พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 935


    ตอนที่ ๙๓๕

    ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๗


    ท่านอาจารย์ จะพูดเรื่องนิวรณธรรม สำรวจดูแล้ว ตรวจดูแล้ว พิจารณาดูแล้ว ได้แก่ อกุศลทั้งหมด โดยไม่ต้องมานั่งเรียกนั่งแบ่งว่ากามฉันทนิวรณ์ พยาปาทนิวรณ์ แต่ที่ทรงแสดงก็แสดงให้เห็นว่าลักษณะของสภาพธรรมลึกซึ้ง และหลากหลายมาก สภาพธรรมที่เป็นอกุศลแต่ไม่ใช่นิวรณ์ก็มี เดี๋ยวนี้เห็นแล้วไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ ความไม่รู้ก็เป็นอกุศล แต่ไม่ได้กลุ้มรุมจนกระทั่งขัดขวางกุศลทั้งหลาย เพราะว่าขณะนี้กำลังฟังธรรมเพื่อที่จะให้เข้าใจความจริง เพราะฉะนั้นแม้ว่าจะมีการเห็น แล้วก็มีกิเลสอย่างละเอียด แต่ก็ยังมีขณะที่ได้ยินได้ฟังเรื่องของธรรม แล้วก็สามารถจะชำระจิตให้สะอาดด้วยความค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    เพราะฉะนั้นประโยชน์จริงๆ ที่จะเข้าใจถูกต้องว่าจิตไม่สะอาดมานานแสนนาน เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะทำให้จิตผ่องใส ชำระให้สะอาดขึ้น ไม่ใช่ทันทีหมดเลย แต่คร้้งละเล็กครั้งละน้อย เมื่อใด เมื่อเข้าใจคำที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง

    อ.คำปั่น แม้ว่าจะกล่าวถึงความสะอาดทางกาย ความสะอาดทางวาจา ก็ต้องสืบเนื่องมาจากความเป็นผู้มีจิตใจที่สะอาด ได้ฟังที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ไม่มีอะไรที่จะชำระจิตใจได้นอกจากความเข้าใจพระธรรม ก็เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะว่าจิตใจก็เกิดขึ้นเป็นไป มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน แต่ก็สะสมในสิ่งที่เป็นอกุศลมามากมาย กราบเรียนท่านอาจารย์ต่อเนื่องว่าความเข้าใจพระธรรม จะเป็นเครื่องชำระจิตใจให้สะอาดอย่างไร และก็เป็นไปตามลำดับขั้นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ความไม่รู้ สะอาดไหม

    อ.คำปั่น ความไม่รู้ ไม่สะอาด

    ท่านอาจารย์ ความรู้สะอาดไหม

    อ.คำปั่น สะอาด

    ท่านอาจารย์ เวลานี้ความไม่รู้มากไหม

    อ.คำปั่น มาก

    ท่านอาจารย์ ความรู้มากไหม

    อ.คำปั่น น้อย

    ท่านอาจารย์ สะอาดเท่าไร ก็ให้รู้ตามความเป็นจริง ฟังธรรมเพื่อเข้าใจ และต้องไม่ลืม ปกติ พระธรรมทั้งหมดจะกล่าวถึงปกติ ไม่ว่าจะเป็นขณะใดก็ตาม เพราะว่าเกิดแล้ว แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าเกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไปแล้ว เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่มีมานานแสนนานด้วยความไม่รู้ ก็คือสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้แล้วก็ยังไม่รู้ จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น แล้วก็ลืมที่จะไปคิดเอง อย่าได้คิดเอง อาจจะใช้คำว่าบังอาจคิดเอง แต่ก็มีปัจจัยที่จะคิดช่วยไม่ได้ แต่ก็เตือนให้รู้ว่าคิดเองไม่ถูกแน่นอน ใครคิด คนที่มีปัญญาคิด หรือคนไม่มีปัญญาคิด เพราะฉะนั้นเราเป็นใคร ขณะที่คิด แต่คิดตามที่ได้ฟัง เป็นสิ่งที่มีประโยชน์กว่า ไม่ใช่คิดเกินนอกขอบเขต หรือว่าไปคิดเอง โดยที่ว่าไม่ใช่ตามสิ่งที่กำลังฟัง

    เพราะฉะนั้นทั้งหมดสิ่งที่มีจริง พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้โดยละเอียดอย่างยิ่งโดยประการทั้งปวง ไม่เหลืออะไรไว้ให้ใครต้องไปหาทางคิดเองอีก แต่ว่าถ้าได้ฟังพระธรรมแล้วก็มีโอกาสที่จะเข้าใจขึ้น นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เพราะรู้คุณจริงๆ ว่านอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วไม่มีใครเป็นที่พึ่ง

    อ.คำปั่น พึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือพึ่งด้วยการฟังคำของพระองค์ เป็นสิ่งที่ละเอียดจริงๆ สำหรับพระธรรมแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง โดยไม่คิดเอง จึงต้องฟัง ต้องศึกษาพระธรรม แล้วไตร่ตรองตามพระธรรมที่ได้ยินได้ฟัง

    ผู้ฟัง ธรรมลึกซึ้ง ความเข้าใจเข้าใจยาก สิ่งที่ได้ยินได้ฟังก็ล่อแหลมต่อการที่จะไปหาทาง หรือหาวิธีที่จะเข้าใจ เป็นตัวตน

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่ต้องหาทาง ไม่ต้องหาทางอื่น จะไปหาอะไรอีก เพราะว่าแม้ขณะนี้ ฟังเข้าใจขณะนั้นไม่ใช่เราทั้งหมด ตั้งแต่ได้ยินก็ไม่ใช่เรา คิดตามคำ หรือเสียงที่ได้ยินก็ไม่ใช่เรา กำลังเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กล่าวถึงก็ไม่ใช่เรา หรือแม้แต่เพียงเข้าใจเรื่องราวของคำที่ได้ยินก็ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้นไม่ต้องมีเราไปพิจารณาอีก แต่ให้เข้าใจว่าทุกขณะเป็นธรรม

    ผู้ฟัง ขณะที่พิจารณาก็เป็นธรรมที่กำลังพิจารณา

    ท่านอาจารย์ คุณชุณห์ฟังแล้วเข้าใจไหม ที่ได้ฟังมาแล้วเมื่อสักครู่นี้

    ผู้ฟัง เข้าใจเล็กน้อย

    ท่านอาจารย์ เข้าใจเล็กน้อย เพราะเหตุว่าขณะนั้นไม่ใช่คุณชุณห์ แต่ขณะนั้นไม่มีใครไปทำอะไรเลย จิต เจตสิก เกิดดับทำกิจจนขณะนั้นเข้าใจ จะน้อย หรือมาก ก็คือขณะนั้นจิต เจตสิก ก็ทำหน้าที่ของจิต เจตสิก นั้นๆ ขณะที่เข้าใจน้อยหรือขณะที่เข้าใจมาก ให้ทราบว่าทั้งหมดเป็นธรรม แม้เดี๋ยวนี้ แต่รู้ยาก จึงต้องฟังแล้วฟังอีกให้เข้าใจจริงๆ ว่าไม่ใช่เรา และไม่มีทางอื่น นอกจากเข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง เพราะว่าขณะที่กำลังเข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง ก็ไม่ใช่คุณชุณห์ จิต เจตสิก ต่างหากที่ฟังแล้วก็เข้าใจ และขณะที่ฟังก็ได้เข้าใจคำที่ได้ฟังด้วย เพราะฉะนั้นฟังอย่างเดียว แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ถ้ายังไม่เข้าใจ ก็ฟังอีกเพราะไม่ใช่คุณชุณห์ แต่เป็นสภาพธรรมคือจิต และเจตสิก ที่สะสมมาที่สามารถที่จะฟังด้วยความแยบคาย คือด้วยความถูกต้อง เพื่อละความหวังหรือความต้องการ ที่ไม่พอ ไม่พอ ไม่พอนั่นคือเราไม่พอ เพราะฉะนั้นก็ฟังเพื่อที่จะละความเป็นตัวตนด้วยการค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    ผู้ฟัง ก็ฟังอย่างเดียว สังขารขันธ์มีกำลัง แล้วก็จะสามารถเข้าใจได้

    ท่านอาจารย์ แล้วก็ไม่ลืมคำที่ว่า

    ผู้ฟัง ไม่ลืม

    อ.คำปั่น การฟังธรรม ก็คือฟังในสิ่งที่มีจริง เพื่อประโยชน์ก็คือเข้าใจความจริงของสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อนนั่นเอง

    ผู้ฟัง เป็นปกติคืออย่างไร และผิดปกติคืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ ภาษาไทยธรรมดา แล้วพอถึงธรรม ก็ไม่เข้าใจสิ่งที่เคยพูดเคยใช้ แสดงให้เห็นว่าตลอดชีวิตพูดคำที่ไม่รู้จัก ปกติคือเดี๋ยวนี้

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ย้ำตรงนี้ว่าเป็นปกติ ซึ่งใครที่ผิดปกติไป หรือยังไม่ใช่ปกติ จะได้รู้ตัวเองว่าผิดปกติแล้ว ประมาณนี้

    ท่านอาจารย์ ฟังธรรม ปกติหรือไม่

    ผู้ฟัง ปกติ

    ท่านอาจารย์ ทุกวันปกติหรือไม่

    ผู้ฟัง ปกติ

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่มีข้อสงสัยว่าปกติคืออะไร ให้ทราบว่าทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย ซึ่งไม่รู้เลย แม้แต่คิดเช่นนี้ แม้แต่สงสัยเช่นนี้ ก็คือปกติ เกิดแล้ว ปกติคือเกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้นกว่าจะมีความเข้าใจจริงๆ ว่าทุกคำที่ได้ยิน ก็คือชีวิตปกติประจำวัน เห็นก็เป็นปกติ คิดก็เป็นปกติ ทุกอย่างก็เป็นปกติ แต่ไม่รู้ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นผู้ที่เห็นประโยชน์ของการที่ปกติไม่รู้ ก็สามารถที่จะเข้าใจปกติที่มีได้ถูกต้องว่าแท้ที่จริงพระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้สิ่งที่มีแล้วในสังสารวัฏ แม้ในขณะนี้ก็เกิดแล้ว ถ้าไม่เกิดก็ไม่มีอะไรจะรู้ แต่สิ่งที่เกิด เกิดแล้วไม่รู้ เพราะฉะนั้นผู้ที่เห็นประโยชน์ของการที่รู้ได้ โดยวิธีเดียวคือได้ฟังพระธรรม เพราะฉะนั้นผู้นั้นก็ไม่ขาดการที่จะฟังเป็นปกติ

    เพราะฉะนั้นทั้งวัน ทุกวันเป็นปกติที่ไม่เคยรู้เลยว่า แต่ละขณะเกิดขึ้นได้อย่างไร จะนั่ง จะนอน จะยืน จะเดิน จะพูด จะคิด จะทำอะไรทั้งนั้นเป็นปกติของเหตุปัจจัยที่สะสมมาที่จะเกิดขึ้นในขณะนั้นเป็นเช่นนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น จะให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย ทุกขณะเป็นไปตามเหตุปัจจัยเป็นปกติ

    ผู้ฟัง การเป็นปกติที่ไหลไปกับอกุศล กับการเป็นปกติที่อบรมปัญญาเพื่อเข้าใจ น่าจะมีความต่างกัน

    ท่านอาจารย์ นี่คือความสมบูรณ์ของปัญญา มิฉะนั้นเรานั่นเอง โดยไม่รู้เลยว่าจะทำให้เป็นเช่นนั้นเป็นเช่นนี้ โดยไม่รู้สิ่งที่มีแล้วในขณะนี้เป็นปกติ เพราะฉะนั้นธรรมคลาดเคลื่อนไม่ได้เลย คลาดเคลื่อนคือผิดทันที ขณะนี้ใครรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ปกติเกิดแล้วปรากฏตามเหตุตามปัจจัย ไม่ต้องไปทำอะไรเลย แต่ปัญญาที่จะเข้าใจเช่นนี้ต้องอาศัยการฟัง และรู้ตามความเป็นจริงด้วยว่าขณะนั้นเป็นธรรมที่ได้อยู่ในบทนี้เอง นิวรณธรรมทั้งนั้นเลย แล้วเราเรียกชื่อทำไม พูดถึงชื่อทำไม ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าขณะนี้เป็นธรรม แต่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่าธรรมประเภทนี้ คือธรรมที่กั้นไม่ให้ความเข้าใจหรือไม่ให้กุศลเจริญขึ้น

    ผู้ฟัง การศึกษาพระสูตรที่พูดถึงนิวรณธรรม เครื่องกั้นไม่ให้ความดีหรือกุศลเกิด ถ้าเป็นปกติก็คือฟังว่าเหตุปัจจัยที่จะให้นิวรณธรรมเกิดก็เกิด แล้วฟังเช่นนี้การอบรมปัญญาคืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก็เข้าใจแล้ว อบรมปัญญาเพื่อเข้าใจไม่ใช่หรือ เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้วก็เป็นปกติ โลภะเกิดก็เป็นปกติเพราะเข้าใจแล้วว่าโลภะเป็นธรรม แล้วก็เกิดแล้วด้วย ใครไปทำอะไรให้เกิด มีปัจจัยต่างหากที่ทำให้เกิด แต่ไม่รู้ นี่คือการฟังธรรมเพื่อเข้าใจจริงๆ จนกระทั่งรู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นเช่นนั้น หรือว่ายังไม่เป็นเช่นนั้นเพราะยังเป็นเราอยู่มากที่พยายามจะไปทำอย่างหนึ่งอย่างใด โดยเข้าใจว่าสามารถที่จะทำได้ แต่ความจริงทั้งหมดไม่มีใครทำอะไรได้ นอกจากเข้าใจถูก

    ผู้ฟัง ถ้ามีปกติที่เป็นเรา คืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ ปกติที่เป็นเรา แล้วพระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร เห็นไหม

    ผู้ฟัง จริงๆ ก็ไม่ใช่เรา

    ท่านอาจารย์ ปัญญายังไม่ได้รู้จริงๆ เพราะยังไม่ได้ประจักษ์ความจริงจนสละละความเป็นเราได้ แม้แต่จะคลายความเป็นเรายังไม่มีเลย แล้วจะไปดับได้อย่างไร สิ่งที่สะสมอยู่ยิ่งกว่าภูเขาใหญ่ ถ้าจะพูดไม่รู้ว่าจะเปรียบกับอะไร แล้วจะให้หมดไปทันทีเป็นไปไม่ได้ แต่ต้องอาศัยความเข้าใจขึ้นเ ข้าใจขึ้น โดยไม่หวัง แล้วก็ไม่มีตัวเราไปนั่งวัดว่ายังไม่พอ แต่ความเข้าใจรู้ได้ว่าเข้าใจเพียงใด ฟังแล้วเข้าใจเพียงใด กับการที่เป็นปกติเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ไม่ว่าจะเป็นอะไรทั้งสิ้น เดี๋ยวนี้ก็เป็นเช่นนั้นแต่ไม่รู้ ถามได้เลยใครรู้อะไรบ้างเดี๋ยวนี้ ซึ่งกำลังเป็นปกติ โดยมากก็จะตอบว่าเห็น ใช่ไหม และอะไรอีกที่เป็นปกติที่เกิดอยู่

    ผู้ฟัง ได้ยิน คิดนึก

    ท่านอาจารย์ แต่ต้องในขณะนั้นถึงจะรู้ความเป็นปกติที่เกิดแล้ว

    ผู้ฟัง ฟังให้เข้าใจแล้วก็ไม่ลืมว่าเป็นปกติ ก็ทำให้คิดว่าถ้าเป็นผิดปกติต้องทำให้ไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ นี่กำลังเป็นวิจิกิจฉานิวรณ์หรือไม่ พูดชื่อตั้งนาน เพิ่งพบหรือไม่ พบจริงๆ ด้วย กำลังเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่าแม้ความสงสัยก็เป็นธรรม เห็นไหม จะรู้เช่นนี้ได้เมื่อใด เมื่อปัญญาฟังแล้วฟังอีก และก็รู้ลักษณะของสภาพธรรมด้วย ไม่ใช่ฟังแต่เพียงชื่อ ฟังแต่เพียงชื่อไม่สามารถจะไปละอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะเป็นชื่อ แล้วก็จำแล้วก็ลืม แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าหมายความถึงสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ เช่น วิจิกิจฉานิวรณ์ เกิดแล้วเป็นเรา แล้วเมื่อใดจะเป็นธรรมที่ไม่ใช่เรา ซึ่งเป็นความเห็นที่ถูกต้องตามที่ได้ทรงแสดงแล้ว เพราะฉะนั้นการฟังธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดอย่างยิ่ง ความเข้าใจไม่เผิน จึงสามารถที่จะละอนุสัยกิเลสซึ่งเป็นพืชเชื้อที่จะทำให้กิเลสเกิด ไม่ใช่ไปดับกิเลสตอนกิเลสเกิดแล้วไม่ให้มีกิเลส ดับแล้วดีใจ ไม่ใช่เช่นนั้น แต่ต้องรู้ว่ายังมี เพราะเหตุว่าปัญญายังไม่ได้เข้าใจความจริงของสภาพธรรม เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะกี่ชาติก็ตาม ฟังเพื่อเข้าใจสิ่งที่มี จนกว่าจะเป็นความรู้จริงในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเป็นปกติ

    ผู้ฟัง ในการที่จะพลัดพรากหรือขัดเกลาหรือทำให้น้อยลง ก็จะต้องเป็นปัญญาที่มีกำลังที่สมดุล หรือว่าสมเหตุสมผลกับกิเลสที่มากมาย ท่านอาจารย์ถามว่าพลัดพรากบ้างหรือยัง นั้นเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ยังไม่ได้พลัดพรากแน่นอน ดอกไม้นี่สะอาดไหม ไม่ได้สกปรก สวยไหม ใช่ไหม ดอกไม้สะอาดแต่ใจที่กำลังพอใจสะอาดหรือไม่ แค่นี้ ดอกไม้สวยสะอาด แล้วใจที่กำลังพอใจในความสวยความสะอาดของดอกไม้ขณะนั้นยังอยู่เต็ม ไม่สะอาดขึ้นอีก ไปอย่างไรอย่างไรก็เต็มไปด้วยความที่จะไม่สะอาดไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีความมั่นคงในการฟังพระธรรม และก็มีความเข้าใจจริงๆ เพราะเหตุว่าผู้ที่ได้เข้าใจจริงๆ จนกระทั่งดับกิเลส มีมาก

    เพราะฉะนั้นให้เห็นว่าแม้แต่เพียงผู้ที่มีปัญญาได้ยินคำว่า ดอกไม้สวย ดอกไม้สะอาด แต่ใจของผู้ที่เห็นดอกไม้สวยขณะนั้นไม่สะอาด เพราะอกุศลที่เกิดความยินดีแล้ว จึงสามารถที่จะเข้าใจได้ว่าเมื่อใดกิเลสทั้งหลายจะพลัดพรากจากไป ในเมื่อทุกอย่างพลัดพรากอยู่ตลอดเวลา เมื่อเช้านี้ก็หมดไปแล้ว รับประทานอาหารอะไรเมื่อเช้านี้ อร่อยมากก็หมดไปแล้ว ทุกขณะพลัดพรากอยู่เรื่อยๆ แต่กิเลสไม่ได้พลัดพรากตามไปเลย เสียดายบ้าง หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นอีกบ้าง ทุกสิ่งทุกอย่างสะสมมาเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นมองไม่เห็นประโยชน์ของการที่กิเลสทั้งหลายจะพลัดพรากจากไป ไม่กลับมาเลย คิดดู ดีไหม

    ผู้ฟัง ดีแต่ก็คงต้องอบรมต่อไปอีก

    ท่านอาจารย์ อย่างน้อยที่สุดเข้าใจถูกก่อนว่า เป็นสิ่งที่จะทำให้เห็นความต่างของโลก ของความเพลิดเพลินเป็นสุข ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ คือโลกของการไม่ยินดี สามารถที่จะได้หน่ายคลายจนกระทั่งหมดความติดข้องในทุกอย่างได้ เบาสบายกว่ากันไหม ได้ยินคำว่าสันติสุข สงบสุข แล้วอยู่ที่ ไหน เดี๋ยวนี้เป็นเช่นนั้นไม่ได้แน่ใช่ไหมเพราะกิเลสมาก เมื่อใดก็ตามที่กุศลจิตเกิด และความเข้าใจธรรมจริงๆ ค่อยๆ เกิดเหมือนน้ำที่ค่อยๆ ชำระล้างสิ่งที่มีอยู่ในใจที่สกปรก เวลานี้เป็นแผลกันทุกคน กระทบอะไรก็เกิดเลย โรคมาแล้วใช่ไหม เจ็บปวดทรมาณแล้วแต่จะเป็นทางตาหรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่มีวันหมดในสังสารวัฏถ้ายังไม่มีปัญญา แล้วปัญญาก็ยากแสนยาก ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีทางที่จะเห็นสภาพธรรมขณะนี้ตามความเป็นจริง เกิดแล้วดับแล้วทั้งนั้นไม่เหลือเลย พลัดพรากไปอยู่เรื่อยๆ แต่กิเลสยังอยู่ติดตามอยู่ในจิตตลอดเวลา

    เพราะฉะนั้นเป็นบุญที่ได้มีโอกาสได้ฟังพระธรรม แต่เป็นบุญยิ่งขึ้นเมื่อมีความเข้าใจถูกรู้ว่าฟังเพื่อเข้าใจ แล้วก็เป็นปกติ เพราะว่าปัญญาต้องรู้สิ่งที่มีเป็นปกติเพราะเกิดแล้ว แม้ว่าจะเกิดแล้วดับไป ทั้งหมดรวดเร็วแต่ก็ยังเกิดเพราะเหตุปัจจัยอยู่นั่นเอง จึงสามารถที่จะละคลายความคิดว่าเราจะทำ เพราะเหตุว่าไม่มีเรา เพราะฉะนั้นกว่าความเข้าใจที่เคยยึดถือสภาพธรรม เป็นเรา เป็นเขา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด จะหมดไปได้ต้องมีการคลายก่อน ไม่มีใครคิดถึงเรื่องนี้เลย คิดถึงแค่จะดับ เมื่อใดจะหมด แต่การที่จะหมด และดับไปได้ แต่ถ้าไม่มีการคลายไปทีละเล็กทีละน้อย จะหมดไปดับไปได้ไหม

    เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้คลายหรือยัง ตอบแทนก็ได้ ยังใช่ไหม เพราะว่าต้องเป็นปัญญาที่สามารถที่จะเข้าใจถึงแม้ปัจจัย คำพูดแต่ละคำ ความคิดแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส ทุกอย่างในชีวิตทุกขณะอย่างละเอียดยิ่ง ย่อยเหตุการณ์ทั้งหมดมาเป็นจิต เจตสิก แต่ละหนึ่งขณะ แล้วก็สามารถที่จะรู้ได้ว่านั่นคือสิ่งที่มีปัจจัยจึงเกิดขึ้นเป็นเช่นนั้นได้ ถ้าเข้าใจเช่นนี้ยิ่งขึ้น ค่อยๆ คลาย เพราะว่าทุกอย่างเกิดตามเหตุตามปัจจัยไม่เดือดร้อน แต่ถ้ายังคงเป็นเรามั่นคงหนาแน่นเหนียวแน่นมาก ก็หวังก็อยากที่จะให้เข้าใจเร็วๆ ให้หมดกิเลสเร็วๆ เมื่อใดจะเป็นเช่นนั้นสักที เท่านี้ไม่พอต้องไปหาทางอื่น นี่คือกิเลสทั้งหมด ซึ่งกำลังพอกพูน แล้วก็เป็นนิวรณ์นั่นเองที่เรากำลังกล่าวถึง

    เพราะฉะนั้นเวลาที่พูดถึงธรรม ถ้าพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ จะเข้าใจธรรมง่าย แต่ว่าถ้าเข้าใจโดยชื่อจำไว้ ไม่มีทางจะเข้าใจธรรมได้เลย เพราะแม้แต่สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้แล้วก็ทรงแสดงให้รู้ว่าเดี๋ยวนี้นั่นเองเป็นนิวรณ์ เป็นเครื่องกั้น อะไรบ้างใช่ไหม ก็ต้องอาศัยการฟัง และเข้าใจว่าทั้งหมดเพื่อให้รู้ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่เป็นคนเก่งจำนิวรณ์ได้ แล้วก็รู้ด้วยว่านิวรณ์มีเท่าใด นั่นไม่ใช่ แต่ให้รู้ว่าขณะนี้เองไม่ใช่เรา แต่เป็นพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ว่าเป็นธรรมประเภทใด ประโยคหนึ่งที่เคยพูดแต่ก็คงลืมกันไปแล้ว " วิเวกทัสสี ผัสเสสุ " ครอบคลุมทุกอย่างไหม "วิเวกทัสสี" ปกติเห็นการสละ การละ "ผัสเสสุ" ธรรมที่ปรากฏเพราะผัสสะ เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีผัสสะ เดี๋ยวนี้จะไม่มีอะไรปรากฏเลย ธาตุรู้เกิดไม่ได้ แต่เมื่อเกิดมีผัสสะจิตก็รู้ตามสิ่งที่ผัสสะกระทบ คลายหรือยัง วิเวกทัสสี เมื่อใดจะเป็นเช่นนี้ ใช่ไหม

    เพราะฉะนั้นแต่ละคำถ้าไม่ลืมความหมายแล้วเข้าใจ เราก็จะรู้ตามความเป็นจริงว่าไม่ลืมคำว่าปกติเห็น ปัญญาที่เห็น ไม่ใช่เราเห็น เห็นการที่ได้คลายการติดข้อง เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีการฟังเลยไม่มีทางที่จะละความติดข้องเลย ถึงแม้ฟังแล้วแต่ไม่ได้รู้เฉพาะลักษณะของสภาพธรรมหนึ่ง ยังคงรวมๆ กันอยู่ ก็คลายไม่ได้ จนกว่าแต่ละหนึ่ง แล้วแต่ละหนึ่งมากเพียงใดในแต่ละวัน ใช่ไหม วันนี้แต่ละหนึ่งหรือยัง ตั้งแต่เช้ามาจนถึงค่ำ กำลังฟังวิทยุแต่ละหนึ่งหรือยัง ถ้ายัง การฟังที่เข้าใจเป็นปัจจัยไม่ใช่เราทำ จนกว่าเมื่อใดที่สภาพธรรมหนึ่งปรากฏ ก็รู้ได้เลยว่าขณะนั้นคือขณะที่กำลังเห็นว่าเป็นเพียงหนึ่ง แล้วก็ไม่ใช่เราด้วย แล้วกว่าจะหมดแต่ละหนึ่งในแต่ละวัน ต้องหมดจริงๆ เกลี้ยงจริงๆ ไม่เหลือเลย เป็นการดับอนุสัยกิเลส จึงจะไม่มีสภาพธรรมที่เคยเกิด แต่ว่าได้ดับหมดแล้ว ประการแรกก็คือว่าการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง

    อ.คำปั่น ในพระไตรปิฏก โสเจยยสูตร ท่านแสดงถึงสะอาดทางกาย ทางวาจา ทางใจ ประมวลว่าเป็นการแสดงถึงความเป็นพระอรหันต์ แสดงถึงความเป็นผู้ที่หมดสิ้นจากกิเลสแล้ว

    ท่านอาจารย์ แล้วกว่าจะถึงการเป็นพระอรหันต์ สะอาดบ้างไหม

    อ.คำปั่น ก็ต้องค่อยๆ เริ่มขัดเกลาสิ่งที่สกปรก

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็แต่ละประเด็นที่ยก เช่นว่าเหมือนกับสัมมาทิฏฐิหายไปใช่ไหม แต่ความจริงทั้งหมดปราศจากสัมมาทิฏฐิไม่ได้ ตั้งแต่กายสุจริตที่ไม่เป็นหรือไม่มี ไม่ประกอบด้วยสัมมาทิฏฐิก็มี ในขณะที่ละเว้นทุจริต ถูกต้องไหม ไม่พอ เพราะว่าจริงๆ แล้วขณะนั้นความไม่สะอาดยังมีมาก แต่เมื่อถึงวาระที่กุศลจะเกิดก็กระทำกุศล เช่นเว้นจากทุจริต แต่ใจยังไม่ได้ชำระล้าง เพราะฉะนั้นการที่จะเป็นผู้ที่ไม่ใช่เพียงแต่กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ก็ต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิที่จะเห็น และเข้าใจว่าขณะนั้นความจริงเป็นอะไร ต้องละเอียด เช่น กามฉันทะเกิดแล้ว ถ้าไม่รู้ไม่มีปัญญาก็ไม่สามารถที่จะสะอาด แล้วสะอาดไม่ใช่สะอาดเพียงเล็กๆ น้อยๆ สะอาดไปเรื่อยๆ จากความเข้าใจที่ถูกต้อง

    ด้วยเหตุนี้พระธรรมทั้งหมดทุกคำเป็นไปเพื่อความเห็นถูกความเข้าใจถูก ถึงแม้ความต่างของกายสุจริตที่ยังไม่ได้กล่าวถึง เพราะเหตุว่าถ้ากล่าวถึงก็คือว่าสะอาด ก็แสดงให้เห็นว่ามีกายสุจริตที่สะอาด และกายสุจริตที่ยังไม่ได้ชำระกิเลส


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 194
    14 มี.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ