พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 904


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๙๐๔

    ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒ มีนาคม ๒๕๕๗


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก่อนศึกษาธรรมจะใช้คำว่าปัญญาทางโลกกับปัญญาทางธรรมไม่มีความชัดเจนไม่มีแม้แต่ว่าปัญญาคืออะไรรู้อะไรแต่เมื่อศึกษาแล้วผ่านไม่ได้เพื่อที่จะได้เข้าใจได้ถูกต้องแล้วก็จะไม่พูดคำนั้นอีกเพราะเหตุว่าผิดเพราะยังไม่รู้จักโลกยังไม่รู้จักปัญญาเวลานี้รู้ว่าปัญญาคือความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริงวิชาไหนที่จะกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องราวของสิ่งที่มี และผสมกับความคิดหลายรูปแบบหลายแนวแต่ว่าเป็นสิ่งที่กำลังมีจริงๆ เดี๋ยวนี้ถ้าสามารถเข้าใจได้ก็จะเข้าใจปัญญากับโลก และก็จะไม่พูดผิด

    ผู้ฟัง ถ้าปัญญาแปลว่าความหมายคือสิ่งที่มีจริง

    ท่านอาจารย์ ขอประทานโทษนะคะ นั่นคือคำแปลปัญญาคือสภาพที่รู้ถูกเข้าใจถูกนั่นคือคำแปลแต่ตัวความเข้าใจถูกไม่ใช่เป็นไปตามคำแปลแต่เป็นลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงอย่างนั้น เพราะฉะนั้นใครจะแปลปัญญาไปว่าอย่างไรก็ตามแต่ลักษณะของปัญญาคือสภาพธรรมที่เข้าใจถูกต้องในสิ่งที่มีจริงๆ สิ่งที่มีจริงๆ คือสิ่งที่กำลังปรากฏว่ามีจริงแต่ว่าถ้าถามคนที่พูดว่าทางโลกทางธรรมบอกซิว่าโลกคืออะไรธรรมคืออะไรเมื่อพูดแล้วต้องหมายความว่าเข้าใจสิ่งที่ได้พูดเวลานี้พูดว่าโลกกับธรรม เพราะฉะนั้นโลกคืออะไรธรรมคืออะไรนี่คือต้องศึกษาพระธรรมไม่มีใครเลยที่จะยังคงไม่ศึกษา และเข้าใจว่าที่เคยคิดเคยเข้าใจนั้นถูกต้อง

    ผู้ฟัง ก็ฟังท่านอาจารย์แล้วท่านอาจารย์ก็บอกว่าฟังธรรมให้เข้าใจอันนั้นก็คือปัญญา

    ท่านอาจารย์ เท่านี้ก่อนธรรมนะคะ ธรรมคืออะไร

    ผู้ฟัง ธรรมก็คือสิ่งที่มีจริง

    ท่านอาจารย์ เหมือนๆ ที่เราพูดใช่ไหมคะหมายความฟังให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงนี่คือภาษาไทยไม่ต้องใช้คำว่าปัญญาไม่ต้องใช้คำอื่นที่เป็นภาษาบาลีปัญญากับธรรมสัจจะพวกนี้เป็นภาษาบาลีแต่ทีนี้ถ้าจะให้เข้าใจจริงๆ ก็คือว่าปัญญาคือขณะใดก็ตามที่เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงจริงทั้งหมดเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นไม่ผ่านคำนี้เลยก่อนอื่นต้องเป็นผู้ที่ตรงว่าอะไรมีจริง และถ้ามีจริงแต่ไม่รู้ขณะนั้นก็ไม่ใช่ปัญญาแม้ว่าสิ่งนั้นมีจริงๆ เพราะไม่รู้ความไม่รู้จะเป็นปัญญาไม่ได้แต่เมื่อสิ่งนั้นมีจริงๆ แล้วก็สามารถที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงลักษณะที่กำลังเข้าใจแม้เดี๋ยวนี้จะเรียกอะไรก็ตามแต่แต่นั่นคือสภาพธรรมอย่างหนึ่งซึ่งเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงถ้าจะใช้ภาษาบาลีก็คือปัญญาเข้าใจธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ

    ผู้ฟัง จากคำถามที่บอกว่าอะไรคือสิ่งที่มีจริงก็คือเห็นได้ยินได้กลิ่นลิ้มรสนี่เป็นสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นจะต้องเข้าใจสิ่งเหล่านี้

    ท่านอาจารย์ แต่ว่าไม่ใช่เพียงฟังพิจารณาเข้าใจว่าจริง หรือเปล่าตรง หรือเปล่าอะไรที่มีจริงๆ แน่นอนขณะนี้เห็นมีจริงๆ แน่นอน เพราะฉะนั้นเป็นคำจริงปัญญาที่สามารถเข้าใจเห็นเข้าใจอย่างไรเห็นเป็นเห็นเห็นจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยการที่จะสามารถรู้ความจริง และเข้าใจความจริงขณะที่เข้าใจนั้นไม่ใช่เราแต่เป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่งซึ่งเฉพาะขณะที่เข้าใจนั้นแหละเป็นสภาพธรรมนั้นขณะอื่นที่ไม่เข้าใจก็ไม่ใช่สภาพธรรมนั้นแล้ว

    ผู้ฟัง พอท่านอาจารย์บอกว่าไม่ใช่เราอันนี้ก็ลำบากนิดหน่อยเพราะส่วนใหญ่ทุกคนก็จะมีความเป็นเราอยู่จะเห็นความแตกต่างตรงนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา

    ท่านอาจารย์ ด้วยเห็นนี้จึงต้องฟังเรื่องจริงคำจริงเพื่อให้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงเราอยู่ไหนเห็นไม่ใช่เราตรงไหมคะค่อยๆ ตรงขึ้นทีละเล็กทีละน้อยค่อยๆ เป็นความเห็นถูกขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เพราะฉะนั้นก็เป็นหน้าที่ของสภาพธรรมแต่ละหนึ่งอวิชชาก็เป็นอวิชชาทำหน้าที่ของอวิชชาความเข้าใจถูกก็เป็นความเข้าใจถูกทำหน้าที่ของตนคือกำลังเข้าใจไม่ใช่เราเลยเพื่อละความไม่รู้จึงจะรู้จักพระสัมาสัมพุทธเจ้าได้เมื่อวานนี้เราพูดถึงพุทธานุสติขณะใดที่เข้าใจจะรู้เลยว่าขณะนั้นเพราะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าระลึกถึงคุณที่จากการที่เราไม่เคยเข้าใจเลยว่าสิ่งที่มีจริงขณะนี้เข้าใจได้เป็นสิ่งที่มีจริงเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยเกิดแล้วก็ดับไปหมดไปไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราเท่านี้ก็สามารถที่จะระลึกถึงพระคุณได้แล้วใช่ไหมเป็นพุทธานุสติโดยไม่ต้องไปทำอย่างอื่นเลยไม่ต้องไปนั่งท่องอะไรทั้งสิ้น

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นจากการฟังท่านอาจารย์มาแล้วก็มีความเข้าใจตามที่ท่านอาจารย์สอนมาก็จะเป็นการเจริญปัญญาอันนี้จะถูกต้องไหมครับ

    ท่านอาจารย์ ปัญญาเกิดเมื่อไหร่เกิดบ่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อยนั่นคือเจริญ

    ผู้ฟัง ครับพอเข้าใจมากขึ้นปัญญาก็จะเกิดมากขึ้น

    ท่านอาจารย์ ทำให้ปัญญาเกิดได้ไหมคะ

    ผู้ฟัง ไม่ได้ๆ

    ท่านอาจารย์ แต่ฟังแล้วเข้าใจขึ้นได้ไหมคะ

    ผู้ฟัง ได้ครับ

    ท่านอาจารย์ นั่นแหละค่ะคือจากขณะหนึ่งไปสู่อีกขณะหนึ่งค่อยๆ เพิ่มขึ้น

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์การสะสมปัญญามาที่น้อยมากอวิชชาเยอะมากยากมากที่จะรู้ว่าสิ่งที่ฟังนั้นอะไรคือจริงอะไรคือไม่จริงในตรงนี้นี่ถ้าเป็นตัวแทนผู้ใหม่จริงๆ เลยท่านอาจารย์จะกรุณายังไงคะ

    ท่านอาจารย์ ก็ต้องคิดไม่ใช่ฟังแล้วไม่คิดคิดคือพิจารณาไตร่ตรองคำที่ได้ยินว่าจริง หรือเปล่าอย่างเห็นคนใหม่ หรือคนเก่าเห็น หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ก็ถ้ามีตาทุกคนก็ต้องเห็นค่ะ

    ท่านอาจารย์ ทุกคนก็ต้องเห็น เพราะฉะนั้นก็ถามคนใหม่เห็นมีจริงไหม

    ผู้ฟัง ถ้าตรงก็ต้องบอกว่ามี

    ท่านอาจารย์ ใช่ต้องเป็นคนที่ตรงค่ะถ้าไม่ตรงจะไม่ได้สาระจากพระธรรมเลย เพราะฉะนั้นความเป็นผู้ตรงต่อความเป็นจริงสัจจะคือความจริงของสิ่งที่มีจริงก็ต้องเป็นผู้ที่ตรงต่อความจริงว่าคุณอรวรรณสมมติว่าเป็นคนที่ใหม่เอี่ยมเลยเดี๋ยวนี้เห็นไหมคะ

    ผู้ฟัง เห็นค่ะ

    ท่านอาจารย์ มีจริงๆ ไหมคะ

    ผู้ฟัง มีจริงๆ ค่ะเพราะกำลังเห็นอยู่

    ท่านอาจารย์ กำลังเห็นรู้จักเห็นไหม

    ผู้ฟัง ก็รู้ว่าเห็นเห็นอะไรเยอะแยะ

    ท่านอาจารย์ รู้จักคุณวิชัยรู้จักคุณคำปั่นแต่รู้จักเห็นไหมก็เห็นมีจริงทุกคนก็บอกว่าเห็นมีจริง และก็กำลังเห็นด้วยแล้วรู้จักเห็นไหม

    ผู้ฟัง รู้ว่าเห็นแต่ไม่รู้จักเห็น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเห็นมีจริงควรรู้จักไหม หรือว่าตลอดชีวิตที่เห็นก็ไม่รู้จักเห็นนั่นแหละไปเรื่อยๆ กี่ชาติทั้งๆ ที่เห็นมีจริงยิ่งกว่าอย่างอื่นที่เข้าใจว่าจริง เพราะฉะนั้นขึ้นอยู่กับว่ามีศรัทธาสภาพซึ่งขณะนั้นไม่มีความติดข้องไม่มีความขุ่นเคืองไม่มีความไม่รู้ และก็อยากจะไม่รู้ต่อไปซึ่งเป็นสภาพที่ต่างกันใช่ไหมคะไม่รู้แล้วรู้ได้ฟังธรรมเพื่ออะไรไม่ว่าคนใหม่คนเก่าแต่ตอนนี้สมมติว่าคุณอรวรรณเป็นคนใหม่จริงๆ จะรู้ หรือจะไม่รู้เห็นที่กำลังเห็นเห็นจริงๆ

    ผู้ฟัง ก็รู้ต้องก็ดีกว่าไม่รู้ค่ะ

    ท่านอาจารย์ ควรรู้แสดงว่าต้องมีศรัทธาที่ได้สะสมมาแล้วมีการเคยได้ยินได้ฟัง และเห็นประโยชน์ตลอดชีวิตไม่มีอะไรเลยจะเข้าใจว่าเป็นของเราสักอย่างแม้แต่เห็นก็ไม่ใช่ของเราแล้วก็ไม่ใช่เราด้วยแม้ว่าเห็นมีจริงเห็นก็เพียงเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไปพอใจที่จะเข้าใจขึ้นอีกไหมเพราะว่ามีความจริงอีกมากมายของสิ่งซึ่งมีทุกวันแต่ไม่เคยได้ยินได้ฟังแต่ละคนก็ตามอัธยาศัยบางคนก็บอกว่าเสียเวลาไม่เห็นจะพูดอะไรเลยนอกจากเรื่องเห็นทั้งๆ ที่มีเห็นแต่ก็ดูเหมือนว่าง่ายเหลือเกิน และก็ไม่มีประโยชน์แต่จะไม่ผลเห็นไปได้ไหมต้องเห็นอยู่ตลอดเกิดแล้วก็ต้องเห็น และก็ยังยึดถือเห็นว่าเป็นเราด้วยแล้วก็ยังยึดถือสิ่งที่เพียงปรากฎให้เห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งยั่งยืนผิดทั้งนั้นค่ะ เพราะฉะนั้นปัญญาคืออะไร

    ผู้ฟัง รู้ถูกเข้าใจถูกในสิ่งที่เป็นจริง

    ท่านอาจารย์ บังคับใครได้ไหมคะว่าให้ฟังธรรม

    ผู้ฟัง ไม่ได้ค่ะ

    ท่านอาจารย์ บังคับให้เห็นประโยชน์ของความเข้าใจถูกได้ไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่ได้ค่ะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นแต่ละคนก็คือแต่ละหนึ่งที่ฟังธรรมที่นี่ก็เพราะได้สะสมบุญแต่ปางก่อนบุญที่นี่คือสภาพธรรมที่ดีงามที่เห็นประโยชน์ที่ไม่ติดข้องที่รู้ว่าอะไรประเสริฐที่สุดชีวิตที่ประเสริฐที่สุดปฎิเสธไม่ได้เลยใช่ไหมคะนักปราชมีปัญญาคือความเข้าใจถูกความเห็นถูกบางคนก็บอกว่าคนที่ศึกษาธรรมไม่เห็นดีอย่างคนที่ไม่ได้ศึกษาเลยคนที่ไม่ได้ศึกษาธรรมดูจะดีกว่าความประพฤติทางกายทางวาจาความเมตตากรุณาการเสียสละต่างๆ ค้านกับพระธรรม หรือเปล่าเพราะเหตุว่าคนดีรู้ หรือเปล่าว่าดีเมื่อไหร่แล้วก็ดีแค่ไหนเพราะว่าแม้ว่าดีแต่ก็ยังไม่รู้ว่าความไม่ดีนั้นคืออะไรเมื่อไหร่ หรือรู้ใช่ไหมคะแล้วก็รู้ หรือเปล่าว่าแม้ความดี หรือความไม่ดีก็เป็นธรรมซึ่งมีจริงซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็หมดไปไม่ใช่ของใครเลยทั้งสิ้น และตราบใดที่ยังไม่รู้อย่างนี้ที่เข้าใจว่าดีดีตลอดไปไม่ได้เพราะเหตุว่าไม่ได้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงว่าแท้ที่จริงแล้วตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริงยังมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้ไม่ดีดีทั้งวันมีใครดีบ้างยังมีกิเลสอยู่ทางนั้นดีทั้งวันเป็นไปได้ไหมแค่นี้ก็รู้แล้วว่าเป็นคนดีดีแค่ไหนระดับไหนเห็นแล้วขณะนี้เห็นแล้วดี หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ถ้าติดข้อง หรือเป็นอกุศล

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ได้ศึกษาจะไม่รู้เลยว่าขณะนั้นก็ไม่ดีแล้วด้วยความไม่รู้กามาสวะ ทิฐถาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะใครรู้คะพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงคำนี้พุทธานุสติไม่ได้ระลึกถึงใครเลยแต่ละลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระมหากรุณามิฉะนั้นจะไม่มีใครมีโอกาสได้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงในขณะนี้เลยคิดกันไปเรื่อยคิดกันไปเองคิดไปต่างๆ นานาแต่ความคิดนั้นไม่ใช่ถูกต้องตามความเป็นจริงเพราะว่าไม่รู้แม้แต่ว่าคิดก็เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์คะอย่างแต่ก่อนก็น่าจะมีความทุกข์แล้วก็ต้องไปหาธรรมมาดับทุกข์แล้วทำไมถึงต้องมารู้เห็นโดยที่เหมือนกับไม่น่าจะเป็นอะไรที่น่าสนใจศึกษา หรือว่ามันน่าอัศจรรย์เป็นอะไรเป็นธรรมดาๆ ตื่นมาก็เห็นได้ยินอะไรอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ ดับทุกข์อะไรคะเป็นทุกข์อะไรจะไปหาธรรมมาดับทุกข์เนี่ยทุกข์อะไร

    ผู้ฟัง มีการพลัดพรากอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่เกิดแล้วมีดับไหม

    ผู้ฟัง จริงๆ เกิดแล้วดับ

    ท่านอาจารย์ พลัดพรากตลอดเวลา หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ค่ะ

    ท่านอาจารย์ ไม่เหรอคะกำลังพลัดพราก หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ถ้าลึกซึ้งถึงความว่าเกิดแล้วดับไม่เที่ยงก็ใช่

    ท่านอาจารย์ ใช่ เพราะฉะนั้นทุกข์อะไรไม่รู้จักทุกข์แต่เป็นทุกข์แล้วก็ไม่รู้จักทุกข์แล้วก็ไปหาธรรมที่จะดับทุกข์หาไม่เจอแน่เพราะไม่เข้าใจแต่ถ้ามีความเข้าใจค่อยๆ เข้าใจขึ้นขณะที่เข้าใจไม่เป็นทุกข์ค่ะ

    ผู้ฟัง เข้าใจคือปัญญาอยากก้าวหน้าคือโลภะ

    ท่านอาจารย์ ความจริงต้องพิจารณาว่าเพียงได้เข้าใจจะน้อยจะมากสักเท่าไหร่ก็ตามเพียงได้เข้าใจว่าขณะนี้เป็นสิ่งที่มีจริงแล้วก็ไม่ใช่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไปเห็นคุณค่าไหมคะเพียงแม้ใดเข้าใจเท่านี้ก็ประเสริฐยังมีสิ่งที่จะทำให้เข้าใจได้มากกว่านี้ยิ่งประเสริฐกว่านี้เพราะสามารถไม่ใช่เพียงฟังแต่ประจักษ์แจ้งความจริงด้วยแต่เห็นโลภะนักลวงลวงให้อยู่ในสังสารวัฏลวงทุกวันล่อด้วยรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะลวงให้ว่าเป็นสิ่งที่ยั่งยืนเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแท้ที่จริงหามีไม่เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีชั่วคราวเหมือนในฝันเพราะปรากฏแล้วหมดไปแล้วอยู่ไหนไม่เหลือเลยเพียงเข้าใจเท่านี้ก็ประเสริฐ เพราะฉะนั้นถ้ารู้คุณค่าของการเข้าใจจริงๆ จะไม่ถูกโลภะลวงอยากรู้มากกว่านี้เป็นไปได้ยังไงคะแค่นี้ก็มากแล้วที่มีโอกาสได้ฟังแล้วถ้าเข้าใจจริงๆ อย่างมั่นคงยิ่งมากขึ้นในเพียงไม่กี่คำแต่เป็นความจริงที่สามารถที่จะถึงการประจักษ์แจ้งได้ เพราะฉะนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องที่ว่าจะให้โลภะลวงต่อไปว่าอยากรู้มากกว่านี้ควรจะก้าวหน้ามากกว่านี้ฟังมาตั้งนานแล้วแต่ว่าขณะที่เพียงแม้ได้เข้าใจอย่างนี้ก็บุญแล้วประเสริฐแล้ว และก็มีโอกาสที่จะเข้าใจมากกว่านี้อีกเพราะพระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา ทุกคำมีค่าถ้าเราฟังจริงๆ เพื่อเข้าใจ และก็รู้ว่าเมื่อเข้าใจแล้วก็คือไม่ต้องมีใครมาลวงให้ไปอยาก หรือให้ไปต้องการเกินกว่านี้เพราะว่าเหตุไม่มีพอที่จะให้เข้าใจเกินกว่านี้ได้เมื่อฟังเท่านี้เข้าใจแค่นี้ฟังต่อไปก็จะค่อยๆ เข้าใจขึ้นเพราะว่าพระธรรมที่ทรงแสดงตรัสรู้ความจริงทั้งหมดรู้อัธยาศัยของสัตว์โลกสะสมมากด้วยโลภะมากด้วยอวิชชามากด้วยโทสะมากด้วยศรัทธา หรือว่ามากด้วยปัญญาแต่ละหนึ่งไม่เหมือนกันเลยขณะจิตแรกที่เกิดก็เป็นเพราะการสะสมของกุศล และอกุศล และกรรมซึ่งจะให้ผลในชาติแต่ละชาตินั้นด้วยโดยไม่มีใครสามารถจะเลือก หรือบังคับบัญชาได้ ฃ

    เพราะฉะนั้น ที่ได้สะสมมาแล้วที่เกิดในขณะแรกจนถึงได้มีโอกาสฟังธรรมก็ส่องไปถึงการที่ได้ฟังมาแล้วแล้วก็มีความศรัทธาเมื่อได้มีความเข้าใจจริงๆ ว่าเป็นลาภอันประเสริฐที่ได้เข้าใจเพียงเท่านี้ก่อนจะเข้าใจมากมายทันทีจนถึงที่สุดเป็นไปไม่ได้เข้าใจ และก็เข้าใจขึ้นเข้าใจก่อนเข้าใจไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมั่นคงขณะนั้นก็จะรู้ว่าหนทางนี้เป็นหนทางเดียวที่จะละความเป็นตัวตนซึ่งมากความเป็นตัวตนปรากฏในขณะที่แม้คิดว่าเมื่อไหร่เราจะรู้มากกว่านี้เมื่อไหร่จะรู้มากกว่านี้อยากรู้มากกว่านี้ทั้งๆ ที่ฟังแล้วก็ได้เข้าใจตามที่ได้ฟังเท่านี้ และตามที่ได้ไตร่ตรองจนกระทั่งมั่นคงขึ้นก็มีความพอใจขณะนั้นก็เป็นกุศลไม่เดือดร้อนว่าเราอยากรู้กว่านี้เมื่อไหร่จะรู้กว่านี้ เพราะฉะนั้นควรจะต้องเห็นโลภะว่าเป็นสิ่งที่ควรละทรงแสดงไว้เป็นอริยสัจจะที่สองเป็นธรรมที่ควรละ เพราะฉะนั้นควรละไม่ใช่ไปละตอนโน้นแต่ว่าละไปเรื่อยๆ เพราะว่าขณะนั้นอะไรที่จะละได้ก็ต้องเป็นความเข้าใจจริงๆ จึงสามารถที่จะละได้ยากไหมคะไม่ใช่เราไม่ใช่ดอกไม้เห็นทุกวันแล้วก็คิดอย่างนี้ทุกวันจนกว่าจะเริ่มฟังธรรมแล้วเข้าใจแต่กว่าจะถึงการที่เข้าใจโดยไม่มีใครเลยนอกจากสิ่งที่เพียงปรากฏในขณะนั้นเพียงทีละหนึ่งอย่างยิ่งเป็นความถูกต้องยิ่งขึ้นชัดเจนขึ้น

    เพราะฉะนั้นการฟังเรื่องของสิ่งที่มีจริงจะเห็นได้ว่าฟังในเบื้องต้นก็เข้าใจในเบื้องต้น และความเข้าใจในเบื้องต้นก็จะค่อยๆ ทำให้รู้ว่าเมื่อไหร่เข้าใจขึ้นโดยที่คนอื่นไม่ต้องบอกเลยเห็นธาตุที่สามารถปรากฏให้เห็นได้นี่เป็นคำพูดซึ่งหมายความถึงสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้จริงๆ โดยไม่ต้องพูด เพราะฉะนั้นจะเข้าใจในความเป็นธาตุซึ่งไม่มีใครอีกเลยเราเข้าใจว่ามีคนแต่ปรากฏเมื่อไหร่ว่าเป็นคนนั้นเมื่อเห็นธาตุที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ที่อยู่ที่มหาภูตรูปถ้าไม่มีธาตุดินธาตุน้ำธาตุไฟธาตุลมไม่มีสิ่งที่มีแต่ไม่ใช่มหาภูตรูปแต่ต้องเกิดกับมหาภูตรูป และสามารถจะกระทบกับจักขุประสาท และสามารถเพียงเห็นได้จิตอื่นธาตุอื่นไม่สามารถจะเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้หมด เพราะฉะนั้นกว่าจะละความเป็นเราออกหมดจากไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายทางใจก็เป็นการที่อบรมด้วยความมั่นคงขึ้นพื้นฐานที่จะเข้าใจว่าเป็นธรรมต้องมั่นคงว่าเป็นธรรมแม้แต่ที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ และกำลังพูดเรื่องสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นความเข้าใจก็จะค่อยๆ เกิดขึ้นแม้เพียงไม่มากแต่เริ่มเข้าใจว่าถึงจะปรากฎว่าเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ เป็นคนนั้นบ้างเป็นสิ่งนั้นบ้างก็ตามแต่แต่ความจริงก็คือว่าเป็นเพียงสิ่งเดียวที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราว่าเป็นคนก็จะต้องมีธาตุรู้คือจิต และก็มีเจตสิกสภาพรู้ซึ่งอาศัยการเกิดขึ้นโดยจิตเป็นใหญ่เป็นประธานแล้วก็มีรูปที่ว่าเป็นคนก็คือว่า หรือเป็นสัตว์ที่มีชีวิตก็ต้องมีจิตเจตสิก และมีรูปด้วยในภูมิที่มีขันธ์ห้า และแต่ละอย่างก็เกิดเพราะเหตุปัจจัย และดับไปเร็วมากสุดที่จะประมาณได้กว่าจะเห็นใครไม่มีคนนั้นมีแต่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เข้าใจว่าเป็นใครก็เป็นมหาภูตรูปแล้วก็มีจิตเจตสิกซึ่งแต่ละหนึ่งสะสมมาแล้วก็เข้าใจว่าเป็นแต่ละคนซึ่งความจริงสภาพธรรมทั้งหมดเกิดดับทั้งนั้นเกิดดับทั้งหมดเกิดดับรวดเร็วมากจึงหาความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้

    เพราะฉะนั้นความเข้าใจอย่างนี้สะสมไปเรื่อยๆ จนกว่าจะค่อยๆ มั่นคงขึ้นไม่ว่าในขณะเห็นความเข้าใจในสิ่งที่ปรากฏเริ่มมี หรือว่าความเข้าใจในธาตุเห็นซึ่งเพียงเกิดขึ้นเห็นแล้วก็หมดไปก็มีต้องอาศัยการเวลาที่ยาวนานมากเป็นจิรกาลภาวนาทุกทวนก็รู้ว่าขณะนี้ฟังเรื่องเห็นได้ฟังเรื่องการเกิดขึ้นของเห็นการดับไปของเห็นแต่ขณะนี้ไม่ได้ประจักษ์การเกิด และดับไปของเห็นทั้งๆ ที่เป็นความจริงแต่เป็นปัญญาที่อบรมแล้วจากการค่อยๆ คลายความติดข้องอย่างมั่นคงว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยรู้ว่าแท้ที่จริงก็เป็นเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่ปรากฏได้แต่ละครั้งไม่ได้ปรากฏพร้อมกันทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้น จึงเป็นจิรกาลภาวนาแล้วก็รู้ได้เลยถ้าขณะใดก็ตามปัญญา และกุศลธรรมไม่เกิดอกุศลธรรมเกิดเห็นแล้วไม่รู้เป็นอกุศลแล้วไม่รู้ไม่รู้ความจริงจะเป็นกุศลได้ยังไง และหลังจากเห็นแล้วจะไม่ให้เกิดความติดข้องก็ไม่ได้ยับยังไม่ได้เลยแม้ความติดข้องหลังเห็นก็ไม่รู้แต่ว่าจากการฟังธรรมรู้ว่ามี เพราะฉะนั้นก็เริ่มค่ยๆ เข้าใจความจริงตามลำดับการฟังธรรมก็จะทำให้ความไม่มีตัวตนให้มากขึ้นเลยเพราะเหตุว่าความเข้าใจขณะใดเกิดขึ้นขณะนั้นจะไปอยากได้ยังไงในเมื่อรู้ว่าความอยากความต้องการก็เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ไม่ใช่เรากว่านั้นก็ครอบงำไม่ให้รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ฉะนั้น ก็สามารถจะเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง และรู้ว่าควรเจริญกุศลทุกประการสัพพสัมภาระภาวนาไม่ใช่ฟังแล้ว ก็จะประจักษ์การเกิดดับเท่านั้น อย่างอื่นก็ยังคงเหมือนเดิมก็เหมือนกับคำที่เตือนแม้แต่คำว่าสัพพสัมภาระภาวนากุศลเล็กๆ น้อยนิดๆ หน่อยๆ เมื่อเช้านี้ทำบ้าง หรือเปล่าเริ่มทำ หรือยัง หรือฟังไปอีกสักเดือนเริ่มแล้วก็แล้วแต่ แต่ละบุคคลไม่ประมาทแม้กุศลเพียงเล็กน้อย ก็จะเห็นประโยชน์จริงๆ ของการที่ทรงแสดงพระธรรมโดยนัยประการต่างๆ แม้แต่ภาวนาการอบรมก็รู้ว่าจะอบรมปัญญาจะขาดการที่ต้องเจริญกุศลไม่ได้ และก็ต้องเป็นผู้ที่เคารพในกุศลจริงๆ สักกัจจภาวนาทุกครั้งที่กุศลเกิดเพื่อกุศลเท่านั้น เคารพในกุศลนั้นเพราะว่าทุกคนเคารพในคุณความดีไม่มีใครไปเคารพความไม่ดีเลย และความดีก็ไม่ใช่ใครเลยไม่ใช่คนนั้นไม่ใช่คนนี้ความดีก็เป็นธาตุ หรือเป็นธรรมฝ่ายดีในขณะใดก็ตามที่เห็นประโยชน์ของการที่ความดีเป็นความดีที่ควรเคารพ เพราะฉะนั้นก็ทำความดีโดยไม่หวังเรื่องก้าวหน้าเรื่องอะไรก็ไม่ต้องคิดเลยยิ่งออกไปจากใจได้เมื่อไหร่บ่อยๆ ก็จะค่อยๆ คลายความเป็นตัวตนเมื่อนั้นเพราะว่าอีกนานต้องทั่วนี่เป็นเหตุที่ต้องอบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวันเท่านั้นเพราะเหตุว่าเกิดแล้วถ้าสมมติว่าไม่ใช่ชีวิตประจำวันหวังว่าทำอย่างนั้นอย่างนี้แล้วปัญญาจะเกิดหวังว่ามีหนทางลัดนั้นก็คือว่าไม่ได้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีขณะนั้นซึ่งเกิดแล้วทั้งหมดด้วยเหตุนี้ถ้าไม่ใช่ชีวิตปกติผิด

    อ.วิชัย กราบท่านอาจารย์ครับก็ได้กล่าวว่าเราเห็นบ้าง หรือว่าเราต่างๆ บ้างแต่ก็เป็นความละเอียดไม่ใช่เพียงคำแต่ว่าถ้าเกิดความรู้ความเข้าใจ หรือว่าความเห็นจากการที่ได้ยินได้ฟังธรรมว่าจริงๆ ธรรมไม่ใช่เราเลยแต่ว่าบางครั้งถ้าฟังไม่ดีก็เหมือนกับมีเราที่จะไปพิจารณา หรือว่าจะไปกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดอีกครับท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นใครรู้

    อ.วิชัย ก็ต้องเป็นปัญญาที่รู้

    ท่านอาจารย์ ตัวเองค่ะไม่ใช่คนอื่นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าใช้คำว่าตถาคตหมายความถึงใครท่านพระอานนท์ท่านก็ต้องมีคำแทนตัวของท่านด้วยให้รู้ว่าหมายความถึงใครแต่ปัญญาความเข้าใจต่างระดับไม่ใช่ขึ้นอยู่กับคำแต่ขึ้นอยู่กับว่าเข้าใจคำนั้นเช่นมีตนเป็นที่พึ่งฟังเผินก็มีตัวตนแต่เมื่อรู้ว่าไม่มีตัวตนจริงๆ พึ่งคนอื่นได้ไหมไม่ได้ เพราะฉะนั้นตัวตน หรือมีตนเป็นที่พึ่งก็หมายความว่าไม่ใช่คนอื่นแต่ไม่ใช่ว่าตนที่เป็นอกุศลต้องเป็นโพธิปักขิยธรรม หรือธรรมที่นำไปสู่การรู้แจ้งอริยสัจจธรรม


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 194
    23 ธ.ค. 2566

    ซีดีแนะนำ