พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 911


    ตอนที่ ๙๑๑

    ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๗


    อ.วิชัย การศึกษาธรรมได้ยินได้ฟังคำใด หรือคำว่า "ขันธ์" การที่จะเข้าใจถูกต้องเป็นการเริ่มต้น คืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ สมมติว่า ได้มีโอกาสถามวชิราภิกษุณี แล้วท่านกล่าวอย่างนี้ คนที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง มีโอกาสเข้าใจ หรือไม่ในคำที่ท่านกล่าว ขอให้ทบทวนอีกครั้งหนึ่งในคำของท่านตรงๆ เลย

    อ.วิชัย วชิราภิกษุณีได้กล่าวกับมารผู้มีบาปว่า "ดูกรมารเพราะเหตุไรหนอ ความเห็นของท่านจึงหวนกลับมาว่าสัตว์ ในกองสังขารล้วนนี้ ย่อมไม่ได้นามว่าสัตว์เหมือนอย่างว่า เพราะประกอบด้วยส่วนประกอบทั้งหลายเข้า การเรียกว่ารสย่อมมีฉันใด เมื่อขันธ์ทั้งหลายยังมีอยู่ การสมมติว่าสัตว์ย่อมมีฉันนั้น ความจริงทุกข์เท่านั้นย่อมเกิด ทุกข์เท่านั้นย่อมตั้งอยู่ และเสื่อมสิ้นไป นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ"

    ท่านอาจารย์ ถ้าได้ฟังคำนี้ด้วยตัวเอง ถามวชิราภิกษุณี และท่านตอบอย่างนี้ คนที่ไม่เคยได้ฟังธรรมเลยจะเข้าใจ หรือไม่ ไม่มีทางเลยสักคำแม้แต่คำว่า"สังขารธรรม" หรือแม้แต่คำว่า "ขันธ์" ก็จะไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้นแสดงว่าบุคคลในครั้งโน้น กล่าวคำซึ่งบุคคลนั้นเข้าใจ แล้วก็พูดกันในระหว่างคนที่เข้าใจ ถ้าเวลานี้จะถามท่านผู้ฟังเรื่องขันธ์ ก็ตอบได้เพราะได้ฟังแล้วใช่ไหม แต่คนที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังเลย บอกว่า "ขันธ์" หรือ "สังขารธรรม" เขาไม่มีทางที่จะเข้าใจได้เลย เพราะฉะนั้นก่อนอื่นต้องรู้ว่า ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด กว่าจะถึงวชิราภิกษุณีที่ท่านจะกล่าวคำนี้ได้ ท่านไม่ได้กล่าวโดยความไม่เข้าใจ ท่านไม่ได้กล่าวโดยเพียงจำเท่านั้นเอง แต่ว่าทุกคำมาจากใจของท่าน ซึ่งเข้าใจคำนั้นๆ จึงกล่าวคำนั้นๆ ได้ ไม่ใช่เพียงแต่ได้ยินได้ฟังคำนี้หมายความว่าอะไรเท่านั้น แต่ต้องเป็นความเข้าใจของบุคคลนั้น

    เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่าเรื่องของธรรม เป็นเรื่องของความเข้าใจจริงๆ และโดยส่วนใหญ่ถ้าไม่ศึกษาโดยความละเอียดด้วยความตรง ก็จะไม่รู้ว่า ธรรมอยู่ที่ไหน คืออะไร ขันธ์อยู่ที่ไหน คืออะไร ได้ยินแล้วก็ไม่รู้ แต่เวลานี้ พระธรรมที่ทรงแสดง แสดงให้เข้าใจสิ่งที่มีแล้วเดี๋ยวนี้ เห็นหรือไม่ ไม่ต้องไปหาที่ไหน ไม่ต้องไปคิดคำแปลด้วย แต่ว่าสิ่งที่เคยมีแล้ว และกำลังมีในขณะนี้ ไม่เคยเข้าใจถูก ไม่เคยเห็นถูกเลย เพราะฉะนั้นจึงต้องอาศัยการฟังด้วยการเริ่มเข้าใจถูกต้องว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังมีในทุกๆ ขณะ ที่มีแล้วตั้งแต่เกิด แต่ไม่เคยรู้เลยสักอย่างเดียวว่า นี่แหละเป็นสิ่งที่ไม่รู้ จึงควรรู้ในสิ่งที่มี ไม่ใช่ไปพยายามทำให้รู้ในสิ่งซึ่งยังไม่มี แต่เดี๋ยวนี้ไม่ว่าอะไรก็ตามที่มีแล้ว และกำลังมี พระผู้มีพระภาคทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มี เพื่อที่จะให้เข้าใจว่าทุกอย่างที่มีแล้วไม่รู้ หรือรู้แล้ว ก่อนฟังไม่รู้เลย เพราะฉะนั้นทั้งๆ ที่มีก็ไม่รู้ ทุกอย่างที่มีแล้วไม่รู้ คือ สิ่งที่ทรงแสดง เช่น เห็นเดี๋ยวนี้มี ได้ยินเดี๋ยวนี้มี คิดเดี๋ยวนี้มี ทุกอย่างที่มีแล้วเดี๋ยวนี้ แล้วไม่เคยเข้าใจเลย ว่าความจริงของสิ่งที่มีนั้นคืออะไร ด้วยเหตุนี้การฟังต้องเริ่มต้นว่าฟังให้เข้าใจสิ่งที่เคยมี และกำลังมี และต่อไปก็จะเป็นอย่างนี้ ให้เข้าใจโดยที่ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนเลยทั้งสิ้น

    เคยได้ยินคำว่า "อุปทานขันธ์"แล้วสำหรับผู้ที่ฟัง "ขันธ์" คือสภาพธรรมซึ่งเกิด ถ้าไม่เกิดไม่ปรากฏว่ามี เพราะฉะนั้นการที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดจะเกิดได้ ไม่ใช่เกิดได้ลอยๆ อยู่ดีๆ ก็เกิดขึ้นมา แต่ต้องมีปัจจัยเฉพาะที่จะให้สิ่งนั้นเกิดเป็นสิ่งนั้นไม่เป็นสิ่งอื่น เพราะฉะนั้น ขณะนี้สิ่งที่มีจริงชั่วคราวแสนสั้น แม้ว่าจะปรากฏเสมือนว่าไม่ได้ดับไปเลยยังมีอยู่ตลอดเวลา เช่น "เห็น" ความจริง "เห็น" เกิดแล้วเห็นดับ ฟังก่อน แล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละน้อยว่าไม่ต้องไปคิดถึงอย่างอื่น คิดถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เพื่อที่จะให้เข้าใจว่าพระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้วไม่รู้ความจริง จึงยึดถือสิ่งนี้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด และยึดถือว่าเป็นเรา จริงหรือไม่

    เพราะฉะนั้น ได้ยินคำว่า "อุปาทานขันธ์" ในภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาไทย แต่เป็นคำที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงตรัสด้วยพระองค์เอง "อุปาทานขันธ์" ขันธ์ซึ่งเป็นที่ตั้งของความยึดถือว่าเป็นเรา เป็นตัวตน หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็คือเดี๋ยวนี้ "เห็น"นั่นเอง เราเห็นใช่ไหม ไม่ต้องไปหาอุปาทานขันธ์ที่ไหน ได้ยินคำไหนให้รู้ความจริงว่ากำลังกล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เอง ให้เข้าใจถูกต้อง ใครไม่ยึดถือ"เห็น"เดี๋ยวนี้ว่าเป็นเราเห็นบ้าง ไม่มีใช่ไหม "ได้ยิน" ดับแล้ว แต่ว่าขณะที่ "ได้ยิน" ก็เป็นเราได้ยินไม่ใช่คนอื่นได้ยิน เพราะฉะนั้นอุปาทานขันธ์ทั้งหมด เติมเข้าไปอีกนิดหนึ่งจากคำว่าขันธ์คือสิ่งที่มีกำลังปรากฏเพราะเกิดขึ้น แม้ว่าเกิดแล้วก็ดับไปก็ไม่ได้ประจักษ์ความจริง จึงยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง

    คุณวิชัยนั่งอยู่ที่นี่ เห็น หรือไม่ ยังไม่เห็นดับไปเลย แล้วบางคนก็สงสัยว่า แล้วคุณวิชัยดับแล้วหายไปได้อย่างไร ไม่ใช่อย่างนั้น ต้องละเอียด และต้องฟังให้รู้ความจริงว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีจริงๆ ไม่ได้สับสนไม่ได้ปะปนกัน สิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้เป็นใครไม่ได้ เป็นดอกไม้ไม่ได้ เป็นคุณวิชัยไม่ได้ เป็นโต๊ะเป็นเก้าอี้ไม่ได้ ความจริงก็คือว่าเพียงปรากฏว่ามีเมื่อจิตเห็นเกิดเท่านั้นแล้วก็ดับไป ไม่เหลือเลยด้วยกว่าจะถึงการที่เข้าใจจริงๆ ว่าเป็นธรรม เพียงคำเดียว ได้ยินบ่อยๆ ว่าเป็นธรรม แต่ก็ยังไม่ถึงความเป็นธรรม ก็ยังเป็นคุณวิชัยใช่ไหม เพราะฉะนั้น ฟังแล้วก็ลืมว่ากำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริง ซึ่งสิ่งที่มีจริงนั่นเป็นธรรม แล้วก็ไม่ใช่ว่าเราจะรีบร้อนไปรู้ แต่เพียงเข้าใจว่า"ขันธ์"คือสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ แล้วก็เป็นที่ตั้งของความยึดถือด้วย

    เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดง ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ ให้มีความเข้าใจถูก ให้มีความเห็นถูก เพื่ออะไร เพื่อละอุปาทาน การยึดถือสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้น แม้แต่"อุปาทานขันธ์"ก็ไม่ใช่ชื่อที่เราจะต้องไปจำว่าขันธ์ ๕ ทั้งหมดเป็นอุปาทานขันธ์ทั้งนั้น เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เป็นอุปาทานขันธ์ ก็ไม่ต้องไปนั่งท่อง นั่งจำ นั่งคิด แต่เริ่มเข้าใจความจริงว่าสิ่งที่มีนี่แหละ เมื่อได้ยินคำว่า"ขันธ์" ในครั้งโน้นอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ แล้วก็ไม่ได้ฟังวชิราภิกษุณีด้วย ถึงฟังจะรู้ หรือไม่ ถ้าไม่มีการได้ฟังมาก่อน แต่ว่าตอนนี้ได้ฟัง และรู้ และเข้าใจแล้ว การศึกษาข้อความในพระไตรปิฏกต้องทราบว่า เป็นข้อความที่ผู้รู้กล่าวถึงสิ่งที่คนฟังเข้าใจ ไม่ใช่ว่าต้องตั้งต้นตั้งแต่แรกทีเดียว สำหรับคนที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังเลย ความจริงอาจจะเคยได้ยินแล้วในชาติไหนชาติหนึ่ง มิฉะนั้นคงจะไม่อยู่ตรงนี้ คงจะไปที่อื่น แต่ว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้ว ลางเลือนลืม ใช่ หรือไม่ เพราะว่ามีสิ่งอื่นแต่ละภพแต่ละชาติทับถมคำที่ได้ยินได้ฟัง ยังไม่ถึงการที่เมื่อได้ยินได้ฟังแล้วเข้าใจ เช่น เดี๋ยวนี้มีใครบ้างที่ไม่เข้าใจคำว่าขันธ์ ไม่มีใช่ หรือไม่ เพราะเคยได้ยินได้ฟังมาแล้วอาจจะก่อนนี้หลายครั้งแล้ว แต่ว่าเมื่อได้ยินอีกต้องทบทวน สามารถที่จะทำให้รู้ว่าศึกษาธรรมคือสิ่งที่มีจริงที่เกิดแล้วกำลังปรากฏ และไม่เคยรู้มาก่อนเลย เพราะฉะนั้น คือ"อุปาทาน"ยึดถือเห็นว่าเป็นเรา ฟังเพื่อเข้าใจถูกว่าเป็นธรรม ได้ยินไม่เคยรู้เลยว่าเป็นเพียงสภาพธรรมที่มีปัจจัยเกิดแล้วดับไป แต่ก็ยึดถือ อุปาทานยึดถือมานานแสนนาน เพราะฉะนั้น ฟังเพื่อละการยึดถือ เพราะมีความเข้าใจถูกความเห็นถูกในสิ่งที่มี แล้วลองคิดดู กว่าจะหมดการยึดถือ เมื่อวานนี้ยึดถือมาก หรือไม่ ประมาณไม่ได้เลยแค่วันเดียว และวันก่อนๆ แล้วตั้งแต่เกิดมา และก็ต่อไปอีกข้างหน้า เพราะฉะนั้น การที่จะละอุปาทานการยึดถือ ไม่ใช่สามารถที่จะเป็นไปได้โดยรวดเร็ว

    เมื่อวานนี้ กล่าวถึงเรื่องการชำระจิต เพราะเหตุว่าเราได้ยินบ่อยๆ ละชั่ว ก็รู้จัก ทำดีก็รู้จัก แต่ยังมีข้อความต่อไปอีกว่า ชำระจิตให้บริสุทธิ์ คิดถึงจิตเดี๋ยวนี้ หรือไม่ จิตของแต่ละคน จิตทั้งนั้น ศึกษาธรรมคือศึกษาเรื่องจิตว่าจิตเต็มไปด้วยความไม่รู้ และยึดมั่น ยึดถือว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นเรา เพราะฉะนั้นกว่าจะมีความเข้าใจถูกในทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อวานนี้คิดอะไรบ้างทั้งหมดนั้นถ้าไม่รู้ก็เป็นอุปาทานขันธ์ ใช่ หรือไม่ เพราะว่าเป็นที่ตั้งของความยึดถือ และวันนี้อีก และก็ต่อไปอีก เพราะฉะนั้นกว่าจะได้มีความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมจริงๆ ก็ต้องรู้ว่าปัญญาไม่ใช่เรา ต้องไม่ลืม ศึกษาธรรมเดี๋ยวก็เรารู้ขึ้นอีก แต่ศึกษาเพื่อละการติดข้องในทุกอย่างว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด และเป็นเรา

    เพราะฉะนั้น แม้แต่เพียงคำว่าอุปาทานคำเดียวก็ประมาทไม่ได้ เพราะเหตุว่ามีมาก และจะละได้ คลายได้ ก็ด้วยความเห็นถูกความเข้าใจถูกที่เข้าใจจริงๆ ศึกษาธรรมไม่ใช่ไปเข้าใจอื่น แต่เข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่กำลังมีที่กำลังฟังในขณะนี้ จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น ว่านี่เป็นเพียงการเริ่มต้น

    อ.วิชัย "ขันธ์" ก็คือสิ่งที่มีจริงที่มีการเกิดขึ้น ขณะนี้ก็มีสิ่งที่มีจริงแล้วก็กำลังเกิดขึ้น ขณะที่ฟังก็เข้าใจ แต่ว่าหลังจากที่ท่านอาจารย์กล่าวจบแล้วก็เหมือนกับหลงลืมอีกแล้ว เมื่อกล่าวคำว่าขันธ์อีกก็เหมือนกับนึกเป็นชื่อ แต่เมื่อกล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ก็เข้าใจอีก

    ท่านอาจารย์ ได้ยินกี่คำ ได้ยินกี่ครั้ง เทียบกับในสังสารวัฎ เพราะฉะนั้น จะเห็นความอดทน ความตรง ความมั่นคง ว่าถ้าไม่มีการเข้าใจธรรมจริงๆ ว่าเป็นอย่างนี้ ความเป็นตัวตนก็พยายามหาทางลัด หาทางที่จะไปถึงอะไรก็ไม่รู้ แต่ว่าไม่ได้มีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่จะเห็นได้ว่า ยุคนี้ใกล้ที่พระธรรมจะอันตรธาน เพราะฉะนั้น ส่วนใหญ่ก็จะมีการให้ทำ ให้ประพฤติ ให้ปฏิบัติ แต่ว่าทุกแห่งที่ปฏิบัติไม่ได้มีความเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ และก็ไม่เข้าใจแม้แต่คำที่พูดด้วย "ปฏิปัตติ" ในภาษามคธี ภาษาบาลี "ปฏิ" แปลว่า เฉพาะ "ปัตติ" แปลว่าถึง ถึงเฉพาะสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่สิ่งที่ไม่มีจริง เพราะฉะนั้น ถึงเฉพาะด้วยอะไร ด้วยความไม่รู้ไม่มีทาง เพราะว่าขณะนี้เห็น กำลังเห็น ก็ไม่รู้ จะถึงลักษณะที่เป็นจริงคือเป็นสิ่งที่เกิดดับ และก็ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพียงเกิดขึ้นเห็นแล้วดับแล้วไม่เหลือเลย นี่คือการถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมแต่ละหนึ่งจริงๆ ด้วยความเห็นถูกด้วยความเข้าใจถูก จนกว่าจะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น "ปฏิปัตติ" ถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมแม้เพียงหนึ่ง ในขณะที่กำลังฟังยังไม่ถึงใช่ หรือไม่ เพราะไม่ใช่เราจะถึง แต่ต้องเป็นปัญญาที่มีความเข้าใจขึ้นแล้วไม่ลืม อย่างที่คุณวิชัยกล่าว ลืมแล้วจะไปถึงได้อย่างไร แค่ฟังแล้วก็ลืม ใช่ไหม แต่ถ้าไม่ลืม และก็มีความเข้าใจที่มั่นคงขึ้น คุณวิชัยไม่ต้องไปรอ หรือไปหวัง เพราะนั่นคือไม่เข้าใจธรรม แต่ถ้ารู้จริงๆ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดขึ้นเมื่อมีเหตุปัจจัยที่เหมาะควรเท่านั้น ขณะนั้นที่สภาพธรรมมีปัจจัยจะเกิดเข้าใจลักษณะของ"เห็น" ขณะนั้นจะไม่คิดถึง"ได้ยิน" จะไม่คิดถึงเรื่องเรามานั่งฟังกี่ชั่วโมง ลืมไปแล้ว เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่การที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ก็ต้องเป็นผู้ที่มั่นคงในความเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรม

    ปัญญาใครๆ ก็รู้ว่าประเสริฐ แล้วจะมีได้อย่างไร ประเสริฐแล้วอยู่ไหน มีอะไรที่จะไปมีปัญญาได้ ถ้าไม่รู้ว่าปัญญาก็คือความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ด้วยการฟัง แล้วเข้าใจขึ้น

    อ.วิชัย หมายความว่าเป็นความต่างกับการที่อาจจะเป็นผู้ที่กล่าวถึงที่ยกตัวอย่างว่าการกล่าวที่จะให้ประพฤติปฏิบัติโดยที่ยังไม่มีความรู้ความเข้าใจ ซึ่งต่างกับพระธรรมคำสอนที่จะแสดงตั้งแต่ต้น เป็นความเข้าใจตั้งแต่ต้น แต่ว่าการที่จะเข้าใจที่จะเจริญขึ้น ต้องมีความอดทนที่จะฟังมาก ใช่ หรือไม่

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้สภาพธรรมกำลังเกิดดับ รู้ได้ไหม แต่ไม่ใช่ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ ต้องมีความเข้าใจจากการฟัง ละคลายความเป็นเราที่หวัง ที่รอ ทั้งหมด ยาก หรือไม่ หวังมาไม่เคยขาดเลย เกิดมาเพราะหวัง แล้วก็ยังหวังต่อไป เพียงแค่เอื้อมมือไป หวัง หรือไม่

    อ.วิชัย หวังแต่ไม่รู้ว่าหวัง

    ท่านอาจารย์ แต่ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นก็เต็มไปด้วยความหวัง แล้วก็ยังหวังจะรู้สิ่งที่กำลังปรากฏที่กำลังเกิดดับด้วยความหวัง ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นคำใดที่ไม่ใช่คำจริงไม่ใช่คำของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ตรงกันข้าม เป็นคำของมาร ผู้ขัดขวาง ผู้ทำลายความเห็นถูกความเข้าใจถูก ซึ่งสามารถจะเห็นถูกได้ เข้าใจถูกได้ ถ้าได้ฟังพระธรรมจริงๆ ซึ่งเป็นเรื่องของความรู้ถูก และการละความยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวเรา

    อ.วิชัย พระธรรมคำสอนถึงกาลที่ใกล้ต่อการจะอันตรธาน หมายถึงความไม่รู้ หรือความที่กล่าวคลาดเคลื่อนว่าไม่ใช่คำสอนทั้งที่เป็นคำสอน

    ท่านอาจารย์ ขณะใดที่ไม่เข้าใจธรรม ธรรมก็อันตรธานใช่ไหม ธรรมอยู่ไหน ไม่เข้าใจ ธรรมคืออะไร ไปนั่งประพฤติปฏิบัติอะไร นั่นคือธรรม เพราะฉะนั้นความเป็นผู้ตรงต่อพระธรรม ต้องไม่ลืม "พุทธัง สรณัง คัจฉามิ อริยสาวิตรี ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ" มีใครเป็นที่พึ่ง มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง มีพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง คือพระอริยสงฆ์ ด้วยกายด้วยวาจาด้วยใจ จริง หรือไม่ เป็นผู้ตรง หรือเพียงกล่าวนมัสการด้วยกาย เมื่อสักครู่นี้กราบไหว้อัญชลีบูชาด้วยกายจบแล้ว ทำแล้วหมดแล้ว ด้วยวาจาก็มีการเปล่งคำนมัสการ ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วใจล่ะ เมื่อสักครู่นี้ด้วยกายแล้วใช่ไหม ด้วยวาจาแล้ว แล้วใจล่ะ นมัสการอย่างไรด้วยใจ กำลังมีใจกันทุกคน แล้วใจเดี๋ยวนี้นมัสการพระรัตนตรัยอย่างไร เห็น หรือไม่?คำถามธรรมดา แต่ถ้าไม่มีการเข้าใจ แล้วจะปฏิบัติอะไร เพื่อรู้อะไร นี่คือมาร หรือไม่ กั้นความเห็นถูก เป็นโทษอย่างยิ่ง แต่พระธรรมทุกคำ ลึกซึ้งเป็นจริง เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แล้วก็สามารถที่จะเข้าใจเมื่อสภาพธรรมนั้นกำลังปรากฏให้รู้ให้เข้าใจ แต่ต้องอาศัยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากการที่ได้ทรงตรัสรู้ และทรงแสดง เพราะฉะนั้นเวลานี้ นมัสการด้วยกายไม่สงสัย นมัสการด้วยวาจาก็ไม่สงสัย แล้วด้วยใจใครจะตอบ เห็น หรือไม่ ถ้าไม่มีการศึกษาธรรม เดี๋ยวนี้เราไม่ได้ยกมือขึ้นมากราบไหว้เลย แล้วก็ไม่ได้เปล่งวาจานมัสการด้วย แต่มีใจ เพราะฉะนั้น การจะบูชาพระรัตนตรัยด้วยใจ ก็คือเป็นผู้ที่ศึกษาพระธรรม เพื่อที่จะเข้าใจ เพราะว่าทรงแสดงธรรมเพื่อให้เข้าใจ แต่ถ้าไม่เข้าใจ ก็ไม่ใช่เป็นการกราบไหว้นับถือบูชาจริงๆ แต่ขณะใดที่เข้าใจขณะนั้นเริ่มที่จะบูชาพระรัตนตรัยด้วยใจ

    เพราะฉะนั้นจะขาดการศึกษาไม่ได้เลย แต่ก็เห็นได้ถึงความละเอียดของธรรมว่าทุกคนก็มีใจ แต่ใจของทุกคนคิดละเอียด หรือไม่ หรือว่าคิดจะมาฟังธรรมเท่านั้นเอง แต่ความละเอียดต้องละเอียดจนกระทั่งว่า ธรรมที่ได้ฟังต้องเข้าใจ ฟังเพื่อเข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังมีจริงๆ ด้วย เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตามที่มีการบูชาพระรัตนตรัยด้วยการฟัง คือการศึกษาให้เข้าใจพระธรรม นั่นคือบูชาด้วยการศึกษา แต่พระธรรมมีต่อไปเรื่อยๆ เพราะอะไร เพราะชีวิตไม่ได้จบสิ้น ก้าวไปก้าวไปเรื่อยๆ สิ่งใดก็ตามที่เกิดแล้วดับไปแล้วไม่กลับมาอีก แต่ขณะก่อน ก็ปรุงแต่งให้สภาพธรรมที่จะเกิดต่อไป เป็นไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่มีอยู่ในชีวิตประจำวันทุกชาติ เพราะฉะนั้นเราแต่ละคนที่นี่ก็ต่างกัน ทั้งรูปร่าง ทั้งความคิด ทุกสิ่งทุกอย่าง หรือแม้ความเข้าใจธรรม แต่ต้องไม่ลืมว่าถ้าจะเข้าใจพระธรรมจริงๆ ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด เพราะว่าพระธรรมละเอียดอย่างยิ่ง ไม่ใช่เพื่อความเป็นเรา ได้ฟังมานาน เก่ง หรือว่าเข้าใจข้อความมากมายในพระไตรปิฏก ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ฟังเพื่อที่จะรู้ความจริงว่าตั้งแต่ฟังมาจนถึงเดี๋ยวนี้วันนี้ ผลของการฟัง สังขารขันธ์คืออะไร

    เพราะฉะนั้น ข้อความที่มีต่อไปก็คือว่า ในชีวิตประจำวันเป็นเครื่องพิสูจน์ ประพฤติสิ่งที่สมควรที่เป็นประโยชน์ หรือไม่ ยังไม่ต้องไปถึงนิพพาน จิตที่เต็มไปด้วยขยะเป็นบ่อเกิดของเชื้อโรค เดี๋ยวไข้ก็กำเริบแล้ว แต่ว่าจะกำเริบมากกำเริบน้อยวาระไหน ก็เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นชีวิตประจำวันบ่ง และส่องถึงสภาพของจิต เคยได้ยินคำว่าร่างทรง หรือไม่ หมายความว่ามีรูปร่างกาย แต่ถ้าไม่มีจิตทำอะไรได้ไหม เพราะฉะนั้นจริงๆ ก็หมายความถึงจิตที่อยู่ที่กาย ทำให้กายเคลื่อนไหวไปต่างๆ ถ้าไม่มีจิต ก็ทำอะไรไม่ได้เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเป็นร่างทรงของกุศลจิต หรืออกุศลจิต เห็น หรือไม่ ทุกวันเป็นอย่างนี้ ก็เป็นเรา แต่ความจริงไม่ใช่ เพราะเป็นจิต เป็นเจตสิก เป็นรูป ซึ่งเกิดที่กาย แล้วก็มีการเคลื่อนไหวทางกาย ทางวาจา ด้วยกุศลจิต หรือด้วยอกุศลจิต หรืออัพยากตจิต ก็อยู่ตรงนี้ทั้งนั้น ไม่ต้องไปไหน เกิดคนเดียว เริ่มเห็นแล้วใช่ หรือไม่ คนเดียวนี้มีอะไรบ้าง มีจิต มีเจตสิก และมีรูปทุกวัน ใช่ หรือไม่ แล้วก็มีการคิดเป็นเรื่องราวต่างๆ

    เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า แม้ได้ฟังธรรมแล้ว ความเป็นไป ความเป็นอยู่ ความประพฤติการกระทำในชีวิตประจำวัน ประพฤติสิ่งที่สมควรที่เป็นประโยชน์ หรือไม่ มิฉะนั้นไม่ถึงอริยสัจธรรม พระนิพพานไม่มีทางเข้าใกล้ เพราะเหตุว่าไม่ได้เข้าใจจริงๆ ว่าเป็นธรรมฝ่ายกุศล หรือฝ่ายอกุศล และถ้ายังเต็มไปด้วยฝ่ายอกุศล ลืมละเลยความละเอียดแม้เล็กๆ น้อยๆ ที่จะเป็นกุศลได้ ก็คือเป็นผู้ประมาท เพราะฉะนั้นฟังไปประมาทไปๆ แล้วก็ไม่เข้าใจความละเอียด ก็เหมือนกับชาตินี้ก็เป็นชาติหนึ่งที่มีโอกาสได้ยินได้ฟัง แต่ว่าผลจริงๆ สังขารขันธ์จริงๆ ความเป็นผู้ละเอียดที่จะได้สาระจากพระธรรมอยู่ที่ชีวิตประจำวัน


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 194
    21 ก.พ. 2567

    ซีดีแนะนำ