พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 943


    ตอนที่ ๙๔๓

    ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๗


    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เคยฟังธรรมเลย แล้วก็ไม่สนใจเลย จะให้เข้าใจธรรม ให้สนใจธรรมก็ยาก แต่ถ้าเคยฟังมาแล้วเห็นประโยชน์มาแล้ว เมื่อได้ยินได้ฟังรู้ว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง สามารถที่จะเข้าใจได้ ก็มีศรัทธาไม่ละทิ้งไม่ละเลย เพราะฉะนั้นขึ้นอยู่กับว่าในวันหนึ่ง วันหนึ่ง อะไรเป็นอารมณ์มาก

    ผู้ฟัง อย่างทางตาก็แน่นอน สิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหูก็คือเสียง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นพอเห็นแล้วคิดถึงสิ่งที่ปรากฏรูปร่างสัณฐานต่างๆ มานานแสนนานว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดว่าเที่ยง ซึ่งความจริงไม่เที่ยง แล้วก็เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น เวลาส่องกระจก มีใครในกระจกไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ แล้วใครที่กำลังส่องกระจก

    ผู้ฟัง ก็คือหลอก

    ท่านอาจารย์ รู้ไหมว่าหลอก เพลินไปเลยกับรูปนั้นที่ปรากฏในกระจกว่าเป็นเราใช่ไหม จากกระจกก็มาถึงโทรทัศน์ มาถึงรูปถ่าย มาถึงอะไรหลายอย่าง ขณะนั้นรู้ตามความเป็นจริงหรือเปล่าว่าคิดจึงได้เห็นว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร เพราะว่าเพียงแค่เห็นจะไม่รู้เลย ในโทรทัศน์ถ้าไม่คิดจะมีคนนั้นคนนี้ไหม พูดเช่นนั้นพูดเช่นนี้ เรื่องนั้นเรื่องนี้ แล้วจริงๆ มีหรือเปล่า เห็นไหม มีหรือเปล่า กำลังดูโทรทัศน์เป็นเรื่องราวต่างๆ เป็นคนนั้นคนนี้คล้อยตามไปหมดเลย แล้วจริงๆ มีหรือเปล่า ฉันใด เดี๋ยวนี้ก็ฉันนั้น ไม่ต่างกันเลย แต่กว่าจะรู้ได้ว่าทั้งหมดตั้งแต่เกิดมา เป็นเรื่องนั้นเรื่องนี้เพราะคิดจากสิ่งที่มีจริงๆ ที่ปรากฏให้เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ต่อเป็นเรื่องอย่างชนิดซึ่งเหมือนเป็นจริงทั้งๆ ที่พอหลับ แค่หลับไม่มีอะไรเหลือเลย เพราะฉะนั้นถ้าไม่ใช่แค่หลับ จากโลกนี้ไปทั้งหมดที่เกิดมาแล้วเหมือนสำคัญมาก ไม่เหลือเลย

    นั่นคือสาระหรือไม่ใช่สาระ ที่หลงเข้าใจว่ามีความสำคัญเช่นนั้นเช่นนี้ ชั่วขณะที่จิตคิด พอหลับก็ไม่มีแล้ว ความสำคัญอะไรๆ ก็หายไปหมด ก็เหมือนกับถูกหลอก เหมือนกับดูเงาในกระจก หรือว่าดูโทรทัศน์ หรืออะไร แต่ความจริงก็คือเดี๋ยวนี้ไม่รู้ว่าเป็นจิต และเจตสิกเท่านั้น แม้ในขณะนี้ถ้าไม่มีจิต ไม่มีเจตสิก ไม่มีเห็น ไม่มีได้ยิน ไม่มีคิด ทั้งหมดไม่ใช่เรา ไม่ว่าขณะใด ถึงไม่ใช่ดูโทรทัศน์ ถึงไม่ใช่ส่องกระจก จิตก็เกิดขึ้นทำกิจการงานไม่หยุดจากขณะหนึ่งซึ่งดับไป เป็นปัจจัยให้ขณะต่อไปเกิดสืบต่อจนกว่าจะถึงขณะสุดท้าย สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ เรื่องของชาตินี้ทั้งหมดลืมสนิท แต่ว่ามีปัจจัยที่จะทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่นโดยกรรมหนึ่ง ซึ่งไม่รู้ว่ากรรมใดจะทำให้มีใครต่อไปจากชาตินี้ ทั้งๆ ที่ชาตินี้เหมือนเป็นเรา แต่ชาติต่อไปไม่เหลือเลย เป็นอะไรใครรู้ ถ้ารู้หมายความว่าก่อนตายชาติก่อนก็ต้องรู้ว่าจะต้องเป็นคนนี้ใช่ไหม แต่ไม่มีทางเลย เพราะฉะนั้นก็กรรมทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อ เริ่มต้นใหม่ชาติใหม่ แล้วก็ต่อไปอีกเป็นแต่ละชาติแต่ละชาติไม่สิ้นสุดเลย

    เพราะฉะนั้น การได้ฟังธรรมทำให้รู้ว่าอะไรเกิด อะไรดับ อะไรตาย แล้วทั้งหมดก็เป็นแต่เพียงสิ่งที่ชั่วคราวแต่ละขณะ ตอนนี้ไม่มีโทรทัศน์ แต่ก็ยังมีคนนั้นคนนี้เหมือนเลย

    อ.อรรณพ แต่อย่างไรความยึดถือก็ต้องยึดว่า โทรทัศน์กับที่เห็นคนตอนนี้เหมือนได้เห็นคนตอนนี้จริงๆ หรือว่ากระจกก็สะท้อนมา

    ท่านอาจารย์ แต่ทั้งหมด เห็น แล้วคิดต่างหาก จึงรู้ว่านั่นโทรทัศน์ นี่ไม่ใช่โทรทัศน์แต่ต้องมีเห็น

    อ.อรรณพ เห็นเป็นธรรม แล้วเห็นเป็นปรมัตถธรรม แล้วเห็นเป็นอภิธรรม เพราะอะไร จึงเป็นทั้ง ๓ คำ

    ท่านอาจารย์ เพราะกำลังเห็นจริงๆ จะว่าไม่จริงได้ไหม สิ่งที่มีจริงไม่ต้องใช้คำว่าธรรมก็ได้

    อ.อรรณพ จึงเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ต้องเป็นธรรมแน่นอน เพราะมีจริงแน่นอน ไม่ใช้คำว่าธรรมก็มีจริงๆ

    อ.อรรณพ แล้วเป็นปรมัตถธรรมเพราะ..

    ท่านอาจารย์ ใครบังคับให้เห็นเกิดได้ไหม

    อ.อรรณพ ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ให้เห็นดับไปได้ไหม

    อ.อรรณพ เห็นเกิดตามปัจจัย แล้วก็ดับไปบังคับบัญชาไม่ได้

    ท่านอาจารย์ แล้วก็ให้เห็นเช่นที่ต้องการเห็นได้ไหม

    อ.อรรณพ ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเป็นธรรมคือสิ่งที่มีจริง ซึ่งเป็นเช่นนี้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร มีปัจจัยจึงเกิดขึ้น เกิดแล้วก็ต้องดับไป อาจจะตาบอดเดี๋ยวนี้ก็ได้ ใครจะรู้ใช่ไหม เห็นก็ไม่มีอีกต่อไป ไม่มีใครบังคับ แต่ว่ามีปัจจัยที่ทำให้ไม่เห็นอีก

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นเห็นเป็นสิ่งที่มีจริง เป็นธรรม เกิดตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา จึงเป็นปรมัตถธรรม แล้วเป็นอภิธรรมเพราะอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้เห็นเกิดรู้ไหม

    อ.อรรณพ ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ ดับรู้ไหม

    อ.อรรณพ ไม่รู้

    ท่านอาจารย์ แล้วเห็นเกิดดับจริงไหม

    อ.อรรณพ ก็จริง โดยฟังมา

    ท่านอาจารย์ อภิธรรม ลึกซึ้ง

    อ.อรรณพ จึงละเอียดลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปคิดเรื่องอื่น แม้เห็นซึ่งเป็นขณะสั้นๆ ในชีวิต เป็นสิ่งที่มีจริงเป็นธรรม เกิดตามเหตุตามปัจจัยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เป็นปรมัตถธรรม และละเอียด

    ท่านอาจารย์ แล้วฟังอีกนานเพียงใด จะรู้เช่นนี้ตามความเป็นจริง ไม่ต้องหวังไม่ต้องรอ เพราะนั่นด้วยความเป็นเรา แต่ทางเดียวที่จะเป็นเช่นนั้นได้ เพราะเข้าใจขึ้น และขณะนั้นก็มีศรัทธาด้วย

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นท่านคงไม่เบื่อที่จะฟังเรื่องเห็น เพราะในพระไตรปิฎกก็แสดงเรื่อง "เห็น" แล้วก็สภาพธรรมทางตาหูจมูกลิ้นกายใจอยู่ตลอด มิฉะนั้นท่านอาจจะกล่าวว่าพูดถึงแต่เรื่องเห็นเป็นสิ่งที่มีจริง เพราะลึกซึ้ง และไม่รู้จริงๆ

    ท่านอาจารย์ และเพราะไม่รู้มากเพียงใด คิดดูตั้งแต่เช้ามาเห็นก็เกิดดับแล้วไม่รู้ แล้วก็ยังมีการคิดนึกว่าเห็นอะไรด้วย เพราะฉะนั้นก็ไม่รู้มาทั้งหมดเลย เมื่อมีความไม่รู้เช่นนี้ จึงต้องฟังเพื่อเข้าใจขึ้น จนกว่าจะรู้จริงๆ เป็นปกติไหม ตามความเป็นจริงของธรรม ไปฝืนให้มีศรัทธามากๆ ให้มีปัญญามากๆ ก็ไม่ได้

    อ.คำปั่น เกี่ยวกับเรื่องของการศึกษาธรรม ศึกษาสิ่งที่มีจริง หลายคนหลายท่านก็จะไปติดที่คำ ได้ยินคำมามากมาย แต่บ่อยครั้งเวลาสนทนาธรรม ท่านอาจารย์ก็จะ กล่าวเพื่อให้กลับเข้ามาที่ขณะนี้ คือตั้งต้นที่ขณะนี้ว่าสิ่งที่มีจริงๆ นั้นไม่พ้นจากขณะนี้ โดยตั้งต้นที่คำว่าธรรม

    ท่านอาจารย์ เวลามีน้อยไหม ที่ทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎก ในพระสูตรคือชั่วลมหายใจเข้า และออก สั้นเพียงใด น้อยที่สุด เพราะฉะนั้นประมาทไม่ได้เลยจริงๆ ว่าจะมีชีวิต ที่จะได้ฟังพระธรรมอีกนานเพียงใด เพราะฉะนั้นที่สำคัญที่สุดประโยชน์ที่สุดก็คือขอให้เข้าใจสิ่งที่ฟัง เพราะว่าประมาทไม่ได้เลย แม้ว่าพระธรรมที่ทรงแสดงคือเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ ทุกสิ่งที่มีจริงๆ ไม่ต้องไปแสวงหาที่ใดเลย แต่เกิดมาแล้วกี่ชาติก็ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีแล้วเกิดแล้ว แต่ก็ยึดถือว่าเป็นเรา

    เพราะฉะนั้นไม่ได้พูดเรื่องอื่นเลย พูดถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ และตั้งแต่เกิด เมื่อเช้านี้ และต่อไปข้างหน้าตลอดไป ก็เป็นสิ่งที่มีโดยไม่ต้องแสวงหา เพราะเหตุว่าเกิดแล้วเพราะมีเหตุปัจจัย มีขณะใดบ้างที่ไม่เกิด มีไหม เกิดตลอด ทันทีที่จิตหนึ่งขณะดับไปจิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อไม่มีระหว่างคั่นเลย พร้อมที่จะให้ทันหรือเปล่า หรือว่าไม่ทัน หรือว่าต้องการอะไร แต่สภาพธรรมที่มีเกิดดับสืบต่อไม่ขาดสาย และการสืบต่อก็ไม่ได้ปรากฏ

    เพราะฉะนั้นฟังเพื่อเข้าใจ สะสมความเข้าใจเพื่อชำระจิตให้บริสุทธิ์ เพราะจิตไม่บริสุทธิ์จึงฟังธรรมไม่เข้าใจ โดยการที่ชาติก่อนๆ เคยเป็นอะไรมาแล้วก็ตามแต่ เหตุการณ์ที่สำคัญในชาติก่อนก็หมดไป เพราะฉะนั้นทุกขณะที่สำคัญที่สุดก็คือว่า มีสิ่งที่ปรากฏแล้วยังไม่เคยเห็นถูกเข้าใจถูกตามความเป็นจริง ก็แสนยาก เพราะเหตุว่าอะไรกั้นไว้ โลภะความติดข้อง โทสะความขุ่นเคืองใจ โมหะความไม่รู้ นี่ก็เป็นเหตุใหญ่ๆ แต่ว่าตามความเป็นจริงก็มีอีกมากมายหลายประการ ซึ่งทำให้ไม่สามารถที่จะเข้าใจสภาพธรรมในขณะนี้ตามที่ได้ฟัง เพราะว่าตามที่ได้ฟัง ทุกอย่างเดี๋ยวนี้ที่มีจริงเป็นธรรม ตามที่ได้ฟังความเข้าใจระดับใด

    เพราะฉะนั้นก็เป็นคำที่สะสมไว้ เพื่อที่จะได้รู้ว่าไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม ที่ใดก็ตาม บังคับไม่ได้เพราะเป็นอนัตตา ก็จะมีโอกาสที่การที่สะสมไว้ค่อยๆ ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากโลภะ โทสะ โมหะ พอที่จะมีการระลึกได้จำได้ว่าเคยได้ยินได้ฟังว่าขณะนี้เป็นธรรม แล้วก็ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรม เพราะฉะนั้นพระธรรมเผินไม่ได้เลย บางคนอาจจะอยากพยายามไปรู้สิ่งที่ไกลกว่านี้มาก เช่น อินทรีย์ พละ หรืออะไรต่างๆ เหล่านี้ แต่ขณะนี้โลภะ โมหะก็ไม่รู้ แล้วก็จะไปรู้สภาพธรรมซึ่งยังไม่เกิดได้อย่างไร แล้วก็จะเกิดขึ้นต่อเมื่อมีการฟัง และมีความเข้าใจโดยไม่ประมาทเลยในแต่ละคำ เช่น คำว่าทุกอย่างขณะนี้เป็นสิ่งที่มีจริง พอไหม ลึกซึ้งหรือยัง เพราะเหตุว่ายังไม่ได้บอกเลยว่าอะไรสักอย่างเดียว เพียงแค่ฟังแล้วก็ยังไม่ครบถ้วนด้วย เข้าใจว่าขณะนี้เห็นเป็นธรรม ได้ยินเป็นธรรม แล้วอื่นๆ อีก ทั้งวันทั้งหมดเป็นธรรม

    เพราะฉะนั้นกว่าจะตรงตามที่ได้ยินได้ฟังโดยไม่เคลือบแคลงไม่สงสัย แม้ในขั้นของความเข้าใจว่าไม่ว่าขณะใดเป็นธรรมทั้งนั้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้นในความลึกซึ้ง

    อ.คำปั่น แม้แต่ที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงว่าทุกอย่างเป็นธรรมก็ไม่พอ เพราะว่ายังไม่ได้รู้เลยว่าที่กล่าวถึงทุกอย่างนั้นคืออะไร เพราะฉะนั้นก็เป็นการค่อยๆ สะสมความเข้าใจจากการฟังพระธรรมไปทีละเล็กทีละน้อย ในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังก็เป็นการค่อยๆ สะสมไว้ฟังไว้ในสิ่งที่มีจริง จริงๆ

    ท่านอาจารย์ เป็นการค่อยๆ ชำระจิตให้ค่อยๆ ละคลายโลภะ ซึ่งเกิดเพราะอวิชชา เพราะทั้งวันโลภะทั้งนั้นแล้วก็อวิชชาด้วย นานๆ ก็จะมีอกุศลอื่น และกุศลอื่นเกิดสลับ

    อ.คำปั่น ก็ตามปกติของผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ นี่ก็มากมายไปด้วยกิเลส มากมายไปด้วยสิ่งที่ทำให้จิตใจเศร้าหมอง ก็กล่าวโดยประเภทก็ครบเลย โลภะ โทสะ โมหะ แต่พระธรรมก็เป็นเครื่องชำระ เป็นเครื่องอุปการะเกื้อกูลสำหรับผู้นั้นได้ แต่ที่พระองค์ทรงแสดงว่าเพราะมีโลภะ โทสะ โมหะ จึงฟังพระธรรมไม่ได้ หรือว่าไม่เข้าใจ จะมีนัยที่ละเอียดอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมก็จะไม่เข้าใจว่า ที่เรากล่าวว่าโลภะ โทสะ โมหะ เมื่อใด ขณะใด เพราะฉะนั้นด้วยความละเอียด คือรู้ว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา และทรงแสดงไว้ เช่น เห็นขณะนี้ไม่มีโลภะเกิดกับจิตเห็น ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ ไม่มีทั้งกุศล และอกุศลธรรมใดๆ เกิดกับจิตเห็น ให้รู้ตามความเป็นจริงว่าจิตเห็นต้องเป็นอย่างหนึ่ง ซึ่งต่างกับจิตอื่น แล้วก็ไม่ใช่เรา เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีจักขุปสาท หรือไม่มีสิ่งที่กระทบจักขุปสาท จิตเห็นเกิดไม่ได้ และสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ก็เกิดไม่ได้ ฟังแล้วฟังอีก แล้วก็เห็นแล้วก็เห็นอีก แต่กว่าปัญญาจะเข้าใจลักษณะของเห็น ยากไหม

    มีท่านผู้หนึ่งถามว่ามีการสนทนากันซึ่งพูดถึงว่า พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่าจิตเห็นเกิดที่ใด บุคคลนั้นฟังแล้ว พยายามที่จะหาเพื่อที่จะเข้าใจธาตุเห็น เพราะรู้ว่าธาตุเห็นเกิดที่จักขุปสาท หลายคนอาจจะไม่ได้สังเกตว่าเป็นเช่นนี้หรือเปล่า ในขณะที่ขณะนี้ก็มีเห็น แล้วจะเข้าใจเห็นได้อย่างไร เพราะฉะนั้นจากการที่ได้ยินได้ฟัง ปริยัติคือพระพุทธพจน์ ก็รู้ว่าจิตเห็นเกิดที่จักขุปสาทเท่านั้น ก็หาพยายามที่จะพบจิตเห็นตรงจักขุปสาท ผิดหรือถูก นี่คือความลึกซึ้งของธรรม ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าขณะนั้นตัวตนใช่ไหม ไม่ใช่การที่ได้ฟังแล้วเริ่มเข้าใจโดยไม่ต้องทำอะไรพิเศษเลย เพราะว่าจิตเห็นเกิดแล้วก็ดับ แต่เห็นมี

    เพราะฉะนั้นจิตเห็นเกิดแล้วดับไปก็เป็นปัจจัยให้จิตอื่นๆ เกิดซึ่งไม่ปรากฏ แต่จิตเห็นขณะนี้ปรากฏเหมือนไม่ได้ดับไปเลย เพราะฉะนั้นการที่จะเข้าใจจิตเห็นไม่ใช่ไปพยายามรู้ว่า ขณะนี้จิตเห็นเกิดที่จักขุปสาทตรงนี้ นั่นคือความเป็นตัวตน เพราะฉะนั้นกว่าจะปัญญาเห็นความละเอียดของสภาพธรรม ที่เป็นตัวตนที่เป็นความติดข้องยึดถือสภาพธรรมทั้งหมด ทั้งขันธ์ทั้ง ๕ เลย เป็นอุปาทานขันธ์ได้ ก็ต้องอาศัยความเข้าใจที่ละเอียด แล้วก็ลึกซึ้ง ซึ่งปัญญาสามารถที่จะรู้ว่าโลภะอยู่ที่ใด อวิชชาอยู่ที่นั่น

    เพราะฉะนั้นการที่จะเริ่มเข้าใจธรรม ไม่ใช่มีความเป็นตัวตน เที่ยวไปหากายวิญญาณอยู่ตรงไหน เห็นไหม ลักษณะของแข็งปรากฏตรงไหน เท่าที่ได้ฟังกายวิญญาณก็อยู่ตรงนั้น แต่ไม่ใช่มีตัวตนที่พยายามจะไปรู้ตรงนั้น แม้เพียงนิดเดียว มรรคมีองค์ ๘ ต้องเป็นความเข้าใจอย่างละเอียดจริงๆ เพราะฉะนั้นไม่ใช่เราจะพยายาม หนทางเดียวคือฟังความละเอียด และฟังความลึกซึ้งของธรรม จนกระทั่งสามารถที่จะค่อยๆ คลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนตามลำดับขั้น ให้เห็นว่าลึกซึ้งเพียงใด

    เพราะฉะนั้นที่ว่าพระธรรมที่ทรงแสดงหรือธรรมที่กำลังฟังขณะนี้ ลึกซึ้งโดยสภาพของธรรม และโดยโวหารที่ทรงแสดงคือพระธรรมเทศนา ถ้าไม่ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโดยละเอียด เราก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ ทั้งๆ ที่เห็นก็กำลังเห็น แต่พอฟังแล้ว โลภะไม่ทิ้ง ความเป็นเราไม่ทิ้ง เพราะฉะนั้นความเป็นตัวตนกำลังพยายามที่จะรู้ แม้เพียงเท่านี้ก็แสดงว่าคลาดเคลื่อนแล้วจากหนทาง ด้วยเหตุนี้ธรรมจึงลึกซึ้งอย่างยิ่ง หนทางเดียวฟังแล้วเข้าใจ ขณะนี้สภาพธรรมที่เห็นเกิดแล้วดับแล้ว เริ่มเข้าใจทีละน้อยในขณะที่เห็น ไม่ต้องไปหาตรงไหน

    อ.วิชัย ตามที่ท่านอาจารย์กล่าวว่ามีบุคคลที่ฟังเรื่องของการเห็น แล้วก็รู้ว่าเห็นเกิดที่จักขุปสาท แล้วจะรู้จิตเห็น ดังนั้นการฟังพระธรรมก็ต้องรู้ แล้วก็เข้าใจว่า จิตแต่ละประเภทก็เกิดที่ต่างๆ ความรู้ความเข้าใจที่จะเกิดขึ้น ถ้าไม่รู้ตรงลักษณะแล้วจะเข้าใจอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าฟังเรื่องจิต แล้วก็รู้ว่าจิตเห็นเกิดที่จักขุปสาท แค่นี้ไปพยายามรู้จิตเห็นที่จักขุปสาท แต่ไม่ใช่ค่อยๆ เข้าใจสภาพรู้ ซึ่งไม่จำเป็นเลยว่าจะต้องไปหาตรงไหน แต่ว่าเมื่อมีการเข้าใจลักษณะของธาตุรู้ ซึ่งต่างกับธาตุที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ สภาพธรรมเป็นปกติกับปัญญาที่รู้ตามปกติ

    อ.วิชัย หมายถึงว่าขณะที่พยายามนั้นก็ไม่ถูกใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เป็นตัวตน

    อ.วิชัย แต่ว่าต้องเข้าใจว่าเป็นเรื่องของความรู้ความเข้าใจที่ค่อยๆ รู้ขึ้น

    ท่านอาจารย์ ขณะที่กำลังพยายาม ละหรือติดข้อง

    อ.วิชัย ติดข้องแน่ๆ

    ท่านอาจารย์ ชัดเจน เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้โลภะ โลภะจะละเอียดแล้วจะแฝงอยู่เรื่อยๆ จนกว่าปัญญาคมขึ้น จึงสามารถที่จะละโลภะได้

    อ.วิชัย อีกประเด็นที่กล่าวถึงว่าไม่พึงคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว หรือสิ่งที่ยังไม่มาถึง ข้อนี้ก็ไม่ทราบว่าพระผู้มีพระภาคทรงแสดงให้เข้าใจอะไร

    ท่านอาจารย์ ให้เข้าใจความจริงตั้งแต่คำแรกคือธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แค่นี้ก็ไม่รู้ ในเทศนาลึกซึ้งไหม ทั้งหมดเพื่อให้เห็นถูกต้องว่าไม่มีตัวตนเลย เป็นแต่เพียงลักษณะของธาตุหรือธรรมซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อไม่คำนึงถึงสิ่งที่ยังไม่ปรากฏคือยังไม่เกิดขึ้น และสิ่งที่ผ่านไปแล้วก็หมดแล้วจะไปรู้ได้อย่างไร แต่เดี๋ยวนี้อะไรก็ตามที่กำลังปรากฎ สามารถที่จะค่อยๆ เริ่มเข้าใจถูกต้อง แต่ไม่ใช่พยายามจะไปแยกหรือจะไปรู้ หรือจะไปหาว่าอยู่ตรงไหน

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรมจึงต้องละเอียดมาก เพื่อเข้าใจเท่านั้นเอง และขณะที่เข้าใจก็ไม่ใช่เราด้วย แต่เข้าใจเมื่อใดก็คือว่าเพราะมีการฟัง แล้วก็ตั้งตนไว้ชอบ คือไม่ใช่เป็นเราที่ต้องการจะรู้ต้องการจะทำ แต่เข้าใจแล้วก็รู้ เพราะฉะนั้นกว่าจะถึงละ "วิเวกทัสสี" เห็นไหม เป็นผู้สงบจากอกุศล จากการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา สงัดจากที่ไม่เคยสงัดมาก่อนว่าธรรมเป็นเรา เพราะเหตุว่าเห็นก็เป็นเรา ไม่ได้สงบเลย เพราะฉะนั้นกว่าจะมีปัญญาที่เริ่มที่จะเข้าใจจริงๆ ว่าถึงขณะนั้นหรือยัง ปัญญาถึงขั้นที่จะ "วิเวกทัสสี" คือเป็นผู้ที่มีปกติ เห็นการละคลายการติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นขณะนี้กำลังยึดถือเห็นว่าเป็นเรา

    เพราะฉะนั้นเมื่อใดปัญญาจะถึงระดับที่ละคลายการยึดถือเห็นซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน ค่อยๆ รู้ขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะเห็นการสงบหรือการสงัดจากการที่เคยยึดมั่นหรือติดข้องในเห็นได้

    อ.วิชัย แม้แต่คำไม่พึงคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ถ้าบุคคลที่ไม่ได้ฟังพระธรรมเลย ไม่มีการสะสมความรู้ความเข้าใจธรรมเลย ฟังคำนี้ก็จะไม่เข้าใจเลย แต่เป็นความเข้าใจของตนเอง ก็คือห้ามไม่ให้คิดอะไร แต่ว่าบุคคลเมื่อเข้าใจแล้ว ขณะที่ฟังสามารถมีปัจจัยที่จะให้ความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่มีกำลังปรากฏนี้ได้

    ท่านอาจารย์ แล้วก็เริ่มเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ ถ้าไม่ใช่กุศลที่ประกอบด้วยปัญญา จิตไม่บริสุทธิ์ เพราะเหตุว่าสะสมอกุศลมามาก เพราะฉะนั้นถึงจะทำดี จนกระทั่งเกิดเป็นอรูปพรหมในอรูปภูมิก็เป็นเรา จึงจะรู้ว่าที่จะเป็นอย่างที่ได้เริ่มเข้าใจได้ ก็ต่อเมื่อมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งจริงๆ

    ผู้ฟัง ก็สนใจที่ท่านอาจารย์กล่าวถึงเรื่องที่ว่ามีตัวตนไปหาเห็น ที่ฟังว่าเห็นเกิดที่ตา แล้วท่านอาจารย์ก็กล่าวว่า ถ้ามีตัวตนไปหาเห็น ก็จะไม่มีทางพบ ก็จะเรียนสนทนาว่าแล้วจะพบเห็นที่ฟังว่า จริงๆ เป็นเรื่องที่แปลกมากว่า เห็นกำลังเห็นอยู่ ทุกคนมีตา ตาไม่บอดก็ต้องเห็น เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แล้วอย่างไรถึงจะเข้าใจว่าไม่ต้องไปหา แล้วจะพบด้วยอะไร

    ท่านอาจารย์ หาอย่างไรเกิดแล้วดับแล้ว มีแต่เพียงลักษณะเดี๋ยวนี้ที่ปรากฏให้รู้ได้ ให้เข้าใจได้ เห็นมี ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น แค่นี้ฟังไป ค่อยๆ เข้าใจขึ้นไม่ต้องไปหาเลย ใช่ไหม ก็กำลังเห็นจะไปหาตรงไหน แต่ว่าเข้าใจในสภาพที่ปรากฏว่า สิ่งนั้นปรากฏ ไม่ใช่สภาพรู้ แต่ถ้าไม่มีธาตุรู้หรือสภาพรู้ที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ สิ่งนั้นก็ปรากฏไม่ได้ ในขณะนั้นไม่มีสภาพธรรมอื่นเลยทั้งสิ้น ชั่วขณะที่เห็นจริงๆ มีสิ่งที่ปรากฏกับเห็นเท่านั้นในขณะนั้น เพราะฉะนั้นไม่ใช่ให้เราหรือใครไปทำอะไรเลย เข้าใจ แต่ว่าอกุศลที่สะสมมามาก ฟังแล้วอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ใช่ไหม เริ่มจะทำ จะรู้ จะหา แต่ว่าถ้าฟังแล้วเข้าใจ หมดแล้วจริงๆ แม้แต่คำว่าที่ฟังแล้วเข้าใจก็หมดแล้ว แม้แต่ความเข้าใจที่เข้าใจตามก็หมดแล้ว เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้จริงๆ ถึงแต่ละคำที่ได้ยินว่า ทุกสิ่งทุกอย่างสั้นแสนสั้นนับประมาณไม่ได้เลยว่าเร็วเพียงใด เพราะขณะนี้เหมือนไม่ดับ แต่ว่าความจริงดับอย่างเร็วแล้วก็สืบต่อ จนกระทั่งไม่รู้เลยว่าเดี๋ยวนี้ไม่ใช่ขณะก่อน

    เพราะฉะนั้นการฟังให้เข้าใจเช่นนี้ทีละเล็กละน้อย กำลังละความต้องการ กำลังละความเป็นเราที่จะทำ เพราะว่าปัญญาค่อยๆ เข้าใจถูกขึ้นว่า ขณะนี้ไม่ต้องทำอะไร ถูกไหม เกิดแล้วทั้งหมดเลย เห็นก็เกิดแล้ว ไปทำอะไร ได้ยินก็เกิดแล้ว คิดก็เกิดแล้ว ความรู้สึกต่างๆ ก็เกิดแล้ว เกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัย


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 194
    3 เม.ย. 2567

    ซีดีแนะนำ