พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 954


    ตอนที่ ๙๕๔

    ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ตอนที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๗


    ผู้ฟัง ภาระ คือ อุปาทานขันธ์ ๕ ก็ทำให้เข้าใจได้ว่าสภาพธรรมที่จะเป็นภาระ จะต้องเป็นอุปาทานขันธ์ ซึ่งความหมายของอุปาทานขันธ์ก็คือขันธ์ที่เป็นที่ตั้งของการยึดถือ นั่นก็หมายความว่าเป็นอารมณ์ของตัณหาได้ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่เป็นอารมณ์ของตัณหา ก็จะเป็นภาระแก่ตัณหา เพราะว่าผู้ถือภาระคือตัณหา

    ท่านอาจารย์ การศึกษาธรรมต้องเข้าใจธรรม แล้วก็ไม่ว่าจะเป็นคำว่าผู้แบกหรือผู้วางก็ตามแต่ก็เป็นแต่เพียงคำที่จะให้เข้าใจความจริง โดยที่ว่าจริงๆ แล้วไม่มีผู้ใดเลยที่จะแบกหรือวาง ถูกต้องไหม มีแต่สภาพธรรมซึ่งเกิดขึ้น แต่เราไม่ได้เห็นความเป็นภาระของสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเลย เดี๋ยวนี้มีเห็น ไม่เคยคิดว่าเป็นภาระ ได้ยินก็ไม่เคยคิดว่าเป็นภาระ เพราะฉะนั้นแม้แต่คำว่าภาระก็ไม่ใช่อื่นไกล ก็ต้องหมายความถึงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นภาระแล้วก็ดับ ถูกต้องไหม ตัวภาระจริงๆ แต่ด้วยความไม่รู้ จึงยึดถือภาระนั้นว่าเป็นเรา เหมือนกับผู้ที่แบกภาระนั้นไว้ แต่ก็ไม่รู้ว่ากำลังแบกภาระ เพราะเหตุว่าภาระก็เป็นภาระคือขันธ์ แต่เมื่อไม่รู้ความจริงก็ยึดถือขันธ์นั้นไว้เป็นผู้ที่เหมือนแบกขันธ์นั้นไว้ว่าเป็นของเรา แล้วขันธ์เป็นของเราจริงๆ หรือเปล่า หรือว่าแต่ละขันธ์ก็คือรูปขันธ์ สภาพธรรมที่เกิดมีปัจจัยแต่ว่าไม่สามารถจะรู้อะไรได้ เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป ใครก็ทำอะไรไม่ได้ แม้แต่สภาพของจิต และเจตสิกก็เกิดขึ้น ทำหรือว่าเป็นภาระ ซึ่งไม่มีใครเลย แต่เพราะความไม่รู้จึงเข้าใจว่ามีเรา เพราะฉะนั้นในขณะที่ยึดถือภาระนั้นว่าเป็นเรา ก็เหมือนผู้ที่แบกภาระคือยึดถือภาระนั้นว่าเป็นเรา

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรมก็คือว่าพยายามเข้าใจให้ถึงความจริงว่า สิ่งที่มีในขณะนี้ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง แล้วก็ไม่ใช่สิ่งที่ยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ถาวร เพราะว่าตามความเป็นจริงแล้วก็เป็นแต่เพียงลักษณะของสภาพธรรมแต่ละหนึ่งแยกขาดจากกัน ไม่ปะปนกัน มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ถ้ามีความเข้าใจเช่นนี้ เราก็คงจะไม่ไปกังวลกับเรื่องของคำ แต่ให้เข้าใจจริงๆ ว่าตราบใดที่มีสภาพธรรมที่เกิดขึ้น ไม่เกิดดีกว่าไหม ลองคิดดู ขณะนี้กำลังเห็น ไม่เห็นดีกว่าเห็นไหม แต่ก็ไม่รู้ว่าเห็นลำบากไหม เป็นภาระไหม เกิดขึ้นมาแล้วก็ต้องเห็น เพราะฉะนั้นความเข้าใจของเรา ปัญญาของเรา สามารถที่จะเข้าใจได้เพียงใด ก็คือว่าค่อยๆ เข้าใจขึ้นโดยเริ่มเห็นโทษของขันธ์คือภาระ

    ผู้ฟัง ถ้าเช่นนั้นโลกุตรจิตเกิดขึ้นไม่เป็นอุปาทานขันธ์ ๕ ก็ไม่เป็นภาระ เพราะว่าจิตหรือวิญญาณขันธ์นั้นก็ไม่เป็นภาระใช่ไหม ถ้าตามนัยที่พระองค์ตรัสว่าภาระคืออุปาทานขันธ์ ๕

    ท่านอาจารย์ ส่วนมากเราจะข้ามเลยไปในสิ่งที่เรายังไม่รู้ แล้วก็สามารถจะรู้ได้หรือเปล่า หรือว่าเพียงแค่คิด เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมจริงๆ ประโยชน์จริงๆ ก็คือว่าเริ่มเข้าใจแต่ละคำก่อนเท่าที่สามารถจะเข้าใจได้โดยไม่ข้ามไปว่าแล้วคำนั้นหมายความว่าอย่างไร แล้วคำนี้หมายความว่าอย่างไร แต่ทุกคำทำให้เกิดความเห็นถูกความเข้าใจถูกซึ่งเป็นปัญญา แม้แต่คำว่าภาระ ถ้าไม่มีขันธ์เลย ภาระต้องไม่มีแน่นอนถูกต้องไหม ปัญญาของเราเริ่มเห็นโทษของขันธ์ที่มีการเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป โดยที่ไม่มีใครสามารถที่จะยับยั้งได้ เพราะเหตุว่ายังมีปัจจัยที่จะให้ขันธ์เกิดขึ้น ขันธ์ก็เกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจเช่นนี้ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ ดีกว่าเราไปคิดเรื่องคำมากมาย แล้วก็สงสัยว่าจะไปวางภาระตอนไหน หรือวางไปแล้วก็หยิบขึ้นมาใหม่ แล้วมาแบกเอาไว้อีก หรืออะไรเช่นนี้ ก็เป็นเรื่องของความคิดนึกเปรียบเทียบ แต่ว่าตามความเป็นจริงก็คือว่าขันธ์ที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป มีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ เป็นโทษหรือเปล่า ถ้าไม่รู้ก็แบกภาระโดยไม่คิดที่จะวางภาระ ยังวางไม่ได้เลย เพียงแค่คิดจะวาง มีหรือยัง เดี๋ยวนี้ที่กำลังฟัง แล้วก็รู้ว่าถ้าไม่มีเห็นจะดีกว่าเห็นไหม ถ้าไม่มีได้ยินจะดีกว่าได้ยินไหม แค่นี้ปัญญาของเราพอที่จะเห็นไหม หรือว่ายังคงไม่เข้าใจ แล้วก็ตราบใดที่ยังไม่เข้าใจก็ไม่รู้เลยว่าแท้ที่จริงแล้วภาระอยู่ไหน ก็คือเดี๋ยวนี้เอง ที่มีสภาพธรรมเกิดขึ้นทำกิจแล้วก็ดับไป

    ผู้ฟัง ถ้าเช่นนั้นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ทำหน้าที่ของตนของตน การทำหน้าที่ของสภาพธรรมนั้นเป็นภาระอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ไม่เกิด ไม่ต้องเห็น เห็นเป็นภาระหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ถ้าเป็นภาระจะเป็นภาระแก่อะไร

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องไปคิดต่อจะเป็นภาระแก่อะไร เพียงแค่จะเข้าใจว่าเห็นเดี๋ยวนี้เป็นภาระไหม เท่านี้ ปัญญาต้องค่อยๆ เกิดขึ้น เห็นโทษของสิ่งที่มีแล้วก็อบรมเจริญปัญญาที่จะเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง เพราะทั้งหมดนี้เพราะความไม่รู้ แต่ถ้ามีความรู้มีความเข้าใจ ก็จะทำให้สภาพธรรมที่มีปัจจัยจะเกิดโดยไม่สิ้นสุด ค่อยๆ ขาดปัจจัยที่จะทำให้สภาพธรรมนั้นเกิด เช่น เห็นเดี๋ยวนี้ ถ้าเห็นเป็นภาระ ต้องการมีภาระไหม ก็เป็นเรื่องที่กว่าเราจะเข้าใจพระธรรม ความลึกซึ้งของธรรมซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ทุกคำเป็นความจริง แม้แต่เห็นเป็นภาระหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เห็นเกิดขึ้นก็ทำหน้าที่เพียงแค่เห็นขณะเดียว จะเป็นภาระอะไร แก่ใครอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก็ถ้าไม่เกิดเห็นเลย จะดีไหม แค่นี้ต้องคิด มิฉะนั้นจะไม่มีการถึงนิพพานแน่นอน

    ผู้ฟัง คนตาบอดก็ไม่เห็นเลย

    ท่านอาจารย์ แล้วเขาได้ยินไหม

    ผู้ฟัง ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ แล้วดีไหม ได้ยินเกิดขึ้นได้ยินแล้วก็ดับไป ได้ยินทำไม เกิดมาได้ยิน แล้วก็ดับไป แล้วได้ยินทำไหม แค่นี้เป็นภาระหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ถ้าได้ยินพระธรรมก็ดี

    ท่านอาจารย์ ก็เราก็ตามไปเรื่องอื่นอีก แต่ในที่สุดนิพพานคืออะไร แล้วเราก็มีคำนี้ที่ได้ยินตลอด แต่หนทางที่จะไปถึงนิพพานเหมือนรู้ แต่ไม่รู้ เพราะว่าเรายังกังวลอยู่กับเรื่องนั้นบ้างเรื่องนี้บ้าง ซึ่งแต่ละคำเป็นสิ่งที่เราควรจะเข้าใจจริงๆ มั่นคงจริงๆ เราถึงสามารถที่จะเข้าใจคำอื่นๆ ที่ทรงแสดงไว้ได้ละเอียดลึกซึ้งขึ้นอีกมาก เพื่อที่จะให้รู้ว่าสิ่งที่เราได้ยินได้ฟังแม้แต่คำเดียวก็ขาดการไตร่ตรอง เพราะฉะนั้นจะสามารถที่จะไปถึงหนทางที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงที่จะทำให้ไปถึงการดับกิเลสได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้นประมาทการฟังธรรมไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าเป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้ง ถ้าเราไม่เอาความคิดของเรามาแต่งต่อเติม เราก็พยายามไตร่ตรองสิ่งที่เรายังไม่รู้ให้รู้ขึ้น เช่น เห็นขณะนี้เป็นภาระหรือเปล่า ถ้าไม่เป็นภาระ เข้าใจว่าไม่เป็น ก็เป็นเห็นไปเรื่อยๆ ไม่มีทางที่จะดับการเห็นเลย นิพพานไม่มีความหมาย การดับกิเลสไม่มีความหมาย เพราะเหตุว่าแม้แต่การรู้ว่าสภาพธรรมใดก็ตาม มีปัจจัยเกิดแล้วดับ สภาพธรรมนั้นเป็นทุกข์ ไม่ควรเป็นที่ยินดีหรือเปล่า ก็ไม่เข้าใจ ไม่รู้เลยว่าเห็นไม่ใช่เรา ไม่รู้เลย เต็มไปด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้นกว่าพระผู้มีพระภาคจะทรงแสดงพระธรรมทั้งหมด เพื่อให้ค่อยๆ เข้าใจความจริง เพราะเหตุว่าอวิชชาไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ โลภะไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ ความไม่รู้ และความติดข้องทั้งหมดรวมทั้งกิเลสทั้งหลายไม่สามารถที่จะเข้าใจได้

    ด้วยเหตุนี้กว่าผู้ที่ได้เกิดมาแล้วนานแสนนาน แล้วก็สะสมความไม่รู้มามากประมาณไม่ได้ จะสามารถเข้าใจคำที่พระองค์ทรงแสดงด้วยพระมหากรุณา ก็ต้องเป็นผู้ที่ไตร่ตรอง แล้วก็เป็นผู้ที่ตรงในแต่ละคำด้วย เพียงแค่ว่าเห็นกับไม่เห็น คิดว่าอะไรดี หรือควรจะมี

    ผู้ฟัง ก็ต้องไตร่ตรอง

    ท่านอาจารย์ เห็น เกิดขึ้น แล้วก็เกิดอีก แล้วก็ดับอีก แล้วก็เกิดอีก แล้วก็ดับอีก ไม่จบเลยในสังสารวัฏ ควรจะเป็นเช่นนี้ต่อไปหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่เพียงแค่การเห็น แม้ได้ยินได้กลิ่นลิ้มรสกระทบสัมผัส ก็ไม่ดี ถ้าเช่นนั้น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจากหนึ่งไปหนึ่ง ทั้งหมดที่เกิดเกิดมาเพื่ออะไร เพียงแค่เกิดแล้วดับ ไม่ยั่งยืนเลย กว่าจะฟังพระธรรมแล้วเข้าใจจริงๆ ค่อยๆ สะสมความเห็นถูกทีละเล็กทีละน้อย เพราะว่าที่พระผู้มีพระภาคตรัสรู้เป็นสิ่งที่คนอื่นยังไม่รู้ เพราะฉะนั้นก็ต้องอาศัยการฟังคำที่ทรงแสดง แล้วมีความค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกระทั่งเห็นจริงว่าคำนั้นเป็นเช่นนั้นจริงๆ แล้วปัญญาก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น แต่ถ้าเราไปติดที่พยัญชนะมากมายในพระสูตร เช่น เมื่อวานนี้ อาทิตย์ก่อน เมื่อใดก็ตาม ฟังธรรมอ่านธรรมจบแล้ว ประโยชน์อยู่ที่ใด เหมือนเดิมหรือเปล่า เห็นไหม

    เพราะฉะนั้นไม่ใช่ไปจำไว้ทั้งหมด ไม่ใช่ว่าเราเรียนเพื่อที่จะเข้าใจแต่ละคำไว้ แต่ว่าไม่ได้เข้าใจความจริงในชีวิต ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นเป็นเช่นนี้ก็ยังไม่รู้ เพราะฉะนั้นการฟังธรรมบางคนฟังเรื่อง แล้วก็เหมือนเข้าใจธรรม แต่ความจริงแม้เรื่องเข้าใจถูกต้องได้เพียงใด ทั้งหมดหรือเปล่า และธรรมยิ่งลึกซึ้งกว่าคำที่ได้ยินมาก อย่างเช่นเห็น ธรรมดา แต่ความลึกซึ้งก็คือว่า มีจริงเกิดขึ้นเห็นแล้วดับ แล้วก็ไม่ใช่ใครด้วย มีปัจจัยที่เห็นจะเกิดเห็นก็เกิดแล้วก็ดับ แล้วทุกอย่างที่เกิดก็เป็นเช่นนี้ เมื่อมีปัจจัยก็เกิดแล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรมก็คือ เพื่อที่จะเห็นโทษของสภาพธรรมซึ่งเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป จึงสามารถที่จะมีปัญญาพอที่จะละคลายความติดข้อง เพราะว่าขณะใดที่ไม่รู้มีความติดข้องมากมาย นี่ก็แสดงให้เห็นว่ามากมายเกินกว่าที่ใครจะรู้ซึ้งถึงความหมายที่ละเอียดยิ่งของแต่ละธรรมซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดงโดยประการทั้งปวง เพราะฉะนั้นฟังสูตรที่ได้สนทนาเมื่อสองสัปดาห์ก่อน อยู่ไหน เข้าใจว่าอะไร เดี๋ยวนี้มีไหม ฟังแล้วหมดแล้ว แต่ประโยชน์จริงๆ ฟังอีกเข้าใจอีกทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งเป็นชีวิตประจำวัน ซึ่งในขณะนี้ทุกคำที่ได้แสดงแล้ว ก็คือสามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังมีซึ่งได้ฟังมาแล้วมาก ไม่ว่ามูลนิธิจะสนทนาธรรมกันมากี่ปี ๑๐ กว่าปี วิทยุรายการธรรมที่กล่าวถึงพระธรรมที่ทรงแสดงไว้โดยนัยของพระสูตร พระอภิธรรมต่างๆ ผลก็คือว่าแล้วเดี๋ยวนี้มีสภาพธรรมจริงๆ ตรงตามที่ได้ฟัง

    แต่ความเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้เพิ่มขึ้นบ้างไหม หรือว่าเหมือนเดิม กี่ร้อยสูตรที่เรากล่าวถึงแล้ว เข้าใจอะไร จำได้ไหมเรื่องอะไร แต่ว่าไม่ขาดประโยชน์เลย เพราะเหตุว่าสะสมสืบต่อโดยเราไม่รู้เลย ถ้าเป็นความเข้าใจจริงๆ สิ่งที่ได้เข้าใจแล้วไม่หายไปไหนเลย แต่สะสมสืบต่อเมื่อได้ยินอีกเข้าใจอีก ไม่ต้องไปตั้งต้นใหม่ ใช่ไหม เพราะว่าเคยเข้าใจแล้ว แต่ถ้าไม่ได้ยินไม่ได้ฟัง ก็สะสมอยู่แต่ไม่ได้เกิดอีกบ่อยๆ เพราะฉะนั้นก็ไม่เจริญขึ้น เพราะฉะนั้นการฟังธรรมจึงเป็นเรื่องที่ละเอียดจริงๆ ว่าเพื่อเข้าใจเท่าที่สามารถจะเข้าใจได้ โดยไม่ต้องไปกังวลถึงคำถึงชื่อถึงเรื่อง ซึ่งฟังแล้วก็หมดแล้ว แล้วก็ลืมด้วย แต่ประโยชน์จริงๆ คือ เริ่มเห็นว่าขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏแล้วไม่เข้าใจ หรือใครเข้าใจตามที่ได้ฟัง จนกว่าจะฟังอีก แล้วผู้นั้นเองเป็นผู้ที่รู้ว่าเริ่มเข้าใจขึ้น เพราะอะไร แล้วก็เข้าใจได้มากน้อยเพียงใด

    เพราะฉะนั้นพระสูตรทั้งหมด พระอภิธรรมทั้งหมด พระวินัยทั้งหมดที่ได้ฟัง เป็นการเสริมสร้างความเข้าใจที่มีเพียงชั่วขณะที่ฟัง ให้ค่อยๆ เพิ่มขึ้นมั่นคงขึ้น จนพอได้ยินแล้วสามารถเข้าใจเลยว่าขณะนี้กำลังพูดถึงสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ให้เข้าใจถูกต้องจนกว่าจะประจักษ์ว่าสิ่งนี้เกิดจริงๆ แล้วก็ดับจริงๆ ไม่ต้องไปกังวลถึงคำในพระสูตรใดวันใดเลยทั้งสิ้น

    ผู้ฟัง ถ้าเช่นนั้นการไตร่ตรองพระธรรมที่ได้ศึกษา และสนทนา ก็จะต้องไตร่ตรองจนกระทั่งเห็นโทษของการเกิดขึ้น และดับไปของสภาพธรรมใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เพื่อถึงแค่คำที่ได้ยินตั้งแต่ต้น ทุกอย่างที่มีจริง มีจริง ก็เป็นธรรมคือธรรม ที่เราได้ยินคำว่าธรรมก็คือเดี๋ยวนี้ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีจริง อีกภาษาหนึ่งก็ใช้ว่าธรรม และธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ประมวลแล้วสู่การเข้าใจสภาพธรรมไม่ว่าเมื่อใด ลักษณะอย่างไรก็ตามแต่ เป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงยั่งยืน แล้วก็ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เท่านี้เอง เพราะว่าขณะนี้ แข็งปรากฏ เป็นมือเรา เป็นโต๊ะ เป็นอะไรก็ตามแต่ ยังไม่ถึงเป็นเพียงสิ่งที่แข็ง แล้วก็รู้ด้วย เมื่อปัญญาเจริญขึ้นจนกว่าจะละคลาย เพราะความเข้าใจว่าไม่ใช่มีแต่เฉพาะแข็ง อย่างอื่นปรากฏแล้วเร็วมากเหมือนกับพร้อมกัน เพราะฉะนั้นกว่าปัญญาจริงๆ สามารถจะเข้าใจความต่างของสิ่งที่ปรากฏสืบต่อ จนละคลายความติดข้องสภาพธรรมนั้นจึงจะปรากฎได้ตามความเป็นจริงว่า สภาพนั้นเองเพียงเกิดแล้วก็ดับ

    ผู้ฟัง ถ้าเช่นนั้นการเกิดขึ้นของสภาพธรรมเป็นภาระ เพราะว่ายังมีความติดข้องด้วยความเป็นตัวตนใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เพราะไม่รู้

    อ.วิชัย ทรงแสดงปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะทรงแสดงขันธ์ที่เป็นอุปาทานเป็นภาระ ฉะนั้นบุคคลที่ฟังถ้าเป็นผู้ที่ยังไม่มีความรู้ความเข้าใจเลยว่า ขณะนี้เห็นเป็นขันธ์ เป็นภาระ ก็ขึ้นอยู่กับความรู้ความเข้าใจถูกใช่ไหม ก็คือเมื่อมีความรู้ความเข้าใจถูกเพิ่มขึ้น ก็จะรู้ตามที่ทรงแสดงว่าเป็นภาระเช่นนี้

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องไปจำคำว่าขันธ์ ไม่ต้องไปจำคำว่าภาระได้ไหม

    อ.วิชัย ได้ เพราะว่ามีความรู้ความเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเราไปติดที่คำว่าขันธ์กับคำว่าภาระหรือเปล่า เพราะว่าถึงไม่ใช้คำว่าขันธ์ ไม่ใช้คำว่าภาระ เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏไม่ต้องเรียก แต่ก็ไม่รู้ว่าคืออะไร นี่คือการฟัง ให้เข้าใจโดยไม่ต้องไปติดคำว่าขันธ์ ไม่ต้องไปติดคำว่าภาระ

    อ.วิชัย คำเป็นการแสดงเพื่อให้เข้าใจในสิ่งอะไร แต่ว่าเมื่อเข้าใจสิ่งนั้นอาจจะไม่ใช่คำนั้นก็สามารถเข้าใจสิ่งนั้นได้

    ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าขันธ์คืออะไร

    อ.วิชัย สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม ต้องพูดคำนี้แล้ว เพราะฉะนั้นถึงพูดคำนี้แต่ไม่ใช้คำว่าขันธ์ได้ไหม

    อ.วิชัย ก็ได้

    ท่านอาจารย์ ก็ได้ แล้วไปพูดคำที่เราต้องถามว่าคืออะไร แต่ตัวจริงๆ ของธรรมก็คือมี เกิดแล้วด้วย เข้าใจให้ถูกต้อง ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี แล้วสิ่งที่เข้าใจว่ามีนั่นเองดับด้วยแต่ก็ไม่รู้ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปติดที่คำว่าขันธ์ ไม่ต้องไปติดที่คำว่าภาระ แต่สามารถที่จะเข้าใจว่าสิ่งที่มีในขณะนี้ จะเรียกธาตุ จะเรียกธรรม จะเรียกขันธ์ จะเรียกอายตนะ จะเรียกอริยสัจจะก็แล้วแต่ แต่ว่าต้องเข้าใจทุกคำ ไม่ใช่พูดแล้วไม่เข้าใจ และคำใดที่จะทำให้เข้าใจได้ง่ายกว่ากัน เพราะว่าบางคนใช้คำว่าขันธ์ก็ไม่รู้ ก็ท่องไป

    อ.วิชัย ก็ต้องเป็นภาษาที่กล่าวถึงแล้วก็สามารถเข้าใจได้

    ท่านอาจารย์ แน่นอน กำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริงไม่ต้องใช้คำว่าธรรม สิ่งที่มีจริงขณะนี้เกิดแน่นอน ไม่เกิดก็ไม่มี ใช่ไหม แล้วเกิดแล้วก็ดับไปด้วย ถ้าเข้าใจเช่นนี้ได้ยินคำว่าขันธ์ เข้าใจไหม

    อ.วิชัย ก็เข้าใจได้ ก็คือขณะนี้นั่นเอง

    ท่านอาจารย์ แต่ต้องแปลใช่ไหม คนที่ได้ยินครั้งแรกแล้วไม่รู้อะไร ก็ต้องถามว่าขันธ์คืออะไร แต่พอบอกว่าขันธ์ ก็ตรงกับที่เข้าใจว่าเดี๋ยวนี้นี่เอง มีสิ่งที่มีเพราะเกิดขึ้นแต่สิ่งที่มีปรากฏขณะนี้ดับโดยไม่รู้ทั้งการเกิดขึ้น และการดับไป เมื่อสักครู่นี้ฟังเรื่องภาระเข้าใจขึ้นใช่ไหม แต่รู้จักภาระหรือเปล่า กำลังฟังนั่นเอง แต่ละขณะเป็นภาระหรือเปล่า ฟังแต่เรื่องภาระใช่ไหม ทบทวนอีกครั้ง มีภาระกี่ภาระ ฟังแล้วจะได้รู้ว่าขณะนั้นมีภาระอื่นหรือเปล่า แล้วภาระจริงๆ อยู่ตรงไหน

    อ.อรรณพ ตรงที่ขันธ์เกิดขณะนี้

    ท่านอาจารย์ ตรงที่กำลังได้ยิน

    อ.อรรณพ ซึ่งก็เป็นขันธ์

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเรารู้เรื่องภาระหมดเลย แต่ตัวภาระกำลังเป็นภาระก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นพระธรรมทั้งหมดเป็นเช่นนี้ ทรงแสดงไว้ตามกำลังของปัญญาซึ่งสามารถที่จะรู้ได้ เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังฟังเรื่องภาระ ๓ ถ้าเป็นผู้ที่มีปัญญาเห็นตัวภาระที่กำลังเกิดดับในขณะนั้น เพราะฉะนั้นธรรมละเอียดลึกซึ้งเพียงใด กว่าจะถึงว่าเจตนาเป็นอภิสังขารภาระ ก็กำลังมีกุศลเจตนา กำลังฟังเป็นอภิสังขารภาระ แต่ตัวภาระจริงๆ ขณะนั้นไม่รู้ เพราะฉะนั้นไม่ใช่พระธรรมฟังแล้วเพื่อให้เข้าใจเรื่อง คนที่เข้าใจจริงๆ คงไม่ต้องไปนั่งท่องใช่ไหม ขันธภาระ กิเลสภาระ อภิสังขารภาระ ไม่ต้องท่องเลย ได้ยินอีกก็เข้าใจ แต่ตัวภาระจริงๆ ที่กำลังเป็นภาระยังไม่รู้

    เพราะฉะนั้นกว่าจะเข้าใจ ปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธ ประมาทไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าเราจะไปพยายามที่จะคิดถึงคำเรื่องราวโดยที่ขณะนี้กำลังฟัง แต่ตัวภาระจริงๆ เป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่งแล้วก็รู้ได้ด้วย เพราะฉะนั้นไม่ว่าเมื่อใดขณะใดการฟังธรรมต้องไตร่ตรองจนกระทั่งถึงความเข้าใจจริงๆ ว่า ตัวภาระจริงๆ ในขณะนั้นอยู่ที่ไหน และคืออะไร ปัญญาเป็นภาระหรือเปล่า เห็นไหม ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ก็เริ่มเข้าใจ ไม่ใช่ไปจำหรือว่าต้องอาศัยการที่จะต้องกล่าวถึงสิ่งนั้นสิ่งนี้โดยชื่อ เช่น โดยขันธ์ แต่ยังไม่รู้ว่าขันธ์คืออะไร อภิสังขารยังไม่รู้อภิสังขารคืออะไร แต่ก็ฟังไปแล้ว อภิสังขารภาระพวกนั้น เพราะฉะนั้นแต่ละคำคือเพื่อเข้าใจจริงๆ ตอนนี้ก็มีใช่ไหม ภาระรู้แล้ว ไม่ว่าจะฟังเรื่องอะไรก็ภาระทั้งนั้น ขอเชิญฟังภาระ

    ผู้ฟัง ขอยกตัวอย่างง่ายๆ แบบชาวบ้าน เช่น ก่อนที่คุณแม่ผมจะเสียชีวิต ผมดูแลมาเกือบสองปี ที่ผมไม่ได้มาที่นี่ ผมก็ต้องมีภาระหน้าที่ที่จะต้องดูแลท่าน ส่วนธรรมผมยังฟังวิทยุได้สนทนาธรรมได้ แต่คุณแม่ถ้าผมไม่ดูแล แล้วใครจะดูแลท่าน นี้ก็เป็นภาระเป็นหน้าที่

    ท่านอาจารย์ รู้จักภาระของตนแต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม

    ผู้ฟัง ไม่รู้จริงๆ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นฟังธรรม เพื่อจะได้เข้าใจว่าจริงๆ แล้ว ถ้าไม่มีสภาพธรรม ไม่มีคุณนิรันดร์ คุณวิชัยก็ไม่มี ใครก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี

    ผู้ฟัง ผมก็จำเป็นต้องแบกไว้

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ ไม่ใช่ยังมีผม ฟังก่อน ถ้าไม่มีสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเดี๋ยวนี้จะไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น ถูกต้องไหม

    ผู้ฟัง ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ แต่เมื่อมีการเกิดเช่นที่เราได้ฟังเมื่อสักครู่นี้ใช่ไหม ตั้งแต่เกิด อะไรเกิด ยังไม่ได้ชื่อนิรันดร์ และอะไรเกิด

    ผู้ฟัง ก็จิตเจตสิกเกิด

    ท่านอาจารย์ จิตเจตสิกเกิดแล้วดับ ดีไหม


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 194
    9 พ.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ