พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 941


    ตอนที่ ๙๔๑

    ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๗


    อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ก็ถามผู้ร่วมสนทนาว่า รู้สึกอย่างไรบ้าง เขาก็ตอบว่า เย็นสบายดี ซึ่งก็เป็นธรรมหมดเลย เป็นธรรมจริงๆ แม้ว่าจะไม่ได้มีคำว่าธรรม ไม่มีคำว่าปรมัตถธรรม ไม่ได้มีคำว่าอภิธรรม แต่ก็เป็นคำธรรมดาซึ่งเราก็พูดกันโดยความไม่รู้ ก็จริงตามที่ท่านอาจารย์พูดว่าเราพูดคำที่ไม่รู้จัก ไม่ใช่เฉพาะคำบาลี คำว่าธรรมเป็นบาลีก็ไม่รู้จักว่าจริงๆ แล้วคืออะไร อภิธรรม ปรมัตถธรรม ซึ่งก็ขยายขึ้นก็ไม่รู้จัก หรือแม้แต่คำพูดธรรมดาเป็นธรรม เป็นปรมัตถธรรม เป็นอภิธรรมอย่างไร แม้ที่เราจะพูดกันว่าเย็นสบายดี หรืออาจจะว่าวันนี้อากาศอบอ้าว อากาศร้อนไม่สบาย ไม่ดี เป็นคำพูดที่สะท้อนความเป็นธรรม แต่ไม่รู้ อย่างไร

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเย็นสบายดี มีใครบ้างที่ไม่รู้จักเย็น รู้จักทุกคนหรือ รู้จักแน่ๆ หรือ เย็นกับรู้สึกเย็น เหมือนกันหรือเปล่า เห็นไหม นี่ก็แสดงว่ารู้จักเย็นหรือเปล่า ทุกคนบอกว่าวันนี้เย็น แต่ถ้าไม่มีสภาพรู้ หรือธาตุรู้ เย็นก็ไม่ปรากฎ เพราะฉะนั้นความรู้สึกเป็นอย่างหนึ่ง และสภาพที่เย็นไม่ใช่สิ่งที่สามารถจะรู้อะไรได้เลย รับประทานอาหารเย็นๆ ใช่ไหม รู้จักแต่แค่เย็น แต่ความรู้สึกไม่รู้จักเลย แม้แต่ขณะที่เย็นปรากฏก็ไม่ใช่เราที่กำลังรู้ว่าเย็น แต่มีสภาพที่สามารถที่จะกระทบเย็นแล้วรู้ความเย็น เพราะฉะนั้นที่เคยเป็นเรารู้ว่าสิ่งนั้นเย็น ความจริงก็ไม่ใช่เรา แต่เป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งเกิดขึ้นสามารถจะรู้ลักษณะที่เย็น เพราะฉะนั้นลักษณะที่เย็นเป็นอย่างหนึ่ง สภาพที่รู้เย็นคือรู้ลักษณะที่เย็นนั้นก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง เรียกว่าธรรม หรือว่าไม่ต้องเรียกก็เป็นธรรม แต่ถ้าไม่เรียกก็ไม่รู้ว่าหมายความถึงอะไร เพราะฉะนั้นเมื่อเย็นมีจริงๆ เย็นเป็นธรรมหรือไม่

    ตอนนี้ก็เริ่มจะเข้าใจว่าธรรมอยู่ที่ใด อะไรเป็นธรรมบ้าง ซึ่งเมื่อศึกษาแล้วเข้าใจต่อไป ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ในขณะหนึ่งขณะใดก็ตาม เพราะฉะนั้นเย็นมีจริงๆ มีใครทำให้เย็นเกิดขึ้นได้บ้าง เกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัย ในขณะที่กำลังรู้เย็นเฉพาะขณะนั้น ไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยิน แต่ชั่วขณะที่ธาตุรู้หรือสภาพที่มีจริงเกิดขึ้น และรู้ลักษณะนั้นไม่ใช่ตัวตน ด้วยเหตุนี้จึงมีคำที่กล่าวต่อไปอีกถึงธรรมว่า ธรรมทั้งหลาย สิ่งที่มีจริงทั้งหลายเป็นอนัตตา ถ้าใช้คำว่าเย็น เย็นต้องเป็นเย็น เย็นจะเป็นแขนเราเย็น มือเราเย็น เท้าเราเย็นไม่ได้ เพราะเย็นเป็นเย็น และเย็นก็ไม่ใช่ของใครด้วย แล้วเย็นก็ไม่เที่ยงด้วย เพราะว่าพอเย็นหมดแล้วอย่างอื่นก็เกิดขึ้นปรากฏ เหมือนเช่นขณะนี้ ในขณะที่เห็นกับได้ยิน เห็นเกิดขึ้นเห็น แต่เห็นจะได้ยินอะไรไม่ได้

    เพราะฉะนั้นเห็นต้องดับไปก่อน แล้วก็มีปัจจัยคือสิ่งที่สามารถกระทบเสียงที่ตัว ใช้คำว่ารูปที่พิเศษมีลักษณะที่สามารถกระทบเฉพาะเสียง ชื่อในภาษาบาลีคือโสตปสาท คนไทยก็ใช้คำว่าโสตะ หมายความถึงหู บ่อย แต่ว่าใครจะคิดถึงรูปที่อยู่กลางหู ซึ่งเกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย แล้วก็กำลังเกิดดับ แต่ขณะที่ยังไม่ดับนั้นก็กระทบกับเสียงซึ่งเป็นปัจจัยให้ธาตุรู้เกิดขึ้นได้ยินเสียง นี่คือธรรมทั้งวัน ขณะนี้ที่กำลังได้ยินเป็นธรรม ไม่ใช่เราไม่ใช่ใคร แต่เป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งใครก็ยับยั้งไม่ได้ เกิดแล้ว ได้ยินแล้ว

    เพราะฉะนั้นทุกสิ่งที่มีในชีวิตสามารถที่จะเข้าใจในความไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์บุคคล แต่เป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยชั่วคราว แล้วก็ดับไป ถ้ามิฉะนั้นแล้วก็ไม่รู้จักพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า รู้เช่นนี้จึงสามารถที่จะดับกิเลสได้ เพราะว่ากิเลสทั้งหลายมาจากไม่รู้ความจริงของทุกๆ ขณะ ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยทั้งนั้นแล้วก็ดับไป ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยที่เกิดโดยไม่มีปัจจัย และเมื่อเกิดแล้วที่จะไม่ดับไปก็ไม่มีด้วย

    เพราะฉะนั้นทุกคำเป็นวาจาสัจจะ ที่ตรัสเพื่อที่จะให้คนอื่นมีโอกาสได้เข้าใจถูกเห็นถูก เพื่อที่จะละความไม่รู้ และละกิเลสได้หมดด้วย

    ผู้ฟัง ดิฉันใคร่จะเรียนถาม อยู่คนเดียว ไม่มีใครเลย ไม่มีคนมีแต่ธรรม ในเมื่อไม่มีคนก็มีแต่ธรรมก็อยู่คนเดียว ในขณะที่คิดถึงคนอื่นก็อยู่กับคนที่คิดถึง เรื่องของคำว่าอยู่คนเดียว ขอความกรุณาท่านอาจารย์ได้ให้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นด้วย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเรากำลังกล่าวถึงธรรมซึ่งเป็นปรมัตถธรรม หมายความถึงลักษณะนั้นมีจริงๆ ซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียด เพราะเหตุว่าที่กล่าวว่าคน ถ้าไม่มีเห็น ไม่มีได้ยิน ไม่มีคิดนึก ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ ไม่มีรูปร่าง จะเป็นคนไหม เพราะฉะนั้นเวลาที่เราพูดถึงคน แสดงให้เห็นว่ามีสิ่งที่มีจริงๆ แต่เพราะว่าไม่ได้เข้าใจตามความเป็นจริง ก็ยึดถือสิ่งที่มีจริงที่รวมกันแต่ละหนึ่งว่าเป็นคนหนึ่งคนหนึ่ง อย่างนี้ก็พอที่จะเข้าใจได้ใช่ไหม ถ้าไม่มีธรรมเลย คนก็ไม่มี ต้นไม้ก็ไม่มี อะไรๆ ก็ไม่มีทั้งหมด แต่สิ่งที่มีทั้งหมดเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้น เช่น ธาตุรู้มีใช่ไหม เห็นเช่นนี้เป็นธรรมสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่ง ถ้าไม่มีเห็น ไม่มีชีวิตใช่ไหม ไม่มีสิ่งที่มีชีวิตไม่มีคน แต่พอกล่าวว่าคนหรือสัตว์ก็หมายความถึงว่า ต้องมีธาตุที่สามารถที่จะรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏ สิ่งที่ปรากฏที่ไม่รู้ก็มีใช่ไหม เช่น แข็ง เสียง กลิ่น เหล่านี้ ปรากฏแต่ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่ใช่ธาตุรู้ แต่ที่จะรู้ว่าเสียงขณะนี้เป็นเสียง ก็เพราะเหตุว่ามีธาตุได้ยินเกิดขึ้นได้ยิน ขณะนั้นเสียงจึงจะปรากฏได้

    เพราะฉะนั้นที่จะกล่าวว่าเป็นคนก็ต้องมีการเห็นสิ่งที่ปรากฏ รูปร่างสัณฐานที่จำได้ว่านี่เป็นคน หรือว่านั่นไม่ใช่คน หรือนั่นเป็นนก หรือเป็นอะไรก็แล้วแต่ ก็จากการเห็นซึ่งต้องเห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้น แต่ความรวดเร็วของสภาพธรรมที่เกิดดับ ประมาณไม่ได้เลย นับได้ไหมว่ากี่คนในห้องนี้ เพราะฉะนั้นถ้าละเอียดยิ่งไปกว่านั้นอีก สิ่งที่สามารถกระทบตาอยู่ที่ใด ต้องมีธาตุดินน้ำไฟลมซึ่งเป็นมหาภูตรูป ถ้าไม่มีธาตุดินน้ำไฟลม สิ่งที่จะกระทบตาก็ไม่มี

    ด้วยเหตุนี้ต้องมีมหาภูตรูปมากเท่าใดเดี๋ยวนี้ ถึงจะปรากฏเป็นหนึ่งคน ซึ่งหนึ่งคนมหาภูตรูปที่ตา ที่หู ที่จมูก ที่ลิ้น ที่กาย ประมาณไม่ได้เลย แต่ทั้งหมดนั้นก็มีสิ่งที่สามารถกระทบตา ทำให้ปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ ตามมหาภูตรูป ซึ่งหลากหลายต่างกันไปมาก นั่นคือกว่าจะรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วที่ว่าเข้าใจว่าเป็นคน ความจริงก็เป็นธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งละเอียดยิบ รูปว่าละเอียดแล้ว เพราะว่าไม่ว่าจะรูปคนหรือไม่ใช่รูปคนก็ตาม จะต้องมีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ในรูปกลุ่มที่เล็กที่สุด ละเอียดที่สุด จึงสามารถที่จะแตกย่อยรูปทั้งหลายออกได้ เพราะมีอากาศธาตุคั่น เพราะฉะนั้น กองฝุ่น เห็นเป็นกอง มีอากาศธาตุแทรกคั่นไหม มี เพราะฉะนั้นที่ร่างกายเห็นเป็นคน เห็นเป็นแขน มีอากาศธาตุแทรกคั่นไหม ก็มีใช่ไหม

    เพราะฉะนั้นนี่เป็นส่วนของรูปซึ่งหยาบกว่าธาตุรู้ ซึ่งละเอียดกว่า แล้วก็ลึกซึ้งกว่าด้วย เช่น ในขณะนี้ทุกคนมีเห็นกำลังเห็น แต่ไม่รู้ว่าเห็นเป็นเห็น ซึ่งเกิดขึ้นเห็นแแล้วก็ดับ แต่ทุกคนเข้าใจว่าเราเห็น เพราะฉะนั้นทั้งหมดจึงเป็นปรมัตถธรรม ซึ่งมีปัจจัยเกิดแล้วดับรวดเร็วจนกระทั่งเหมือนมายากล ซึ่งถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่รู้เลยว่าแท้ที่จริงทั้งหมดไม่ว่าอะไรที่ปรากฏทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ล้วนป็นธรรมซึ่งมีจริงชั่วคราวแสนสั้นเกิดแล้วก็ดับไป นี่คือความหมายของการที่จะรู้ความต่างว่าธรรมมี แต่เมื่อไม่เข้าใจธรรม ธรรมแต่ละหนึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่เมื่อรวมกันแล้วก็เป็นคนบ้าง เป็นสัตว์บ้าง เป็นวัตถุสิ่งต่างๆ บ้าง

    เพราะฉะนั้นที่กล่าวว่าคนเดียวคือแต่ละหนึ่ง แต่ละคนแยกกันไม่ใช่คนเดียวกันใช่ไหม และมีจำนวนเท่าใดก็แล้วแต่ว่าเห็นกี่คน นับไม่ได้เลย ตั้งแต่เห็นมาแล้วมากมาย แต่แท้ที่จริงแล้วก็คือว่า เมื่อมีเห็น แล้วก็มีรูปร่างสัณฐานต่างๆ ก็ทำให้จิตที่แม้ไม่เห็นแต่จำได้ ก็รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร ตั้งแต่เกิดจนตายเรื่อยมาทุกขณะก็เป็นธรรมซึ่งมีจริงซึ่งเกิดดับ โดยที่ไม่รู้เลยว่าแท้ที่จริงแล้ว ธาตุรู้เกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะ เราจะเรียกธาตุรู้ว่าจิตก็ได้ เพราะเราคุ้นเคยกับคำนี้ ทั้งๆ ที่เราไม่รู้ว่าจิตคืออะไร อยู่ที่ไหน แต่เราก็บอกว่ามีจิต แต่ขณะนี้ให้ทราบว่าจิตคือธาตุรู้ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ ในขณะที่เห็นไม่ใช่เราไม่ใช่ใคร แต่เป็นจิตหนึ่งขณะที่เกิดขึ้นเห็น ขณะที่ได้ยินเดี๋ยวนี้ ก็ไม่ใช่เราไม่ใช่นกไม่ใช่สัตว์ หรือไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น แต่เป็นธาตุรู้ที่เกิดขึ้นได้ยิน ไม่มีเชื้อชาติใช่ไหม กำลังได้กลิ่น ไม่ใช่ชาติไทย ไม่ใช่ชาติจีน แต่เป็นธาตุที่เกิดขึ้น รู้เฉพาะกลิ่นแล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้นแต่ละขณะเป็นธรรมที่เกิดดับอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งลวงให้เห็นว่าไม่ได้ดับไปเลย ยังเป็นคนนั้น แต่คนนั้นตอนเกิดกับคนนั้นที่กำลังนั่งอยู่เดี๋ยวนี้เหมือนกันไหม ไม่เหมือน เป็นการเกิดดับสืบต่อเรื่อยมาจนกระทั่งต่อไปก็แก่ แล้วก็ตาย ก็ไม่ใช่ขณะที่เกิด หรือว่าขณะที่กำลังเป็นขณะนี้ แต่ขณะนี้ยังไม่ตาย แต่รูปเกิดดับแล้วสืบต่อไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นก็คงพอจะเข้าใจความหมายของคำว่าคน แล้วก็คนเดียวจริงๆ แล้วก็คือว่ามีบางกาลซึ่งอยู่คนเดียว แต่ว่าขณะนั้นต้องมีเห็นเกิดขึ้นแล้วดับไป แล้วก็อาจจะจำสิ่งที่กำลังปรากฏที่แวดล้อมอยู่ในขณะที่เข้าใจว่าอยู่คนเดียวได้

    เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วกว่าจะเข้าใจว่าแม้อยู่คนเดียว ก็การที่มีสภาพธรรมแต่ละหนึ่งเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็ว จนกระทั่งเข้าใจว่าขณะนั้นอยู่คนเดียว แต่ความจริงก็คือว่าธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปสืบต่อกัน

    ผู้ฟัง เมื่อมีแต่ธรรม คนก็ไม่มีในขณะนั้น แต่ที่เป็นคนก็เพราะเป็นความที่ทรงจำสภาพธรรมที่เกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว ตรงนี้เหมือนกับว่าเราจะต้องพูดว่ามีคน แต่จริงๆ แล้วคือไม่มีคน เพราะว่ามีแต่ธรรม เช่นนี้ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เดี๋ยวนี้เป็นธรรมหมดเลย เห็นไหม

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นการที่บอกว่าอยู่คนเดียว การอยู่คนเดียวของพระอรหันต์กับการอยู่คนเดียวของปุถุชนนี้ก็ไม่เหมือนกัน เพราะว่าการอยู่คนเดียวของพระอรหันต์ท่านอยู่คนเดียวจริงๆ แต่ปุถุชนอยู่คนเดียวไม่มีคนแวดล้อม แต่ว่าก็อยู่กับคนอื่นในความคิดนึกที่คิดถึงใครก็อยู่กับคนนั้น

    ท่านอาจารย์ พระอรหันต์ก็คิดใช่ไหม

    ผู้ฟัง คิดค่ะ

    ท่านอาจารย์ แต่ไม่มีความสงสัยในคำว่าอยู่คนเดียว แต่คนที่ไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ได้อยู่คนเดียวเลย ห้องนี้มีตั้งหลายคน แต่ถ้าขณะใดก็ตามที่ปัญญาสามารถรู้เฉพาะลักษณะของสิ่งที่มีจริงขณะนั้น ใช้คำว่าอยู่คนเดียว ซึ่งความจริงคนเดียวนั้นหมายความถึงสภาพธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งปรากฏ

    ผู้ฟัง ซึ่งสภาพธรรมแต่ละหนึ่งนั้นก็ไม่ใช่คน

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะฉะนั้นปัญญาสามารถเข้าใจความหมายของคำว่าคนเดียวว่า แท้ที่จริงที่ใช้คำว่าคนเดียว สภาพธรรมเกิดแล้วดับในขณะนั้นแต่ละหนึ่งขณะรวดเร็วมาก เพราะฉะนั้นจะกล่าวถึงสภาพธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดดับก็ยาวมากใช่ไหม แต่ว่าสืบต่อไม่ใช่คนอื่น เพราะฉะนั้นจึงใช้คำว่าคนเดียว เมื่อเข้าใจแล้วว่าคนก็คือสภาพธรรมที่มีจริงซึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไปสืบต่อไม่ขาดสายเลย

    ผู้ฟัง แต่สภาพธรรมที่เกิดดับก็ไม่ใช่คน เพราะเป็นธรรมเป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งไม่ใช่คน

    ท่านอาจารย์ แน่นอน ไม่ใช่คนเลย แล้วก็มากด้วย เดี๋ยวนี้จิตเจตสิกรูปเกิดดับนับไม่ถ้วน แล้วจะกล่าวถึงธรรมอะไร แต่ถ้าเข้าใจแล้วว่าถ้าไม่มีธรรมเหล่านั้น ก็ไม่มีสิ่งที่เราสมมติเรียกว่าคน เพราะฉะนั้นสำหรับผู้ที่เข้าใจความหมายของคำว่าคน และคนเดียว ก็ไม่สงสัยเลยว่าหมายความถึงสภาพธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดดับสืบต่อกัน

    ผู้ฟัง ถ้าจะถามว่าถ้าคนมีจริง แล้วลักษณะของคนคืออะไร ก็ไม่มีลักษณะของคน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นธรรมมีจริงใช่ไหม ถ้าไม่มีธรรมเกิดเลย คนสัตว์สิ่งของใดๆ ก็ไม่มี แต่เพราะเหตุว่าสภาพธรรมแต่ละหนึ่งเกิดแล้วดับแล้วเร็วมาก สืบต่อจนกระทั่งปรากฏรูปร่างสัณฐานนิมิตต่างๆ เพราะเหตุว่าธาตุดินน้ำไฟลมแต่ละหนึ่งกลาป หรือหนึ่งกลุ่มเล็กๆ เล็กมาก ในที่นั้นก็มีสิ่งที่สามารถกระทบตา มีกลิ่น มีรส แต่ว่าแล้วแต่ว่าสภาพธรรมใดจะปรากฏ เพราะฉะนั้นก็เป็นธรรมทั้งหมด แต่ใช้คำว่าคนแสดงให้เห็นว่าสภาพธรรมเกิดดับนี้ ไม่ใช่สภาพธรรมที่เกิดดับอื่น เช่น เป็นสัตว์ หรือว่าสิ่งไม่มีชีวิตก็ต่างกันไป

    อ.วิชัย ตั้งแต่ในช่วงต้นก็ได้สนทนาเกี่ยวกับเรื่องของปรมัตถธรรม ก็คือการแสดงสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ว่า ตามความเป็นจริงแล้วก็เป็นธรรมแต่ละอย่าง ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตน สำหรับบุคคลที่เริ่มศึกษาโดยปกติก็อาจจะมีญาติมิตรสหายเพื่อนฝูง แต่เมื่อได้ยินคำว่าอภิธรรมหรือปรมัตถธรรม ก็แสดงสิ่งที่มีจริงแต่ว่าสิ่งนั้นไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตน ก็เหมือนกับว่าธรรมเมื่อศึกษาแล้วจะแปลกไปกับชีวิตประจำวันหรือไม่ อย่างไรสำหรับบุคคลที่เริ่มต้นศึกษา

    ท่านอาจารย์ เริ่มต้นศึกษาคือต้องเป็นผู้ที่พิจารณาไตร่ตรองคำที่ได้ฟัง แล้วก็พิจารณาว่าถูกหรือผิด จริงหรือเท็จ เช่น กล่าวคำว่าเห็น ในภาษาไทยเห็นมีจริงๆ หรือไม่

    อ.วิชัย มีจริง

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ถ้าจะใช้คำว่าคุณวิชัยกำลังเห็น คุณอรรณพกำลังเห็น จะได้รู้ว่าเห็นไหน มีเห็นมากมายเดี๋ยวนี้ แล้วถ้าไม่กล่าวจะรู้ไหมว่าเห็นตรงไหน เห็นขณะใด เพราะฉะนั้นที่กล่าวว่าคุณวิชัยเห็น แท้ที่จริงไม่มีคุณวิชัย แต่มีเห็น ที่กล่าวว่าคุณอรรณพเห็น ก็ไม่มีคุณอรรณพ แต่มีเห็น แต่เห็นนั้นที่กล่าวว่าคุณวิชัยเห็น ไม่ใช่เห็นที่กล่าวว่าคุณอรรณพเห็น เป็นแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นธรรมมากมายเหลือเกิน ถ้าไม่ใช้คำที่จะกล่าวให้รู้ว่าหมายความถึงอะไร คำแต่ละคำเป็นไปตามความหมาย เสียง และคำแต่ละคำเป็นไปตามความหมายของคำนั้น เช่น กล่าวว่าเห็น เป็นไปตามความหมายของธาตุรู้ว่าไม่ใช่ธาตุอื่น

    เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นต้องใช้คำ ซึ่งแสดงให้รู้ว่าหมายความถึงธรรมอะไร เพราะฉะนั้นคุณวิชัยเห็นหนึ่งขณะดับ คนเดียวหรือเปล่าถ้าจะสมมติ คุณอรรณพที่เรากล่าวว่าเห็น เห็นของคุณอรรณพที่เราสมมติว่าคุณอรรณพเห็นก็ต้องดับ เพราะฉะนั้นไม่ว่าเห็นที่ใดเกิดแล้วก็ดับไป เป็นแต่ละหนึ่ง คนเดียวหรือเปล่า อันเดียวหรือเปล่า ขณะเดียวหรือเปล่า

    เพราะฉะนั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้อริยสัจที่ทำให้พระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะนั้นไม่มีคำใดๆ เลย เหมือนกับสภาพธรรมกำลังปรากฏตามความเป็นจริง ให้รู้ความจริงขณะนั้น ไม่ใช่การที่จะไปคิดถึงคำ เพราะบางคนคิดว่า ๔ อสงไขยแสนกัปที่บำเพ็ญบารมี ทรงวิจัยมาโดยตลอด หมายความว่าไม่ได้รู้ความจริง แต่ใคร่ครวญไตร่ตรองในสภาพธรรมแต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้นคนนั้นก็จะไม่เข้าใจความต่างของปริยัติ ปฏิปัตติ และปฏิเวธ ก็คิดเอาเองว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้เราแค่คิดพิจารณาตาม แต่ตามความจริงทุกคำมีความหมายที่จะทำให้เริ่มเข้าใจสภาพที่มีจริงตามคำนั้นๆ เช่น พอพูดว่าเห็นเกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่มีใคร คนเดียวหรือเปล่า ขณะเดียวหรือเปล่า

    เพราะฉะนั้นคนที่เริ่มฟังธรรม ถูกไหมที่ได้ยินเช่นนี้ จริงหรือเปล่าใครรู้ ขณะนี้ไม่มีใครรู้ แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงตามที่ได้ทรงตรัสรู้ และเป็นคำที่เชื่อถือได้ไหมว่า ไม่ได้พูดถึงอะไรเลย แต่พูดถึงเห็น แล้วก็ทรงแสดงไว้ด้วยว่า เห็นก็ไม่มีใครสามารถที่จะไปบังคับบัญชาให้เกิดขึ้นได้เลย แต่เพราะมีจักขุปสาท และทรงแสดงไว้ด้วย จักขุปสาทซึ่งเป็นรูปเกิดจากกรรมที่ได้กระทำแล้วเป็นสมุฏฐาน เพราะฉะนั้นแสดงความจริงอย่างละเอียดยิ่งของธรรมแต่ละหนึ่ง จนกว่าผู้ฟังจะไตร่ตรอง แล้วก็เริ่มเข้าใจจริงๆ ว่าไม่มีเรานี่ถูกต้อง แต่เพราะความไม่รู้ความจริงเช่นนี้ ก็ยังคงยึดถือเพราะความไม่รู้ความจริงว่าเดี๋ยวนี้ทุกอย่าง แม้แต่เพียงหนึ่งละเอียดยิบเกิดแล้วดับไป เมื่อไม่รู้ความจริงเช่นนี้จะไปละการยึดถือว่าเป็นสิ่งที่เที่ยง หรือเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้อย่างไร

    ด้วยเหตุนี้ผู้ที่ฟังพระธรรมก็เป็นผู้ที่เริ่มเห็นพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และรู้ว่ากิเลสทั้งหลายมาจากการไม่รู้ และยึดถือว่ามีเราทั้งหมดเลย โลกวุ่นวายเดือดร้อน จากโลกก็เป็นแต่ละบ้าน จากบ้านก็เป็นแต่ละคน เดือดร้อนกันทั่วหน้าเพราะไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจว่าจริงๆ แล้ว ไม่มีใครไปยับยั้งการเกิดขึ้นของธาตุแต่ละหนึ่ง และเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ต้องดับไปอย่างเร็วสุดที่จะประมาณได้ เหมือนไม่ได้ดับไปเลย เหมือนเห็นเดี๋ยวนี้ มีใครรู้เห็นขณะใดเกิด และดับบ้าง ทั้งๆ ที่ตามความเป็นจริง ขณะที่ได้ยินต้องไม่มีเห็น ขณะคิดนึกต้องไม่ใช่ขณะที่ได้ยิน และเห็น แต่ละหนึ่งละเอียดมาก

    นี่คือพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นทรงอนุเคราะห์สัตว์โลกให้เข้าใจถูก เพราะว่าถ้าไม่เข้าใจเช่นนี้ ก็ยังมีเรามีของเราทั้งหมดเลย ตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย แล้วไปไหน เราหายไปไหน ระหว่างที่ยังไม่ตายเป็นเราหมดเลยตั้งแต่เกิดมาทุกวันเป็นเราหมด แต่พอถึงจากโลกนี้ไป ไหนเรา ไปรู้ความจริงตอนนั้นหรือเปล่า เพราะว่าขณะนั้นจากไปแล้ว ไม่มีโอกาสจะรู้เลยว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมา ก็มีแต่เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง คิดนึกบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง เพียงชั่วคราวแล้วก็หมดไปไม่เหลือเลย

    เพราะฉะนั้นความจากไปหรือการเกิดดับไม่ใช่เฉพาะขณะสุดท้ายของชาตินี้ ไม่ใช่จิตขณะสุดท้าย แต่ทุกขณะเป็นความจริงว่าจิตเกิดแล้วดับทุกขณะ

    อ.วิชัย ท่านอาจารย์กล่าวถึงว่าความรู้ความเข้าใจสิ่งที่มีจริง ที่จะละคลายความยึดถือความเป็นตัวตน แล้วก็อกุศลกิเลสประเภทต่างๆ ราคะ โทสะ โมหะ ขณะที่โกรธ หรือว่าติดข้องก็ไม่ได้คิดว่ามีสิ่งที่ปรากฏ หรือว่ากำลังปรากฏเลย ขณะนั้นก็เป็นอกุศลที่กลุ้มรุม แม้แต่เป็นผู้ที่ฟังพระธรรมเป็นปกติ แต่ว่าก็มีปัจจัยให้เกิด

    ท่านอาจารย์ คำถามเรื่องความโกรธ มีทุกครั้งที่พูดถึงธรรม พอเข้าใจทันที แล้วโกรธจะทำอย่างไร เห็นไหม แสดงว่าเข้าใจจริงๆ หรือเปล่า ธรรมคืออะไร คือสภาพที่มีจริงเกิดแล้วจึงปรากฏว่ามีจริงๆ แล้วเกิดมาได้อย่างไร ลืมแล้วใช่ไหม ถ้าไม่มีปัจจัยโกรธอย่างไรๆ ก็ไม่เกิด แต่พอมีปัจจัยที่จะเกิดเป็นโกรธ อย่างไรๆ ก็เปลี่ยนจากโกรธให้เป็นอื่นไม่ได้ นี่คือธรรม นี่คือความจริง แต่คนฟังมีความเป็นเรา ไม่ชอบความโกรธ หาวิธีที่จะไม่โกรธ โดยที่ไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว โกรธทั้งวันทุกขณะจิตหรือเปล่า ก็เปล่า ก็มีเห็นสลับ มีได้ยินสลับ มีอะไรๆ ตั้งหลายอย่างคั่น

    แต่เพราะเหตุว่าไม่รู้ความจริงจึงหวั่นไหว ไม่ว่าจะเป็นโกรธก็หวั่นไหว ไม่ว่าจะเป็นความสุข อยากจะมีความสุขมากๆ ติดข้อง แล้วไม่ได้อย่างที่ต้องการก็หวั่นไหว ซึ่งความจริงแล้วขณะใดที่ไม่รู้ ขณะนั้นต้องหวั่นไหวไปด้วยความไม่รู้ ด้วยความเป็นเรา ขณะที่เข้าใจว่าเรา หวั่นไหวแล้ว ไม่รู้ความจริงของธรรมว่า แท้ที่จริงขณะนี้มีแต่สิ่งที่เกิดปรากฏแล้วหมดไป บางทีก็เป็นคำถามให้เขาคิดว่า ขณะที่โกรธเกิดไม่อยากให้โกรธ หรือว่าควรเข้าใจโกรธว่าไม่ใช่เรา


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 194
    29 มี.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ