พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 938


    ตอนที่ ๙๓๘

    ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๗


    ท่านอาจารย์ จิตที่สะสมสืบต่อเต็มไปด้วยอกุศล ต้องมีการเข้าใจธรรมเป็นการชำระความไม่รู้ ทำให้จิตนั้นสามารถพร้อมที่จะเข้าใจสิ่งซึ่งเกิดขึ้น ชาติใด เมื่อใด รู้ไม่ได้เลย แต่ปัญญาพร้อมที่จะเข้าใจ ก็เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ เช่นขณะนี้ ถ้าเป็นบุคคลในครั้งอดีตเมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปี ผู้ที่จะเป็นพระอริยบุคคลทั้งหลาย ท่านก็ไม่รู้ และท่านก็ได้ฟัง ท่านก็ได้เห็นอย่างที่ท่านเคยเห็น เช่น ท่านอนาถบิณฑิกที่ได้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ได้ฟังพระธรรม สามารถที่จะเข้าใจเพราะจิตพร้อมที่จะเข้าใจ สะสมความเห็นผิด และการสามารถที่จะละคลายโดยพระธรรมที่แสดงความจริง วจีสุจริตที่อิงอาศัยสัจจะ ความจริงที่กำลังปรากฏในขณะนี้จริงทุกคำ เพราะกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงขณะนี้ เพราะฉะนั้นสามารถที่จะเข้าใจได้ทันที ไม่ใช่เข้าใจไม่ได้ แต่ต้องชำระจิตก่อน คนลืมจุดนี้ว่าที่ฟังธรรมขณะนี้เป็นการชำระจิตให้ค่อยๆ ละอวิชชา และกิเลสทั้งหลาย ซึ่งหมักหมมมามากมาย ปิดกั้นไม่ให้สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง แม้ได้ยินคำว่าธรรม ก็เป็นเรา คิดดู แม้จะได้ยินว่าสิ่งที่มีจริงไม่ต้องเรียกว่าธรรมก็ได้ เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ความเป็นเราก็ยังอยู่เต็มในจิตที่ยังไม่ได้ชำระให้บริสุทธิ์ขึ้นด้วยความเข้าใจ

    เพราะฉะนั้นทุกคนที่ฟังธรรมเผินๆ ลืมจุดนี้ว่าต้องชำระจิต และขณะนี้กำลังชำระจิต ไม่ใช่เราด้วย ถ้าจะกล่าวถึงสภาพธรรมที่ดีงาม ก็เป็นสภาพธรรมที่ดีงามถึงขั้นเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ นี่คือการค่อยๆ สะสมไป จนกระทั่งเมื่อมีความเข้าใจจริงๆ แล้วบุคคลนั้นก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าวันใด คำใด กาลใด สภาพธรรมใด จะเป็นที่ตั้งของการเข้าใจถูกที่ประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมนั้นได้ แต่ต้องละคลายการติดข้องการยึดถือสภาพธรรมไปทีละเล็กทีละน้อย ไม่ใช่ทันที ฟังแล้วเมื่อใดจะประจักษ์ ฟังแล้วยังไม่เห็นว่าเป็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ แต่ได้ยินคำนี้แล้วใช่ไหม จริงหรือไม่ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    ผู้ฟัง แต่เมื่อมีจิตก็จึงทำให้กิเลสอกุศลเกิด ก็ศึกษาเรื่องจิต เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส แล้วแต่ว่ากุศล อกุศลจะเกิด

    ท่านอาจารย์ แต่ละคำเป็นคำจริงซึ่งเข้าใจยาก เพียงแค่พอใจชอบดอกไม้ เห็นโทษไหม ดูเป็นธรรมดา ใครจะเห็นโทษว่าขณะนั้นโลภะเข้าไปแล้ว เหมือนลูกศรที่สามารถเข้าไปถึงจิต และทำร้ายจิต แค่นี้ ไม่เห็นโทษเลย แล้วเมื่อใดจะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง แล้วจะไปละโลภะขณะใด เพียงแค่นี้ก็ไม่เห็นแล้วว่าเป็นโทษ แต่ถ้าเริ่มเห็นว่าเป็นคำจริง แล้วเป็นโทษจริงๆ ทุกข์ทั้งหลายเกิดเพราะกิเลส เพราะฉะนั้นถ้าตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่ สิ่งที่ปรากฏสามารถที่จะเป็นปัจจัยให้โลภะเกิดขึ้น เข้าไปอยู่ในใจ แล้วก็ไม่ออกด้วย อยู่มานาน และก็อยู่มากขึ้นเรื่อยๆ ก็แสดงให้เห็นว่าแสนยากที่จะฟังแล้วรู้ ถูกต้อง แต่เห็นจริงเช่นนั้นหรือไม่ แล้วก็ไม่ใช่เฉพาะสิ่งที่ปรากฏทางตาด้วย อาหารที่รับประทานอร่อย โลภะติดข้องแล้ว ไม่เห็นโทษเลย เพียงเท่านี้จะเป็นโทษอะไร แค่อาหารอร่อย แล้วเราก็แค่ชอบอาหาร เราไม่ได้ไปทำทุจริตกรรมอะไร นี่คือผู้ที่ไม่เห็นโทษ แต่ถ้าเป็นผู้ที่เห็นโทษในขณะนั้น ก็จะรู้ว่าหนทางที่จะละคลายโทษ โดยที่สามารถจะประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรม ต้องเห็นโทษจริงๆ ของทุกอย่าง ไม่เว้นเลยแม้เพียงเล็กน้อยก็ไม่ประมาท เพราะถ้าประมาท วันนี้อาหารอร่อย ทางตาก็เห็นสิ่งที่สวย ทางหูก็ฟังเสียงเพราะ ทางใจเพลิดเพลินไปดูอะไรแล้วแต่ หนังสือนวนิยาย หรือการบันเทิงต่างๆ ก็เพลิดเพลิน แต่ว่าบังคับบัญชาไม่ได้ นี่เป็นสิ่งที่ยากมาก ทั้งๆ ที่รู้เช่นนี้ เข้าใจเช่นนี้ ไม่ใช่ไม่เข้าใจ เข้าใจจริงๆ เห็นด้วยทุกอย่าง แต่ว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ความยากคือว่าไม่มีเรา หรือใครที่จะไปจัดการบังคับ บงการให้แต่ละหนึ่งขณะจิตเป็นไปอย่างที่คิดหรือหวัง แม้แต่เพียงหนึ่งขณะจิต แล้ววันนี้กี่ขณะจิต

    เพราะฉะนั้นก็เป็นผู้ที่ไม่ประมาทที่จะรู้ว่าถ้าสะสมความรู้ถูก ไม่ใช่ไปหวังว่าจะดับกิเลสทันที แต่แล้วแต่ว่าความเข้าใจในแต่ละวันที่กำลังสะสมที่กำลังค่อยๆ ชำระจิต จะสามารถทำให้มีการเข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏโดยไม่เลือก โดยไม่มีตัวตนไปจำกัด แต่รู้ว่าขณะนี้ทุกอย่างเกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย นี้คือต้องเข้าใจถูกต้องจริงๆ

    อ.วิชัย ท่านอาจารย์กล่าวถึงว่าการชอบ เช่น ดอกไม้สวย การอ่านนวนิยาย หรือว่าการดูหนังละคร ให้เห็นโทษ โทษจากสิ่งเหล่านั้นคืออะไร

    ท่านอาจารย์ หมายความว่าขณะนั้น สนุกไหม

    อ.วิชัย ก็เพลิดเพลิน

    ท่านอาจารย์ มากๆ ดีไหม ยิ่งมากยิ่งดีไหม

    อ.วิชัย ก็ขณะนั้นก็ดี

    ท่านอาจารย์ ยิ่งมากยิ่งดีใช่ไหม แล้วถ้าไม่เห็นทุกข์ไหม

    อ.วิชัย ถ้าหมดไปก็ทุกข์แล้ว

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทุกข์มาจากไหน

    อ.วิชัย จากความยินดีพอใจ ยิ่งยินดีมากก็ยิ่งทุกข์มาก

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง กิเลสแรงมีกำลังเท่าใด ทุกข์ก็มีมากเท่านั้น

    ผู้ฟัง ในชีวิตจริงๆ ยกตัวอย่างว่า ถ้าชอบอะไร ชอบอาหารอร่อย ก็ต้องไปแสวงหาอาหารอร่อยนั้นกิน ขณะกินก็พอใจที่ได้กิน ไม่ได้เห็นโทษของอะไรตรงนี้เลย ติดต่อไปเนื่องๆ เช่นนี้

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ไม่เห็นทุกข์ในการแสวงหาซึ่งมีวัฏฏะเป็นมูล เกิดมาแล้วไม่แสวงหาไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นทุกคำข้ามไม่ได้ ไตร่ตรองแล้วก็รู้ตามความเป็นจริงว่าขณะนี้แสวงหาแล้ว และการแสวงหาเป็นทุกข์ในวัฏฏะ เกิดมาแล้วไม่แสวงหาได้หรือ เป็นไปไม่ได้เลยใช่ไหม แต่ขณะนั้นเป็นทุกข์เพราะไม่รู้ความจริง

    ผู้ฟัง ต้องฟังให้มากพอถึงจะรู้ว่าโลภะเป็นโทษ แล้วทำให้ต้องเกิดแล้วเกิดอีก

    ท่านอาจารย์ แล้วอะไรเป็นเหตุให้เกิดโลภะ

    ผู้ฟัง ความไม่รู้ความจริง

    ท่านอาจารย์ ก็เริ่มเห็นโทษของโมหะเพราะไม่รู้ คำนี้ทั้งหมดในสังสารวัฎที่เป็นไปเพราะไม่รู้

    ผู้ฟัง กำลังอบรมความรู้เพื่อให้ลดความไม่รู้

    ท่านอาจารย์ ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความไม่รู้ และกิเลสทั้งหลายที่สะสมมามาก มิฉะนั้นไม่สามารถจะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ซึ่งเป็นวาจาสัจจะ จริงเช่นนี้แน่นอน แล้วสามารถที่ปัญญารู้ได้แน่นอน แต่ไม่ใช่ปัญญาขั้นฟัง

    อ.คำปั่น คำว่าธาตุ ที่กล่าวถึงธาตุรู้ คำว่าธาตุ ธา-ตุ หมายถึงสิ่งที่มีจริงๆ ทรงไว้ซึ่งลักษณะของตนไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น เป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น และก็เป็นสภาพธรรมที่ไม่ใช่ตัวตนไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคลด้วย แสดงถึงสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่งจริงๆ เห็นเป็นธาตุอย่างหนึ่ง เป็นสภาวธรรมอย่างหนึ่ง ที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่เห็น จะเปลี่ยนแปลงเห็นให้เป็นอย่างอื่นก็ไม่ได้ และธาตุติดข้องโลภะธาตุก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริงอีกอย่างหนึ่ง ที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ติดข้อง ยินดีพอใจ ไม่ปล่อยไม่สละในสิ่งที่ติดข้อง แม้แต่เรื่องของความเข้าใจถูกเห็นถูกในธรรม ก็เป็นธาตุอย่างหนึ่งเช่นเดียวกัน เมื่อประมวลแล้ว สิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นธาตุ เป็นสิ่งที่มีจริงที่แตกต่างกันไม่ปะปนกันด้วย

    ผู้ฟัง ผมอยากจะให้เพิ่มการเรียนการสอนพระพุทธศาสนา ในขั้นของโรงเรียนว่าสิ่งที่เราเคารพพระธรรมคำสั่งสอนก็ดี เราเคารพพระสงฆ์ก็ดี เราเคารพพ่อแม่ครูบาอาจารย์ก็ดี แต่เวลาพระสงฆ์ท่านทำผิด เราก็ควรจะมีสิทธิ์ที่จะให้ความรู้ หรือการแนะนำกับพระสงฆ์ได้

    ท่านอาจารย์ ขออนุโมทนาในความกล้าที่จะพูดความจริง เพราะว่าถูกคือถูก แล้วก็ผิดคือผิด มิฉะนั้นแล้วเราก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจ และประพฤติตามความถูกต้องได้ ด้วยเหตุนี้สำหรับหน้าที่ของชาวพุทธมีมาก อย่าคิดว่าชาวพุทธแล้วอยู่เฉยๆ ถ้าอยู่เฉยๆ จะเป็นชาวพุทธได้อย่างไร ก็เป็นคนธรรมดา แต่ถ้าใช้คำว่าชาวพุทธหมายความว่าคนนั้นต้องเข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงนับถือ และเข้าใจ และเรียกตัวเองว่าชาวพุทธ มิฉะนั้นแล้วจะเป็นชาวพุทธโดยที่ไม่เข้าใจพระธรรม ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร เพราะฉะนั้นก็เป็นชาวพุทธโมฆะ ว่างเปล่าคือไม่ได้ประโยชน์เลย แล้วก็ไม่ถูกต้องด้วย

    เพราะเหตุว่าถ้าประเทศไทยก็มีผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนามาก แล้วก็ทุกคนก็เป็นชาวพุทธ แต่พฤติกรรมความประพฤติทั้งหลายไม่ถูกต้อง และไม่เป็นไปในทางที่เป็นกุศล เป็นชาวพุทธหรือไม่ อายไหม ถ้าคนอื่นเขาจะบอกว่าชาวพุทธนี่หรือที่ทำเช่นนี้ เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องเล็กๆ และก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะเมินเฉย หรือว่าคิดว่าไม่ใช่หน้าที่ของเรา แต่ว่าตามความเป็นจริง ในฐานะที่เกิดที่ใดอยู่ในประเทศนั้น แล้วก็ควรจะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กับผู้ที่อยู่ร่วมกันด้วย ไม่ใช่เพียงแต่ว่าเราจะเพียงแต่อยู่ไปแยกกันอยู่ แล้วก็ไม่พึ่งพาอาศัยกัน ด้วยเหตุนี้สิ่งที่น่าคิดก็คือว่าทุกคนรู้จักธงชาติไทย ใช่ไหม กี่สี ๓ สี

    อ.อรรณพ สีขาว หมายถึง ศาสนา สีน้ำเงิน พระมหากษัตริย์ สีแดง แทนชาติสังคม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นสีแดงอยู่ข้างนอก ถ้าไม่มีประชาชนรวมกันเป็นชาติก็ไม่มีอะไร แต่เพราะเหตุว่าประชาชนทั้งประเทศ เพราะฉะนั้นก็อยู่ข้างนอก แล้วถ้าประชาชนเป็นคนไม่ดี ประเทศเป็นอย่างไรลองคิดดู ต้องเป็นคนที่ตรงตามเหตุตามผล เพราะว่าทุกอย่างเป็นธรรม ถูกคือถูก ผิดคือผิด ใครจะเปลี่ยนผิดให้เป็นถูก หรือใครจะให้ถูกเป็นผิดไม่ได้ นั่นไม่ใช่การเข้าใจความจริง ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง และเราก็ได้ยินได้ฟังจนกระทั่งได้ศึกษาได้เข้าใจขึ้น

    ด้วยเหตุนี้"คุณธรรม" มาจากไหน ถ้าไม่มีการเข้าใจว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล เพราะฉะนั้นการที่เราเองไม่ศึกษาธรรม แล้วจะรู้พระธรรม แล้วจะประพฤติตนเป็นคนดีโดยไม่รู้ว่าวันหนึ่งวันหนึ่งเป็นคนดีหรือไม่ ก็เป็นไปไม่ได้เลยใช่ไหม เพราะฉะนั้นเกิดมาแล้วทุกคน อายุสั้น ไม่มากเลย แล้วแต่ว่าใครจะอยู่ได้นานเท่าใด บางคนอาจจะถึงร้อยปี บางคนก็ ๙๐ ปี บางคนก็ ๘๐ ปี แต่บางคนน้อยยิ่งกว่านั้นอีก แล้วก็จากโลกนี้ไป โดยไม่รู้เลยว่าเกิดมาได้อย่างไร แล้วก็จะตายวันไหน เพราะอะไร และระหว่างที่มีชีวิตอยู่ทำอะไร

    เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่า ถ้าต้องการคำตอบที่จริงตรง ก็คือต้องศึกษาพระธรรม เพราะพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีใครเปรียบปานได้ ในพระปัญญาคุณ ในพระบริสุทธิคุณ และในพระมหากรุณาคุณ เพราะฉะนั้นผู้ที่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งจริงๆ จริงใจตรง ต้องเข้าใจพระธรรม ซึ่งไม่มีทางอื่นเลยที่จะเข้าใจได้ ถ้าไม่ศึกษาเพราะอะไร แม้แต่คำว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าชื่อนี้ไม่มีใครที่จะได้ยินบ่อยๆ เกิดมาแล้วบางคนไม่ได้ยินเลย บางคนเกิดมาหลายชาติก็ไม่เคยได้ยินเลย แต่ว่าผู้ที่มีบุญที่ได้สะสมไว้แต่ปางก่อน ก็มีโอกาสที่จะได้ยิน แต่เมื่อได้ยินแล้วบางคนสะสมมาน้อยมาก เพราะฉะนั้นเพียงได้ยินก็ไม่ได้สนใจที่จะรู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ แล้วเป็นใคร ไม่ใช่เป็นแต่เพียงเจ้าชายสิทธัตถะ ประสูติ แล้วก็ตรัสรู้ แล้วก็แสดงธรรม แล้วก็ปรินิพพาน แล้วอะไรหรือ รู้เท่านั้นพอหรือไม่ กับการที่จะชื่อว่ารู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นถ้าไม่ได้เข้าใจพระธรรมจริงๆ ไม่มีใครรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย มีแต่ชื่อที่ทุกคนกล่าวถึง เอ่ยถึง แต่ไม่รู้จักในพระคุณ ด้วยเหตุนี้ชาวพุทธที่กล่าวว่านับถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ถ้าเป็นผู้ที่ตรง และจริงใจต้องศึกษาพระธรรม ต้องสามารถที่จะรู้ว่าพระปัญญาคุณนั้นทรงตรัสรู้อะไร เพราะทุกคนรู้ ว่าการที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ไม่ใช่เกิดมาในตระกูลศากยะ ในวงศ์ศากยะ แต่ต้องด้วยพระปัญญาคุณ

    ขณะที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แต่เมื่อได้ทรงตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรมแล้ว ไม่มีใครที่จะเปลี่ยนพระนามได้เพราะเป็นพระคุณนาม ด้วยพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหนือบุคคลใดทั้งสิ้นในจักรวาล แม้แต่เทวดาก็ยังมาเฝ้ามากราบทูลถาม พรหมที่เป็นภูมิที่สูงกว่าเทพก็ยังต้องมาเฝ้ากราบทูลถาม แสดงให้เห็นว่าไม่มีใครในจักรวาลใดๆ ทั้งสิ้น ที่จะมีปัญญาเสมอเหมือนด้วยพระองค์ แล้วเราได้ยินชื่อนี้ มีโอกาสที่จะได้ฟังเพราะว่าพระไตรปิฎกก็ยังอยู่ครบถ้วน แต่ว่าเป็นสิ่งซึ่งไม่ใช่สำหรับอ่าน แต่สำหรับศึกษาโดยละเอียดด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือ ศึกษาแต่ละคำให้เข้าใจจริงๆ เมื่อนั้นก็จะชื่อว่าเป็นชาวพุทธที่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เป็นคุณธรรม ที่ถ้าทุกคนเป็นอย่างนี้ทั้งประเทศ ไม่มีปัญหาเลย ไม่มีความเดือดร้อนมีแต่ความสงบเพราะเป็นกุศล แต่ทั้งหมดที่วุ่นวาย ไม่สงบเพราะอกุศล และอกุศลทั้งหลายจะค่อยๆ ละลดลงไปได้อย่างไร ถ้าไม่มีปัญญา ละไม่ได้เลย แม้แต่ว่า กุศล อกุศล ก็ไม่รู้จักว่าคืออะไร

    ถ้าทุกคนเป็นคนที่ตรง และจริงใจมุ่งมั่นในความดี ก็เป็นสิ่งหนึ่ง และสิ่งเดียวที่จะทำให้ประเทศชาติมั่นคงด้วยความสงบ เพราะว่าอกุศลลดน้อยลง และกุศลก็เพิ่มขึ้น มีปัญหาอีกมาก แต่ความเป็นคนตรง และความหวังดีที่เมื่อเห็นสิ่งใดแล้วไม่ทอดธุระไม่เมินเฉย แต่ว่าสามารถที่จะเห็นว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด และมีความประสงค์ที่จะช่วยเหลือกันใช่ไหม ที่จะทำให้แต่ละคนดีขึ้นด้วย ที่จะแก้ไขสิ่งต่างๆ ที่บกพร่อง

    เพราะฉะนั้นทุกคนต้องเป็นคนที่ตรง และจริงใจ ถ้าผิดไม่ว่าจะเป็นใครทั้งนั้น เพราะเหตุว่าธรรมไม่ใช่ใครเลย กุศลธรรมเป็นกุศลธรรม ธรรมฝ่ายดี อกุศลธรรมเป็นอกุศลธรรม เราเรียกคำ ๒ คำนี้บ่อยๆ แต่ไม่ได้ศึกษาโดยละเอียดว่า แล้วอะไรที่เป็นกุศลธรรม และอะไรเป็นอกุศลธรรม ต้องไม่ลืมว่าธรรมลึกซึ้ง แต่ก็เป็นบุญที่มีโอกาสได้ยินได้ฟัง ได้สะสมความเห็นถูกความเข้าใจถูก จนกว่าความรู้จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นด้วยความเคารพในพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงอนุเคราะห์ จากการที่ทรงพระบารมีนานกว่าบุคคลอื่นใดทั้งสิ้น เพื่อให้คนอื่นสามารถจะรู้ตามที่ได้ทรงตรัสรู้ด้วย

    เพราะฉะนั้นก็เป็นโอกาสที่ชาติหนึ่งที่เกิดมามีโอกาสได้ฟังธรรม ได้สะสมความเข้าใจเพื่อที่จะเป็นคนดียิ่งขึ้น แล้วก็ไม่เป็นโทษเป็นภัยกับใคร และแม้กับตนเอง แล้วก็มีโอกาสใดที่เราจะช่วยกันแก้ไขสิ่งที่บกพร่อง ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นใครก็ตาม เป็นธรรมทั้งหมด และเป็นธรรมเท่านั้นด้วย

    อ.อรรณพ เป็นชาวพุทธ ไม่ใช่ว่านิ่งเฉย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นขณะนี้กำลังทำหน้าที่ ศึกษาเพื่อเข้าใจพระธรรม เพื่อที่จะเป็นคนดี และก็ช่วยให้คนอื่นเป็นคนดีโดยการที่เข้าใจพระธรรมด้วย

    พระภิกษุ เจริญพร ขอถามโยมอาจารย์ว่าสมัยพุทธกาล พระส่วนมากฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า แล้วก็ไปเรียนธรรมวินัยจากครูบาอาจารย์เป็นพระภิกษุ ภิกษุส่วนมากจะเข้าไปเรียนในสำนักของภิกษุด้วยกัน หรือว่าจากสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยตรงเลย แต่ในสมัยนี้พระทำไมต้องไปเรียนธรรมวินัย ไปถามวินัยอะไรจากสำนักของฆราวาสจึงไม่สมควร ถ้าเป็นเช่นนี้มาฟังธรรมฆราวาสอะไรเช่นนี้ จะผิดในหลักของวินัยอะไรอย่างไร เจริญพร

    ท่านอาจารย์ ก่อนอื่นจะขอกล่าวถึงในสมัยพุทธกาล มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระอรหันต์ที่เป็นภิกษุ มีทั้งพระอรหันต์ที่เป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามีด้วย มีคฤหัสถ์ซึ่งเป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกทาคามี เป็นถึงพระอนาคามีบุคคลด้วย แสดงให้เห็นว่าเป็นกาลสมบัติ เป็นสมัยที่แต่ละคนที่ได้สะสมความรู้ความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏถูกต้องตามความเป็นจริง เมื่อได้ฟังพระธรรมแล้วก็สามารถที่จะเข้าใจได้ แต่แม้กระนั้นพระภิกษุทั้งหลาย แม้ท่านจะเป็นถึงพระอัครสาวก ท่านก็มีการสนทนาธรรมกัน เพราะฉะนั้น การสนทนาธรรม ไม่ใช่สนทนาเรื่องอื่น แต่เป็นการสนทนาพระธรรมที่ได้ฟังเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง แม้อุบาสก อุบาสิกา ก็มีการสนทนาด้วย และก็การสนทนาธรรมก็เป็นมงคลที่จะทำให้ ความเจริญในธรรมเพิ่มขึ้น ไม่ใช่ว่าเมื่อฟังพระธรรมแล้วก็ไม่มีการเข้าใจสนทนากันต่อไป ต่างคนก็ต่างกลับ แต่ว่าตามความเป็นจริงแล้ว พระภิกษุที่พระวิหารเชตวันท่านก็สนทนาธรรมกัน ที่พระวิหารอื่นๆ ก็สนทนาธรรมกัน แม้แต่คฤหัสถ์หรือแม้ในพระราชวัง เช่น พระนางสามาวดีก็ฟังธรรมโดยที่มีขุชชุตตราเป็นผู้กล่าวธรรม

    เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่าสมัยนั้นเป็นผู้ที่ตรง และสำหรับพระภิกษุซึ่งท่านได้มีโอกาสไปที่บ้านของคฤหัสถ์ เช่น จิตตคฤหบดีซึ่งท่านเป็นพระอนาคามีบุคคล พระภิกษุนั้นเป็นใคร เพราะฉะนั้นเวลาที่ได้ยินคำว่าพระรัตนตรัย ไม่ได้หมายความถึง สมมติสงฆ์ แต่หมายความถึงพระอริยสงฆ์เท่านั้น เพราะเหตุว่าพระธรรมที่ทรงแสดง เมื่อได้ทรงแสดงแล้วก็มีผู้ที่ได้รู้ความจริง จนกระทั่งถึงความเป็นพระอรหันต์ ซึ่งเป็นรัตนะ แต่ว่าไม่เสมอกับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ลองคิดดู กว่าสภาพธรรมที่ปรากฏขณะนี้จะปรากฏความจริงที่กำลังเกิดดับ ต้องอาศัยปัญญาระดับใด ไม่ใช่เพียงฟังชาติเดียว แม้พระสัมมาส้มพุทธเจ้าเองก็ได้ทรงอบรมพระบารมีนานมากกว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจเช่นนี้แล้ว จะประมาทไหม ไม่ว่าเราจะฟังธรรมเพื่อเข้าใจไม่ว่าจากใคร เพราะฉะนั้นเวลาที่พระภิกษุท่านไปที่บ้านท่านจิตตคฤหบดี ถ้าท่านไม่กล่าวธรรมจิตตคฤหบดีก็กล่าวธรรม เพราะอะไรจะเป็นประโยชน์ที่สุดในชีวิต แต่ละหนึ่งขณะที่ผ่านไป เห็นมากมาย แต่ละขณะผ่านไปด้วยความไม่รู้ ได้ยินก็มากมาย แต่ละขณะก็ผ่านไปด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นขณะเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ทั้งหมดตลอดชีวิต ผ่านไปด้วยความไม่รู้

    เพราะฉะนั้นขณะที่มีประโยชน์ที่สุดในสังสารวัฎ ไม่ใช่เฉพาะชาติเดียวก็คือการได้เข้าใจความจริง ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดง เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้ที่เคารพในธรรม ใครกล่าวความจริงควรเคารพไหม

    พระภิกษุ ควร เจริญพร

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่ได้ต้องไปคิดว่าคนนั้นเป็นใคร เป็นหญิงหรือเป็นชายอายุมาก อายุน้อย อาชีพอะไร ความรู้อะไร ไม่สำคัญเลย เพราะเหตุประโยชน์จริงๆ ก็คือว่าใครก็ได้ ใครก็เถอะ ใครก็ตาม ขอให้ได้กล่าวความจริงให้ได้รู้ได้เข้าใจ เราสามารถที่จะน้อมเคารพในพระธรรม


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 194
    18 มี.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ