พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 934


    ตอนที่ ๙๓๔

    ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๗


    ท่านอาจารย์ ขณะที่ฟังแม้มีศรัทธา ศรัทธานั้นยังไม่เป็นพละ เพราะเหตุว่ายังไม่ใช่ขณะที่กำลังเริ่มเข้าใจถูกในลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ขณะนี้มีอะไรปรากฏบ้าง

    อ.ธิดารัตน์ ก็มีสภาพธรรมปรากฏอยู่

    ท่านอาจารย์ ถึงลักษณะใดหรือยัง สักหนึ่งอย่าง

    อ.ธิดารัตน์ ตอนนี้ยังเป็นไปในเรื่องราว

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นการที่เราจะเข้าใจพละ ต้องรู้จริงๆ ไม่ใช่เพียงฟังชื่อ แต่ว่าเดี๋ยวนี้มีแข็งไหม มี ขณะใดบ้างที่กำลังฟังเช่นนี้ แล้วก็ลักษณะของแข็งนั้นปรากฏให้รู้ มีไหม เห็นไหม นี่คือความละเอียดจริงๆ และความตรงจริงๆ ฟังแล้วต้องรู้ว่ากำลังถามถึงสิ่งใด ถามถึงว่าแข็ง มีแน่นอน ใช่ไหม เป็นสิ่งที่มีจริง แล้วก็เป็นธรรมซึ่งเกิดดับด้วย แต่ในขณะที่กำลังฟัง และมีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังได้ยิน ขณะนั้นมีลักษณะของแข็งปรากฏให้รู้บ้างไหม ไม่มี หมายความว่าขณะนั้นไม่ได้เข้าถึงลักษณะของแข็ง แข็งจึงไม่ได้ปรากฏโดยสภาพที่เป็นสติที่รู้ตรงแข็ง นั่นคือไม่ใช่ให้เราไปนั่งคิด แล้วก็นั่งจำ แล้วก็นั่งท่อง แล้วก็นั่งคอย แต่ให้รู้ตามความเป็นจริงถึงความต่างของศรัทธาพละกับศรัทธาที่ไม่ใช่ศรัทธาพละ หรือยังไม่ถึงความเป็นศรัทธาพละ เพราะแม้ว่าขณะนี้สภาพของธรรมที่ถามว่ามีอะไรบ้าง ก็มีหลายอย่างใช่ไหม เสียงก็มี แล้วก็เสียงนั่นเองที่ปรากฏในลักษณะที่กำลังคิดหรือเปล่า

    อ.ธิดารัตน์ คิดก็ไม่ใช่ขณะที่เสียงปรากฏ

    ท่านอาจารย์ แต่ขณะนี้ก็มีคิด และขณะนี้ก็มีเห็น และขณะนี้ก็มีเสียง ขณะนี้ก็มีได้ยิน ถูกต้องไหม แล้วอะไรที่ปรากฏในลักษณะจริงๆ มีบ้างไหม ถ้าไม่มีก็ไม่มี จะบอกว่ามีได้ไหมถ้าไม่มี และถ้ามีก็ต้องรู้ว่าอะไรในขณะนั้น และมีขึ้นได้อย่างไร ขณะนั้นกว่าจะเป็นศรัทธาพละ

    อ.ธิดารัตน์ แต่ในขณะที่มีสภาพธรรมปรากฏ ขณะนั้นก็มีแค่สภาพธรรมนั้นปรากฏ แต่ลักษณะของศรัทธาหรือว่าจะเข้าใจศรัทธา ต้องมีลักษณะของศรัทธาปรากฏ

    ท่านอาจารย์ อย่าเพิ่งไปจะเข้าใจลักษณะของศรัทธา ถ้าศรัทธาไม่มีจะเข้าใจไม่ได้ ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้นแม้ขณะนี้กุศลหรือไม่ อกุศลหรือไม่ ก็ยังไม่รู้ ได้ยินแต่ชื่อใช่ไหม เห็นไม่ใช่กุศลไม่ใช่อกุศล ก็ได้ยินแต่ชื่อ ขณะที่ฟังเข้าใจ ขณะนั้นแม้เป็นกุศลแต่ลักษณะของความเข้าใจก็ไม่ได้ปรากฏโดยความเป็นธรรมที่ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นก็ยังไม่ใช่ศรัทธาพละ ไม่ใช่แต่เพียงชื่อมาบอกกัน แต่ต้องเป็นขณะที่กำลังฟังเช่นนี้ และก็สามารถที่จะรู้ว่าขณะใดเป็นศรัทธาพละ ขณะใดยังไม่ใช่ศรัทธาพละ

    อ.ธิดารัตน์ ศรัทธาที่จะมีความเป็นใหญ่ในกิจหน้าที่ หรือมีลักษณะที่เป็นอินทรีย์ ก่อนจะถึงความเป็นพละ

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้ฟังเรื่องศรัทธา และมีศรัทธา แต่ลักษณะของศรัทธาก็ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นจะไม่ใช่ศรัทธาพละแน่นอน แต่อีกนานเพียงใดกว่าลักษณะของสภาพธรรมจะปรากฏ บอกได้ไหม บอกไม่ได้เลย ถ้ามีปัจจัยพอเท่านั้นเองที่สามารถจะกล่าวได้เมื่อมีความเข้าใจพอ แล้วก็มีการละคลายความหวัง ไม่ต้องหวัง ศรัทธาไม่ได้เกิดเพราะความหวัง ปัญญาไม่ได้เกิดเพราะความหวัง แต่เกิดเพราะเหตุปัจจัยที่เมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น การละคลายความไม่รู้ก็มากขึ้น

    เพราะฉะนั้นขณะนี้ยังไม่มีศรัทธาที่รู้ตรงลักษณะของสภาพธรรม แล้วเมื่อใดรู้ได้ไหม ไม่มีทางจะรู้เลยเพราะอะไร เพราะอนัตตา เพราะฉะนั้นถ้าไม่หวังแต่เหตุมี ไม่ต้องคิดเลยว่าเมื่อใด เดี๋ยวนี้ก็ได้ ใช่ไหม พรุ่งนี้ก็ได้ ชาติหน้าขณะที่เห็นใครพบใคร หรือแม้แต่ท่านพระสารีบุตรจะพบท่านพระอัสสชิ ก็มีปัจจัยพร้อมที่จะรู้ในขณะนั้นก็ต้องมีศรัทธาพละ และมีโพชฌงค์ มีอะไรต่างๆ มาจากไหน ถ้าไม่มาจากการฟังขณะนี้ด้วยความไม่หวัง และก็เข้าใจขึ้นเข้าใจขึ้น ที่ไม่หวังเพราะเหตุว่ามีความเข้าใจมั่นคงว่าเป็นอนัตตา ไม่สามารถที่จะบังคับบัญชาได้

    เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตามจากฟังเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งถึงขณะที่สามารถรู้ลักษณะตรงลักษณะโดยไม่มีการหวัง โดยความเป็นปัจจัยที่ว่าสิ่งนั้นปรากฏให้เข้าใจ ซึ่งขณะนั้นถ้าเป็นผู้ที่มีการฟังมีการศึกษาก็รู้ว่า ขณะนั้นเพราะสติเกิดจึงรู้ตรงนั้น แต่เราไม่จำเป็นต้องใช้ชื่อสติ ไม่ต้องใช้ชื่อศรัทธา ไม่ต้องใช้หิริ ไม่ต้องใช้โอตตัปปะซึ่งเกิดร่วมกันเลย แต่ว่าขณะนั้นมีปัจจัยที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นปรากฏโดยไม่ต้องตั้งใจเลย ขณะนั้นก็คือศรัทธาพละพร้อมทั้งวิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา แต่จริงๆ แล้ว ขั้นนั้นเพียงแค่เป็นอินทรีย์ ยังไม่ถึงความเป็นพละ ต้องอีกระดับหนึ่ง

    อ.ธิดารัตน์ ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงสติโดยสภาพของความเป็นอินทรีย์ คือเป็นใหญ่ในกิจหน้าที่ ก็คือขณะที่สติระลึกลักษณะของสภาพธรรม ในขณะนั้นในขณะที่มีลักษณะของสภาพธรรมปรากฏ แล้วก็สติทำกิจ ขณะนั้นปัญญาก็ทำหน้าที่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ แต่ขณะนั้นก็เหมือนกับมีแค่เพียงสภาพธรรมที่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าปัญญาน้อยหรือมาก กว่าทั้งศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิจะเกิดได้ต้องอาศัยปัญญาที่ได้สะสมมาแล้วเป็นปัจจัย เพราะฉะนั้นปัญญาที่สะสมแล้วเป็นปัจจัยให้ลักษณะนั้นปรากฏ และสติขณะนั้นก็เป็นใหญ่คือเป็นอินทรีย์ สามารถที่จะไม่ใช่เพียงแค่ฟังแล้วเข้าใจ แต่สามารถที่จะรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมนั้น เพราะฉะนั้นในขั้นต้นๆ สติ หรืออินทรีย์ หรือศรัทธาขณะนั้นก็ยังไม่เป็นพละ แต่เป็นอินทรีย์

    อ.ธิดารัตน์ ก็เหมือนกับค่อยๆ ที่จะเข้าใจไปเรื่อยๆ และสภาพธรรมก็ปรากฏกับปัญญาไปเรื่อยๆ เมื่อปัญญามีกำลังเพิ่มขึ้นๆ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะน้้นไม่รอ ไม่หวัง ไม่คอย แต่เข้าใจ ค่อยๆ เข้าใจขึ้นในความเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นพฤติกรรมคำพูดการกระทำทั้งหมด ส่องถึงว่ามีความเข้าใจความเป็นอนัตตามากน้อยเพียงใด

    ผู้ฟัง การศึกษาตรงนี้จะทำให้ฟังด้วยความคิดเอง ด้วยความเหมือนกับไม่ละเอียด แล้วธรรมยาก และลึกซึ้ง ก็ยิ่งทำให้ยากมากๆ ขอความกรุณาท่านอาจารย์ย้ำพวกเราว่าไม่ใช่เช่นนั้น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นฟังธรรมต้องละเอียด ที่มีคนบอกว่ามีศรัทธาที่จะฟังเรื่องเห็นหรือยัง ในความคิดของผู้นั้น เพราะเหตุว่าการฟังก็มีการฟังหลายเรื่อง แต่ในเรื่องของเห็นเดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็น มีศรัทธาที่จะฟังให้เข้าใจเรื่องเห็นหรือยัง นี่ก็เป็นคำถามได้ เพื่ออะไร เพื่อให้คนที่กำลังฟังเดี๋ยวนี้รู้ว่าอยากรู้อะไร อยากรู้หมดเลยในพระไตรปิฎก โพชฌงค์หรืออะไร หรือว่าแม้แต่ที่จะเข้าใจเรื่องเห็นยิ่งขึ้น เพื่อที่จะได้รู้ว่าเห็นไม่ใช่เรา คำถามนี้คนที่ฟังอาจจะคิดเช่นนี้ก็ได้ และอีกประการหนึ่งก็คือว่ามีศรัทธาที่จะเข้าใจเห็นที่กำลังเห็นหรือยัง นี่ต่างกันแล้ว เพราะเหตุว่าขั้นแรกมีศรัทธาที่จะฟังเรื่องเห็นหรือยัง อาจจะอยากฟังเรื่องอื่นไม่ใช่เรื่องเห็น แล้วต่อจากนั้นก็คือว่าเมื่อได้ฟังเรื่องเห็นแล้ว มีศรัทธาที่จะเข้าใจเห็นที่กำลังเห็นหรือยัง นี่ต่างกันแล้วใช่ไหม เพราะว่าบางคนมีเพียงศรัทธาจะฟังเรื่องเห็น พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เห็นไม่เที่ยง ได้ยินไม่เที่ยง ทุกอย่างไม่เที่ยง ก็อยากจะฟังเรื่องนี้ แต่ว่าถึงศรัทธาที่จะเข้าใจเห็นที่กำลังเห็นหรือยัง

    เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตามที่กำลังเริ่มเข้าใจเห็น ต่างกันแล้วใช่ไหม ไม่ใช่ฟัง ฟังแล้วเข้าใจแล้ว และขณะนั้นก็มีศรัทธาคือขณะใดก็ตามที่เริ่มจะเข้าใจเห็นที่กำลังเห็น หมายความว่าขณะนั้นไม่มีการใส่ใจในสิ่งอื่น ไม่มีความติดข้อง ที่จริงถ้าจะกล่าวว่านิมิตอนุพยัญชนะก็ได้ เพราะเหตุว่าเห็นเป็นสิ่งที่มีจริงเป็นธาตุรู้ แต่ว่าถ้าเราพูดถึงรูปใดๆ สิ่งใดๆ ก็ตาม หรือว่านิมิตของสิ่งนั้นหมายความว่าสิ่งนั้นเกิดดับ ไม่ได้ปรากฏการเกิดดับ แต่การสืบต่อทำให้ปรากฏเป็นนิมิตของลักษณะนั้น เช่น เห็นเดี๋ยวนี้เกิดดับแล้ว เป็นเพียงนิมิตว่าเห็นมี กำลังเห็น ซึ่งความจริงเห็นแต่ละหนึ่งขณะ เกิดแล้วดับแล้วอยู่ตลอดเวลา

    เพราะฉะนั้นไม่ใช่เพียงฟังเรื่องเห็น แต่มีศรัทธาที่จะเข้าใจเห็นหรือยัง ถ้าไม่มีการฟังเรื่องเห็นให้เข้าใจเลย จะไม่มีศรัทธาที่จะเข้าใจเห็นที่กำลังเห็น เพราะฉะนั้นไม่ใช่เพียงหวังหรือต้องการ แต่รู้ว่าขั้นฟังเรื่องเห็น ยังไม่ใช่การเข้าใจเห็นซึ่งกำลังเกิดดับ เพราะฉะนั้นกว่าจะถึงการที่สามารถที่จะมีปัจจัยที่จะทำให้ไม่ใช่เพียงฟังเรื่องเห็นซึ่งกำลังเห็น แต่กำลังเริ่มเข้าใจเห็นที่กำลังเห็นแม้ในขณะที่ฟัง เพราะฉะนั้นขณะนั้นที่จะรู้ว่ามีศรัทธาไหม ที่จะเข้าใจเห็นที่กำลังเห็น ถ้าขณะนั้นเริ่มที่จะเข้าใจธาตุรู้ที่กำลังเห็น เป็นธาตุที่มีจริงๆ กำลังรู้ คือเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ แม้เพียงเท่านี้กว่าจะไปถึงขั้นต่อๆ ไปที่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา เพียงเห็นเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ก็ยาก เพราะเหตุว่าเพียงแต่ขณะนั้นเริ่มเป็นศรัทธา ซึ่งเป็นสัทธินทรีย์ ยังไม่ใช่ศรัทธาพละ

    เพราะฉะนั้นแม้ว่าจะได้ฟังเช่นนี้บ่อยๆ เริ่มเข้าใจเห็นหรือไม่ ต้องเป็นผู้ที่ตรง เพราะฉะนั้นแค่นี้ไม่พอ ต้องทรงแสดงพระธรรมมากมายหลากหลายที่จะรู้ว่าเห็นเป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง เพราะเห็นมีจริง และเห็นตลอดทุกชาติไม่ว่ากี่ชาติ แล้วจะเมินไม่สนใจที่จะเข้าใจเห็นให้ถูกต้อง แล้วเมื่อใดจะรู้ความจริง เพราะฉะนั้นสิ่งใดก็ตามที่มีจริงในชีวิตมากๆ ไม่ขาดเลยก็คือเห็น แล้วก็ไม่ได้เห็นตามความเป็นจริงว่าเห็นเกิดขึ้นเห็นแล้วดับ ขณะได้ยินไม่ใช่เห็นแล้ว ขณะคิดนึกก็ไม่ใช่เห็น เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้ความจริงเช่นนี้ อาศัยการฟังเพื่อที่จะได้เป็นปัจจัยให้เห็นความจริงว่า เห็นเป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่งไม่ใช่อย่างอื่น ไม่ใช่รูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏ แม้ว่าสิ่งที่ปรากฏก็เป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง แต่ก็ไม่ใช่ด้วยความยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ตามที่เคยปรากฏรูปร่างสัณฐานต่างๆ

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรมไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องคิดอะไรมากกว่าที่ได้ฟังด้วย แต่เข้าใจคำที่ได้ยินเพิ่มขึ้นๆ มั่นคงขึ้น เพราะฉะนั้นก็จะสามารถรู้ได้ แม้แต่ข้อความที่กล่าวถึงโสตาปัตติยังคะ องค์ธรรมที่จะทำให้ถึงความเป็นพระโสดาบัน เพราะเหตุว่าพระโสดาบันเป็นพระอริยบุคคล อบรมเจริญปัญญาดับกิเลสซึ่งดับยากมากอยู่ในใจมานานแสนนาน เพราะฉะนั้นก็ต้องมี ลองคิดดู อยากทราบถึงองค์ของธรรมที่จะทำให้เป็นพระโสดาบัน หรือว่าเดี๋ยวนี้เป็นเช่นนั้นหรือยัง หรือว่าเดี๋ยวนี้เป็นเช่นนั้นหรือไม่ เช่นข้อที่ ๑ ขอเชิญคุณธีรพันธ์

    อ.ธีรพันธ์ ข้อที่ ๑ การคบสัตบุรุษ

    ท่านอาจารย์ สัตบุรุษคือใคร ใช่ไหม ไม่ใช่เวลาที่บอก ก็สัตบุรุษ ชื่อว่าสัตบุรุษ ไปหาสัตบุรุษ คนนี้เขาว่าเป็นสัตบุรุษ เพราะฉะนั้นสัตบุรุษคือใคร

    อ.ธีรพันธ์ สัตบุรุษคือผู้ที่มีธรรมเครื่องสงบจากกิเลส สูงสุดก็คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ เป็นคำแปล แต่ว่าทั้งหมดคือปัญญาหรือไม่ สรุปย่อๆ สั้นๆ ที่สุด ฟังธรรมเพื่ออะไร ฟังเพื่อเข้าใจ เพราะฉะนั้นคำที่ทำให้เข้าใจ ทุกคำเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นสัตบุรุษยิ่งกว่าสัตบุรุษก็คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นคำใดที่เป็นคำของสัตบุรุษที่สามารถที่จะทำให้เข้าใจได้ ก็เหมือนกับคบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยคบคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นพูดถึงเรื่องนี้เพื่ออะไร เป็นเช่นนี้หรือยัง เป็นเช่นนี้หรือไม่ ให้เป็นผู้ที่ตรงที่จะสอบสวนว่าถ้าเป็นคำจริงวาจาสัจจะ ก็พูดถึงสิ่งที่กำลังมีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่พูดถึงเรื่องอื่น และเมื่อพูดแล้วก็สามารถที่จะทำให้ผู้ฟังเริ่มเข้าใจ เริ่มไตร่ตรองตามกำลังของการสะสมว่าสะสมมาเพียงใด

    เพราะฉะนั้นไม่ใช่ให้เราไปนั่งหา นั่งท่องข้อ ๑ ทั้งๆ ที่ก็กำลังฟัง ก็จะไปนั่งคิดว่าอย่างไร เราต้องไปทบทวนกี่ข้อ แต่ว่าเพื่อจะรู้ความจริงว่าเดี๋ยวนี้แค่ไหน แค่นี้ที่ ๑

    ที่ ๒ คืออะไร

    อ.ธีรพันธ์ ฟังธรรมของท่าน

    ท่านอาจารย์ ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้แน่นอน ข้อที่ ๒ แล้วไม่ต้องไปหาอีกใช่ไหม ใครพูดก็รู้ ก็กำลังมีอยู่แล้ว แต่จะครบหรือไม่เท่านั้นเอง เพื่อเป็นการให้มีความเข้าใจที่มั่นคงว่าเหตุที่จะให้ถึงความเป็นพระโสดาบัน ไม่ใช่ขาดข้อหนึ่งข้อใด แต่ครบหรือยัง

    ข้อ ๓ คืออะไร

    อ.ธีรพันธ์ พิจารณาธรรมโดยแยบคาย โดยถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม ฟังแล้ว นานาความคิด คิดเรื่องอื่นมากมาย นอกเรื่อง ใช่ไหม แต่ไม่ใช่เข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง เพราะฉะนั้นนอกเรื่องไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นจะเข้าใจสิ่งที่กำลังฟังได้เท่าไร เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นผู้ที่รู้ตัวเองจริงๆ กำลังฟังอะไร เข้าใจคำนั้น ฟังเรื่องศรัทธาเข้าใจเรื่องศรัทธา ฟังเรื่องศรัทธาแล้วก็สัทธินทรีย์ ต่างกันแล้วใช่ไหม แล้วยังถึงศรัทธาพละ นี่คือการฟังให้เข้าใจคำที่ได้ฟัง ไม่ใช่ว่าเพียงได้ยินแล้วก็คิดเองหมด เดี๋ยวนี้เป็นเช่นนั้นหรือยัง เมื่อใดจะเป็นเช่นนี้ ขั้นใดเป็นเช่นนั้น นี่คือคิดเอง แต่ว่าตามความเป็นจริงก็คือว่าศรัทธาเป็นโสภณสาธารณเจตสิก ขณะใดที่เป็นกุศลแม้เล็กน้อยขณะนั้นก็เพราะมีศรัทธา แต่ศรัทธานั้นไม่ใช่อินทรียะ เพราะเหตุว่ายังไม่ถึงพร้อมต่อการที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม แม้ว่าได้ฟัง เห็นเกิดดับ เห็นเป็นสภาพธรรมที่เป็นธาตุรู้ แค่คำว่าธาตุรู้ก็ยากแล้วใช่ไหม เพราะว่าตลอดชาติไม่ว่ากี่ชาติสนใจสิ่งที่ปรากฏเพราะจิตรู้ โดยไม่คิดถึงจิตเลย อะไรที่ทำให้สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ปรากฏได้ เป็นแจกัน เป็นดอกไม้ เป็นอะไรต่างๆ ลืมว่าเพราะจิตทั้งนั้น ถ้าไม่มีธาตุรู้ซึ่งรู้ เกิดดับสืบต่ออย่างละเอียดยิ่ง สิ่งต่างๆ ขณะนี้ก็จะปรากฏอย่างที่ปรากฏเหมือนทุกวันที่ยังไม่เคยฟังธรรมไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็ไม่รู้อะไรเลย ฟังแล้วก็ลืม จิตเป็นอย่างไรขณะนี้ มีอะไรที่ไปเริ่มที่จะค่อยๆ จะสามารถชำระกิเลสเพราะรู้ขึ้นบ้างหรือไม่ ก็ไม่ได้สนใจ

    เพราะฉะนั้นถึงฟังแล้วก็สะสมมามากมายที่จะติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นเสียง ไม่ว่าจะเป็นกลิ่น ไม่ว่าจะเป็นรส ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวต่างๆ ลืมว่าทั้งหมดเพราะจิตซึ่งเกิดดับสืบต่อตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้นฟังให้เข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง ไม่จำเป็นต้องไปคิดอะไรเอง ถ้าคิดเองไม่มีทางที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง เพราะฉะนั้นพิจารณาแยบคายใช่ไหม

    อ.ธีรพันธ์ โยนิโสมนสิการ พิจารณาธรรมโดยแยบคาย

    ท่านอาจารย์ เราหรือไม่ เพราะฉะนั้นเป็นผู้ที่ตรง ปฏิบัติธรรมหรือยัง

    อ.ธีรพันธ์ ปฏิปัตติ ถึงเฉพาะสภาพธรรมที่ได้ยินได้ฟังตรงตามความเป็นจริง

    ท่านอาจารย์ เพื่อธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ธัมมาคือนิพพาน อริยสัจ อนุธัมมคือธรรมที่คล้อยตามต่อการที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ธัมมานุธัมมปฏิบัติ แต่ถ้าไม่มีการฟังเลยไม่มีทางที่จะมีการเริ่มรู้ และเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ได้ยินได้ฟังมา ไม่รู้ว่ากี่ชาติก็ได้ แต่ว่าชาตินี้ก็มีโอกาสที่จะได้ฟัง มีโอกาสที่จะพิจารณาว่าเมื่อฟังแล้วเข้าใจเพียงใด และถึงขณะที่เป็นธัมมานุธัมมปฏิบัติคืออนุธัมม ปฏิบัติเพื่อรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ตั้งแต่ขั้นฟัง ปริยัติ รอบรู้เข้าใจจริงๆ ธรรมทั้งหมดสอดคล้องกันตรงกัน ค้านกันไม่ได้ เพราะว่าเป็นสิ่งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้งด้วยพระองค์ทรงตรัสรู้

    เพราะฉะนั้นขณะนี้ถ้าไม่มีการฟัง และเข้าใจจะไม่ถึงแน่ เพราะฉะนั้นขณะนี้ทุกท่านที่ได้ฟัง ก็รู้จักตัวเองมีปัญญาของตนเอง ข้อสำคัญที่สุดไม่ถามใคร เพราะว่าไตร่ตรองเข้าใจว่าสิ่งใดถูกต้องสิ่งใดผิด และถ้ายังไม่มีความเข้าใจที่ละเอียดชัดเจนก็ซ้ำอีกได้ในสิ่งที่ได้ฟังนั่นเอง แต่ไม่ใช่ไปคิดเองมากมาย เพราะสิ่งที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้แล้วทั้งหมดเกื้อกูลต่อการที่จะให้น้อมไปสู่หรือดำเนินไป หรือไปถึงการที่จะดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท

    อ.คำปั่น กราบเรียนท่านอาจารย์ว่าความสะอาดทางกาย ความสะอาดทางวาจาความสะอาดทางใจ เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวันอย่างไรครับ

    ท่านอาจารย์ ฟังธรรมเพื่อให้ใจสะอาดใช่ไหม หรือว่าฟังธรรมเพื่ออะไร ฟังเพราะอยากจะเข้าใจว่าพระสูตรนี้กล่าวไว้เช่นนี้ นิวรณ์ ๕ อะไรบ้าง ชื่อต่างๆ หรือว่าฟังธรรมเพื่อเข้าใจว่าก่อนฟัง หรือแม้ว่ายังฟังอยู่เรื่อยๆ ใจสะอาดเพียงใด นี่เป็นสิ่งซึ่งทุกคำ แม้แต่คำว่าสะอาดก็ต้องรู้ว่าไม่มีอะไรที่จะทำให้ใจสะอาดได้ นอกจากความเข้าใจธรรม

    ด้วยเหตุนี้ต้องเป็นผู้ที่รู้ตัวก่อน เป็นผู้ที่ใจไม่สะอาด ถ้าไม่รู้ตัวจะไม่มีการฟังธรรม แล้วก็ไม่เห็นโทษว่าใจไม่สะอาด ยิ่งกว่ากาย และอะไรๆ ที่ไม่สะอาด เพราะฉะนั้นหนทางเดียวที่จะฟังธรรมให้เข้าใจ ก็คือให้รู้ตามความเป็นจริงว่าก่อนหรือเมื่อใดก็ตาม ใจสะอาดหรือยัง ถ้าสะอาดแล้วหมดแล้วไม่มีกิเลสใดๆ เหลือเลย ก็ยังฟังธรรมสำหรับพระอรหันต์ เพราะว่าจะให้ท่านทำอะไร นอกจากมีความเข้าใจพระธรรมโดยการไปเฝ้าฟังพระธรรมที่ท่านไม่สามารถที่จะรู้ได้ด้วยตัวเอง

    ด้วยเหตุนี้แม้พระอรหันต์ยังฟังธรรม เพราะว่าท่านไม่สามารถที่จะรู้ธรรมทั้งหมดได้ด้วยตัวของท่านเอง แล้วเราเป็นใคร ต้องไม่ลืมประโยคนี้เลย แล้วเราเป็นใคร เวลาพูดถึงใจแต่ละคนจะรู้ ถ้าไม่ได้ฟังธรรมคิดว่าใจสะอาด ไม่เห็นโลภ ไม่โกรธ ไม่ได้ทำอะไรที่ทุจริต แต่ว่าเมื่อได้ฟังแล้วจะรู้เลยว่าไม่สะอาดอย่างยิ่งมานานแสนนาน แล้วก็จะไม่สะอาดมากขึ้นอีก ถ้าไม่มีการที่จะเข้าใจความจริงของสภาพธรรม ซึ่งทั้งหมดอยู่ที่ใจไม่ว่าจะเป็นอะไรทั้งสิ้น เรื่องราวทั้งหมดอยู่ที่ใจ สุขทุกข์ฺอยู่ที่ใจ ดีชั่วอยู่ที่ใจ

    เพราะฉะนั้นมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เพื่อชำระจิตให้สะอาด เท่านี้ก็จะเห็นได้ว่าการฟังพระธรรม ประโยชน์จริงๆ คือจากความไม่รู้ แล้วก็มีอกุศลมาก ก็ค่อยๆ รู้ ถ้าไม่รู้อยู่ต่อไปโดยไม่ค่อยๆ รู้ขึ้น ก็ยิ่งหมักหมมสะสมความไม่สะอาดขึ้น เพราะฉะนั้นความเข้าใจจริงๆ ไม่ต้องคิดถึงอะไรทั้งหมด แม้ว่าจะมีคำมากมายในพระไตรปิฎก แต่ทั้งหมดก็เพื่อให้เข้าใจถูก จะพูดเรื่องนิวรณธรรม สำรวจดูแล้ว ตรวจดูแล้ว พิจารณาดูแล้ว ได้แก่อกุศลทั้งหมด


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 194
    2 มี.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ