พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 955


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๙๕๕

    ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ตอนที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๗


    ท่านอาจารย์ เจตสิกเกิดแล้วดับ ดีไหม

    ผู้ฟัง ไม่ดีครับ เกิดขึ้นแล้วดับไป

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ

    ผู้ฟัง ก็ไม่ดี

    ท่านอาจารย์ นี่คือตัวภาระ

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์บอกว่าที่ผมมีความทุกข์ ต้องรับผิดชอบหน้าที่อะไร เกิดมาจากตรงนี้หรือครับ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย ไม่มีคุณนิรันดร์ ไม่มีอะไรเลย ภาระใดๆ ก็ไม่มี

    อ.วิชัย การฟังธรรม ฟังเพื่อเข้าใจใช่ไหม ฉะนั้นการแสดงสิ่งเหล่านี้เพื่อให้เห็นจริงๆ ถ้าไม่มีจิตเลยขณะคิดสักครู่นี้ ถ้าไม่มีเลยไม่มีภาระ แต่ว่าขณะนั้นแม้คิดเรื่องราวคุณแม่ต่างๆ ทราบไหมว่า ขณะแม้จิตที่คิดเป็นไปขณะนั้นก็เป็นภาระ ประโยชน์ของการฟังเพื่อเข้าใจเพื่อที่จะรู้ แล้วก็มีความรู้ตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่ามีทั้งหมดนี้ เพราะว่ายังมีขันธ์อยู่ ขันธ์นั่นเองเป็นภาระ คิดเมื่อสักครู่นี้ก็เป็นภาระ แต่ว่าเราก็ไปคิดถึงเรื่องราวต่างๆ โดยที่ไม่สามารถที่จะเข้าใจถูกเลย จากการฟังสักครู่นี้ว่า อะไรที่เป็นภาระจริงๆ ฟังเรื่องภาระ จิตที่คิดเมื่อสักครู่นี้เป็นภาระหรือเปล่า ฉะนั้นฟังธรรมต้องเพื่อความเข้าใจ เรื่องราวต่างๆ ก็เป็นจิตที่คิดถึงใช่ไหม ตอนนี้ดับแล้วใช่ไหม ที่เหลือก็ดับแล้ว แต่ว่าก็มีปัจจัยให้จิตต้องเป็นไปต่อไป เพราะว่าจะห้ามการเกิดขึ้นของจิตไม่ได้เลย จิตต้องเป็นไปอย่างแน่นอน จะเห็นความเป็นภาระของจิตไหม

    ผู้ฟัง ผมจึงมาถามว่าจะวางขันธภาระได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ตัวคุณนิรันดร์จะวางใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่ครับ ใช่

    ท่านอาจารย์ ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะไม่มีคุณนิรันดร์ มีแต่ขันธ์มีแต่ธรรมซึ่งเป็นภาระคือเกิดแล้วก็ดับไป

    ผู้ฟัง ถ้าผมวางภาระไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่มีคุณนิรันดร์

    ผู้ฟัง แล้วอะไรที่จะวางภาระได้

    ท่านอาจารย์ ปัญญา

    ผู้ฟัง ปัญญา ปัญญาเกิดจากอะไร

    ท่านอาจารย์ ฟังเข้าใจ

    ผู้ฟัง ฟังเข้าใจ ถ้าไม่มีปัญญาที่เกิดจากการฟังเข้าใจ ก็ไม่สามารถที่จะวางภาระอุปาทานขันธ์ ๕ ได้

    ท่านอาจารย์ ภาระจริงๆ ก็ไม่รู้จักว่าเดี๋ยวนี้ที่เห็นก็เป็นภาระแล้ว ก็ขอเรียนให้ทราบว่า ทุกคำที่ไพเราะซาบซึ้ง เป็นคำที่มีอยู่ในพระไตรปิฎกทั้งนั้น เป็นคำที่พระผู้มีพระภาคตรัส เช่น สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา คำอื่นของคนอื่นคงไม่เพราะเช่นนี้ ไม่ว่าใครนอกจากคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว ตอนนี้ภาระหรือเปล่า ต้องเตือนบ่อยๆ ถามบ่อยๆ เพราะว่าพูดคำใดก็ตาม ก็ต้องเข้าใจคำนั้นด้วย

    อ.วิชัย ก็ดูเหมือนว่าจะหลงลืมเสมอเลย เช่น ท่านอาจารย์ว่าฟังเรื่องภาระขณะที่ฟังหรือว่าได้ยินหรือว่าขณะที่คิดเป็นภาระไหม ขณะนั้นก็เหมือนมีปัจจัยให้ระลึกได้ แต่ว่าปกติก็คือจะหลงลืม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นแต่ละคำถ้าเข้าใจก็คือเดี๋ยวนี้ แต่ว่าปัญญาของเราไม่ถึงที่จะประมวลคำทั้งหมดที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงโดยนัยต่างๆ เพราะรู้ว่าแม้สิ่งนี้มีจริง ปรากฏจริง กว่าจะค่อยๆ น้อมมาที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม เพราะมีการได้ยินได้ฟังพอที่จะขจัดอวิชชาความไม่รู้ และโลภะซึ่งหนาแน่นมาก ได้ยินสักเพียงใด แต่ก็จะรู้ว่าอวิชชายังมาก แล้วก็โลภะความติดข้องยังมากคือ ยังไม่ได้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นบุคคลนั้นรู้เองจากการฟังแล้วไตร่ตรองจะรู้ว่าเข้าใจธรรมเพียงใด

    ถ้าเข้าใจธรรมขึ้น ก็จะมีตามลำดับขั้นของปัญญาซึ่งเริ่มทำกิจด้วยความเห็นถูกความเข้าใจถูก ไม่ใช่เป็นกิจของกิเลสหรือความไม่รู้เช่นเดิม แต่ให้ทราบถึงความหนาแน่นเหนียวแน่นมากมายของอวิชชาว่าฟังเช่นนี้ ภาระก็ได้ยิน แต่ว่ายังไม่ได้เข้าใจสภาพธรรมโดยความเป็นธรรม ถึงความเข้าใจว่าธรรมทั้งหลายทั้งหมดไม่เว้นเลยเป็นอนัตตา คำนี้ไม่ว่ากี่สูตรกี่คำที่ได้ฟังพระธรรมเพื่อเข้าถึงความหมายของธรรมทั้งหลายซึ่งก็รวมถึงเดี๋ยวนี้ด้วย เพราะว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม

    อ.อรรณพ ปัญญาที่จะรู้ในความเป็นขันธ์ขณะนี้

    ท่านอาจารย์ ก็ฟัง เดี๋ยวนี้ก็มี คือสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นก็ต้องเป็นขันธ์หนึ่งขันธ์ใด เพราะมีจริงๆ เพราะฉะนั้นขันธ์หยาบขันธ์ละเอียดขันธ์ใกล้ขันธ์ไกลภายในภายนอกก็คือ หมายความถึงสิ่งที่มีจริงๆ เพราะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นขันธ์ก็คือสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้น คุณคำปั่นทบทวนความหมายของคำว่าภาระอีกครั้งหนึ่ง

    อ.คำปั่น พยัญชนะของการสนทนาในวันนี้ก็คือคำว่าภาระ โดยรากศัพท์หมายถึงว่าสภาพธรรมที่จะต้องเป็นไป สิ่งที่จะต้องบริหารให้เป็นไป ซึ่งในภารสูตรก็แสดงไว้ว่าถือขันธภาระในขณะปฏิสนธิ แล้วก็บริหารให้เป็นไปตลอด ๑๐ ปีบ้าง ๒๐ ปีบ้างจนกระทั่งตลอดชีวิต แล้วทิ้งในจุติขณะ แล้วก็ถือภาระใหม่ในปฏิสนธิขณะต่อไป เพราะฉะนั้นเมื่อกล่าวโดยความหมายของภาระ ก็คือกล่าวถึงสภาพธรรมที่ยังมีเหตุให้เกิดขึ้นเป็นไปเป็นภาระ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่เป็นได้ไหม ไม่เป็นไปได้ไหม ไม่มีทาง เพราะเหตุว่าขันธ์นั่นเองเกิดขึ้นแล้วก็เป็นไป

    อ.วิชัย ฟังเรื่องอภิสังขารภาระ พอเข้าใจที่ว่ากุศลกรรมหรือว่ากุศลเจตนาหรืออกุศลเจตนาก็ตามที่กระทำไว้แล้วนั้น ยังเป็นไปคือยังให้ผลเป็นไปอยู่ในสังสารวัฎ อันนี้ก็เหมือนจะเข้าใจนี้ แต่ว่าจะเข้าใจกับสิ่งที่กำลังมีเช่นนี้ได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างที่เกิดเป็นภาระใช่ไหม

    อ.วิชัย ครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าเกิดมาก็ต้องเป็นไปเป็นภาระแน่นอน เพราะฉะนั้นอะไรเกิดบ้าง มากมายนับไม่ถ้วน แต่ก็ได้ทรงแสดงสภาพธรรมที่เกิดที่เป็นภาระอีกด้วยนอกจากขันธภาระ เพราะเหตุว่าทุกอย่างไม่พ้นจากเป็นขันธภาระใช่ไหม เป็นสิ่งซึ่งมีเกิดขึ้นต้องเป็นไป ยับยั้งไม่ได้เลย ใครจะบอกว่าไม่อยากเกิดอีกแล้ว พูดไปเถอะ ยับยั้งไม่ให้เกิดไม่ได้ เพราะเหตุว่ามีเหตุที่จะต้องเกิด เมื่อสักครู่นี้ดับแล้วก็เกิด มีสิ่งที่เกิดอีกตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็ดับไป แล้วก็เกิดอีกยับยั้งไม่ได้เลย เป็นขันธภาระ เพราะฉะนั้นกล่าวโดยกว้างที่สุดก็คือว่า ทุกอย่างที่เกิดมีขึ้นเป็นไปเป็นภาระทั้งนั้น เพราะต้องเกิดต้องเป็นไป ไม่เกิดไม่ต้องเป็นไปนั่นเองไม่ใช่ภาระ

    ด้วยเหตุนี้ในบรรดาภาระทั้งหลายคือขันธ์ทั้งหลายซึ่งเกิด และต้องเป็นไป ก็กล่าวถึงกิเลสหรือกิเลสภาระ เพราะเหตุว่าชีวิตที่เป็นไปตามธรรมดา ถ้าไม่มีกิเลสดีไหม เห็นไหม ดีกว่าแน่นอน สบายกว่าไหม แต่ก็มีขันธภาระซึ่งเป็นกิเลสภาระแล้วก็ต้องเป็นไปตามกำลังของกิเลสด้วย ภาระหนักมาก เพราะเหตุว่ากิเลสมีแต่ความติดข้องความไม่รู้ การแสวงหาไม่ว่าจะทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ ชีวิตในวันหนึ่งวันหนึ่งมากด้วยกิเลสภาระ ถ้ากิเลสน้อยลง ภาระน้อยลงไหม ภาระก็น้อยลง

    เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นถึงในบรรดาขันธภาระ กิเลสภาระเป็นภาระหนักหนักมาก ไม่รู้เลยคิดว่าสบายดีสนุกดี แต่ว่าความจริงทั้งหมดก็คือว่าเป็นกิเลสภาระ ซึ่งเมื่อมีกิเลสแล้ว ก็มีเจตนาความจงใจ ซึ่งลำพังกิเลสแต่ไม่มีเจตนาที่จะกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ผลนั้นก็ไม่เกิด มีแต่การสะสมความยินดีพอใจ แต่กิเลสก็เป็นขันธภาระเป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิด แต่เกิดเป็นกิเลส เพราะฉะนั้นกิเลสก็เป็นกิเลสภาระ ส่วนขันธภาระซึ่งเกิดขึ้นเป็นความจงใจก็มี ห้ามไม่ให้มีเจตนา ห้ามไม่ให้มีความจงใจไม่ได้เลย และความจงใจก็เป็นไปตามขันธ์อื่นๆ ซึ่งเกิดร่วมกัน เพราะเหตุว่าสังขารขันธ์ได้แก่ เจตสิก ๕๐ เพราะฉะนั้นก็มีทั้งเจตสิกฝ่ายดี และเจตสิกที่ไม่ดีพวกนี้ ก็คือว่ามีสองฝ่าย

    เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็ตาม ตราบใดที่ยังมีความจงใจที่จะกระทำย่อมนำมาซึ่งผล หยุดภาระได้ไหม ไม่ให้มีขันธ์เกิดขึ้น เพราะเหตุว่ายังมีเจตนามีความจงใจซึ่งเป็นเหตุที่จะให้เกิดผล เพราะฉะนั้นเจตนาที่เป็นอกุศลก็เป็นเหตุให้เกิดขันธ์ซึ่งเป็นวิบากซึ่งเป็นอกุศลวิบาก เกิดที่ใด ในอบายภูมิเป็นผลของอกุศลกรรมเป็นขันธ์แล้ว เป็นผลของอภิสังขารภาระแล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อมีภาระคือเจตนาซึ่งทำให้เกิดการขวนขวายกระทำกรรมดีบ้างไม่ดีบ้าง ผลก็คือว่ายังต้องมีภาระคือขันธภาระต่อไป

    เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นถึงอภิสังขารภาระ ก็คือขันธ์นั่นเอง แต่ว่ากล่าวโดยกิเลสภาระหรืออภิสังขารภาระนั่นเอง เดี๋ยวนี้มีไหม มีอะไรบ้าง มีภาระใดบ้าง ขันธภาระก็มี กิเลสภาระก็มี อภิสังขารภาระก็มี แต่ถ้ามีอภิสังขารภาระซึ่งจะทำให้เกิดผลแต่ว่าไม่เป็นภัย ทุกคนกลัวมากคือกลัวภัย เกิดมาแล้วภัยมากมายเหลือเกิน จะมีอุบัติเหตุข้าวยากหมากแพงทุกข์ภัยโรคภัยอะไรต่างๆ น้ำท่วมไฟไหม้สารพัดภัย เกิดแล้วพ้นไหม ไม่พ้น แต่ว่าถ้ายังมีขันธ์อยู่ตราบใด ก็ยังต้องมีภัย และภัยที่สำคัญก็คือว่า ทุกขันธ์เกิดเพราะเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีเหตุปัจจัย ดับเหตุปัจจัยแล้ว ภัยก็เกิดไม่ได้ ขันธ์ก็เกิดไม่ได้

    เพราะฉะนั้นถ้ากล่าวถึงภัยที่ทุกคนหวั่นเกรงมาก ไฟไหม้น้ำท่วมโจรผู้ร้ายโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ มาจากไหน เห็นไหม ก็มาจากกิเลส เพราะฉะนั้นกิเลสภาระคืออกุศลนั่นเอง ซึ่งทำให้เกิดภัยต่างๆ ทุกอย่างในพระไตรปิฏกกล่าวถึงสภาพธรรมแต่ละหนึ่งโดยละเอียดยิ่งโดยประการทั้งปวง โดยสอดคล้องกันทั้งธรรมที่เป็นเหตุเป็นผล และธรรมที่ไม่ใช่เหตุไม่ใช่ผล เพื่ออะไร เพื่อรู้ว่าเป็นธรรมซึ่งเป็นอนัตตา หัวใจทั้งหมดก็คือว่าเมื่อใดจะรู้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา เพราะธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา

    อ.วิชัย เมื่อสักครู่ท่านอาจารย์กล่าวถึงภัยหมายความว่า เมื่อยังมีกิเลสอยู่ก็เป็นเหตุให้การที่จะกระทำกรรมที่จะให้ผล ในการที่จะประสบกับสิ่งที่ไม่น่าปรารถนาที่เป็นผลของอกุศลเจตนานั้น

    ท่านอาจารย์ เป็นภัยไหม แล้วถ้าเป็นโสภณฝ่ายดี เจตสิกฝ่ายดี แล้วก็เจตนาที่จงใจในการที่จะกระทำสิ่งที่ดี เช่น ฟังธรรมขณะนี้ ก็เป็นกุศลเจตนาเป็นกุศลกรรม ไม่นำมาซึ่งโทษภัยใดๆ แต่นำมาซึ่งการเกิด เพราะฉะนั้นก็ไม่พ้นจากขันธภาระ เพราะฉะนั้นใครเป็นผู้ที่ทรงตรัสรู้สภาพธรรมทั้งหมดโดยสิ้นเชิงโดยประการทั้งปวง ทั้งอดีตทั้งอนาคตทั้งปัจจุบัน ทั้งเหตุที่จะให้เกิดภาระ และเหตุที่จะให้พ้นจากภาระ เพราะฉะนั้นผู้ที่ได้ฟังก็รู้สึกในพระปัญญาคุณพระบริสุทธิคุณพระมหากรุณาคุณ มิฉะนั้นอยู่ไปวันๆ ไม่มีโอกาสจะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีได้เลย

    ผู้ฟัง เรียนถามท่านอาจารย์ว่า หนทางก็หมายถึงความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ

    ท่านอาจารย์ โดยการฟังพระธรรม คิดเองไม่ได้

    ผู้ฟัง คือยังไม่เข้าใจอยู่นิดเดียว ตรงที่ทั้งสิ่งดี และไม่ดี ก็เป็นภาระไปหมด

    ท่านอาจารย์ ก็เกิด แล้วก็ดับ เกิดทำไม ไม่เกิดก็ได้ แต่เกิดทำไม .

    ผู้ฟัง ฟังธรรมมาหลายปี ก็ชัดเจนว่าความเข้าใจเพิ่มขึ้น แต่ว่าเป็นภาระ

    ท่านอาจารย์ ยังมีกิเลส ยังมีอภิสังขาร ยังมีขันธ์ ก็ยังมีภาระ

    อ.วิชัย ฟังต้องเข้าใจใช่ไหม ฉะนั้นหนทางที่จะละกิเลสภาระ ก็คือฟังให้เข้าใจ เพราะว่าขันธ์เกิดแล้วเป็นภาระแน่ๆ แต่การที่จะวางภาระ เพราะเหตุว่าเรายึดถือใช่ไหม ด้วยอำนาจของตัณหา ยึดถือว่าขันธ์ทั้งหมดเป็นตัวเรา แม้แต่ปัญญาเห็นไหม ยังยึดถือที่จะทำ จะสร้างจะอะไรก็แล้วแต่ ที่ให้ปัญญาเกิดซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย เพราะไม่รู้ไม่เข้าใจว่าขณะนั้นปัญญาก็เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย และเมื่อเกิดจะไม่เป็นภาระได้ไหม ก็ต้องเป็น เพราะว่ายังเกิดขึ้นเป็นไป แต่ว่าถือเอาภาระนั้นหรือเปล่า ด้วยอำนาจของตัณหาไหม ฉะนั้นบุคคลที่จะวางภาระได้ ก็ต้องเป็นพระอรหันต์ แต่ว่าหนทางคือต้องอบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้ แล้วก็ละคลายกิเลสตามลำดับขั้น

    ผู้ฟัง ที่สงสัยก็คือว่าภาระ มันจะหมดสิ้นหรือว่าหายไปเลย ยังไม่ได้มีความเชื่อขนาดนั้น

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ฟังธรรมเลยจะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้แน่นอน

    ท่านอาจารย์ ถ้าเข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้นจะเห็นไหมว่า แท้ที่จริงแล้วสิ่งนั้นไม่ใช่เรา เพียงแต่มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วดับไป จะเห็นได้ไหม ถ้าปัญญาเพิ่มขึ้นเพราะความจริงเป็นเช่นนี้

    ผู้ฟัง ก็ต้องเห็นได้

    ท่านอาจารย์ แต่ถ้าปัญญายังไม่เพิ่มขึ้น จะประจักษ์เช่นนี้ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้แน่นอน

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งนี้แม้จริงก็ต้องมีปัญญาหลายระดับที่สามารถที่จะเข้าถึงจนกระทั่งสามารถที่จะวางภาระ เพราะเหตุว่ากิเลสดับเมื่อใด อภิสังขารภาระก็หมดเมื่อนั้น จนกว่าจะถึงขันธภาระไม่เกิดอีกเลย

    อ.อรรณพ ปัญญาแม้เกิดดับ แต่ก็เป็นไปเพื่อการวางภาระ เช่น ปัญญาขณะนี้กำลังฟังธรรมเข้าใจ หรือขณะที่สติปัฎฐานเกิด ก็เป็นการที่เป็นไปเพื่อที่จะปลงภาระแต่ยังไม่ใช่เป็นผู้ที่วางภาระจริงๆ เพราะวางภาระจริงๆ คือ เป็นพระอรหันต์ แต่ก็เป็นสิ่งที่ยากยิ่งที่จะรู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นภาระอย่างไร

    อ.วิชัย สำหรับการสนทนาก็เพื่อเข้าใจถูกต้อง แม้กล่าวถึงเรื่องของภาระ และเริ่มเข้าใจว่าภาระไม่ใช่ขณะอื่นเลย แต่เป็นขณะนี้ทุกๆ ขณะที่กำลังเป็นไปเป็นภาระ แต่ว่าทั้งหมดก็ไม่ใช่ตัวตน เป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อมีปัจจัยอีกก็ต้องเกิดอีก ฉะนั้นเมื่อฟังแต่ละครั้งก็เพิ่มความรู้ความเข้าใจในแต่ละครั้ง

    อ.คำปั่น ศึกษาสนทนาฟังในสิ่งที่มีจริง เพื่อความเข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริง แล้วก็เป็นไปตามพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็จะกราบเรียนสนทนากับท่านอาจารย์ ซึ่งก็สืบเนื่องจากการสนทนาพระสูตรเมื่อวานนี้ที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึง ประโยชน์หรือว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของการที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรม ไม่ว่าจะฟังในส่วนใดของพระธรรมคำสอนทั้งหมดนั้น ก็คือเพื่อเข้าใจถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมว่าเป็นจริงแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งที่ไม่ใช่เรา การศึกษาพระธรรมที่จะไม่หลงประเด็น ไม่หลงจุดประสงค์ที่แท้จริงในการศึกษาพระธรรมนั้นควรจะเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เมื่อวานนี้ฟังธรรมเรื่องอะไร

    อ.คำปั่น เมื่อวานพูดถึงเรื่องความเห็นผิดกับความเห็นถูก

    ท่านอาจารย์ จำได้หมดไหม

    อ.คำปั่น ไม่ทั้งหมดครับ

    ท่านอาจารย์ จำไว้หรือเปล่า เห็นไหม แต่ว่าเดี๋ยวนี้เราก็มีการเห็น ระหว่างที่ฟังเมื่อวานนี้ก็เห็น วันนี้ก็เห็นต่อไป แล้วพระธรรมที่ทรงแสดงคือให้ถึงความเข้าใจถูกในลักษณะของสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นถึงจะลืมเรื่องอื่น แต่ก็ไม่ควรจะลืมว่าขณะนี้เป็นธรรม ซึ่งการฟังทั้งหมดก็เพื่อที่จะได้เข้าใจถูกเห็นถูกในลักษณะสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ เพราะว่าเมื่อวานนี้ก็หมดแล้ว เมื่อเช้านี้ก็หมดแล้ว เมื่อเช้านี้ก็เห็น แต่ก็ไม่ได้รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏให้เห็น และเห็นที่กำลังเห็น แม้ขณะนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนั้นอยู่ แม้ว่าเราจะได้ฟังพระสูตรกี่พระสูตรก็ตาม เราก็มีการเห็น แล้วก็ยังไม่รู้ลักษณะของเห็นตามความเป็นจริง นี่ก็แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่มีจริงเป็นสิ่งที่รู้ยากยิ่ง แม้ว่าจะได้ฟังบ่อยๆ แล้วๆ เล่าๆ แต่ก็ยังไม่ถึงกาลหรือเวลาที่สามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้

    เพราะฉะนั้นฟังต่อไป แต่จะฟังเป็นเพียงเรื่องเห็นเรื่องเดียว หรือว่าได้ยินได้กลิ่นลิ้มรสที่มีจริงๆ ในขณะนี้เท่านั้นไม่พอ เพราะเหตุว่าเห็นแล้วเกิดยินดีพอใจ เป็นเรื่องราวมากมายในสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แต่ละวันแต่ละภพแต่ละชาติเต็มไปด้วยเรื่องของสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทั้งนั้น แต่ก็ยังไม่รู้จักเห็นที่กำลังเห็น และไม่รู้ว่าเรื่องราวต่างๆ ในวันหนึ่งวันหนึ่งแต่ละวันแต่ละภพชาติที่เรารู้สึกว่าสำคัญมากเหลือเกิน แท้ที่จริงแล้วอยู่ไหน หายไปไหน เพียงแค่มีปรากฏให้จำให้คิด ชั่วขณะที่ปรากฏ ชั่ววันนั้น พอถึงวันอื่นก็ลืมแล้ว เหมือนเช่นเมื่อวานนี้

    ธรรมทั้งหมดที่ได้ฟัง ฟังเพื่อเข้าใจในขณะนั้นเพื่ออะไร เพื่อสะสมความเห็นถูกความเข้าใจถูกทีละเล็กทีละน้อยในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ จนกว่าสามารถที่จะเข้าใจคำแรกที่ได้ยิน สิ่งที่มีจริงสามารถจะเข้าใจถูกเห็นถูก แม้ปรากฏเพียงสั้นๆ แต่พระธรรมที่ทรงแสดงอนุเคราะห์ให้ค่อยๆ มีปัญญา ค่อยๆ เข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงว่า แท้ที่จริงแล้วสิ่งที่ปรากฏในขณะนี้เกิดแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลย สะสมไว้ เข้าใจไว้ทุกเรื่อง เพื่อที่จะรู้ได้ว่า แต่ชีวิตที่ผ่านมาของเรารู้ไม่ได้ แต่ของพระสาวกรู้ได้ เพราะทรงแสดงไว้โดยละเอียดว่า ในชาติก่อนๆ แต่ละชาติที่ได้ฟังธรรม ได้สะสมความเข้าใจในแต่ละภพมามากน้อยอย่างไร ชีวิตดำเนินไปอย่างไร แต่ทั้งหมดก็คือเพื่อที่จะได้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริง

    เพราะฉะนั้นพระสูตรต่างๆ ที่ทรงแสดงไว้ ๔๕ พรรษา เป็นเรื่องของสภาพธรรมทั้งหมด ไม่ว่าจะในกาลใด เช่น โลภะ ความติดข้องเกิดขึ้นในสิ่งที่ปรากฏทางตา เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่ปรากฏเป็นดอกไม้ ก็พอใจในสีสันของดอกไม้ แล้วก็ไปเห็นอื่นอีก ก็มีโลภะความติดข้อง เพียงแต่สิ่งที่ถูกติดข้องเปลี่ยนไป แต่ลักษณะของความติดข้องไม่เปลี่ยน แต่ก็สะสมมากขึ้นด้วย แล้วก็ทำให้ยากต่อการที่จะข้ามโอฆะของความไม่รู้ เวลาศึกษาเรื่องของอกุศล อกุศลเจตสิกมี ๑๔ แต่ก็มีประเภทต่างๆ เช่น พระผู้มีพระภาคตรัสถึงโอฆะ อะไรเป็นโอฆะบ้าง

    อ.วิชัย โอฆะ ห้วงน้ำ ทรงแสดงไว้ ๔ อย่าง มีกาโมฆะ ภโวฆะ ทิฏโฐฆะ และอวิชโชฆะ

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีไหม มีแล้วจะข้ามอย่างไร เห็นไหม แล้วโอฆะไม่เล็กน้อยเลย กว้างใหญ่ไพศาลมาก ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏทางตา ได้ยินได้ฟังว่า ขณะนี้ต้องมีเห็นแล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ก่อนที่จะเห็นเป็นดอกไม้สีสันต่างๆ สิ่งที่ปรากฏดับแล้ว แล้วเห็นก็ดับแล้ว โอฆะเพียงใด กว่าจะข้ามจากความไม่รู้ มาค่อยๆ เข้าใจถูกในสิ่งที่ปรากฏ และในสภาพรู้ที่กำลังเห็น

    เพราะฉะนั้นแต่ละคำประมาทไม่ได้เลย จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม แม้ในการฟัง ต้องละเอียดจริงๆ ต้องรู้จักตัวเองจริงๆ ต้องรู้ว่าฟังธรรมเพื่ออะไร เพื่อเข้าใจ ฟังแล้วยังไม่เข้าใจ ก็ฟังต่อไป ไม่ว่าจะโดยนัยของพระวินัย พระสูตร หรือพระอภิธรรม ก็เพื่อให้เป็นผู้ที่ตรงต่อการที่ควรที่จะได้รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ดีกว่าเกิดมาแล้วไม่รู้ แล้วก็จากโลกนี้ไป เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดงมีค่านับประมาณไม่ได้ทุกคำ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 194
    10 พ.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ