พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 959


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๙๕๙

    ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๗


    ท่านอาจารย์ ทุกคนมีสมบัติแน่ๆ นะคะ ทั้งหมดเก็บไว้อีกก็เพิ่มเติมนะคะ แล้วประการสุดท้ายคือสลัด สิ่งที่นี้แต่ก็เผื่อตก เพราะฉะนั้นเจ็บคนไปจากความไม่รู้ได้ยังไงคะในเมื่อตราบใดที่ยังมีความเป็นเราอยู่ เพราะฉะนั้นกว่าจะเข้าใจก็ทำจริง ประโยชน์อย่างยิ่งคือให้มีความเห็นถูกต้องว่าไม่มีราว เพราะฉะนั้นอย่างทั้งหมดเนี่ยเผื่อใครคะเพื่อความไม่มีเพราะว่าเราไม่มี เพราะฉะนั้นสิ่งต่างๆ และได้มาก็ไม่มีเราที่จะต้องไปรับว่าเป็นเจ้าของสิ่งนั้นเพราะชัดเจนที่สุดคือจากโลกนี้บาท ส่งเครื่องมือทั้งหมดนะคะ ไม่ใช่เป็นสมบัติ หรือสิ่งที่เก็บไว้เพื่อตน เพราะจากโลกนี้ไปแล้วสมบัติที่เจ็บไปแล้วนะพี่ไหนกันในเมื่อไม่มี ด้วยเหตุมีความสั่งขั้นต่ำเนี่ยนะคะ อย่าลืมใช้ ลักษรู้ ขณะที่ใกล้จะสรุปใหม่ๆ ก็เข้าใจที่จะแสดง ความลึกซึ้งแค่ไหนถ้าเป็นสิ่งง่ายๆ ธรรมดาของสัตว์โลกที่จะเข้าใจได้ประพฤติตามได้โดยง่าย และก็ไม่นึกว่า แต่เห็นการสะสมความไม่รู้มานานมาก และความคิดของมาแยกที่จะลัดใด อยู่มานานแสนนานในความ ถ้าไม่รู้จักจริง ต์ฟังเด็กได้อีก ไม่มีใครตอบได้นะคะ นอกจากปัญญาที่เพิ่มขึ้นเท่านั้นก็ปัญญาตรงปัญญาไม่เห็นผิดไหมเข้าใจผิดแล้วก็ไม่หลอกลวงด้วยรู้ก็คือรู้ไม่รู้ก็เกิดมาอยู่รู้ขั้นฝันก็คือฝันฝันความต่างกันของสติขั้นแตกต่างตั้งแต่สติที่เป็นไปในทาง สติที่เป็นไปในศีลสติที่เป็นไปในความสงบไม่โกรธไม่เบียดเบียนไม่พยาบาล และสติสัมปชัญญะที่กำลังเริ่มเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่ฟังจนกระทั่งเข้าใจเป็นปัจจัยให้สามารถเริ่มเข้าใจถูกในคำที่ได้ยินไม่เปลี่ยนเลยค่ะ ขณะนี้มีเพียงสิ่งที่ปรากฏไทเป ไม่มีใครเลยทั้งสิ้นนั่นคือโลกจริงๆ เพราะว่าขณะนั้นจิตเกิดขึ้นรู้เท่านั้นเองไม่มีอะไรเลยจริงๆ แต่ว่าทีละหนึ่งนะคะ ร่วมโหมดรวดเร็วจนกลายเป็นเรื่องราวเป็นคนเป็นสิ่งต่าง เนี่ยค่ะก็แสดงให้เห็นว่าการที่เราได้เห็นคุณของธรรมที่เราได้เริ่มเข้าใจนะคะ ก็รู้ว่าเข้าใจแค่นี้ไม่พอค่ะ เมื่อเข้าใจแค่นี้ไม่พอเรายังไง ก็สั่งกลับไป ไม่ขาดการที่จะอบรมเจริญปัญญาให้เข้าใจขึ้นเพราะรู้ว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ในสังสารวัฎเพราะไม่รู้เลยนะคะ ต่อจากชาตินี้แล้วมีโอกาสจะได้เข้าใจได้ยินได้ฟังคำที่เคยได้ยินมาบ้างแล้วจนกระทั่งสามารถที่จะ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้นะคะ เพราะฉะนั้นโอกาสที่ยังมีชีวิตอยู่นะคะ ก็สะสมสิ่งที่ประเสริฐสุขยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด คือความเห็นถูกความเข้าใจ ท่านอาจารย์คะที่ท่านอาจารย์เคยให้ความเข้าใจว่าดีอย่างไรก็ไม่บริสุทธิ์ถ้ายังเป็นเราว่าน่าจะดีขั้นทานขั้นสิ้นแต่ถ้าไม่เข้าใจความเป็นธรรมทั้งหมดเป็นธรรมก็ยังมีรายแล้วก็ไม่รู้จักก็สามารถสอนเจ้าด้วยเพราะไม่ได้ทรงแสดงธรรมให้ติดคลองค่ะ แต่ให้ละ อกุศลทั้งหมดละความไม่รู้ทั้งหมด และแม้แต่กุศลเพราะเหตุว่าตราบใดที่ยังเป็นกุศลนะคะ ตราบนั้นก็ยังต้องมีผลของกุศลนั้น เพราะฉะนั้นบอกว่าคนส่วนใหญ่ต้องการกุศลเฉยค่ะเพื่อที่จะได้ผลของกุศล นั่นก็ไม่ใช่คำสอนของพ่อสามารถสั่งซื้อเจ้าแปลว่าทรงสอนให้รู้ความจริงว่าไม่มีแล้วมีแต่ธรรมกุศลก็เป็นธรรมแอบกุศลก็เป็นธรรมให้ท่านไม่เข้าใจความเป็นธรรมแม้แต่ทำกุศลก็เพื่อเราอีกค่ะแล้วพระอาจารย์ก็ได้กล่าวมาตอนต้นชั่วโมงว่าไม่คบคนทางที่น่ากลัวคือความเห็นผิดนะคะ จ้า ไม่เห็นเพชรนะคะ อันตรายอย่างยิ่งสู้ลืมคิดถึง หรือคิดไม่ถึงตอนล่างให้พระสัทธรรม ไม่กลับไปอีกเลย หันหลังให้พระสัทธรรมก็คือหันหลังให้พระสัมมาทรัพย์ ไม่มีทางที่จะได้พบอีก เชิญเที่ยวรวันต่อ เพราะรู้ชัดจึงไม่ใช่สัตว์ปกคน เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจจริงๆ ค่ะไม่เปลี่ยนเลยธรรมคือสิ่งที่มีจริงกำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นพระธรรมทั้งหมดไม่ว่าพระสูตรพระวินัยพระอภิธรรมเพื่อให้เริ่มเข้าใจเรื่องของสิ่งที่มีจริงจนกระทั่งรู้เข้าใจจริงๆ ว่าขณะนี้มีเพียง๔ที่ มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะรู้ธรรมใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นธรรมไม่ใช่เรา ทั้งหมดนี้ค่ะจนถึงวาระ หรือขณะที่รู้จริงๆ ว่านั่นเป็นธรรมเลข ไม่ปะปนกระทำมาอีกนะครับ เชิดขึ้นแล้วก็ดับไปเมื่อนั้นนะคะ ไม่ใช่เรา พสองศูนย์ท่านก่อนสั่งไม่พอนะคะ แต่ถ้าไม่มีการฟังเลยไม่มีการที่จะรู้ความจริงอย่างนี้ได้แต่จะรู้ความจริงอย่างนี้ได้เพราะเริ่มมีความเข้าใจตั้งแต่ต้น ที่ถูกต้องว่าเป็นอนัตตาไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ถ้าจะค่ะเรารู้ชัดนี้ต้องแค่ไหนลูกชัดค่ะ ฟังนี่ หรือแชท หรือยังค่ะยังค่ะแล้วก็เมื่อไหร่รู้ชัดเลยค่ะ ก็น่าจะวิปัสสนาญาณแล้วก่อนวิปัสสนาญาณจะชาร์จได้อย่างไร ก็ฟังให้เข้าใจ ฝันให้เข้าใจแล้วบางคนก็บอกเข้าใจหมดเลย แล้วสติปัฎฐานก็ไม่เกิดเหตุไหมคะเข้าใจหมดเลยแต่ตัวตนกำลังต้องการสติปัฎพลาดขนาดนั้นไม่เข้าใจความเป็นตัวตนที่ต้องการสติปัฎฐานเหอะ เพราะฉะนั้นก็ถือว่าฟังแล้วนะคะ เข้าใจความละเอียดของธรรมเข้าใจมั้ยแต่คำซึ่งคนใช้กันทุกวัน เช่นคำว่าสติ เมย์ได้แม้ใช่ค่ะโน่พระบีแดร์ไมใชสติโทสะมีแน่ไม่ใช่สติโมหะมีแน่ไม่ใช่สติศรัทธามีแดดไม่ใช้สติ เพราะฉะนั้นศึกษาธรรมที่ล่ะคะ เพื่อที่จะได้เข้าใจแต่ความเข้าใจธรรมในขั้นการฟังนะคะ ไม่ใช่ในขณะที่สภาพนั้นเกิด ให้รู้ความจริงว่า เพราะฉะนั้นระหว่างที่ฟังเรื่องของสติ มีความเข้าใจนะคะ พอสมควร ไม่เหมือนกับขณะที่สติเกิด ถูกต้องมั้ยคะสิ่งที่ได้ฟังแล้วยังไม่เคยเกิดเพียงแต่รู้ว่าลักษณะนั้นเป็นเด็กนั้น จนกระทั่งเมื่อใดที่สภาพนั้นเกิดขึ้นขณะนั้นนะคะ ก็เข้าใจชัดเจนในสภาพธรรมที่มีจริงๆ ขณะนี้ที่กำลังฟังนะคะ มีสติเจตสิกเกิดแน่นอน กับจีน มีศรัทธาด้วยบีหิริโอตะปะได้ยินแต่ชื่อของสภาพธรรมที่มีจริงแต่ว่าสภาพธรรมแต่ละหนึ่งยังไม่ปรากฏ กระทรวงการศึกษาก็จะทำให้รู้ว่านะคะ สติรู้อะไร เห็นไหมคะ เห็นขณะนี้ สติเจตสิกไม่เกิดกับจิตเห็นแน่นอนแต่กำลังสั่งเข้าใจในค่ะมีสติเจตสิกเกิดพร้อมปัญญาขั้นเข้าใจว่าขณะนี้เห็นมีจริงจริงแค่เห็นมีจริงๆ กำลังเห็นในขณะนี้ก็ต้องรู้ว่าในขณะนี้ไม่ได้คิดถึงอย่างอื่นนะคะ เห็นวีจริงต้องเห็นเบนนีที่กำลังเห็น เริ่มไม่คิดถึงอย่างอื่นแล้วแต่คิดถึงสิ่งที่กำลังปรากฏแต่ว่านะคะ มีความเข้าใจไหมถ้าไม่มีความเข้าใจขณะนั้นก็เป็นแต่เพียงคิด โดยที่เราไม่รู้เลยว่าขณะนั้นนะคะ ไม่ใช่สติที่กำลังรู้ และเริ่มเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ เห็นไหมคะสิ่งใดก็ตามที่ยังไม่เกิด และเราสามารถที่จะรู้ และเข้าใจลักษณะของสิ่งนั้นได้ไหม แต่เมื่อใดที่สติเกิดนะคะ เมื่อนั้นรู้เพราะว่าเคยเข้าใจมาแล้วอ่ะสติเป็นอย่างนี้เช่นข้อความที่ว่านะคะ มหาสติปัฎฐาน เรียกว่ากายานุปัสสนาสติประกาศก็ตามแต่นะคะ สติเป็นสภาพที่ระลึก ไม่พอนะคะ แรกนึกรู้ ระลึกแล้วไม่รู้ก็ไม่ใช่สติ และนะคะ ถ้าบอกว่าขณะนี้มีสติไม่ดี และสติ หรือไรไม่รู้อย่างนั้นจะเป็นสติได้มั้ยคะก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นสติเป็นสภาพที่ระลึกรู้ต่างกันแล้วนะคะ กับสภาพธรรมอื่นเช่นผัสสะ หรือเจตนา หรือเวทนา เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ได้ค่ะมีสิ่งที่กำลังปรากฏ แน่นอนใช่ไหมคะ รำลึกรู้สิ่งที่ปรากฏ ไม่ใช่ระลึก ฉันคิดนะคะ ใช่เลยแขนคิดไม่ได้รู้สิ่งที่ปรากฏ ไม่ได้รู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏเพราะว่ากำลังคิดเรื่องสิ่งที่ปรากฏห่างกันมากไหมคะ สิ่งที่ปรากฏกับคิดเรื่องสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉันคิดเรื่องสิ่งที่ปรากฏต้องห่างจากตัวสิ่งที่ปรากฏ แต่ว่าสติเป็นสภาพที่ระลึกรู้สิ่งที่ปรากฏ ไม่ใช่คิด แต่ว่ากำลังระลึกที่ลักษณะที่มีจริงๆ นะคะ แล้วหรูในลักษณะนั้น เพราะฉะนั้นที่กล่าวว่าตามรู้ ถ้าไม่ใช้สติที่เป็นสติสัมปชัญญะ หรือสติประธานจริงๆ นะคะ เราตา พระบางแคสต์ว่าไม่ใช่สติสัมปชัญญะจริงๆ นะคะ เพียงฟังว่าสติ ประธาน หรือสติสัมปชัญญะคือตามรู้นี่คือคำที่ได้ยิน เพราะฉะนั้นในขณะที่ไม่ใช่สติปัฎฐานจริงๆ และเราตามแล้วก็ตามหากมาก เพราะว่าสภาพธรรมนี้ปรากฏแตกกว่าจะ๓นะคะ แล้วไม่ได้ตามจริงๆ เพราะเป็นเราคั่นด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นปัญญาจริงๆ นะคะ ตามรู้คือทันทีที่สัมภาษณ์นั้นปรากฏไม่มีสภาพธรรมเอสมาคันแต่สามารถที่จะ เริ่มเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมนั้นแม้ว่าเป็นคน และคณะก็จริงนะคะ แต่ปัญญา และสติที่ได้เข้าใจแล้วนะคะ ก็ตามคือรู้สิ่งที่ปรากฏในขณะนั้นทันทีเหมือนไม่แยกกัน เวลานี้เห็นกับได้ยินเหมือนไม่แยกกันเลยใช่ไหมคะ สุดเศร้าไหมคะมันเกิดเห็นกับได้ยินเหมือนพร้อมกันไม่แย่งกันเลยแต่ความจริงห่างกันเกินกว่าสติสัมปชัญญะซึ่งแทนจะเป็นไปอีกก็เป็นสติสัมปชัญญะนั่นแหละ เพจไม่ได้เป็นการได้ยินนะคะ แต่ว่าสติสัมปชัญญะรู้สิ่งที่ปรากฏ ไม่เปลี่ยนเลยค่ะ เหมือนพร้อมกันไหม เพราะว่าได้ยินกับเห็นแย้งเหมือนพร้อมกันทั้งๆ ที่ห่างกันมากแต่เวลาที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ และมีสภาพที่ระลึกคือรู้เข้าใจแล้วจากการฟังในการเกิดแทนที่จะเป็นได้ยินลองคิดถึงเกิดแทนได้ยินแต่เป็นสติสัมปชัญญะที่กำลังรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ด้วยการเข้าใจในความเป็นธรรมแม้เพียงชั่วขณะเล็กน้อยก็รู้ว่านั่นคือสติสัมปชัญญะจริงๆ เพราะไม่ห่างกัน ค่อนข้างที่เห็นกับได้ยินเหมือนพร้อมกันแต่ก็ยังไม่เท่ากับสติสัมปชัญญะที่ระลึก หรือจะใช้คำว่าก๊าซตามนี้คือติดทันทีไม่แยกเลย เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่นะคะ ที่สติสัมปชัญญะเกิดเมื่อนั้นปัญญารู้ว่านั่นเป็นสติสัมปชัญญะค่อยๆ เข้าใจในความเป็นอนัตตาเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นกว่าจะละคล้ายกันยึดถือว่าเป็นเราไม่ต้องหวังคะไม่ต้องรอเพราะสังขารขันธ์เดี๋ยวนี้ กำลังทำหน้าที่นั้น เราลื้มจิตเจตสิกเดี๋ยวนี้หมดแหละ มีแต่คนมีแต่พัดลมมีแต่โต๊ะมีแต่๙อี้นะคะ ลืมว่าจิตเจตสิกกำลังทำหน้าที่ทุกขนาดคือเห็น และคิดแล้วจำแล้วรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไรแล้วก็มีได้ยินแล้วก็มีคิดนะคะ มิฉะนั้นก็เป็นแต่เพียงเสียง๘มีจังด้วยมีสภาพธรรมทั้งหมดนะคะ รวดเร็วสุดที่จะประมาณได้ เพราะฉะนั้นกว่าจะเข้าใจลักษณะของสติสัมปชัญญะจริงจิ๊ที่ต้องมีปัญญาความเห็นถูกเป็นปัจจัยมิฉะนั้นเกิดไม่ได้เลยก็เป็นราวที่พอได้ยินแล้วก็จะทำหมดเลยได้ยินอย่างนี้แล้วจะทำยังไงจะเข้าใจยังไงนี่คือ ไม่เข้าใจสัมผัส เพราะฉะนั้นกว่าจะเข้าใจธรรมนะคะ ก็ต้องฟัง และรู้จริงๆ แวะที่คุณอันกได้กล่าวเป็นคำกลอนก็มาจากการที่ได้ศึกษาธรรมแล้วนะคะ และก็เข้าใจ และก็สามารถที่จะใช้คำธรรมดาแต่ตรงทุกคำเป็นความจริงทุกคำ ให้รู้ความจริงว่าเป็นอย่างไร อาจารย์ก็ไพเราะว่าก็ขอตอบสุดท้ายแล้วเดี๋ยวค่อยสน อาจารย์อันสุดท้ายก็เพราะรู้ละตัวตนจึงพ้น ค่ะถูกต้องเลยค่ะเพราะเหตุ และถ้าไม่มีความเป็นตัวตนไม่มีความเป็นหรอ ไข่แพงหลายคือกิเลสก็ค่อยๆ ดับไป ชีวิตต้องอยู่ต่อไปอีกนับไม่ถ้วนนะคะ เป็นขณะจิตนับไม่ได้เลยเป็นชาติก็นับไม่ได้เป็นกับก็นับไม่ได้แพทย์ยังคงมีความไม่รู้อยู่ และก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ค่ะจากศพเป็นโชคจากเป็นคนที่ยากไร้ก็เป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีเป็นพระราชามีอำนาจวาสนา และก็เป็นนอนก็เป็นอะไรก็แล้วแต่ วนเวียนไปนะคะ แล้วก็ไม่กลับมาเป็นอย่างนั้นอีกเลยแต่สิ่งที่สะสมไว้นะคะ ไม่ได้สูญหายไปเลยกุศล และอกุศลทุกอย่างสะสม๑๐สนะคะ และเมื่อมีปัจจัยที่จะให้สิ่งใดเกิดขึ้นสิ่งนั้นก็เกิดขึ้นปรากฏ เพราะฉะนั้นสำหรับคนที่ยังไม่ใช่เป็นพระอริยะบุคคลนะคะ อกุศลครบทั้ง๑๔ ๗๐ โดยประกันต่างๆ ประเภทต่างๆ ทั้งอนุสัยแห่งอาสวะทางนิวรทั้งหมดเลยนะคะ เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจสิ่งที่ดี และกำลังมีเห็นไหมคะอยู่ในขั้นของเข้าใจสิ่งที่มีแต่ยังไม่ถึงสิ่งที่กำลังมี เชิญคนนิรันดร์ค่ะฟังสมาร์ทช่วงต้นๆ อ่ะก็สงสัยที่อาจารย์วิชัยได้สนทนาธรรมกับท่านอาจารย์สุจินต์เรื่องความเปลี่ยนแปลงรับฟังแล้วก็ยังไม่เข้าใจดีนะคืออยากดูในชีวิตประจำวันเนี่ยตอนนี้ที่โรงแรมเนี่ยอาจจะถูกขายให้เป็นเจ้าของ และจากเจ้าของหนึ่งไปสู่ข้าวของ ผมก็กังวลถึงความเปลี่ยนแปลงนะฮะว่าตกงานกลัวได้บ้างคือผมก็เข้าใจ และการเปลี่ยนแปลง ในชีวิตประจำวันเป็นเวลาบริษัทบุคคลแต่ผมก็ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าที่ท่านอาจารย์ได้สนทนากับอาจารย์วิชัยเนี่ยถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเนี่ย เป็นการเปลี่ยนแปลงโดยสภาพสามารถเนี่ยเป็นอย่างไรอ่ะจะได้มีความเข้าใจเพิ่มขึ้นแค่กล่าวถึงจิตนะคะ เจตสิกธาตุรู้เกิดขึ้น และดับไป ขณะต่อไปไม่ใช่ขนาดกอดเปลี่ยนแปลงแล้วใช่ไหมคะ ค่ะ เดี๋ยวเห็น แบบไป และก็ไม่ได้ยินเปลี่ยนจากเห็นเป็นได้ยิน ถูกต้องค่ะ ไม่เห็นไม่ได้ยินก็คิด ก็เปลี่ยนไปอยู่เรื่อยๆ โดยไม่รู้เลยว่าไม่มีอะไรที่คงที่ค่ะ แต่การเกิดแบบ๔ต่อเร็วจนกระทั่งไม่รู้ความจริงนะคะ คิดถึงแต่เรื่องราว ความทรงจำ เหมือนเคยก็มีโรงแรม แต่ถ้าไม่คิดมีโรงแรมมั้ยค่ะค่ะถ้าไม่เห็นมีไหมคะ ก็ไม่มีเพราะใช้จริงๆ แล้วเพราะมีธรรมที่เกิดขึ้นเป็นธาตุรู้สิ่งต่างๆ จึงปรากฏ แม้ท่านรู้เองก็ไม่เถียงค่ะจิตเจตสิกเกิดพร้อมกันดับพร้อมกัน และก็ไม่กลับไปอีกเลยแต่การดับไปของจิตเจตสิกคณะกรเป็นปัจจัยให้จิตขณะนี้ และเจตสิกเกิดพร้อมกันต่อไปไม่มีวันจบ เพราะฉะนั้นอีกโลกนึงนะคะ ไม่ใช่โรคที่ปรากฏ อย่างนี้แต่เป็นโรคที่มีธาตุรู้ที่กำลังรู้สิ่งที่ปรากฏ แม้ในขนาดนี้ค่ะลองคิดถึงโลกนั้น เดี๋ยวนี้เราเห็นนะคะ มีอะไรตั้งหลายอย่างที่ปรากฏให้เห็นแล้วก็มีเสียงมีได้ยินเป็นเรื่องราวต่าง เป็นประจักษ์เป็นปกติแต่โลกของความจริง และ ไม่ปรากฏว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงปรากฏอย่างนี้เลยนะคะ โลกของความจริงคือธาตุรู้เกิดรู้แล้วดับ เผชิญสิ่งต่างๆ ที่จะปรากฏสืบต่อเหมือนเป็นอย่างดี และเป็นไปไม่ได้เพราะถ้าสามารถที่จะเข้าใจลักษณะของธาตุรู้คือจิต นะคะ ไม่มีรูปร่างเลยแต่มีเฉพาะคารถหรูนั้นเกิด และก็รู้แต่รู้สิ่งต่างๆ แนะเกิดดับสืบต่อเร็วมากจนล่วงให้เห็นว่ากำลังเป็นอย่างดีแต่ความจริงถ้าไม่มีจิตเจตสิกเดี๋ยวนี้ สิ่งที่ปรากฏขณะนี้ก็มีไม่ได้ถ้าไม่มีจิตเจตสิกที่เกิดขึ้นคิดนะคะ เรื่องราวต่างๆ ก็มีไม่ได้ เพราะฉะนั้น ที่ว่าเป็นเราก็คือธรรมเส้นเป็นจิตเจตสิกรูป อาจารย์กำลังให้ความเข้าใจว่าเพราะว่าผมไม่เข้าใจความจริงว่าเป็นธรรมจึงวิตกกังวลในเรื่องความเปลี่ยนแปลงที่เป็นเรื่องราวเป็นสัดส่วนอย่างนั้นนะครับ ถึงเข้าใจก็เลยว่าไม่ได้เป็นการรู้แจ้งสภาพธรรมที่จะรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วเนี่ยไม่มีเรา ไม่มีอะไรเลยถ้าไม่คิด ถ้าไม่มีธรรมใดๆ เกิดขึ้น ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยโลกไม่มี แต่เมื่อมีอะไรเกิดมากมายพร้อมกันนะคะ ก็มีโรคปรากฏ มีเรามีเขามีเรื่องราวมีโรงแรมมีทุกอย่าง วันที่โลกปรากฏเป็นเราเป็นสัตว์บุคคลเป็นโรงแรมเนี่ยเพราะเราไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมว่าขณะนี้ก็มีแต่เพียงธาตุรู้คือจิตเจตสิก งั้นจัดไปที่เราไม่รู้ความจริงอย่างนี้เนี่ยเราก็จะกังวลไปกับความเปลี่ยนแปลงเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตประจำวันแต่ฉันก็ยังเป็นปลูก จนกว่าจะเป็นกัลยาณปุถุชนหมายความว่าเป็นคนที่ได้ยินได้ฟังคำว่ามีความเข้าใจถูกต้องแล้วก็ประพฤติเป็นไปตามธรรมที่จะทำให้เข้าใจความจริง ก็คงเคยได้ยินแต่พุทธะเพราะที่บ้าสังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สังขารดินี่ก็คือสองขา และทำนั้นเองก็ไม่พ้นจิตเกี่ยวกับสุนัข เกิดแล้วต้องดับไป สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา งั้นธรรมทั้งหลายก็ไม่พ้นสิ่งที่มีจริงที่เป็นปรมัตธรรมทั้ง๔คือจิตเจตสิกรูป และนิพพานนี่คือความจริงแท้ของสิ่งที่มีจริงซึ่งดิฉันก็จะกราบเรียนคำถามท่านอาจารย์ที่ได้ยังกล่าวว่าไม่มีอะไรเหลือเลยมีแต่ความทรงจำว่ามี กราบเรียนท่านอาจารย์ เสียงเมื่อกี้หนีไปไหน ไม่ถึงอ่ะนะคะ ค่ะก็ไม่เดินจำได้ไหม ใครจำได้ว่าเป็นเสียงพัดลม หรือเสียงอะไรก็ตามสังขารทั้งหลายไม่เที่ยง จำได้ไหมคะ เพราะฉันจริงๆ เนี่ยไม่มีอะไรเหลือเลยค่ะแต่จำไว้โหมด ว่ายังมีอยู่๑๐ต่อกันด้วย รู้จักกัน และความทรงจำว่ามีเนี่ยก็คือจำผิดนั่นเองจำว่าเป็นสนุกจึงได้ เพราะฉะนั้นอัฏฐสัญญา สัญญาวิปลาสทั้งหมดนะคะ ก็เป็นคำที่แสดงความจริงทั้งหมดโดยละเอียดยิ่งเพื่อให้รู้ว่าสิ่งที่ไม่รู้ในความจริงมากๆ รายละเอียดด้วย เพราะฉะนั้นที่ท่านอาจารย์ให้ความเข้าใจว่าสิ่งที่มีจริงเปลี่ยนแปลงในที่นี้ก็หมายถึงว่าสภาพธรรมอันเกิดแล้วดับไปไม่เหลือเลยค่ะถ้าสภาพธรรมไม่ดับเปลี่ยนใหม่ได้ เห็นก็เห็นอยู่อย่างนี้จะมีอย่างอื่นไม่ได้งง เจ๊ขอกราบเรียนที่กำลังคุยนะคือมนุษย์ก่อนได้ยินท่านอาจารย์กล่าวตามมาว่าเห็นเผื่อจะลืมผมก็ยังไม่เข้าใจว่าที่ท่านจะกล่าวหมายถึงอะไรขอความเข้าใจเพิ่มขึ้นด้วยครับ หลายคนนะคะ ชอบท่องเที่ยวไปในอ่ะ ไปดู ใช่ค่ะท่องเที่ยวเนี่ยไปดูละแล้วจำได้ไหม ก็ลืมแล้วฮะดูแล้วก็เลย อุตส่าห์ไป นะคะ เห็นแล้วก็เลย หมายถึงว่าเราติดข้องในสิ่งที่มัน ไม่มีสาระอะไรเหมือนกันครับเดี๋ยวนี้อะไรปรากฏค่ะ ๔กำลังปรากฏเล่นแล้วใช่ไหมคะ ในขณะที่สีนี้ปรากฎลืมอื่น และ งั้นจุดประสงค์จริงๆ ที่ท่านอาจารย์ให้ความเข้าใจตรงนี้เนี่ยเพื่อจะให้ผู้ฟังเนี่ยมีความเข้าใจในส่วนใดของพระธรรม ไม่ค่อยความจริงเป็นอย่างดีค่ะทุกสิ่งทุกอย่างมีแล้วหามีไม่


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 194
    25 ธ.ค. 2566

    ซีดีแนะนำ