำเมื่อไหร่ก็ผิด เข้าใจขึ้นๆ และก็เป็นหน้าที่ของสภาพธรรมนั่นเอง

    อ.คำปั่น เวลาที่ได้ฟังเรื่องของอกุศลธรรมประการต่างๆ ดูเหมือนว่าจะไปติดในตัวหนังสือ ติดในตำรา แต่จริงๆ แล้วเมื่อกล่าวถึงอกุศลธรรมก็คือสิ่งที่มีจริงๆ ที่มีในชีวิตประจำวัน ซึ่งถ้าไม่ศึกษาก็จะไม่รู้ในความละเอียดเลยว่าอกุศลธรรมนั้นมีมากจริงๆ

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้มีอกุศลธรรมหรือไม่ กล่าวถึงเรื่องของอกุศลธรรมมากมาย ทั้งๆ ที่ขณะนั้นอกุศลธรรมก็เกิดทำกิจการงานแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นทั้งหมดก็คือว่าให้เข้าใจว่าสิ่งที่เรากำลังฟังเดี๋ยวนี้ ก็คือสิ่งที่กำลังมีจริงเดี๋ยวนี้ ซึ่งยากที่จะรู้ความจริงได้ เพราะว่าเคยยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดมานานมาก เพราะฉะนั้นประโยชน์ของการฟังแต่ละครั้งคือในขณะที่ฟัง เข้าใจ เพราะฉะนั้นที่จะเข้าใจได้ก็ต่อเมื่อตั้งจิตไว้ชอบ ฟังเพื่อที่จะเข้าใจจริงๆ เพราะเป็นสิ่งซึ่งมี และรู้ยาก

    เพราะฉะนั้น ในขณะที่ฟัง ก็คือในขณะที่ไม่คิดเรื่องอื่น แล้วก็ฟังคำไหนก็เข้าใจ เช่นขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้ คิดถึงเรื่องอื่นหรือไม่ มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้ ยากที่จะรู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เพราะว่าสภาพธรรมเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ เพียงจิตเกิดขึ้นหนึ่งขณะแล้วก็ดับ แต่ว่ามีคนมากมายในห้องนี้ มีสิ่งต่างๆ นอกจากคนที่มาฟังมาสนทนาธรรมกัน มีดอกไม้ มีโต๊ะ มีพัดลม มีก้อนอิฐ มีหมดทุกอย่าง แสดงให้เห็นว่าจิตเกิดดับเร็วสักเพียงใด เพียงหนึ่งขณะที่เกิด เช่น จิตเห็นเกิด จะไม่รู้ว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นอะไร แต่ว่าขณะนี้เดี๋ยวนี้ เห็นก็ยังไม่เหมือนกับว่าได้ดับไปแต่ละขณะ แล้วก็ยังมีการรู้รูปร่างสัณฐานของสิ่งต่างๆ มากมาย เหมือนพร้อมกันทันที นี่ก็แสดงถึงความยาก ความละเอียด ความเป็นจริงของธรรมว่า กว่าจะรู้ได้ ไม่ใช่ว่าเร็วอย่างที่ต้องการ แต่ฟังไปค่อยๆ เข้าใจไป แล้วก็จะเห็นการปรุงแต่งของสังขารขันธ์ที่เข้าใจจากการฟังว่า เมื่อถึงเวลาใครก็ยับยั้งไม่ให้มีการเริ่มรู้ลักษณะที่ได้ยินได้ฟังนั่นเอง เช่น เวลานี้มีแข็ง มีใครรู้ลักษณะของแข็งบ้าง หรือเพียงรู้ว่าแข็ง ทั้งๆ ที่แข็งก็มีตลอดเวลา เหมือนเห็น แล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นตลอดเวลา แล้วก็มีแข็งด้วย แต่เพียงแค่จะรู้ว่าขณะนั้นที่แข็งปรากฏเหมือนปกติที่หมดไปเร็วมากเหมือนไม่ปรากฏ หรือว่าแม้ได้ยินได้ฟังว่า เห็นเกิดดับ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดดับ แม้แข็งขณะนี้ก็เกิดดับ แต่วาระใดที่ลักษณะของแข็งปรากฏ ไม่ใช่อย่างอื่นเลย ขณะนั้นจะทำให้สามารถรู้ว่า นี่คือสิ่งที่มีจริง ซึ่งขณะนั้นกว่าจะรู้ว่าเป็นแต่เพียงลักษณะที่เกิดเป็นแข็งเท่านั้นเอง เหมือนกับสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา เกิดปรากฏให้รู้ว่าเป็นสิ่งที่สามารถเห็นได้ สิ่งนี้มีจริงๆ แล้วก็เห็นได้จริงๆ แล้วก็กำลังเห็น แต่ว่าไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยทั้งสิ้น นอกจากเป็นธาตุที่สามารถกระทบกับจักขุปสาท แล้วจิตเห็นเกิดขึ้นจึงปรากฏ

    เพราะฉะนั้น จึงไม่พ้นจากการฟังเรื่องจิต ธาตุรู้ เรื่องสิ่งที่จิตกำลังรู้ จนกว่าจะมีความเห็นถูกตามที่ได้ทรงแสดงไว้โดยละเอียดยิ่ง แต่ละเอียดเมื่อปัญญาเข้าใจ แต่จะไม่ละเอียดเลย ถ้าเพียงฟังว่า จักขุวิญญาณ จิตเห็นเกิดขึ้นรู้อะไร ก็รู้ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นเป็นอย่างนี้ หรือใช้คำว่ารูปารมณ์ เท่านี้เหมือนเข้าใจแล้ว แต่ความจริงเพียงเริ่มที่จะรู้ว่า ขณะนี้สิ่งที่มีจริงๆ ไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น ทั้งหมดที่นั่งอยู่เวลานี้ ทั้งหมดที่ปรากฏเป็นดอกไม้ เป็นอะไรๆ ก็ตาม ก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ กว่าจะรู้ความจริงว่าแท้ที่จริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างตรงตามที่ทรงแสดง เพราะฉะนั้นมีหน้าที่เดียว กิจที่ควรกระทำคือฟังธรรมให้เข้าใจ

    อ.คำปั่น กิจหน้าที่จริงๆ ที่ควรกระทำของผู้ที่เป็นชาวพุทธ ก็คือสนทนา และฟังให้มีความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริงตามธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงจำแนกแจกแจงธรรมโดยละเอียดโดยประการต่างๆ เพื่อให้เข้าใจถึงความเป็นจริงของธรรมที่ไม่ใช่เรา

    อ.อรรณพ เมื่อกล่าวถึงอกุศล ก็เป็นสภาพที่มีจริง มีปรากฏ ยังไม่ได้ถูกละ เพราะฉะนั้นในเมื่ออกุศลธรรมหรือกิเลสทั้งหลายเป็นสภาพที่มีจริง สะสม แล้วก็ปรากฏอยู่บ่อยๆ เนืองๆ ควรที่จะรู้เพื่อละตามความเป็นจริง แต่เมื่อได้ยินถึงอกุศล บางคนไม่อยากฟัง เวลาฟังธรรมว่าเขาอยากเลือกชุดบารมี เลือกชุดโสภณธรรม ไม่ค่อยจะอยากจะฟังเรื่องอกุศล เพราะอยากจะฟังอะไรที่ดีๆ ธรรมเขาคิดว่าดีๆ สบายใจ เรื่องสติ เรื่องหิริโอตตัปปะ เรื่องปัญญาก็ดี แต่อย่าลืมว่าพระองค์ท่านทรงแสดงธรรมในส่วนที่เป็นอะกุสะลาธัมมาไว้อย่างมากมายหลากหลาย เพราะฉะนั้นผู้ที่ยังมีอกุศลอยู่ก็ควรที่จะได้ฟัง และเข้าใจว่ายังมีอกุศลอยู่ เพื่อเข้าใจ เมื่อรู้แล้วก็เป็นไปในหนทางของการละ ซึ่งก็ต้องอาศัยการอบรมอีกยาวนาน

    อ.คำปั่น โดยความเป็นจริง ขณะที่ไม่รู้ความจริง ก็เป็นอกุศลแล้ว เพราะฉะนั้นในชีวิตประจำวันจะมากด้วยอกุศลพียงใด ในความเป็นจริงของธรรมประการหนึ่งก็คือ ความไม่รู้ ซึ่งทรงแสดงไว้หลายนัยมากในเรื่องของความไม่รู้ คือโมหะ คือ อวิชชา บางนัยก็ทรงแสดงว่าเป็นประธานของกิเลสของอกุศลธรรมทั้งหลาย แต่บางนัยพระองค์ก็ทรงแสดงสูงสุด คือ เพราะมีอวิชชาเป็นประธานของสังสารวัฏ ในความเป็นจริง ๒ ประการนี้ ระหว่างอวิชชาเป็นประธานของอกุศลทั้งหลาย และอวิชชาเป็นประธานของสังสารวัฏ จะมีความละเอียดอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ใครสามารถยับยั้งไม่ให้สภาพธรรมที่เกิดแล้วดับ และก็เกิดต่อไป และดับไปเรื่อยๆ ได้หรือไม่ เพราะฉะนั้นก็เห็นได้ว่าทั้งหมดที่เกิดมา แล้วก็เป็นไปทุกชาติเพราะความไม่รู้ ไม่มีอะไรยับยั้งได้ ใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าเพราะไม่รู้ใช่ไหม จึงต้องเกิด เพราะไม่รู้ใช่ไหม จึงต้องเห็น หรือเพราะรู้ ไม่รู้เลย นี่ก็แสดงอยู่แล้วว่า ทุกคำเป็นสิ่งซึ่งเราสามารถที่จะเข้าใจได้จริงๆ เพราะว่ากำลังเป็นจริงในขณะนี้ว่าเพราะไม่รู้ว่าจิตขณะนี้เกิดดับ แล้วก็ทำให้ขณะต่อไปก็เกิดดับ สืบเนื่องติดต่อกันจนไม่รู้อะไรเลย ก็ยังคงเป็นความไม่รู้ไปเรื่อยๆ เมื่อไม่รู้มาแล้วตั้งแต่ต้น ก็ไม่รู้ต่อไปอีกๆ นั่นก็คือสังสารวัฎ เพราะเหตุว่าเริ่มจากแม้เดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมจะเกิดดับอย่างไรก็ไม่รู้ ก็ต้องเป็นไปตามความไม่รู้ เพราะเหตุว่าเราไม่สามารถที่จะรู้อดีตที่นานแสนนานมาในสังสารวัฎ แต่เราก็สามารถที่จะเข้าใจเดี๋ยวนี้ว่าไม่รู้ เมื่อไม่รู้ก็เห็นอีก พอเห็นดับ ก็ได้ยินอีก ทั้งหมดก็เพราะความไม่รู้นั่นเอง

    เพราะฉะนั้น ความที่สภาพธรรมที่เกิดสืบต่อเป็นไปในสังสารวัฏ จะหมดสิ้นได้ด้วยสิ่งเดียว คือความเห็นถูก ความรู้ถูก ความเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ใช่ในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ก็ต้องเป็นเช่นนี้ไปอีก แม้ฟังธรรม ความไม่รู้ก็ยังมี เพราะเหตุว่าเริ่มฟัง และเริ่มเข้าใจเรื่องของธรรม แต่ยังไม่รู้สภาพธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งแยกกัน ทรงแสดงว่าจิตไม่ใช่เจตสิกใดๆ เลยทั้งสิ้น และเจตสิกแต่ละหนึ่งก็ไม่ใช่จิต และไม่ใช่เจตสิกอื่นใดทั้งสิ้น ต้องเป็นเฉพาะสภาพธรรมนั้นอย่างนั้น เป็นแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยตามที่ได้ทรงแสดงไว้โดยละเอียดว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมาจากความไม่รู้ ไม่ว่าจะเป็นกุศลธรรม หรืออกุศลธรรมใดๆ ทั้งสิ้น ตราบใดที่ยังมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดหมายความว่าเพราะไม่รู้จึงเกิด ไม่รู้ว่ากุศลมีเกิดขึ้น และก็ดับไป เพราะฉะนั้นก็เป็นปัจจัยให้สภาพธรรมไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศลก็ต้องเกิดดับ ตรงกับที่ทรงแสดงไว้ว่าอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารนัยนี้หมายความถึงกุศลเจตนา และอกุศลเจตนา ทั้งหมดเพราะไม่รู้ และก็เป็นความจริงด้วยว่าไม่รู้จริงๆ มิฉะนั้นจะเห็นพระกรุณาคุณ พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่ ถ้าไม่มีการทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะตรัสรู้ความจริง และทรงพระมหากรุณาแสดงความจริง ใครจะได้ยินแม้แต่คำว่าธรรม สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเดี๋ยวนี้เองเป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริง อยู่ที่ไหน ที่มหาภูตรูป แต่ว่ามหาภูตรูปเองไม่สามารถกระทบกับจักขุปสาท แต่มีธาตุหรือธรรมอีกอย่างหนึ่งซึ่งปรากฏ เห็นจริงๆ มีจริงๆ กว่าจะรู้ว่าสิ่งที่มีจริงอยู่ไหน อยู่ที่มหาภูตรูป เพราะขณะนั้นไม่ได้มีความเข้าใจในความเป็นธาตุอย่างหนึ่งอย่างใด มีแต่ความเข้าใจว่าเป็นเรา

    ในห้องนี้มีนกหรือไม่ ผีเสื้อ เทวดา แต่วันหนึ่ง ก็มี


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 194
    21 ก.พ. 2567

    ซีดีแนะนำ