พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 910


    ตอนที่ ๙๑๐

    ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๕๗


    ท่านอาจารย์ ต้องเข้าใจด้วยว่า คำว่า"บุญ" หมายถึงอะไร

    อ.ธิดารัตน์ บุญก็คือกุศลจิต

    ท่านอาจารย์ ขณะใดที่เป็นกุศลแล้วแต่ว่าขณะนั้นจะเป็นไปในอะไร กุศลจิตเกิดเมื่อใดเป็นปกติกุศลเป็นกุศลศีล แล้วแต่ว่าขณะนั้นจะเป็นไปในทาน เป็นไปในการช่วยเหลือบุคคลอื่น เป็นไปในการนอบน้อมต่อสิ่งที่ควรนอบน้อม หลายอย่างที่จะเป็นเรื่องของบุญ แต่ต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องว่าไม่ใช่เรา มิฉะนั้นเราก็ไม่สามารถที่จะรู้ว่าขณะนั้นเป็นบุญจริงๆ หรือไม่ใช่บุญ

    อ.ธิดารัตน์ หมายถึงว่า การที่เราช่วยเหลือไม่ว่าจะเป็นศาสนาใด เราก็ช่วยเหลือได้ แต่เราไม่ได้ไปสนับสนุนในกิจกรรมของศาสนานั้น อย่างนั้น ใช่ หรือไม่

    ท่านอาจารย์ ถ้าเข้าใจว่า"บุญ" คือสนับสนุนสิ่งที่ถูกต้อง หรือสิ่งที่ผิด

    อ.ธิดารัตน์ สิ่งที่ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ แล้วจะไปสนับสนุนสิ่งที่ผิดได้ยังไง

    อ.ธิดารัตน์ ประเด็นนี้ชัดเจน แต่มีอีกประการหนึ่ง คือ เชื่อกรรม การเชื่อกรรม หรือว่าการเข้าใจเรื่องกรรม และผลของกรรม บางครั้งเราเชื่อเรื่องกรรม และผลของกรรม แต่จะเป็นปัญญาที่เข้าใจเรื่องกรรม และผลของกรรมจะมีความต่างกัน

    ท่านอาจารย์ ทั้งหมดไม่มีคำตอบ นอกจากความเข้าใจของตนเองที่ได้ฟังแล้วถึงสามารถที่จะรู้ได้ว่าขณะนั้นเป็นกุศล หรืออกุศล "กรรม"คืออะไร ถ้าบอกว่าเชื่อกรรม ถ้าเขาไม่รู้ว่ากรรมคืออะไร แล้วเขาบอกว่าเขาเชื่อกรรม จะรู้ว่าเขาเห็นถูกได้อย่างไร เพราะฉะนั้นทุกคำต้องเข้าใจ และต้องตรง และต้องละเอียดด้วยว่ากรรมคืออะไร ที่ว่าจะเชื่อกรรม กรรมคืออะไร

    อ.ธิดารัตน์ กรรมมี ๒ ประเภทที่เป็น"บุญ"กับ "บาป"

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น"กรรมคือเหตุที่จะให้เกิดผล" หรือว่าเกิดโดยไม่ต้องมีเหตุ อะไรๆ เกิดโดยไม่ต้องมีเหตุ หรือเพราะมีเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น การที่จะกล่าวว่าจะเชื่อเรื่องกรรมก็ต้องรู้ว่ากรรมคืออะไร กรรมเป็นเหตุที่จะให้เกิดผล เพราะเหตุว่าผลใดๆ ทั้งสิ้นต้องมาจากเหตุ ไม่ใช่ว่าเกิดขึ้นมาได้โดยลอยๆ

    อ.ธิดารัตน์ คุณธีรพันธ์มีตัวอย่างในขณะนี้ หรือไม่ ขณะใดเป็นกรรม ขณะใดเป็นผลของกรรม

    อ.ธีรพันธ์ ขณะนี้เป็นไปในการฟังธรรมก็เป็นกุศลกรรมขั้นหนึ่ง ซึ่งมีเจตนาที่ตั้งใจที่จะฟังสิ่งที่ถูกต้องสิ่งที่เป็นประโยชน์ เพื่อความรู้เห็นตามความเป็นจริง ก็สำเร็จเป็นกุศลกรรมก็สามารถที่จะให้ผลในอนาคตได้ ให้วิบากที่ดีงาม อาจจะปฎิสนธิในสุคติภูมิ หรือปฎิสนธิประกอบด้วยปัญญาก็ได้ ผลจากการฟังธรรมในครั้งนี้ หรือครั้งไหนก็ตาม ถ้ามีการฟังด้วยดีมีการพิจารณาโดยถูกต้องก็สำเร็จเป็นกรรมที่ดี ก็คือประกอบด้วยปัญญาก็ได้ หรือไม่ประกอบด้วยปัญญาก็ได้ ก็เป็นประเภทหนึ่งของกรรมที่เป็นกุศลกรรมในขณะนี้เองไม่ใช่ขณะไหน

    ท่านอาจารย์ ตามที่ดิฉันได้พูดว่าถ้าเข้าใจความจริงในศาสนาใดแล้วจะไปแสวงหาความจริงที่อื่นอีก หรือไม่ เพราะเหตุว่าพระธรรมที่ได้ทรงแสดงให้เราได้ยินได้ฟังเป็นวาจาจริง เมื่อเราสามารถเข้าใจว่านี่จริงแล้ว เรายังจะไปหาความจริงที่อื่นอีก หรือ

    เพราะฉะนั้น เรื่องของบุญกุศลไม่ใช่เป็นแต่เพียงเรื่องของการที่คิดจะไปสนับสนุน หรืออะไรทั้งสิ้น แต่เป็นความเห็นที่ถูกต้อง เมื่อเข้าใจถูกต้องแล้วจะไปแสวงหาความเข้าใจถูกต้องที่อื่น หรือ เมื่อไม่ไปแสวงหาความเข้าใจที่อื่นแล้วจะทำอย่างไรที่ให้คนอื่นได้มีโอกาสได้เข้าใจอย่างนี้ด้วย หรือว่าได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ เพราะว่าถ้าเป็นความเห็นผิด หรือว่าไม่ทำให้เราเข้าใจ แล้วจะไปแสวงหา หรือว่าจะไปเผยแพร่ในสิ่งที่เรารู้ว่าไม่จริงได้ หรือ ดังนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าเฉพาะบุญในเรื่องของการฟังธรรม หรือว่าในเรื่องของการที่จะสนับสนุนในการเผยแพร่ เพราะเหตุว่าถ้าเข้าใจเรื่องบุญก็รู้ว่าบุญมีหลายอย่าง แต่ถ้าจะแสวงหาแสวงหาที่ไหน และที่ฟังธรรมเรื่องกรรม และผลของกรรมแล้วบอกว่าเชื่อกรรม และผลของกรรม เชื่อเพราะเขาบอก หรือว่าเชื่อเพราะเข้าใจ นี่เป็นความต่างกันมาก

    เพราะฉะนั้น ถ้าอ่านพระไตรปิฎกเหมือนพระองค์ทรงแสดง เหมือนบอกให้เป็นอย่างนั้น ให้เข้าใจอย่างนี้ แต่ว่าคนที่ได้ยินได้ฟังเข้าใจอย่างนั้น หรือไม่ ทั้งหมดไม่ใช่เชื่อเพราะคนอื่นบอก หรือแม้แต่ท่านพระสารีบุตรท่านก็กล่าวว่าท่านไม่ได้เชื่อเพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง หรือบอกท่าน แต่ท่านเชื่อเพราะท่านเห็นว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง และความจริงนั้นถูกต้องเป็นอย่างนั้น แต่ไม่ใช่เพราะเพียงเขาบอก เขาบอกว่าอย่างนี้ เขาบอกว่านี่เป็นกรรม ทำแล้วผลของกรรมก็จะเกิดขึ้น ก็เชื่อ อย่างนั้นก็ไม่ได้มีความเข้าใจเพียงแม้ว่า "กรรมคืออะไร?"

    แต่คงไม่ลืมว่า "กรรม" ก็ไม่ใช่ภาษาไทยจริงๆ "กรรม"ถ้าแปลเป็นภาษาไทยก็หมายความถึง "การกระทำ" แต่ว่าจริงๆ แล้วการกระทำทั้งหมดต้องมี "ความตั้งใจ หรือมีความจงใจ" ไม่ว่าขณะนี้ หรือขณะไหนก็ตาม ถ้าจะกล่าวถึงจิตซึ่งมีเจตนา ซึ่งเป็นสภาพที่จงใจ ตั้งใจ เกิดร่วมด้วยทุกขณะ แต่ลักษณะของความจงใจความตั้งใจนั้นก็หลากหลายมากไม่เหมือนกันเลย เพราะฉะนั้น ถ้าจะกล่าวว่าวิบากจิต เช่น เห็นเกิดเพราะกรรม มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๗ ดวง เจตนาจงใจจะเห็น หรือไม่ ก็จะต้องเข้าใจอีก ขณะนั้นไม่ใช่ลักษณะที่จงใจ แต่เป็นลักษณะที่ขวนขวายให้สภาพธรรมที่เกิดร่วมด้วยกระทำกิจของสภาพธรรมนั้นๆ

    เพราะฉะนั้น เวลาที่เกิดความตั้งใจจงใจ สภาพธรรมอื่นก็เป็นไปตามความจงใจความตั้งใจนั้นแหละ เช่น ถ้าจะสร้างบ้าน ความจงใจตั้งใจจะไปหามะพร้าวกะทิ หรือไม่ หรือก็ต้องไปหาวัสดุที่จะทำให้มีการสร้างบ้านก่อสร้างเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามเจตนาที่จงใจ ทำให้สภาพธรรมอื่นเมื่อถูกกระตุ้นให้ขวนขวายให้เป็นไปอย่างนั้นก็กระทำสิ่งนั้นสำเร็จ เวลาที่เราจะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามก็ต้องมีเจตนา และสภาพธรรมอื่นก็เป็นไปกับเจตนานั้น แล้วก็สำเร็จเพราะเจตนานั้นด้วยเหตุนั้น เจตนาจึงเป็นเหตุที่จะให้เกิดผลในขณะนั้น ถ้าเกิดพร้อมกับจิตที่เกิดร่วมกันกับเจตสิกอื่นๆ เจตนานั้นชื่อว่า "สหชาตกัมมปัจจัย" ไม่ใช่ไม่ใช่กรรม ยังเป็นกรรม แต่เป็นกรรมประเภทใด เป็นกรรมประเภทที่เกิดร่วมกันกับจิต และเจตสิกอื่นๆ ที่เกิดร่วมกัน ซึ่งกระทำหน้าที่ขวนขวายทำให้กิจของจิต และเจตสิกนั้นๆ สำเร็จลงเท่านั้นเอง แต่ว่าถ้าเป็นเจตนาที่เป็นกุศล หรืออกุศล เช่น เจตนาที่จะคิดไม่ดี ทำไม่ดี พูดไม่ดี ก็แล้วแต่ที่เราใช้ ลองคิดดู เจตนาจะทำให้คนอื่นตาย หรือว่าถ้าไม่ถึงตายก็ให้ขาขาด ไม่ถึงขาขาด แขนขาด ก็ทำให้ตาบอด หรือเจตนาใดๆ ก็ตามเกิดแล้ว เจตสิกอื่นๆ ก็ขวนขวายกระทำกิจของตนตามหน้าที่ของเจตสิกนั้นๆ จนกระทั่งกรรมนั้นสำเร็จ สหชาตกัมมปัจจัยเจตนานั้น แต่ว่าเมื่อได้กระทำกรรมที่ไม่ใช่เพียงแต่เป็นการเห็น การได้ยิน ที่เกิดกับจิตทุกประเภท แต่ยังเป็นเจตนาที่ต้องการให้ผลเช่นนั้นเกิดขึ้น เช่น ให้ผลให้คนนั้นตาย หรือว่าให้ผลให้คนนั้นตาบอด ให้คนนั้นหูหนวก ให้คนนั้นแขนขาดขาขาด นี่เป็นเจตนาซึ่งเป็นเหตุ

    เพราะฉะนั้น เกิดคนเดียว อยู่คนเดียว เจตนาคนเดียว ผลของเจตนานั้นก็คือว่าทำให้จิตประเภทที่เป็นผลนั้นเกิดขึ้นตรงตามเจตนานั้นๆ เห็นสิ่งที่ไม่ดี ได้ยินเสียงที่ไม่ดี ได้กลิ่นไม่ดี ลิ้มรสไม่ดี รู้สิ่งที่กระทบกายไม่ดี เจ็บไข้ได้ป่วยเมื่อไหร่ รู้เลยไม่มีใครทำให้สักคน แต่กรรมที่ได้ทำแล้ว ไม่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดกระทบกาย เข้าใจว่าเป็นคนอื่นสิ่งอื่นทั้งนั้น แต่ความจริงเมื่อมีกรรมที่ได้กระทำแล้ว ก็ทำให้จิตประเภทนั้นเกิดเมื่อสิ่งนั้นได้กระทบกาย แล้วทุกขเวทนาเกิดขึ้นตามกรรมที่ได้กระทำไว้ เวลาที่ทำให้ใครตาบอด ต้องการไม่ให้มีตา สำเร็จแล้วด้วย ก็เป็นผลทำให้จิตในชาตินั้นเกิดโดยไม่มีจักขุปสาทรูปเกิดร่วมด้วย นี่ก็เป็นผลของกรรม เพราะฉะนั้นเรื่องกรรม และผลของกรรมไม่ใช่เชื่อเพราะเขาบอก ทั้งหมดทุกคำที่เป็นวาจาสัจจะ ไม่ใช่เชื่อเพราะคนอื่นบอก แต่ต้องพิจารณาแล้วเข้าใจโดยละเอียด ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของเขตบุญ หรือว่าศาสนาอื่น หรือคำสอนอื่นก็ตามแต่ ก็ต้องรู้ว่าเพราะอะไร เมื่อมีความเห็นถูกมีความเข้าใจถูกแล้วยังจะแสวงหาอื่นที่ผิด หรือ

    เพราะฉะนั้น ก็จะรู้ได้ว่าเมื่อเป็นสิ่งที่ถูกแล้ว "บุญ"ก็คือมีความตั้งใจที่จะศึกษาให้เข้าใจเพิ่มขึ้น ให้รู้ยิ่งขึ้น เพราะรู้ว่าบุญสามารถที่จะทำให้ถึงการดับกิเลสได้ แต่บาป หรืออกุศลไม่สามารถที่จะทำให้ถึงการดับกิเลสได้เลย เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นบุญหลายอย่าง ก็จะต้องรู้ด้วยว่าขณะนั้นความละเอียดของสภาพของจิตเป็นอย่างไร ประกอบด้วยปัญญา หรือว่าไม่ประกอบด้วยปัญญา ถ้าเป็นบุญที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา จะให้จิตที่เกิดเป็นผลของบุญนั้นประกอบด้วยปัญญาได้อย่างไร จะไปเอาปัญญาที่ไหนมา แสดงให้เห็นว่าทั้งหมดการได้ฟังพระธรรมทุกคำต้องไตร่ตรองโดยละเอียด แม้แต่คำว่า "เชื่อ" ก็ต้องรู้ว่า เชื่อเพราะเขาบอก หรือเชื่อเพราะเข้าใจ เพราะฉะนั้นอุบาสกที่ดี เชื่อแบบไหน

    อ.ธิดารัตน์ เชื่อด้วยความเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ด้วยความเข้าใจ เพราะพระธรรมทุกคำ ทำให้มีความเห็นถูกมีความเข้าใจถูก

    อ.คำปั่น ต้องศึกษาพระธรรมจึงจะมีความเข้าใจถูกตั้งแต่ต้นว่า "บุญ" คืออะไร และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงอะไร แสดงสิ่งที่มีจริงเพื่อประโยชน์อะไร ทั้งหมดนี้ต้องมาจากความเข้าใจที่เกิดขึ้นจากการที่ได้ฟังพระธรรม และได้ฟังที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า เมื่อมีความเข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ยังสามารถที่จะอุปการะเกื้อกูลให้ผู้อื่นได้เข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงตามด้วย

    ท่านอาจารย์ เพราะว่า "บุญ"ไม่ใช่มีเพียงแต่ฟังเฉยๆ บุญมีตั้งหลายอย่าง แต่ว่าหลายๆ อย่างนั้น อะไรประเสริฐกว่าอย่างอื่น จะให้ทานสักเท่าไหร่ ทรัพย์สินเงินทองของคนที่ได้รับไปก็หมดได้ คนเจ็บไข้ได้ป่วย รักษาแล้วก็ยังเกิดโรคอีกได้ ไม่สิ้นสุด แต่ว่าถ้าให้ปัญญาก็ประเสริฐสุด ลองคิดถึงแม้คำสั้นๆ ในพระไตรปิฎกไม่ต้องมากไม่กี่คำ แต่ว่าถ้าไตร่ตรองด้วยความเข้าใจก็จะรู้ถึงความลึกซึ้งของธรรมซึ่งเกี่ยวข้องกัน เช่น ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ ชาวบ้านรับรองเลย ถ้ามีเงินทองมากมีทุกสิ่งทุกอย่างแต่เป็นอัมพาตไปไหนไม่ได้ต้องนั่งนอนอยู่กับที่ ไม่ประเสริฐเลย ไม่ใช่ลาภอันประเสริฐเลย ทั้งๆ ที่มีเงินมากมาย ชาวบ้านเข้าใจเพียงเท่านั้น แต่ชาวบ้านจะเข้าใจไหม ถ้าไม่มีเหตุคือโรคกิเลส ผลที่เป็นอกุศลวิบากทั้งหลายทั้งหมด ทั้งในนรก เปรต อสุรกาย แม้มนุษย์จะมีได้ไหม ถ้าไม่มีโรคกิเลสซึ่งจะเป็นเหตุให้เกิดผล คือเห็นสิ่งที่ไม่ดี ได้ยินไม่ดี ได้กลิ่นไม่ดี ลิ้มรสไม่ดี รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เจ็บไข้ได้ป่วยหนักหนาสาหัสก็ได้ ทั้งหมดเป็นเพราะโรคคือกิเลส เพราะฉะนั้น ถ้าจะความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ ก็คือความไม่มีกิเลสเลย เป็นลาภอันประเสริฐ ก็ต้องเข้าใจไปจนกระทั่งถึงแม้ว่าไม่ใช่ง่ายๆ ว่าไม่มีโรคไม่ดีกว่าอย่างอื่น มีทรัพย์สินเงินทองแต่ไม่ได้ใช้เลย กับมีเงินน้อยก็จริงแต่ก็มีความสะดวกสบายหลายๆ อย่าง คงจะดีกว่ามีเงินมากๆ แต่ว่าทำอะไรไม่ได้เลย นอนอยู่บนเตียงตลอดทุกเดือน ทุกปี อย่างนี้ เข้าใจเพียงเท่านี้ไม่เท่ากับรู้ไหมว่าเพราะอะไร และโรคจริงๆ คืออะไร เพราะฉะนั้นลาภอันประเสริฐคือความไม่มีโรคก็คือไม่มีกิเลสเลย จึงจะสามารถที่เป็นลาภอันประเสริฐจริงๆ ได้

    อ.คำปั่น เป็นการพิ่มพูนความเข้าใจอย่างมั่นคงในความเป็นเหตุเป็นผลของธรรมด้วยที่กล่าวถึงเหตุที่จะทำให้เกิดผลในภายหน้า ก็เป็นคุณฝ่ายหนึ่งของอุบาสกด้วย ก็คือเป็นเหตุให้มีความเข้าใจในเรื่องของกรรม และผลของกรรมอย่างมั่นคงด้วย

    ท่านอาจารย์ และเข้าใจถึงที่สุด คือ ขณะนั้นไม่ใช่เรา แต่เป็นกรรม และขณะนั้นไม่ใช่เรา แต่เป็นผลของกรรม เพราะว่าเราฟังแต่ชื่อ เห็นเป็นวิบาก แต่ว่าเดี๋ยวนี้รู้จักจริงๆ หรือเปล่าว่าเป็นผลของกรรมไม่ใช่เรา ก็ต่อเมื่อสภาพธรรมนั้นจากไม่มี แล้วมีเพราะอะไร ถ้าไม่มีกรรม "เห็น" ไม่มี ถ้าไม่มีกรรม "ได้ยิน" ไม่มี เพราะฉะนั้นจากการฟังโดยชื่อมานานแสนนาน เห็นเป็นวิบาก ได้ยินเป็นวิบาก ได้กลิ่นเป็นวิบาก แต่ตัวจริงๆ ยังไม่เป็นวิบาก เพราะเหตุว่าเดี๋ยวนี้ไม่รู้ แต่เวลาที่ไม่มีอะไรเลย แล้วสิ่งนั้นเกิดมีขึ้น จะรู้ได้เลยว่า ขณะนั้นต่างกับอย่างอื่น ที่ใช้คำว่า"อุปปัตติ"แสดงความชัดเจนว่า สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เดี๋ยวนี้ "อุปัต" เกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย ทำให้เห็นจริงๆ เพียงแค่เห็น แต่ดูเหมือนเห็นตลอดเวลา แสดงให้เห็นว่าความไม่รู้ และสิ่งที่ปรากฏมากมายแค่ไหน สิ่งที่ปรากฏไม่ได้ปรากฏว่าเป็นเห็นที่มากมายมหาศาล เหมือนกับเห็นแค่เห็นว่าเป็นใคร แต่ความจริงเห็นอยู่เรื่อยๆ นับไม่ถ้วนเลย ทั้งๆ ที่กำลังได้ยินไม่ใช่เห็น และยังมีเห็นด้วย

    เพราะฉะนั้น การเกิดดับของสภาพธรรมจะเร็วมาก ด้วยเหตุนี้ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่ปรากฏรู้เฉพาะเห็น เมื่อนั้นจึงจะเป็นการที่รู้ว่าขณะนั้นใครบังคับได้ จากไม่มีแล้วเกิดเห็น จะต้องมีธรรมที่สามารถทำให้เห็นเกิดขึ้น ซึ่งก็ได้แก่จิตที่เราใช้คำว่าวิบากนั่นเอง แต่ขณะที่สภาพนั้นปรากฏด้วยความเข้าใจถูก ด้วยความเป็นธรรมด้วยความเป็นธาตุที่เห็นเท่านั้น ไม่ได้มีความคิดเรื่องวิบาก หรืออะไรเลย ขณะนั้นเป็นการรู้จักวิบากตัวจริง ซึ่งเรียกชื่อวิบากมาตั้งนาน แต่ว่าตัววิบากแท้ๆ ที่เกิดขึ้นปรากฏขณะนั้นต้องเป็นปัญญาที่สามารถจะรู้ความต่างกันว่า นี่เป็นสิ่งหนึ่ง แต่คิดไม่ใช่วิบากเสียแล้ว เพราะฉะนั้นทุกคำก็เป็นความจริงที่สามารถจะเข้าใจชัดขึ้น ตรงขึ้น และสามารถที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมนั้น ไม่ใช่เพียงแต่ชื่อ

    อ.อรรณพ ทุกท่านที่มานั่งที่นี่ก็มาฟังพระธรรม ถ้าถามว่าเพื่อที่จะเปิดกว้างคือเราจะไม่ปักใจไปที่ใดที่หนึ่ง เพื่อเราจะได้พิจารณาหลายๆ ทาง เปิดโอกาสให้พิจารณาหลายๆ ทาง ณ จุดนี้ ณ วันนี้ ท่านคิดว่าควรที่จะได้ไปศึกษาที่อื่นเพื่อที่จะแสวงหาความจริงอีก หรือไม่ ถ้ามาฟังที่นี่ มาฟังความจริง มาฟังพระธรรม แต่ท่านคิดบ้าง หรือไม่ว่าเพื่อเปิดกว้าง และเพื่อจะเปิดโอกาสให้ได้มีโอกาสพิจารณาคำสอนจากที่อื่น ซึ่งอาจจะมีคำสอนที่มีความเป็นจริงที่ชัดเจนขึ้น หรือประกอบกันขึ้น โดยที่เราไม่ได้ปักใจที่ใดที่หนึ่ง ไม่ทราบท่านคิดอย่างไร

    ท่านอาจารย์ บางคนบอกว่า มาศึกษาเรื่องปฎิบัติธรรมที่นี่ แต่ไปศึกษาปริยัติที่อื่น เพื่อที่จะได้ความกว้างขวาง ได้คำ ได้เรื่อง ได้ชื่อมากๆ

    อ.อรรณพ ท่านคิดเช่นนี้ หรือไม่ว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นที่เดียว

    ท่านอาจารย์ แต่ลืมว่าฟังแล้วเข้าใจ หรือไม่ ได้แต่ชื่อ บ่นเพ้อธรรมมานานมากจิตมีเท่าไหร่ เจตสิกมีเท่าไหร่ แล้วเจตนาเจตสิกเป็นกรรม เป็นกัมมปัจจัย มีวิบากอะไรบ้าง แล้วเดี๋ยวนี้เป็นอะไร ที่สำคัญที่สุด คือตัวธรรมมีทุกขณะตลอดเวลา ถ้าฟังให้เข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏ นั่นเป็นหนทางที่จะทำให้รู้จริงๆ รู้แจ้งรู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏในขณะนี้จริงๆ แต่ว่าถ้ามีการพูดเรื่องชื่อ จำเรื่องชื่อ สอบได้ด้วย ถ้าถามมาก็ตอบถูก ก็สอบได้ แต่เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ หรือไม่ และหนทางที่จะทำให้เข้าใจโดยจำชื่อ หรือว่าโดยเข้าใจความเป็นจริงของสภาพธรรมทุกคำที่ตรัส เพื่อที่จะให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ เพื่อที่จะได้รู้ว่า ขณะนี้เรารู้แค่ไหน ฟังมาในสังสารวัฏไม่ว่าจะชาติไหนก็ตามแต่ พูดเรื่อง"เห็น"เดี๋ยวนี้ และกำลัง"เห็น" แล้วเข้าใจ"เห็น"เดี๋ยวนี้แค่ไหน

    เพราะฉะนั้น ถ้าไม่สามารถที่จะมีความเข้าใจว่าเป็นธรรมที่กำลังปรากฏจริงๆ ตลอดเวลาที่ศึกษาธรรม ก็จะไม่รู้ว่าศึกษาชื่อ ศึกษาเรื่อง แต่ตัวจริงของธรรมที่กำลังมีจริงในขณะนี้ แม้ฟังเรื่องนั้นก็ยังไม่ได้ศึกษาเรื่องนั้น แล้วจะศึกษาเรื่องนั้นได้เมื่อไหร่ ไม่ใช่เพียงแต่จำชื่อแล้วบอกว่า เห็นเป็นวิบาก พอกระทบแข็งก็วิบาก แต่นั่นไม่ใช่การรู้ลักษณะซึ่งไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล แล้วอีกอย่างชื่อเหล่านี้ ชาติก่อนเคยฟัง หรือไม่ ภาษาไหน อาจจะฟังในภาษามัคธี แต่ว่าเดี๋ยวนี้พูดได้ไหม จากที่เคยพูดเป็นชีวิตประจำวันของแคว้นมคธ เดี๋ยวนี้พูดจักขุวิญญาณ หรือไม่ มนสิการ หรือไม่ โยนิโส หรือไม่?แต่เราก็พูดคำที่เราเข้าใจได้ เพื่อที่จะได้ถึงความเข้าใจลักษณะของสิ่งซึ่งมีจริงๆ เช่น "เห็น"ไม่มีคำว่าธรรมมากั้นด้วย เห็นขณะนี้กำลังเห็น รู้จักเห็นแค่ไหน เห็นเป็นธรรมซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใครเลย แล้วก็กำลังเห็น แล้ววันไหนจะสามารถรู้เฉพาะเห็น ถึงเฉพาะเห็น สามารถที่จะเข้าใจ "เห็น"ได้เมื่อไหร่ การยึดถือ "เห็น"ว่าเป็นเราก็ละคลายลงจนกว่าจะดับหมด แล้ววันหนึ่งๆ ก็ไม่ได้มีแต่เห็น มีได้ยินด้วย มีคิดนึกด้วย มีรส มีกลิ่น มีโลภะ มีโทสะด้วย แล้วไม่รู้ แล้วจะละกิเลสได้เมื่อไหร่ และพอจากโลกนี้ไป คำภาษานี้ไม่มีทางที่จะไปเข้าใจได้อีก ถ้าไปเกิดที่ประเทศอื่น แคว้นอื่น รัฐอื่น ที่ไม่ใช่ภาษานี้ ได้ยินภาษานี้ก็ไม่มีความเข้าใจเลย ได้เข้าใจความหมายในขณะที่เรายังใช้ภาษานี้เท่านั้น แต่ว่าตัวธรรมจริงๆ ควรที่จะรู้แจ้ง หรือเข้าใจ ไม่ใช่เพียงแต่จำชื่อ และเรื่องราว ซึ่งไม่ทำให้สามารถที่จะค่อยๆ เป็น "อุปปนิพันธโคจร" คงไม่ลืม"โคจร ๓ " อุปนิสสยโคจร การฟังแล้วฟังอีกเรื่องสิ่งที่มีจริง ทำให้สามารถที่จะสะสมอุปนิสัยที่จะรู้ว่าอะไรจริง และเดี๋ยวนี้กำลังมีจริงๆ และถ้าไม่อาศัยการฟัง จะค่อยๆ เข้าใจทีละเล็กทีละน้อยไหม ในสิ่งที่มีจริงๆ ว่าไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้น อุปนิสสยโคจร คือค่อยๆ สะสม ขณะนี้กำลังสะสมไป เพื่อที่จะขณะใดก็ตาม มีบางท่านบอกว่าพอโกรธเกิดขึ้นแต่ก่อนนี้ไม่เคยคิดเลย แต่หลังจากที่ฟังธรรมแล้วพอโกรธเกิดขึ้นระลึกได้ คิดทันทีว่านี่เป็นธรรม แต่แม้กระนั้นก็ยังไม่ได้เข้าใจลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตนของความโกรธ เพียงแต่ว่ามีปัจจัยพอที่จะเกิดคิดขึ้นมาว่าขณะนั้นไม่ใช่เรา เป็นธรรม แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าคิดว่าเป็นธรรมความเข้าใจระดับไหน แต่ทั้งหมดทั้งสิ้นก็คือเพื่ออุปปนิพันธโคจร เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ และก็สามารถรู้เฉพาะสิ่งนั้นไม่ไปที่อื่น เพราะเหตุว่า ได้สะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ในสิ่งนั้นพอที่จะไม่คิดถึงเรื่องอื่น มิฉะนั้นแล้วแค่ฟังไม่กี่ชั่วโมงกับสังสารวัฏที่ผ่านมาแล้วเป็นเรื่องอื่นทั้งนั้น เพราะฉะนั้นก็ทำให้จิตน้อมไปสู่การที่จะคิดเรื่องสัตว์เรื่องบุคคลต่างๆ ไม่น้อมมาที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ด้วยเหตุนี้จึงฟังเพื่อที่จะเข้าใจตัวธรรมไม่ใช่เพียงจำชื่อ หรือเรื่องราว


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 194
    21 ก.พ. 2567

    ซีดีแนะนำ