พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 939


    ตอนที่ ๙๓๙

    ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๗


    ท่านอาจารย์ ใครก็ตามขอให้ได้กล่าวความจริงให้ได้รู้ได้เข้าใจ เราสามารถที่จะน้อมเคารพในพระธรรมที่บุคคลนั้นสามารถที่จะเข้าใจ และเข้าถึงได้ เพราะเหตุว่ายากที่จะเข้าใจได้ เพราะว่าการแสดงความเคารพ ถ้าคนนั้นไม่มีธรรมที่สามารถที่จะทำให้คนอื่นรู้ และเข้าใจได้ คนอื่นจะเคารพไหม เพราะฉะนั้นเคารพในอะไร เคารพในพระธรรมไม่ว่าจะมีอยู่ในบุคคลใดทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นในครั้งพุทธกาล ไม่ได้ห้ามการสนทนาธรรม ไม่ว่าจะกับบรรพชิตด้วยกัน หรือกับคฤหัสถ์ และก็เป็นมงคลด้วย

    เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมต้องรู้ว่าจริงๆ แล้วเกิดมาชาตินี้ประโยชน์สูงสุดก็คือขณะที่ได้เข้าใจธรรมเท่านั้น

    อ.คำปั่น ก็เป็นการที่ได้ยินได้ฟังตามที่ท่านอาจารย์ได้สนทนา ก็เป็นประโยชน์จริงๆ เพราะเหตุว่าเมื่อกล่าวถึงสภาพธรรมแล้ว ก็ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ มีแต่ธรรมเท่านั้นจริงๆ จริงอยู่สำหรับเพศที่เป็นบรรพชิต ก็ต้องมีพระอาจารย์ มีพระอุปัชฌาย์ที่ท่านจะต้องมีการศึกษา แล้วก็มีการอยู่ประพฤติในกิจหน้าที่ที่เหมาะควรในเพศของบรรพชิตด้วย แต่ทีนี้การที่จะเข้าใจธรรม การที่จะเข้าใจความจริงก็ต้องอาศัยบุคคลผู้ที่มีความรู้ มีความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง เมื่อกล่าวโดยสภาพธรรมก็คือความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรมเท่านั้น ไม่มีคนไม่มีสัตว์จริงๆ

    เพราะฉะนั้นเมื่อใครก็ตามที่กล่าวความจริง เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลก็เป็นสิ่งที่ควรฟัง เพราะเหตุว่าถ้ากล่าวถึงโดยความเป็นจริง สภาพธรรมที่เป็นอกุศลธรรมทั้งหลาย เป็นสิ่งที่ควรติเตียนเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ ไม่ว่าจะเกิดกับใครก็ตาม ถ้ามีใครก็ตามที่สามารถที่จะกล่าวให้ได้เข้าใจความจริง เตือนให้รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควร เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องอย่างไร ก็ควรที่จะได้รับฟัง เพราะฉะนั้นในความเป็นจริงของการศึกษาพระธรรม ก็เพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริงของธรรม ศึกษาธรรมก็เพื่อประโยชน์คือความเข้าใจถูกเห็นถูกในธรรมตามความเป็นจริง ยิ่งพระภิกษุซึ่งเป็นเพศบรรพชิตมีความเข้าใจธรรม ก็ยิ่งจะเป็นประโยชน์เกื้อกูลทั้งแก่ตนเอง และก็แก่อุบาสก อุบาสิกา ในส่วนรวมด้วย เพราะว่าเมื่อมีความเข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ก็สามารถที่จะเผยแพร่สิ่งที่ถูกต้องให้กับอุบาสก อุบาสิกา ในอนาคตต่อไปได้

    เพราะฉะนั้นในเบื้องต้นก็คือสะสมความเข้าใจถูก เห็นถูก ในธรรม ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

    ท่านอาจารย์ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาไม่ใช่วัด แต่เป็นสถานที่ที่ผู้ที่มีศรัทธาที่สนใจที่จะได้เข้าใจพระพุทธศาสนาได้ร่วมกันศึกษาสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นก็เป็นสถานที่ซึ่งทุกคนที่ต้องการที่จะรู้ความจริงก็มาร่วมกันศึกษา และสนทนา แล้วก็เผยแพร่ความรู้ เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่ที่ที่ควรรังเกียจใช่ไหม เพราะฉะนั้นเป็นที่ที่ควรมาหรือไม่ เพราะเป็นที่ที่มาแล้วมีโอกาสที่จะได้เข้าใจความจริงที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงทั้ง ๓ ปิฏกด้วย เพราะฉะนั้นก็คงไม่มีใครรังเกียจที่จะมาที่มูลนิธิเพื่อที่จะได้เข้าใจพระธรรม ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นคฤหัสถ์ หรือว่าเป็นบรรพชิต

    พระภิกษุ ในฐานะเราเป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นชาวพุทธแล้วจะปฏิบัติตนอย่างไร จะให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

    ท่านอาจารย์ ชาวพุทธต้องเข้าใจธรรม ไม่ใช่ชาวพุทธโดยที่โมฆะไม่เข้าใจธรรมเลย เพราะฉะนั้นจะเข้าใจธรรมได้อย่างไรนี่เป็นปัญหา ถ้าไม่มีการได้ยินได้ฟังเลย เป็นใคร ไม่ใช่สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะคนนั้นไม่สามารถที่จะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าหรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ จึงเป็นสาวกคือผู้ฟัง เมื่อฟังแล้วก็สามารถที่จะไตร่ตรองว่าสิ่งที่ได้ฟังถูกหรือผิด เป็นความจริงหรือไม่ สามารถเข้าใจในขณะนี้เดี๋ยวนี้ได้ไหม เพราะว่าสิ่งที่มีจริงต้องเป็นจริง เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไม่ใช่พูดถึงสิ่งที่ไม่มี

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ต้องเป็นผู้ที่ตรงว่าเข้าใจหรือเปล่า พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้อะไร ถ้าไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏเช่นนี้ซึ่งกำลังปรากฏในขณะนี้ ซึ่งกำลังเกิดขึ้น และดับไป ถ้าไม่มีใครรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ จะรู้อะไร จะมีอะไรให้รู้ ในเมื่อเดี๋ยวนี้มีแต่สิ่งที่กำลังปรากฏให้รู้ว่ามีจริงๆ เพราะฉะนั้นผู้ที่มีความเห็นที่ถูกต้องรู้จักตัวเอง ก็รู้ว่ายังไม่เข้าใจเลย และผู้เดียวจริงๆ ที่สามารถที่จะทำให้เข้าใจได้คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทรงแสดงธรรมตรัสไว้ดีแล้ว ซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้

    เพราะฉะนั้นก็มีทางเดียวที่จะเข้าใจพระธรรมคือการศึกษาธรรม เมื่อศึกษาแล้ว ต่างคนต่างฟังก็ยังไม่พอ เพราะเหตุว่าแต่ละท่านที่สะสมมามีอัธยาศัยต่างๆ กัน แม้ในอดีตเป็นท่านพระสารีบุตร ไม่ใช่ท่านพระมหาโมคคัลลานะ เป็นท่านพระมหากัสสปะ เป็นท่านอนุรุทธะ เป็นท่านพระอานนท์ แต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง ท่านเห็นประโยชน์ในการที่แม้ท่านเป็นเอตทัคคะเช่นนั้นท่านก็ยังสนทนาธรรมกัน แสดงให้เห็นค่าของพระธรรม ซึ่งเป็นธรรมรัตนะสูงสุดที่สามารถจะทำให้กิเลสที่มีมากๆ สะสมมาแล้วอยู่ในจิตใจมหาศาล ประมาณไม่ได้เลย สามารถที่จะพลัดพรากจากไป ไม่กลับมาอีกเมื่อได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม

    เพราะฉะนั้นถ้าเป็นคนที่ไม่รู้จักอกุศล ไม่เห็นโทษของอกุศล ก็ไม่คิดที่จะละอกุศล แล้วก็ไม่มีหนทางที่จะรู้ด้วยว่าจะละอย่างไร แต่ว่าถ้าเป็นผู้ที่เห็นโทษจริงๆ และรู้ว่าธรรมที่สามารถที่จะขจัดอกุศลออกไปได้นั้น มี เมื่อได้มีความเข้าใจพระธรรมที่ทรงแสดง เพราะว่าก่อนฟังได้ยินแต่คำว่าปัญญาใช่ไหม ชอบกันทุกคน ตรงกันข้ามกับอวิชชา ไม่รู้หรือโมหะ แต่รู้ไหมว่าคืออะไร ชอบทั้งๆ ที่ไม่รู้ แต่ว่าถ้าศึกษาแล้วสามารถที่จะรู้ได้ว่า แม้แต่คำว่าปัญญาหมายความถึงสิ่งที่มีจริงๆ ที่สามารถจะเข้าใจถูกเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ในขั้นแม้ความเข้าใจถูกจากการฟัง ซึ่งจะค่อยๆ สะสมจนกระทั่งมีกำลังเพิ่มขึ้น สามารถที่จะเริ่มเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏตรงตามที่ได้ฟัง จนกระทั่งสามารถที่จะคุ้นเคยเข้าใจ แล้วก็ละคลายการยึดถือสภาพธรรมด้วยความไม่รู้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง

    แม้ว่าพระผู้มีพระภาคจะตรัสว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ถ้าไม่ศึกษาก็ไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร คำว่าอนัตตาได้ยินบ่อยๆ ไม่ใช่ตัวตน ตัวตนคืออัตตา เพราะฉะนั้นอนัตตาก็ตรงกันข้าม เมื่อไม่ใช่ตัวตนแล้วเป็นอะไร ก็เป็นสิ่งหนึ่งซึ่งกำลังมีในขณะนี้ เดี๋ยวนี้เกิดเป็นเช่นนี้ ปรากฏว่าเป็นเช่นนี้แต่ละหนึ่ง ซึ่งใครจะรู้ เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีการฟังพระธรรม ไม่มีการรู้ว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นมีจริงๆ ภาษาบาลีใช้คำว่าธรรม แล้วก็เป็นอนัตตาเพราะเหตุว่าไม่ใช่ของใครเลย เพราะอะไร เพราะว่าเพียงมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วไม่กลับมาอีก จะเป็นใครหรือว่าจะเป็นของใครได้อย่างไร

    เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจทีละคำแต่ละคำซึ่งเป็นคำจริง ก็จะทำให้สามารถค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ และความติดข้อง แล้วก็รู้ว่าทั้งหมดเพราะได้ฟังพระธรรมจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งบุคคลอื่นไม่สามารถที่จะรู้เช่นนี้ได้โดยไม่ฟัง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเพื่อให้ผู้ที่ได้ฟังเข้าใจ เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องเข้าใจ เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ แล้วจะไปทำอะไร

    พระภิกษุ ไม่ต้องทำ

    ท่านอาจารย์ ต้องฟังจนกว่าจะเข้าใจเท่านั้น แล้วปัญญาก็จะเจริญขึ้นตามลำดับ ซึ่งลำดับก็คือว่าปริยัติ ปฏิปัตติ และปฏิเวธ เป็นอีกภาษาหนึ่ง แต่คนไทยที่ชอบใช้ภาษาบาลีโดยที่ว่าไม่ได้เข้าใจจริงๆ เพราะไม่ได้ศึกษา ก็คิดว่าปริยัติคือการศึกษาภาษาบาลีเท่านั้น บางคนเข้าใจเช่นนั้น แต่ตามความเป็นจริงไม่ว่าจะเป็นภาษาใดก็ตาม พูดสำหรับเข้าใจกันในคนที่ใช้ภาษาเดียวกัน คนที่ใช้ภาษามคธีในครั้งโน้นก็ยังต้องฟังพระธรรม ไม่ใช่ว่าพอรู้ว่าจักขุวิญญาณคือเห็น แล้วก็เข้าใจได้เลยว่าไม่ใช่เรา เป็นธรรม

    เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าแม้คนไทยเราใช้คำว่าจิต ไม่มีใครที่ไม่รู้จักคำนี้เลย แต่ไม่รู้ว่าจิตคืออะไร เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นภาษาอะไรย่อมมุ่งหมายถึงสิ่งที่มีจริงให้เข้าใจถูกต้อง เพราะฉะนั้นไม่ใช่ปริยัติคือการศึกษาภาษาบาลี แต่เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมในภาษามคธีสำหรับชาวมคธที่ฟังเข้าใจได้ และก็เป็นภาษาที่ดำรงพระศาสนาสืบต่อมา เพราะฉะนั้นจากภาษามคธีคือภาษาบาลีเป็นภาษาไทย เพราะมีการแปลสืบทอดมาจากท่านผู้รู้ภาษาบาลี ด้วยเหตุนี้ขาดการศึกษาภาษาบาลีไม่ได้ ไม่ว่าจะถ่ายทอดไปในภาษาใดๆ ก็ตาม ต้องย้อนกลับไปหาคำเดิม เพื่อที่จะได้ไม่คลาดเคลื่อน แต่ว่าคำเดิมนั้นต้องศึกษา

    เพราะฉะนั้นถ้าศึกษาเข้าใจแล้วภาษาใดเหมือนกันหมด ถ้าศึกษาไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิด แม้คำบาลีนั้นก็ทำให้เข้าใจผิดได้เมื่อไม่ศึกษา เหมือนภาษาไทยก็มีหลายคำที่ถ้าไม่ศึกษาแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ เพราะเหตุว่าเป็นเรื่องของธรรมซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน เพราะฉะนั้นจะใช้คำอะไร คนไทยได้ยินคำว่าจิต แล้วได้ยินคำว่าเจตสิกไหม เห็นไหม แล้วจะเอาภาษาไทยคำใด ไม่ว่าจะใช้คำใดก็รู้ว่ามีธรรมอย่างหนึ่งมีจริงๆ แต่เป็นสภาพธรรมที่ไม่มีรูปร่างสัณฐานใดๆ เลยทั้งสิ้น และเราเคยได้ยินคำว่าจิต เพราะฉะนั้นพอได้ยินคำว่าเจตสิก เจตสิกต้องไม่ใช่จิต

    เพราะฉะนั้นจิตกับเจตสิกต้องต่างกัน แต่ทั้ง ๒ อย่าง เช่น จิตเวลานี้ทุกคนมี ช่จิตรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร บอกได้ไหม ไม่มีทางเป็นไปได้เลย ไม่ว่าในสมัยไหน ไม่ว่าในสมัยพุทธกาล ก่อนพุทธกาล หรือเมื่อทรงตรัสรู้แล้ว ธาตุรู้เกิดขึ้นรู้สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ในความเป็นสิ่งที่ปรากฏให้รู้ในลักษณะนั้นๆ ได้ เช่น เสียงขณะนี้มีหลายเสียง แต่ละเสียงไม่เหมือนกัน แต่ธาตุรู้ได้ยินเสียงต่างๆ เพราะฉะนั้นธาตุรู้นั้นเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งที่ปรากฏ แต่ขณะใดก็ตามที่มีการเห็นเกิดขึ้น สภาพธรรมจะเกิดขึ้นตามลำพังลอยๆ ไม่ได้เลย ต้องอาศัยกัน และกันเกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้นบางคนก็อยากรู้อดีตซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรคิดเลย เพราะรู้ไม่ได้เพราะอะไร เพราะดับแล้วหมดแล้ว เมื่อสักครู่นี้ยังไม่รู้ แล้วจะไปรู้สิ่งที่ดับมาแสนนานแสนโกฏิกัปป์ได้อย่างไร แต่ถ้ารู้ว่าไม่ว่าขณะใดก็ตาม สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ปรากฏสิ่งนั้นต้องเกิด และสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะเกิดได้ สิ่งนั้นต้องมีปัจจัยเกื้อกูลอนุเคราะห์สนับสนุนให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นพร้อมกัน เพราะฉะนั้นจิต และเจตสิกเกิดขึ้นพร้อมกัน ถ้าไม่ฟังพระธรรมจะรู้ไหม จะเป็นชาวพุทธไหม

    พระภิกษุ ไม่เป็น

    ท่านอาจารย์ม่รู้อะไรสักอย่างเดียว เพราะฉะนั้นจะละกิเลสได้อย่างไร จะเป็นคนดีได้อย่างไร จะทำให้ประเทศชาติมั่นคงได้อย่างไร ในเมื่อมีอกุศลมาก แล้วก็ไม่มีทางที่จะทำให้อกุศลนั้นลดน้อยลงไป ด้วยเหตุนี้ปริยัติคือความเข้าใจถูกในพระธรรมที่ทรงแสดงเป็นพุทธพจน์ พระธรรมที่ทรงแสดงก็เป็นคำที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว การเข้าใจปริยัติไม่ได้หมายความว่าเพียงจำชื่อ และเรื่อง แต่มีความเข้าใจในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังมี ถูกต้องตามความเป็นจริงทั้งโวหารเทศนาด้วย เพราะเหตุว่าแต่ละคำที่พูด คำหนึ่งคำหนึ่งไม่พอ ต้องมีหลายๆ คำที่จะทำให้เข้าใจคำนั้นยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าพระธรรมที่ทรงแสดง เช่น จักขุวิญญาณเห็น แต่โวหารเทศนามีประกอบที่จะให้รู้ความจริงว่าเห็นขณะนี้ อุปมาเหมือนอย่างไร กว่าจะรู้ได้ว่าเห็นไม่ใช่เรา เห็นเป็นเพียงชั่วขณะหนึ่งในสังสารวัฎที่เกิดแล้วก็ดับไป สืบต่ออยู่เรื่อยๆ เดี๋ยวเห็นบ้าง เดี๋ยวได้ยินบ้าง ที่ใช้คำว่าท่องเที่ยววนเวียนสังสารวัฎ เพราะเหตุว่าไม่พ้นจากเดี๋ยวเห็น เที่ยวแล้ว ตอนแรกก็ไม่ได้ไปไหน ไม่มีการกระทบ ไม่มีการเห็น แต่พอมีการกระทบไปแล้วสู่สิ่งที่กระทบคือเห็น แล้วก็เวลานี้ที่ได้ยิน จิตก็ไปแล้วสู่เสียงที่กำลังปรากฏ เพราะว่าขณะนั้นเป็นธาตุรู้เสียง เสียงจึงปรากฏว่าขณะนั้นเป็นเสียงนั้น ไม่ใช่เสียงอื่น

    นี่คือสิ่งที่มีอยู่ทุกวัน แล้วกี่ชาติถ้าไม่มีการฟังพระธรรม สามารถจะรู้ได้ด้วยตนเองนั้น เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นจึงต้องอาศัยพระธรรมที่ศึกษาแล้วรอบรู้ และเข้าใจอย่างมั่นคงว่า ธรรมคือสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ นั่นคือปริยัติ ซึ่งเมื่อมีความเข้าใจที่มั่นคงเช่นนี้แล้ว ทรงใช้คำกำกับว่าสัจจญาณเป็นปัญญาที่รู้ความจริง ซึ่งไม่ไปทำอะไรที่จะไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้

    เพราะฉะนั้นถ้าศึกษาจริงๆ พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ไม่ให้เข้าใจผิด ไม่ให้หลงผิด ไม่ให้ปฏิบัติผิด จนกระทั่งบางคนเข้าใจว่าบรรลุแล้ว ซึ่งเป็นมิจฉาญาณ และเป็นมิจฉาวิมุตติด้วย ไม่ใช่ปัญญาก็เข้าใจว่าเป็นปัญญา เป็นมิจฉาญาณ ไม่เข้าใจว่าแท้ที่จริงเต็มไปด้วยกิเลส แต่ก็เข้าใจว่าวิมุตติ พ้นแล้วดับแล้วไม่มีกิเลสแล้ว ก็เป็นมิจฉาวิมุตติ เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ทุกคำอุปการะเป็นที่พึ่งจริงๆ นี่คือปริยัติ พอไหมเพียงเท่านี้ พอไหม

    พระภิกษุ ยังไม่พอ

    ท่านอาจารย์ ไม่มีทางพอ เพราะเหตุว่านี่เป็นแต่เพียงเรื่องราวของสิ่งที่มีจริงๆ ที่ทรงแสดงถึง ๔๕ พรรษา ถ้าไม่ลึกซึ้งไม่ละเอียดจะต้องอาศัยกาลเวลาตลอดพระชนม์ชีพ ตั้งแต่เมื่อได้เพิ่งตรัสรู้ใหม่ๆ ก็เสด็จไปโปรดพระปัญจวัคคีย์ และใกล้จะปรินิพพานก็ทรงแสดงธรรมกับสุภัททปริพาชก นี่แสดงให้เห็นคุณค่าว่าตราบใดที่ยังมีพระชนม์ชีพทุกคำมีประโยชน์ ไม่ว่าใกล้ที่จะปรินิพพาน เพราะฉะนั้นขาดปริยัติได้ไหม ไม่มีทางเป็นไปได้เลย ถ้าไม่มีปริยัติ ปฏิปัตติคืออะไร ก็ไม่รู้อีก ได้แต่พูดว่าปฏิบัติ ทำเลยใช่ไหม แต่ว่าจริงๆ ปฏิแปลว่าเฉพาะ ปัตติแปลว่าถึง ถึงเฉพาะอะไร (ถึง) สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ด้วยความเข้าใจซึ่งแต่ก่อนไม่เคยเข้าใจ

    เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่าความเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้มีได้ เพราะได้ฟังพระธรรม จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้เป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง เพราะกำลังมีกำลังปรากฎให้รู้ ถ้าดับไปแล้วรู้ไม่ได้ ถ้ายังไม่เกิดก็รู้ไม่ได้ แต่สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่สามารถจะเห็นถูกเข้าใจถูกได้ เพราะฉะนั้นผู้ที่มีสัจจญาณคือมีความรอบรู้ในปริยัติ สามารถที่จะเป็นปัจจัยให้สัมมาสติเกิด เพราะเหตุว่าสภาพธรรมเกิดเองไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามต้องมีเหตุปัจจัย มีปัจจัยที่เกื้อกูลสนับสนุนอุปการะอาศัยกัน และกันเกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้นสติเกิดเองไม่ได้ และเมื่อเป็นสัมมาสติที่สามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ต้องอาศัยสัจจญาณการฟังพระธรรม ปริยัติที่มีความเข้าใจรอบรู้อย่างมั่นคง เป็นปัจจัยให้สัมมาสติเกิด เมื่อใดใครรู้ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ใครไปทำ ทำไม่ได้ แต่สามารถที่จะเข้าใจได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างในขณะนี้เป็นธรรมก่อน อกุศลเกิดขึ้นเป็นธรรมหรือไม่ เป็น (ธรรม) เดือดร้อนไหม คำตอบ ความจริงใจ ถ้าคนที่ไม่เดือดร้อนก็รู้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริงๆ เกิดแล้วหมดแล้วด้วย แต่คนที่เดือดร้อนไปแล้วเพื่อปฏิบัติ เดือดร้อนหรือไม่

    พระภิกษุ เดือดร้อน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่าธรรมเป็นความจริงทุกคำ พระผู้มีพระภาคทรงพระมหากรุณาแสดงความจริง เพราะฉะนั้นผู้ที่เข้าใจความจริงจะหวังดีกับคนอื่นไหม ที่จะให้เขาเข้าใจถูก ไม่เข้าใจผิดด้วยประการใดๆ ที่สามารถจะกระทำได้ นี่คือความเป็นมิตรที่เป็นเพื่อนแท้จริงๆ ไม่ให้สิ่งที่ลวง ไม่ให้สิ่งที่เท็จ ไม่ให้สิ่งที่ไม่จริง แล้วก็ไม่เปลี่ยนแปลงคำที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้วด้วย

    เพราะฉะนั้นธรรมละเอียด ที่ว่าปัญญาคือความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏตามลำดับขั้น ตั้งแต่ขั้นฟังจนกระทั่งสามารถที่จะเริ่มเห็นความเป็นธรรม ซึ่งเป็นธาตุรู้ที่เกิดขึ้นกำลังเห็น หรือธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้นกำลังได้ยิน ธาตุรู้เกิดขึ้นกำลังคิด เพราะฉะนั้นสภาพธรรม เช่น รูปที่ปรากฏทางตา รูปหมายความถึงสิ่งที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยแต่มีจริง สิ่งที่ปรากฏทางตากำลังปรากฏเดี๋ยวนี้มีจริงหรือไม่

    พระภิกษุ มีจริง

    ท่านอาจารย์ แค่รู้ว่ามีจริง แต่ยังไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ จึงต้องอาศัยการฟัง เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีปริยัติเลย ปฏิปัตติก็ไม่มี ถ้าไม่ใช่มีความรอบรู้ความเข้าใจ ปฏิบัติที่ภาษาไทยใช้หมายความถึงปฏิปัตติก็ไม่มี และกว่าจะถึงปฏิเวธ ความรู้ที่ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจจนกระทั่งละคลายความไม่รู้ ละคลายความติดข้อง สามารถรู้ว่าขณะนี้กำลังเริ่มเข้าใจจนกระทั่งขณะที่ประจักษ์สภาพธรรม สละคืนหรือละทิ้งการยึดถือสภาพธรรมนั้นที่กำลังปรากฏว่าเป็นตัวตนหรือเป็นเราได้

    นี่คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งงามพร้อมทั้งเบื้องต้นท่ามกลาง และที่สุด ไม่ใช่เพียงแต่แสดงไว้ แล้วก็ไม่แสดงต่อ เพราะฉะนั้นคนก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าสามารถที่จะรู้ความจริงนี้ได้อย่างไร ทรงแสดงไว้ครบถ้วนทั้งหมด เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าจะเข้าใจธรรมได้อย่างไร ต้องศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมให้เข้าใจ ซึ่งก็หมายความถึงว่าการศึกษาก็คือการเข้าใจ จะใช้ภาษาอะไรก็ได้ แต่หมายความว่าจะอ่าน จะฟัง จะคิดทั้งหมด ก็คือตามที่ได้ฟัง ต้องตรง ถ้ารู้ความจริงต้องตรงคือความจริงของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้

    พระภิกษุ สวากขาโต ภควตา ธัมโม พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้วอนุโมทนา

    ท่านอาจารย์ ถ้าจะละอาย ควรละอายความไม่รู้ และอกุศล ไม่ใช่ละอายที่จะฟัง และศึกษาธรรมให้เข้าใจ

    อ.คำปั่น สิ่งที่น่าพิจารณาว่า ในยุคนี้สมัยนี้ความเห็นผิดที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงในธรรมก็มีมากทีเดียว ก็ชักชวนกันในทางที่ผิด ก็เป็นโทษทั้งแก่ตนเอง และก็แก่ผู้อื่นมากมายทีเดียว สิ่งที่จะเป็นที่พึ่งจริงๆ ก็คือความเข้าใจพระธรรม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจึงมีมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา สำหรับช่วยกันศึกษาพระธรรมให้เข้าใจถูกต้อง แล้วก็เผยแพร่ความเข้าใจเท่าที่จะเป็นไปได้ตามกำลัง ยุคสมัยไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ เพราะเหตุว่าทุกอย่างเป็นอนัตตา เมื่ออกุศลเจริญขึ้นมากมายใครเปลี่ยนแปลงได้ แต่ว่าผู้ที่เห็นประโยชน์ของกุศลมี เพราะฉะนั้นการกระทำในการที่จะให้ใครได้มีโอกาสได้ฟังได้เข้าใจพระธรรม ก็ทำเต็มที่เท่าที่จะทำได้


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 194
    23 มี.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ