พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 937


    ตอนที่ ๙๓๗

    ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๗


    ท่านอาจารย์ บังคับไม่ให้หิวได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เพราะว่ามีธาตุไฟซึ่งเกิดจากกรรม เมื่อมีมากเกินไปถึงเวลาที่จะทำให้ต้องเผาผลาญ ต้องการอาหาร ก็เป็นเหตุให้ไม่รับประทานอาหารไม่ได้ เพราะเหตุว่าสภาพธรรมทั้งหมดแม้แต่หนึ่งเดียว ไม่ว่าจะละเอียดสักเท่าใดก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย นี่เป็นพระมหากรุณาที่แสดงให้รู้ว่าไม่มีเรา และทุกอย่างต้องเกิดเพราะมีเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีปัจจัยจะเกิดไม่ได้เลย ไม่ว่าสุข ไม่ว่าทุกข์ ไม่ว่าเห็น ไม่ว่าได้ยิน ทั้งหมดนี้ก็เป็นธรรม

    เพราะฉะนั้นต้องละเอียดแม้แต่คำพูด ทุกข์กายเป็นวิบากเป็นผลของกรรม ถ้าเป็นอกุศลกรรมให้ผลเมื่อใด กระทบสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยเราไม่รู้เลย แต่ทุกข์ก็เกิดขึ้นแล้ว แม้ทุกข์ภายในร่างกายที่เป็นโรคภัยต่างๆ ก็เพราะเหตุว่าธาตุกระทบกัน แล้วก็เป็นปัจจัยที่จะให้ความรู้สึกนั้นเกิดขึ้น นี่ก็เป็นเรื่องละเอียด ที่แสดงให้เห็นว่าเมื่อได้ฟังธรรมแล้ว ไม่ได้คิดว่าเราจะเข้าใจธรรมนี้เมื่อใดว่าไม่ใช่เรา แต่ค่อยๆ สะสมความเห็นถูกซึ่งเมื่อมีการสะสมความเห็นที่ถูกต้องแล้ว ก็จะทำให้สามารถค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ไม่ใช่หมายความว่าตัวเราไปพยายามเข้าใจสิ่งที่ปรากฏ เพียงได้ยินได้ฟังเพียงเล็กน้อย เพียงเล็กน้อยนี่ไม่สามารถที่จะเข้าถึงลักษณะที่ได้ยินได้ฟังว่าทุกอย่างเดี๋ยวนี้เกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็เป็นสิ่งที่มีจริงเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แม้แต่คำสั้นๆ ขั้นต้นก็ประมาทไม่ได้ เพราะว่าต้องรู้จริงๆ โดยการที่ว่าปัญญาที่ได้อบรมแล้วเท่านั้น จึงสามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามที่ได้ฟังได้

    ผู้ฟัง เพื่อความเข้าใจที่ละเอียดยิ่งขึ้น เรียนถามว่า ที่เราทุกข์ใจเนื่องจากการสูญเสียสิ่งที่เรารัก เกิดจากกิเลสข้อใด

    ท่านอาจารย์ เราทุกข์ใจซึ่งเกิดขึ้นจากการสูญเสีย เรามีไหม แต่ทุกข์ใจมีใช่ไหม เมื่อใด เมื่อสูญเสีย เพราะฉะนั้นไม่มีเราแต่มีทุกข์ใจ เพราะฉะนั้นการฟังธรรมจึงไม่ใช่เพื่อตัวเรา แต่เพื่อเข้าใจให้ถูกต้องทุกคำตรงตามที่ได้ฟัง ตั้งแต่คำแรกคือทุกอย่างเป็นสิ่งที่มีจริงเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป

    ผู้ฟัง ความทุกข์ใจนั้นเกิดจากกิเลสข้อใด

    ท่านอาจารย์ เราเรียกว่ากิเลส แต่ตามความเป็นจริงทุกข์ใจเป็นเราหรือไม่ เป็นความรู้สึกใช่ไหม เกิดขึ้นเดือดร้อนใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ ถ้าเรารู้สึกตามความเป็นจริง ทุกข์กายบังคับไม่ได้ เพราะเหตุว่ากรรมที่ได้กระทำแล้วเป็นปัจจัย แต่ทุกข์ใจถ้าไม่มีกิเลสทุกข์ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ทุกข์

    ท่านอาจารย์ ไม่ทุกข์ เพราะฉะนั้นรู้ได้ทันที ทุกข์ใจเมื่อใดแสดงว่าเพราะกิเลสแน่นอน

    ผู้ฟัง ถ้าจะพูดละเอียดว่ามันเกิดจากกิเลสข้อโลภะ ใช่หรือไม่

    ท่านอาจารย์ ทั้งหมดจากความไม่รู้ เมื่อไม่รู้แล้วก็เป็นปัจจัยให้เกิดติดข้อง เมื่อติดข้องแล้วไม่ได้สิ่งที่ต้องการก็เป็นทุกข์ ไม่ต้องการให้พลัดพรากเลยใช่ไหม เมื่อพลัดพรากจึงเป็นทุกข์ ไม่ต้องการพบไม่ต้องการเห็น แต่พบแล้วเห็นเป็นทุกข์ไหม

    ผู้ฟัง ก็เป็นทุกข์

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นทุกข์ เพราะฉะนั้นก็ต้องเข้าใจตามความเป็นจริงว่าไม่มีเรา หรือใครที่จะไปบังคับบัญชาอะไรได้เลย

    ผู้ฟัง เรียนถามท่านอาจารย์ถึงเรื่องการศึกษา ผู้ที่มีโอกาสได้ศึกษาพระธรรมได้มีโอกาสได้ศึกษาในสิ่งที่ถูกต้อง แล้วก็เข้าใจถูกเห็นถูกจริงๆ ขึ้นอยู่กับกุศลวิบากของบุคคลคนๆ นั้นด้วยหรือไม่

    ท่านอาจารย์ ต้องไปคิดหรือไม่ แม้แต่จะเข้าใจก็ยังต้องคิดว่าที่ไม่เข้าใจเพราะอะไร ที่เข้าใจเพราะอะไร หรือว่าฟังแล้วก็เข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง แล้วก็รู้ได้ว่าได้ยินเช่นนี้ก็ยังไม่เข้าใจก็ได้ เพราะอะไร ในเมื่อคนอื่นอาจจะได้ยินเช่นนี้แล้วก็เข้าใจมากน้อยต่างกันทุกคน ที่เป็นเช่นนี้เพราะอะไร ถ้าไม่มีเหตุก็จะไม่เป็นเช่นนี้เลย ถ้าไม่เคยฟังมาก่อน ด้วยการเห็นประโยชน์ ด้วยการรู้ว่าเป็นความละเอียด ด้วยการรู้ว่าต้องไตร่ตรอง เช่น ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ต้องไตร่ตรองไหม หรือว่าเชื่อเลย โดยที่ยังไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร

    เพราะฉะนั้นทุกอย่างก็ต้องอาศัยการฟัง ขณะนั้นฟังด้วยดี ด้วยการที่พิจารณาไตร่ตรอง ซึ่งไม่ใช่เราเลย กำลังฟังขณะนี้จิตเจตสิกทั้งหมดไม่มีใครสักคน นอกจากจิตแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดดับสืบต่อมานานแสนนาน เพราะฉะนั้นจะรู้ได้ว่าแม้แต่การที่จะตั้งใจฟัง และเห็นประโยชน์ ก็ต้องเป็นการที่ได้สะสมมาแล้วแต่ปางก่อน ไม่ใช่จะเกิดขึ้นวันนี้เดี๋ยวนี้เลยใช่ไหม แต่เมื่อเกิดวันนี้ทุกอย่างแสดงว่ามีเหตุที่ได้ทำแล้วในอดีต อดีตที่ได้ทำแล้วอาจจะเป็นชาตินี้ หรือชาติก่อนๆ นั้นก็ได้

    เพราะฉะนั้นให้มีความเข้าใจเท่าที่จะเข้าใจได้ว่า ทุกอย่างที่เกิดเพราะมีเหตุปัจจัย และก็รู้ได้ด้วยตัวเองว่า ขณะนี้ได้ยินเสียงแต่ไม่ได้ตั้งใจฟังที่จะให้เข้าใจคำที่ได้ยิน แต่ไปคิดเรื่องอื่น แล้วจะเข้าใจคำที่ได้ยินไหม

    ผู้ฟัง ไปคิดเรื่องอื่นก็ไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเข้าใจแล้วใช่ไหม

    ผู้ฟัง เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ว่าที่จะเข้าใจได้เพราะอะไร

    ผู้ฟัง ตัวเองก็ยังไม่ได้เข้าใจอะไรมากมาย ก็จะสามารถไปพบกับสิ่งที่ไม่ถูกต้องอีกได้หรือไม่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่ประมาท ไม่ใช่อยากเข้าใจมากๆ แต่ว่าไม่ประมาทคือเข้าใจแต่ละคำให้ถูกต้องชัดเจน ถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคงจะเปลี่ยนไม่ได้เลย แต่ถ้าฟังเผินๆ เรื่องราวมากๆ เข้าใจว่าฟังมาก เข้าใจมาก แต่ไม่ได้เข้าใจจริงๆ เลย เปลี่ยนได้เพราะว่าไม่ได้เข้าใจจริงๆ เพราะฉะนั้นแต่ละคำไม่เผิน สิ่งที่มีจริงในขณะนี้มีจริงๆ หรือเปล่า ไม่เผินใช่ไหม เกิดขึ้นหรือไม่ ถ้าไม่เกิดจะมีได้ไหม บังคับบัญชาให้เกิดขึ้นหรือไม่ เกิดแล้วหมดไปหรือไม่ ถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคงเช่นนี้ ใครจะมาบอกว่าขณะนี้เห็นไม่จริง ได้ไหม เชื่อไหม ก็ไม่เชื่อใช่ไหม

    เพราะฉะนั้นก็ขึ้นอยู่กับตนเองที่เป็นผู้ที่ละเอียด และมั่นคง ที่จะไม่ต้องไปเข้าใจอะไรมาก ไม่ต้องไปหวังว่าจะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ๔ โพธิปักขิยธรรมมีอะไร ทำไมคนนี้ไม่รู้เรื่อง ทำไมคนนี้รู้เรื่อง ไม่ต้องสนใจเลย เพียงแต่ว่าคำที่ได้ยินแต่ละคำ ไตร่ตรอง และเข้าใจจริงๆ หรือไม่ ไม่เปลี่ยนหรือไม่ว่าขณะนี้ไม่มีเรา ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง มีแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดปรากฏแล้วหมดไป ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    กำลังเห็นทุกคนเลย แล้วรู้ด้วยว่าเห็นเกิดแล้วดับ ถูกต้องไหม แต่ที่จะรู้จริงๆ ในเห็นที่กำลังเกิดดับ ยากไหม เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปคิดเลย ตราบใดที่ปัญญาความเห็นถูกความเข้าใจถูกยังไม่พอ ที่จะละคลายการติดข้องใน"เห็น" ด้วยเหตุนี้จึงต้องอาศัยพระธรรมเทศนาที่ตรัสไว้ดีแล้ว ให้มีความเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าไม่ต้องคาดหวังเลย เมื่อพร้อมที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ ก็สามารถที่จะเกิดขึ้น และเข้าใจถูกได้ นี่คือการสะสมด้วยการชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความไม่รู้ และกิเลสทั้งหลาย เพราะเหตุว่าขณะนี้ได้ฟังธรรมเพียงเล็กน้อย ถ้าชาติก่อนได้ฟังมากเข้าใจได้แน่นอน แต่ว่าถ้าชาติก่อนได้ฟังน้อยมาก และชาตินี้ก็น้อยมาก จะให้เหมือนคนที่เขาได้ฟังมาก่อนมากๆ และเข้าใจแล้วก็ละคลายการติดข้องได้อย่างไร

    ด้วยเหตุนี้ต้องไม่ลืมว่าสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ เป็นเช่นนั้นจริงๆ รู้ได้แน่นอน แต่ด้วยปัญญาที่ได้อบรมชำระจิตจากความไม่รู้ด้วยการฟังเข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น และสิ่งที่กำลังปรากฏเหมือนรู้ไม่ได้ก็สามารถที่จะรู้ได้ด้วยปัญญาที่ได้อบรมแล้ว ละคลายการติดข้องไม่สงสัย เพียงได้ฟังก็สามารถที่จะเข้าใจตรงตามความเป็นจริงได้ เพราะฉะนั้นเมื่อยังไม่ถึงวันนั้น ก็คือว่าจิตขณะนี้ยังเต็มไปด้วยความไม่รู้ และอกุศล ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงในขณะนี้ได้เลย จนกว่าเข้าใจขึ้น ละคลายความเป็นตัวตน แล้วไม่หวัง เพราะเหตุว่าหวังตราบใด ไม่เข้าใจคำว่าธรรมซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วดับไป

    เพราะฉะนั้นจะรู้ว่าเป็นผู้ที่เข้าใจคำว่าธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง แล้วก็ไม่ใช่ของใคร ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ได้ยินเช่นนี้ เข้าใจเช่นนี้ เรื่องราวของธรรมเดี๋ยวนี้ แต่ยังไม่ถึงกาลที่ตัวเองสามารถที่จะรู้ได้ว่ายังไม่ได้เข้าใจตามที่พูด เพียงแต่กล่าวตามเข้าใจตามเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นหนทางที่ปัญญาจะอบรมเจริญขึ้นมีแน่นอน แต่ไม่ใช่เราจะไปเลือก จะไปทำ จะไปคิด วิธีนี้ไม่ถูกต้อง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ยากเหลือเกิน เราหาทางลัดละเอียดง่ายๆ ดีกว่า นั่นก็คือว่าไม่เข้าใจธรรม

    เพราะฉะนั้นการที่บอกว่าฟังธรรม แล้วเข้าใจธรรม ก็มีหลายระดับมาก แล้วก็ต้องตรงตามความเป็นจริงด้วยว่าเข้าใจจริงระดับใด เข้าใจจริงขั้นฟัง แต่เดี๋ยวนี้ ตรงตามที่ได้ฟังหรือไม่ว่า ขณะนี้แม้สิ่งที่กำลังเห็น จะรู้ความต่างกันของขณะที่ฟังเรื่องสิ่งที่เห็นเดี๋ยวนี้กับขณะที่กำลังเข้าใจเห็นที่กำลังเห็น และเข้าใจเห็นที่กำลังเห็นจะเกิดได้อย่างไร ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเลย เพียงแต่คิดว่าถ้าเช่นนั้น ถ้าเช่นนี้ แต่ก็ไม่ใช่ปัจจัยที่จะทำให้รู้ความจริงว่า เดี๋ยวนี้เป็นเช่นนั้น

    เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าการที่เคยยึดถือสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่ใช้คำว่าอัตตสัญญา มากมายมหาศาล แล้วกว่าจะค่อยๆ ไม่ใช่หมดไปทันทีได้ ละคลาย แค่ละคลาย ผู้นั้นก็จะรู้ตามความเป็นจริงว่าไม่ใช่เพราะเราคิด แต่เพราะได้ฟังแล้วเข้าใจขึ้น

    ผู้ฟัง จริงๆ แล้ว คิดว่าเข้าใจจิต แต่อาจจะไม่เข้าใจ ก็จะเป็นเช่นนี้

    ท่านอาจารย์ ถ้าศึกษาธรรมละเอียดขึ้น ใช้คำว่าละเอียดขึ้น เพราะว่าความจริงแล้วต้องละเอียดจริงๆ ละเอียดขึ้นคือศึกษาทุกคำ เริ่มด้วยโลก เวลานี้รู้จักโลกเพียงใด ถ้าไม่มีจิต จะรู้จักโลกหรือไม่ โลกจะปรากฏไหม แม้แต่ที่เราบอกว่าเวลานี้โลกใหญ่ โลกกลม โลกอะไรก็แล้วแต่ ถ้าไม่มีจิตจะมีการคิดด้วยการพูดเช่นนั้น การเข้าใจเช่นนั้นไหม ก็ไม่มีใช่ไหม ถ้าเพียงแต่ไม่มีธาตุรู้ ถ้าจะใช้คำว่าแล้วจิตคืออะไร ธาตุรู้มีแน่นอน เหมือนธาตุแข็งมีไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ ธาตุเสียงมีไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ แล้วจะไม่ให้ธาตุรู้มีได้หรือ ในเมื่อก็เป็นธาตุชนิดหนึ่งแต่ตรงกันข้ามกับธาตุอื่นๆ ที่ไม่รู้อะไรเลย เพราะฉะนั้นเราก็สามารถที่เดี๋ยวนี้ยังไม่ต้องไปคิดไกลถึงอดีตหรือว่าอนาคตข้างหน้า แต่เดี๋ยวนี้มีอะไร ทุกคนเวลานี้ต้องมีธาตุรู้แน่นอน เพราะฉะนั้นเราจะเรียกธาตุรู้นั้นว่าอะไร เพราะเหตุว่า รู้ คืออะไร สามารถที่จะเดี๋ยวนี้มีอะไรปรากฎ ถ้าไม่ใช่ธาตุรู้ เช่น แข็ง ก็ไม่รู้เลยว่ามีอะไร สีสันวรรณะต่างๆ ก็ไม่มี แต่ธาตุรู้ตรงกันข้าม เมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องรู้ในขณะนี้คือเห็น รู้คือเห็น

    เพราะฉะนั้น"เห็น" มีจริงๆ แต่เราไม่คุ้นเคยกับการที่จะรู้จักให้เข้าใจถูกต้องว่า แท้ที่จริงแล้วทั้งๆ ที่เห็นทุกวัน แล้ว"เห็น"เป็นอะไร ไม่เคยคิดใช่ไหม แต่ก็เห็น แต่เดี๋ยวนี้มีโอกาสที่จะได้รู้ว่าในขณะนี้เองที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ แน่นอนกำลังปรากฏให้เห็นได้ว่ามีจริงๆ ก็ต่อเมื่อมีธาตุที่กำลังเห็นสิ่งนั้น เพราะฉะนั้น ๒ อย่างนี่ต่างกัน ด้วยเหตุนี้จะใช้คำว่าธาตุรู้ หรือจิต หรือสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ จะใช้คำว่าวิญญาณ มโน หทัย ก็หมายความถึง ธาตุรู้ คือ จิต ภาษาอื่นก็ไม่ต้องใช้คำเหล่านี้ใช่ไหม ใช้คำตามภาษานั้นได้ แต่หมายความถึงสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้

    เพราะฉะนั้นเริ่มต้นจากเดี๋ยวนี้ที่จะเข้าใจแต่ละคำว่า ถ้าไม่มีธาตุรู้ขณะนี้โลกไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นที่ใช้คำว่าโลกต้องหมายความถึงความว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย เราจะกล่าวว่าเป็นโลกก็ไม่ได้ ต่อเมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น นั่นคือโลก แล้วก็เกิดขึ้นมากมายเหลือเกินในขณะนี้ ทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ทั้งธาตุต่างๆ ที่ต่างๆ ก็มีปัจจัยที่จะเกิด เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิดสิ่งนั้นเป็นโลก รวมทั้งจิตด้วย จิตเป็นโลกหรือไม่ จิตเป็นโลก แต่เป็นโลกซึ่งเป็นธาตุรู้ ในเมื่อธาตุที่ไม่รู้ก็มี

    ด้วยเหตุนี้เมื่อมีจิตจึงสามารถที่จะรู้สิ่งต่างๆ นำไป อย่างอื่นนำไปได้ไหม ธาตุดินจะนำอะไรไปได้ไหม ก็ไม่มีอะไรปรากฏให้รู้ แต่ว่าที่โลกปรากฏ ทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏเพราะธาตุรู้ เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งขณะก็นำไปสู่สิ่งที่ปรากฏตลอดเวลา

    ผู้ฟัง ที่กล่าวว่าโลกอะไรนำไป ก็บอกว่าจิต คำว่า โลก ถ้าไม่ศึกษาก็นึกว่าโลกกลมๆ ใบนี้ที่เป็นที่อยู่ของเรา แต่เมื่อศึกษาก็จะทราบว่าโลกก็คือสภาพที่แตกสลาย และรับรู้ ๖ ทางคือทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นแต่ละคำที่ได้ยินต้องไตร่ตรอง เดี๋ยวนี้รู้จักโลกคือสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้ไม่ต้องไปหาขณะอื่นเลย ขณะใดก็ตามที่มีธาตุรู้เกิดขึ้นขณะนั้นมีโลก แล้วธาตุที่ไม่ใช่สภาพรู้ก็เป็นโลก แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ แต่ถ้าไม่มีธาตุรู้ อะไรๆ ก็ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เป็นโลกเห็น ขณะที่เสียงปรากฏอีกโลกหนึ่งแล้ว โลกเห็นต้องหมดไป ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนเลย แล้วก็มีโลกได้ยินเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นแต่ละโลกแต่ละโลก เมื่อเกิดดับเร็วมากสืบต่อกันด้วยความไม่รู้ ก็ยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เป็นเรา เป็นเขา เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นรถยนต์ เป็นอาหารต่างๆ เพราะไม่รู้ความจริงว่าแท้ที่จริงแล้วสภาพธรรมมีปัจจัยเกิดแน่นอนแล้วก็ดับไปทันที เพราะฉะนั้นจึงใช้คำว่าโลก เพราะฉะนั้นโลกคือสภาพธรรมที่เกิดดับ ขณะนี้ธาตุรู้เกิดขึ้นเห็นแล้วดับ เป็นโลกหนึ่ง ธาตุได้ยินเกิดขึ้น ได้ยินแล้วดับ เพราะฉะนั้นยังสงสัยอะไรในโลก และในจิตคือเดี๋ยวนี้

    เพราะฉะนั้นก่อนฟังไม่เข้าใจเลยใช่ไหม แต่เมื่อได้ฟังพระธรรม ก็รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่มีจริงซึ่งไม่เคยคิดไม่เคยเข้าใจไม่เคยรู้มาก่อนเลย ก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าในขณะนี้ที่กำลังเห็นเท่านั้น ต้องมีสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นแล้วดับไป นี่เป็นสิ่งซึ่งไม่เคยคิด ไม่เคยสามารถที่จะคิดเองได้ ไม่เคยรู้มาก่อนเลย แต่อาศัยการฟัง และเดี๋ยวนี้เองเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าแต่ละคำที่ได้ฟังถูกต้องไหม คือขณะนี้มีเห็น ต้องมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น หนึ่งขณะสั้นมาก แล้วต่อไป ไม่ใช่หมดไปเลยเพียงแค่เห็น เพราะฉะนั้นธาตุรู้ซึ่งเป็นจิตเกิดแล้วก็ดับไป แต่การดับไปของจิตนั้นเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น ฟังเช่นนี้ แล้วก็เป็นจริงเช่นนี้ ในขณะที่กำลังเห็น แล้วก็ยังมีสิ่งอื่นสืบต่อด้วย ไม่ใช่มีแต่เพียงเห็น

    เพราะฉะนั้นแต่ละคำก็กล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้ แต่ว่าละเอียดจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ได้ว่าความจริงที่ซ่อนเร้นปิดบังซึ่งไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ เพราะว่าไม่เคยไตร่ตรองไม่มีหนทางที่ใครจะคิดเองได้ จนกว่าเมื่อฟังแล้ว เริ่มเข้าใจว่าขณะนี้เดี๋ยวนี้เลยมีเห็นแน่ๆ แล้วเห็นก็ดับไปด้วย แต่ก็ทำไมยังมีอย่างอื่น ก็เพราะว่าจิตที่ดับไปนั่นเองเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้นสืบต่อไม่ขาดสาย ฟังเท่านี้ เริ่มไม่ใช่เรา แต่เป็นธาตุรู้ซึ่งเกิดสืบต่อไม่ขาดสายแต่ละหนึ่งขณะ พอเข้าใจไหมว่าหมายความถึงขณะนี้เอง ไม่ใช่ขณะอื่น

    เพราะฉะนั้นกว่าจะให้คนที่ได้ฟังธรรมได้เข้าใจสิ่งที่มีที่กำลังปรากฏ ต้องอาศัยพระธรรมที่ทรงแสดง ๔๕ พรรษา กว่าจะค่อยๆ น้อมด้วยการเข้าใจมาสู่สิ่งที่ปรากฏจริงๆ แล้วก็เริ่มเห็นถูกเข้าใจถูกตามลำดับขั้น จริงไหม ที่มีสิ่งที่ปรากฏดับไป แล้วก็ไม่หมดยังมีสิ่งอื่นเกิดสืบต่อ เพราะจิตเป็นธาตุที่เกิดดับสืบต่อกัน

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ก็ให้พิสูจน์ ตอนนี้เห็นดอกไม้สวย เห็นพระบรมสารีริกธาตุ ท่านวิทยากร เคาน์เตอร์ ตรามูลนิธิ มากมาย แต่ถ้าเพียงหลับตาสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ เริ่มเข้าใจความหมายของธาตุที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ว่า มีจริงๆ เพราะฉะนั้นมีจริงเพียงแค่ปรากฏให้เห็น ดับแล้ว หมดแล้ว แต่ว่าสืบต่อจนไม่รู้ว่าแท้ที่จริงเมื่อสักครู่ดับไปแล้ว แล้วสิ่งที่เกิดใหม่ก็สืบต่อ ปกปิดแล้วใช่ไหม ไม่ให้เห็นความจริง จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม

    ผู้ฟัง ในการศึกษาก็ทราบว่าพุทธศาสนาเป็นเรื่องของปัญญา เป็นการศึกษาเพื่อให้รู้ความจริง ที่ไม่ศึกษาแล้วก็คิดเองจะไม่มีทางรู้ได้เลย แต่สิ่งกั้นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ไม่สามารถรู้ได้มากๆ ท่านอาจารย์ก็บอกว่าชอบความไม่จริง ในเมื่อปัญญาต้องรู้ความจริง แล้วไปชอบความไม่จริง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นตรงกันข้ามกัน โลภะไม่ใช่ปัญญา โลภะชอบสิ่งที่ไม่จริงความไม่จริง แต่ปัญญารู้ความจริง เพราะฉะนั้นละการติดข้องละความพอใจในสิ่งที่ไม่จริง

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นผู้ศึกษาก็คือต้องฟังว่าความจริงคืออะไร แล้วก็ยังรู้ว่าโลภะชอบความไม่จริง ก็ต้องอบรมปัญญาเพื่อที่จะไปละ

    ท่านอาจารย์ ผู้ที่เห็นประโยชน์ว่าแล้วมีประโยชน์อะไร ที่จะรู้ความไม่จริงแล้วก็ชอบความไม่จริงในเมื่อเป็นความไม่จริงยังชอบ แสดงว่าอย่างไร อวิชชาเพียงใด กว่าจะรู้ตัวว่าชอบความไม่จริงมาโดยตลอดมากมาย ทั้งสิ่งที่ปรากฏให้เห็นดับไป ไม่รู้ว่าดับยังชอบสิ่งที่ดับไปแล้ว ยังหลงเข้าใจว่ายังอยู่ยังมี เสียงก็เหมือนกัน กลิ่นก็เหมือนกัน รสก็เหมือนกัน สิ่งที่กระทบสัมผัสก็เหมือนกัน แต่ทางใจใจรวบรวมเก็บไว้หมดทุกอย่างที่เคยเห็น เคยได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เป็นเรื่องราวต่างๆ เพราะใจคิด ถ้าใจไม่คิด ไม่มี เวลานี้มีคุณวิชัยไหม

    ผู้ฟัง ก็จำไว้ว่ามี แต่ทราบว่าจริงๆ ไม่มี

    ท่านอาจารย์ แต่สิ่งที่ปรากฏทางตาดับแล้ว เมื่อใดจะรู้ว่าหลงพอใจในสิ่งที่เพียงปรากฏ ซึ่งทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ปรากฏหรือปรากฏทางอื่น ก็ไม่เหลือเลยเพียงแต่เกิดขึ้นแสนสั้น แล้วก็หมดไปแต่ยังจำไว้ เพราะฉะนั้นจะเข้าใจสัญญาเจตสิก เป็นธาตุรู้แต่ไม่ใช่จิต แต่เป็นธาตุที่เกิดแล้วจำ จำทุกอย่าง จำสิ่งที่ปรากฏ จำจนกระทั่ง ปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐาน ให้ทรงจำว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ที่น่าขัน จะว่าน่าขันหรือน่าคิดหรือน่าขำก็แล้วแต่ ชอบสิ่งที่ไม่จริง เช่น ละคร ภาพยนตร์ นวนิยาย เรื่องราวต่างๆ เห็นชัดเจนมาก ถ้าพอใจสิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ยังรู้ว่าเกิดจริงๆ ใช่ไหม มีจริงๆ ปรากฏให้เห็นจริงๆ แต่ว่าแต่ละเรื่องในละครหรือหนังนวนิยาย ไม่มีเลย ไม่มีเลยจริงๆ เพียงชวนให้คิด อะไรก็ไม่รู้ คิดเป็นคนเป็นสัตว์ เป็นเรื่องราวต่างๆ แล้วก็เพลิดเพลินในความไม่จริง และยังยึดมั่นว่าจริงด้วยใช่ไหม พูดเมื่อใด ก็มีคนนั้นเอง วันนี้จะดูละครเรื่องอะไร คนที่เล่นไม่มีชื่อแล้ว กลายเป็นชื่อในละครไปหมด ชื่อเดิมหายไปแล้ว ก็ไปหลงคิดว่านี่เอง กำลังเห็นเช่นนี้ เป็นคนนั้นคนนี้ ทั้งๆ ที่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นในขณะนั้น ไม่ได้เล่นละครก็ไม่ใช่คนนั้นเลย เป็นคนที่เราเคยจำไว้ว่าชื่อนี้ทำเช่นนี้เป็นเช่นนี้ แต่นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเต็มไปด้วยความไม่รู้ และความเพลิดเพลินพอใจในสิ่งที่ไม่จริง และไม่รู้มากเพียงใด

    เพราะฉะนั้นกว่าจะค่อยๆ คลายด้วยความรู้ ก็ไม่ต้องไปคิดว่าวันใด เมื่อใด เพราะว่าจิตยังไม่บริสุทธิ์เช่นนี้ แล้วจะไปเข้าใจคำจริงที่กำลังกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ได้ถูกต้องได้อย่างไร เพราะฉะนั้นให้รู้ว่าจิตที่สะสมสืบต่อเต็มไปด้วยอกุศล ต้องมีการเข้าใจธรรม


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 194
    15 มี.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ