พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 922


    ตอนที่ ๙๒๒

    ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๗


    ท่านอาจารย์ สัตว์ตายบ้าง คนตายบ้าง ใครไม่เคยเห็นบ้าง เห็นกันทุกคน แล้วคิดอย่างไร เราต้องตายด้วยหรือไม่ หรือลืมไป ใช่ไหม วันหนึ่งก็เป็นเช่นนั้น แล้วประโยชน์อะไรจากการที่มีชีวิตอยู่ แล้วก็ไม่เหลืออะไรเลยต้องจากไปหมด แม้แต่ร่างกายซึ่งเคยยึดถือว่าเป็นเรา ความจริงเอาไปไม่ได้เลย ไม่ใช่ของเราด้วย ถ้ามีการที่รู้ประโยชน์จริงๆ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่เหลือ เพียงชั่วคราว เกิดมาก็บังคับบัญชาไม่ได้แต่ละขณะจิตต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ก็สนใจที่จะรู้ว่าแล้วอะไรเป็นเหตุที่จะให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้น อะไรเป็นเหตุที่จะให้เกิดสุข และทุกข์ อะไรเป็นเหตุที่จะทำให้ต่างคนก็ต่างไม่เหมือนกันเลย ไม่ว่าจะคิด ไม่ว่าจะได้รับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ถ้าสามารถเข้าใจได้ จะเข้าใจไหม นี่คือคำถามสำหรับคนที่คิดว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะศึกษาสิ่งที่มีจริง หรือว่าจะเข้าใจสิ่งที่มีจริง

    เพราะฉะนั้นก็มีบุคคลจำนวนมากที่ไม่เห็นประโยชน์ของการฟังธรรม ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเห็นประโยชน์ของการฟัง เพราะฉะนั้นก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าได้ยินอย่างนี้แล้วจะศึกษาจะสนใจจะสามารถเข้าใจได้แล้วจะศึกษาหรือไม่ สามารถเข้าใจได้ ทุกขณะเกิดขึ้นได้อย่างไร ไม่มีการบังคับ ถึงชักชวนก็ไม่สำเร็จ ก็ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของแต่ละคนที่เห็นประโยชน์ไหม ว่าเกิดมาสนุกสนานบ้าง ทุกข์โศกบ้าง แล้วก็จากโลกนี้ไป แล้วก็ไม่เหลือเลย แต่ไม่รู้ว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร คือต้องเกิดอีกแน่นอน

    อ.วิชัย ก็เป็นเพียงเริ่มต้นที่จะรู้ว่าคำว่า "พุทธ" คือเป็นผู้รู้ และก็รู้อะไรให้เข้าใจอะไรขณะนี้ ประโยชน์ของการเข้าใจคืออย่างไร ซึ่งโดยปกติทุกท่านก็คงไม่ชอบการพลัดพรากต่างๆ การทุกข์ใจต่างๆ ฉะนั้นสิ่งต่างๆ ที่เป็นไปในชีวิต เช่น การฟังพระธรรมคงไม่เหมือนกับการที่สนุกสนานรื่นเริงในรูปในเสียงต่างๆ แต่ว่าการฟังย่อมเป็นประโยชน์คือ ให้เข้าใจถูก เข้าใจถูกก็ย่อมต่างกับความเพลิดเพลินในเสียงในรูปบ้าง

    ท่านอาจารย์ ต้องเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ว่าเกิดมาแล้ว แล้วต้องตายไป มีทรัพย์สมบัติ มีสุข มีทุกข์ทั้งหมด ประโยชน์อยู่ที่ใด เมื่อวานนี้หมดแล้วไม่เหลือเลย พรุ่งนี้ก็ยังไม่มาถึงไม่รู้ว่าจะอยู่ที่ใด จะทำอะไร แล้วประโยชน์อยู่ที่ใด ในเมื่อไม่รู้ทั้งอดีต และไม่รู้ทั้งอนาคตที่จะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นประโยชน์จริงๆ อยู่ที่ใด

    อ.วิชัย การพลัดพรากก็ต้องย่อมมีอยู่

    ท่านอาจารย์ แล้วจริงๆ แล้ว ก็พลัดพรากอยู่ตลอดเวลา ก็ไม่รู้ ไม่รู้ทั้งนั้นเลย ถ้าได้ยินคำว่า "พุทธ" ผู้รู้ ผู้เบิกบาน ผู้ตรัสรู้ความจริง แค่นี้ ใครนะ รู้อะไร แล้วก็สามารถที่จะสอนให้คนอื่นเข้าใจด้วย แล้วก็มีโอกาสจะได้เข้าใจด้วย แล้วทำไมไม่สนใจที่จะศึกษา โอกาสมีแล้ว แต่ว่าไม่สนใจก็ไม่ได้รับประโยชน์

    อ.วิชัย ดังนั้นผู้ที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังว่า การที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วในโลก แล้วก็ธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงประกาศ และแสดงออกไป ก็หาได้ยากในโลก ดังนั้น ความรู้ความเข้าใจว่า "พุทธ" ทรงรู้แล้วก็เข้าใจอะไร และการที่จะถึง ถึงพระผู้มีพระภาค "พุทธ" เป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอะไร จะรู้จักพระองค์ไหม

    อ.วิชัย ก็ย่อมไม่รู้จักแน่นอน

    ท่านอาจารย์ หนทางเดียวที่จะรู้จักถึงความเป็นผู้ที่ประเสริฐเลิศที่สุดในสากลจักรวาล ก็โดยการฟังคำที่ได้ทรงแสดงไว้แล้ว

    อ.วิชัย ฉะนั้น การถึงหมายถึงว่าเป็นความเข้าใจจากการได้ยินได้ฟัง

    ท่านอาจารย์ แน่นอน

    อ.วิชัย บางบุคคลจะไปขอเป็นที่พึ่ง เป็นที่ให้คอยช่วยเหลือต่างๆ เหล่านี้ แต่ว่าสิ่งที่คือให้เกิดความรู้ความเข้าใจตรงนี้ ถือว่าเป็นที่พึ่งใช่ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ แล้วเดี๋ยวนี้มีพระพุทธเจ้าไหม

    อ.วิชัย พระธรรมยังดำรงอยู่

    ท่านอาจารย์ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีให้ไปเคารพกราบไหว้หรือไม่ ก็ทรงปรินิพพานแล้ว เพราะฉะนั้นไปถึงอะไร ปรินิพพานแล้วกราบไหว้อะไร

    อ.วิชัย พระบรมสารีริกธาตุหรือว่าพระธรรมที่ทรงแสดง

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่มีพระบรมสารีริกธาตุทั่วไป ที่จะให้กราบนมัสการ ณ กาลครั้งหนึ่ง พระธาตุเหล่านี้ยังประชุมรวมกันเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรม เพื่อที่จะอนุเคราะห์สัตว์โลกตั้งแต่แรกเริ่มคือ ตื่นบรรทมจนกระทั่งก่อนที่จะบรรทม พระมหากรุณามากมายอย่างนั้น แต่ขณะนี้ก็มีแต่เพียงบางส่วนของพระบรมสารีริกธาตุที่อยู่ในที่ทั่วๆ ไปสำหรับแต่ละคน ซึ่งมีโอกาสที่จะได้กราบไหว้นมัสการ แต่นั่นก็เพียงแต่ผู้ที่ได้ยินชื่อได้ยินคำ แต่การที่จะรู้จริงๆ ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ ถ้าไม่รู้ว่าปัญญารู้อะไร ขณะนั้นก็เพียงแต่กราบไหว้บูชาบุคคลผู้เลิศ ซึ่งเป็นที่กล่าวขานรู้ทั่วไปว่าเป็นผู้ที่ทรงดับกิเลสหมด แต่ว่าก็ยังไม่ได้เข้าใจธรรมว่าพระองค์ตรัสรู้อะไร

    ด้วยเหตุนี้การถึงพระองค์ที่จะเป็นที่พึ่ง ไม่ใช่เพียงเพื่อกราบไหว้แล้วก็ไม่รู้อะไร แต่ก็จะต้องเข้าใจจริงๆ ในธรรมที่ได้ทรงแสดงแล้ว เพราะฉะนั้นแต่ละคำของธรรม มีคุณค่ามหาศาลที่จะเป็นธรรมรัตนะได้ ไม่ใช่ธรรมที่เป็นอกุศลธรรม แต่ต้องเป็นธรรมฝ่ายกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา ที่สามารถจะทำให้รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง แล้วก็สามารถที่จะละคลายดับกิเลสได้ไม่เหลือเลย ทุกคนดูเหมือนว่าไม่ชอบกิเลส แต่ไม่ชอบบางกิเลส ใช่ไหม

    อ.วิชัย เช่น โทสะ ก็ไม่ชอบ

    ท่านอาจารย์ โทสะ ไม่ชอบ อะไรที่นำความทุกข์เดือดร้อนมาให้ ไม่ชอบ แต่ถ้านำความสุขมาให้เพลิดเพลิน ก็ชอบ เพราะฉะนั้นขณะนั้นรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือยัง

    อ.วิชัย ขณะนั้นไม่รู้จัก

    ท่านอาจารย์ ไม่รู้จัก เพราะฉะนั้นการที่จะรู้จักได้ก็โดยการฟัง แล้วก็จะเข้าใจตามความเป็นจริงของธรรมคือ สิ่งที่มีจริงซึ่งเพียงคำนี้หลากหลายมากเพียงใด ประมาณไม่ได้เลย แต่ถ้ายังไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร ก็หาไม่เจออีกเหมือนกัน ว่าอะไรเป็นธรรมที่หลากหลายที่มาก เพราะฉะนั้นสัตว์โลกเหมือนคนตาบอด ถ้ามีการได้รู้ความจริงเมื่อใด จะรู้ว่าชีวิตที่ผ่านมาแล้วในสังสารวัฎ อยู่ในความมืดด้วยความไม่รู้ แต่ผู้นั้นต้องตื่นก่อน ต้องรู้ความจริงก่อน ถึงจะย้อนไปเห็นที่แล้วมาทั้งหมด เต็มไปด้วยโลภะ โทสะ โมหะ ไม่ว่าแต่ละชาติจะเกิดเป็นใครอย่างไรก็ตาม จะต่อสู้แย่งชิงอย่างไรก็ตามพฤติกรรมทั้งหลายล้วนอยู่ในความมืดคือความไม่รู้ว่าแท้จริงคืออะไร ไม่มีอะไรเหลือเลย อยู่ไปวันๆ เพื่อไม่มีอะไรเหลือ เกิดมาแล้วก็หมดไป เกิดมาแล้วก็หมดไป แต่ตราบใดที่เกิดแล้วยังไม่ตายก็เข้าใจว่ายังมีอยู่ เพราะว่าแต่ละขณะนี้อยู่ไม่ได้ เกิดมาแล้วต้องไป เช่นเสียงปรากฏแล้วหมด แข็งปรากฏแล้วหมด ทุกอย่างคิดแต่ละคำแต่ละหนึ่งก็เกิดขึ้นแล้วก็หมดไป แต่เวลานี้เป็นเสียงหลายๆ เสียง หลายๆ คำ จิตที่คิดเรื่องแต่ละคำนั้น ก่อนที่เสียงจะเปล่งออกมาก็หลายๆ จิต

    เพราะฉะนั้นมีใครรู้ความจริงบ้างว่า แต่ละขณะก็คือสิ่งที่เพียงมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปในความมืดเป็นอย่างนี้มานานแสนนาน จนกว่าจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี เพราะสิ่งที่มีจริงสามารถรู้ได้ แต่ว่าอวิชชาความไม่รู้ อย่างไรก็รู้ไม่ได้ แล้ววันหนึ่งวันหนึ่งเห็นก็ไม่รู้ ได้ยินก็ไม่รู้ คิดนึกก็ไม่รู้ ความไม่รู้มากเพียงใด มีแต่ความไม่รู้ที่เพิ่มขึ้นๆ ปิดบังความจริงตลอดเวลา เพราะฉะนั้นจึงเห็นพระคุณว่าธรรมเป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้งยากที่จะรู้ได้ แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงบำเพ็ญพระบารมี ผู้ที่่ยิ่งด้วยปัญญาถึง ๔ อสงไขยแสนกัป เพราะฉะนั้นสาวกคงไม่ต้องมีใครจะต้องไปทำเช่นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บางคนก็เลียนแบบเลย ไปนั่งใต้ต้นโพธิ์ และคิดว่าจะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นก่อนอื่นฟังเพื่อให้รู้ความจริง

    อ.วิชัย ขณะที่กล่าวเริ่มเข้าใจถูกว่า "พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ" คำว่า "พุทธ" หรือ "พุทธัง" ก็จะให้เกิดความเข้าใจว่าทรงแสดงสิ่งที่มีจริงขณะนี้ให้รู้ถูกเข้าใจถูก ขณะนั้นก็เริ่มมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งเป็นสรณะ

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์เคยเตือนอยู่บ่อยๆ ว่าไม่ให้ลืมว่าเป็นธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าจะเป็นธรรมได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ สอนเรื่องสิ่งที่มีจริงหรือไม่มี

    ผู้ฟัง สอนเรื่องสิ่งที่มีจริง

    ท่านอาจารย์ แล้วธรรมคืออะไร ธรรมไม่ใช้ภาษาไทย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมหรือไม่

    ผู้ฟัง เป็นธรรมอย่างไร

    ท่านอาจารย์ จิตเห็นจิตได้ยินเดี๋ยวนี้เป็นธรรมหรือไม่ แล้วก็บุคคลทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ มีธรรมทั้งนั้นใช่ไหม เป็นธรรมทั้งนั้น ถูกต้องไหม แล้วเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือเปล่า เป็นสิ่งที่มีจริงไม่ใช่สอนสิ่งที่เลื่อนลอยไม่มี แต่สิ่งที่มีแล้วตั้งแต่เกิดจนตาย สิ่งใดมีสิ่งนั้นเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย จึงได้มีปรากฏในขณะนี้ จึงเป็นสิ่งที่มีจริง ขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงทั้งนั้นเลย คิดเดี๋ยวนี้ก็มี เห็นเดี๋ยวนี้ก็มี แต่ละหนึ่งแต่ละหนึ่ง เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า ระหว่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระธรรม และพระสงฆ์ ทั้งๆ ที่ทั้งหมดเป็นธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง แต่สิ่งที่มีจริงต่างกันหลากหลายมาก

    เพราะฉะนั้นธรรมใดที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งๆ ที่เดี๋ยวนี่ก็เป็นธรรมทั้งนั้น แต่ธรรมใดเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คืออย่างไรก็ตาม การฟังธรรมต้องพิจารณาสิ่งที่ได้ฟัง ขณะนี้สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้เป็นธรรมทั้งหมด เห็นทุกขณะเป็นธรรม ได้ยินทุกขณะเป็นธรรม คิดทุกขณะเป็นธรรม แล้วเห็นเดี๋ยวนี้ได้ยินเดี๋ยวนี้คิดเดี๋ยวนี้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่ นี่คือฟังธรรมเพื่อเข้าใจ เพื่อคิดเพื่อไตร่ตรอง เพื่อรู้ความจริง ไม่ใช่เดาเอง พอฟังแล้วไปคิดเรื่องอื่น แต่ว่าเดี๋ยวนี้ต้องคิดต้องไตร่ตรองว่า เห็นเดี๋ยวนี้ ได้ยินเดี๋ยวนี้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่ ไม่ใช่ให้เราตอบอย่างนี้หรือตอบอย่างนั้นว่าเป็นหรือไม่เป็น แต่ความจริงความเข้าใจความถูกต้องต้องชัดเจน ไม่มีอะไรเหลือเลยที่จะต้องสงสัยถ้าเป็นความถูกต้อง และเป็นความจริง

    เพราะฉะนั้นแม้แต่ได้ยินคำว่าพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ กล่าวโดยชื่อไปหมดแล้ว ว่าพระพุทธรัตนะได้แก่พระสัมมาส้มพุทธเจ้าเท่านั้น พระธรรมคือสิ่งที่มีจริง แต่ว่าใครจะรู้ว่ามีจริงต้องโดยอาศัยคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งไม่ใช่สอนเรื่องอื่นไม่ได้พูดเรื่องอื่น พูดเรื่องสิ่งที่มีจริงๆ ทั้งหมดให้ได้เข้าใจถูกต้อง

    ด้วยเหตุนี้ธรรมรัตนะจึงเป็นโลกุตรธรรม และพระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้ดีแล้ว คือพระธรรมทั้งหมดที่ทรงแสดงซึ่งนำไปสู่การที่จะถึงความเป็นโลกุตรธรรม เพราะขณะนี้ เห็นได้ยินคิดนึกธรรมดาจะไปสู่การถึงโลกุตรธรรมไม่ได้ แต่ต้องมีความเข้าใจถูก ธรรมที่เป็นธรรมส่วนที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจธรรม จึงเป็นธรรมรัตนะ มิเช่นนั้นก็ไม่มีธรรมรัตนะ ก็มีแต่ธรรม โลภะก็เป็นธรรม โทสะก็เป็นธรรม แล้วเป็นธรรมรัตนะหรือไม่

    ฉะนั้นการศึกษาธรรมต้องละเอียดจริงๆ แม้แต่คำที่ได้ยินได้ฟัง แต่ไม่ใช่เราคิดเอง แต่ต้องมีเหตุผลว่าเพราะอะไรจึงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็เป็นพระธรรม แล้วก็เป็นพระสงฆ์

    ผู้ฟัง ถ้าจะเข้าใจว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ก็คือธรรมนั่นเอง

    ท่านอาจารย์ ธรรมใด ทุกอย่างเป็นธรรมนี่แน่นอน แต่ธรรมใดที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ยินคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คือพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ ซึ่งไม่มีผู้ใดเปรียบได้เลย พอจะเข้าใจไหมว่าแม้แต่ปัญญาก็มีหลายระดับ ความกรุณาก็มีหลายระดับ

    ผู้ฟัง ประการนี้พอจะเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นระดับไหนที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่ใช่พ้นจากธรรม แต่เป็นธรรมที่เหนือบุคคลใดทั้งสิ้น ไม่ว่าโลกไหน เทวโลก พรหมโลก ทั้งหมดไม่มีใครเปรียบได้เลย เพราะฉะนั้นปัญญาระดับนั้น ที่สามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ ไม่ว่าในกาลใด ธรรมก็เป็นธรรม และทรงแสดงความจริงอย่างละเอียดยิ่งด้วยพระมหากรุณา เพื่อที่จะอนุเคราะห์คนอื่น ให้มีโอกาสได้เห็นถูกได้เข้าใจถูกในความจริงของสิ่งที่มีจริงชั่วคราวแสนสั้นเพียงเกิดขึ้น และดับไป เช่นนี้ยากไหมที่จะรู้ว่า เดี๋ยวนี้ขณะนี้สิ่งซึ่งเหมือนปรากฏว่าเที่ยงเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มั่นคง แต่ความจริงแท้ก็คือว่าเป็นลักษณะของสิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่งซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปแล้วก็ไม่กลับมาอีก

    เพราะฉะนั้นจากการที่ไม่รู้อะไร และมากด้วยกิเลส ก็จะเป็นผู้ที่ค่อยๆ เข้าใจ ความไม่รู้ก็ค่อยๆ ลดน้อยลง จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมโดยไม่มีอะไรปิดบัง เพราะไม่ว่าขณะใดที่อกุศลเกิดขึ้นไม่ว่าเมื่อใด มากน้อยเท่าใด มีความไม่รู้อยู่ด้วยในขณะนั้น โมหเจตสิกหรืออวิชชาเกิดทุกขณะที่จิตที่เป็นอกุศลเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นอวิชชามากมายเพียงใด แล้วที่จะหมดไปได้ ถึงการสามารถเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ต้องอบรม และต้องรู้ว่าไม่สามารถที่จะรู้ได้ด้วยตัวเอง ต้องอาศัยพระธรรมคือ ความจริงที่พระผู้มีพระภาคทรงพระมหากรุณาแสดงโดยละเอียดอย่างยิ่ง โดยประการทั้งปวง เพื่อป้องกันไม่ให้มีความเห็นผิดเข้าใจผิด จนถึงกับคิดว่าบรรลุผิด รู้แจ้งธรรมก็ผิด มิฉะนั้นก็เข้าใจว่าถูก

    นี่เป็นสิ่งที่ได้ทรงแสดงไว้โดยละเอียด จึงขอถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณเป็นที่พึ่ง จะถึงแต่พระธรรมเป็นที่พึ่งเท่านั้นได้หรือไม่ "ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ" เท่านั้นได้หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ได้ครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร ทุกอย่างต้องมีเหตุผล

    อ.วิชัย เพราะพระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ธรรม

    ท่านอาจารย์ เพราะถ้าไม่มีพระปัญญาคุณที่ทรงตรัสรู้ จะมีพระธรรมเป็นที่พึ่งได้อย่างไร เพราะฉะนั้นขณะนี้มีธรรมระดับใดแล้วที่เป็นที่พึ่ง เห็นหรือไม่ ไม่ได้พึ่งอะไรเลย แต่พึ่งธรรมที่เป็นกุศลที่จะทำให้ถึงความเป็นสังฆรัตนะเมื่อไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นขณะนี้มีธรรมระดับใดเป็นที่พึ่งแล้ว ต้องเป็นผู้ที่ตรงจริงๆ ถึงจะได้สาระจากพระธรรม ฟังเข้าใจเมื่อใดมีที่พึ่ง เท่าที่ได้พึ่งคือได้เข้าใจ เพื่อที่จะพึ่งต่อไปอีก พึ่งต่อไปอีก พึ่งต่อไปอีก จนกระทั่งสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ ก็เป็นสิ่งซึ่งไม่ประมาทในการที่จะฟังพระธรรมด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ไม่คิดเองแน่นอน เพราะคิดแล้วก็ผิด ทรงแสดงธรรมไว้ด้วยประการทั้งปวง ถ้าเป็นผู้ที่เริ่มเข้าใจพระธรรม ก็อ่านพระไตรปิฏกได้ แต่ว่าด้วยความละเอียดยิ่งในทุกคำ ไม่ประมาทเลยในแต่ละคำ

    เมื่อวานนี้ฟังเรื่องหวั่นไหว ใครหวั่นไหว ใครไม่หวั่นไหว เมื่อใดหวั่นไหว เมื่อใดไม่หวั่นไหว แต่ละคำเป็นความจริงที่สามารถที่จะทำให้เข้าใจสิ่งที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา จนกระทั่งรู้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    ผู้ฟัง แล้วพระสงฆ์

    ท่านอาจารย์ พระสงฆ์คือใครก่อน

    ผู้ฟัง พระสงฆ์เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ เท่านั้นหรือ

    ผู้ฟัง พระสงฆ์นี่ก็คงถึงพระอริยบุคคล

    ท่านอาจารย์ พระอริยบุคคลคือใคร ต้องดับกิเลสถึงจะได้เป็นพระอริยบุคคล อยู่ดีๆ ไม่ดับกิเลสแล้วจะไปเป็นพระอริยบุคคลได้อย่างไร แล้วอยู่ดีๆ จะดับกิเลสเองได้อย่างไรถ้าไม่มีปัญญา อยู่ดีๆ จะมีปัญญาเองได้อย่างไรถ้าไม่ฟังธรรม และอยู่ดีๆ ฟังธรรมไม่ได้อบรมจะมีปัญญาถึงระดับนั้นได้อย่างไร ผู้ที่ได้อบรมเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริง จนกระทั่งสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจะ ทิ้งคำว่าอริยะไม่ได้ อริยสัจธรรมไม่ใช่ธรรมที่มีจริงสำหรับคนอื่น แต่สำหรับผู้ที่ได้อบรมปัญญา อริยะคือเจริญ อบรมจนกระทั่งสามารถรู้ความจริง ซึ่งดับกิเลสได้ ดับกิเลสเป็นสมุจเฉทหมายความว่ากิเลสที่ดับแล้วไม่เกิดอีกเลย เกิดไม่ได้เลย ไม่ใช่เมื่อวานนี้ไม่มีกิเลส วันนี้มีกิเลสแล้ว เมื่อวานนี้ดับกิเลส ไม่ใช่เช่นนั้น แต่ดับกิเลสไม่เกิดอีกเลย ลองคิดดู ยากเพียงใด ปัญญาระดับใด ในสังสารวัฎที่ไม่เคยรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ ถึงรู้บ้าง ระดับใด ระดับขั้นที่เคยได้เฝ้าได้ฟังคำ แต่ปัญญาขณะนั้นเข้าใจเพียงใด

    เพราะฉะนั้นกว่าจะอบรมจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงได้ ดับกิเลสได้ ไม่มีการยึดถือสภาพธรรมนั้นด้วยความเข้าใจผิดว่าเป็นเรา หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง อีกต่อไปเลยในสังสารวัฎ จะกลับไปไม่รู้ไม่ได้ จะกลับไปเห็นผิดไม่ได้ เพราะว่ามีการรู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริงโดยตลอดโดยสิ้นเชิง แต่ผู้นั้นไม่ใช่รู้ด้วยตัวเอง จึงไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่รู้ได้เพราะได้ฟังพระธรรมจากผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้ตามจึงเป็นพระอริยสงฆ์ ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ให้เข้าใจ อวิชชานานเท่าใดแล้ว แสนโกฏิกัปป์ ไม่รู้อะไร ก็ไม่รู้เห็น ไม่รู้ได้ยิน ไม่รู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชาติหนึ่งชาติหนึ่ง เหมือนชาตินี้นั่นเอง และก็สะสมเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น

    เพราะฉะนั้นการที่จะละความไม่รู้ แล้วก็การที่จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นเราบ้าง เป็นเขาบ้าง เป็นนั่นบ้าง เป็นนี่บ้าง นานไหม และเป็นปัญญาระดับใดจึงสามารถที่จะละสิ่งที่ได้สะสมมาแสนนาน ที่ปิดกั้นไม่ให้สภาพธรรมขณะนี้ปรากฏตามความเป็นจริง ทั้งๆ ที่ความจริงก็เป็นอย่างนี้ แต่อวิชชาความไม่รู้ปิดบังตลอดมา แล้วถ้าไม่มีความเข้าใจ ก็จะเพิ่มความหนาแน่นเหมือนม่านทึบ กี่ชั้นที่พอกมาในสังสารวัฎ แล้วจะหมดไปก็ต้องอาศัยการอบรมเจริญนานจริงๆ และเป็นผู้ที่ตรงด้วย เริ่มตั้งแต่การฟังด้วยความเคารพ ด้วยความไม่ประมาท ตามพระปัจฉิมโอวาทก่อนที่จะปรินิพพาน

    ผู้ฟัง ในโลภมูลจิต ๘ ดวง พระโสดาบันดับดวงไหนได้

    อ.วิชัย คือจิตที่เป็นโลภะที่ประกอบทิฏฐิ ก็จะไม่มีแล้วเพราะว่าถูกดับแล้ว เพราะฉะนั้นโลภมูลจิตที่เกิดขึ้น ก็จะประกอบด้วยมานะก็ได้ หรือไม่ประกอบด้วยมานะก็ได้

    ผู้ฟัง ใน ๘ ดวงนี้ จะมีทิฏฐิคตสัมปยุตกับทิฏฐิคตวิปยุต แสดงว่าทิฏฐิคตสัมปยุตพระโสดาบันไม่มีแล้ว ๔ ดวงนั้น ถูกไหมที่เข้าใจ

    อ.วิชัย แน่นอนว่าดับแล้วก็ไม่มี

    ผู้ฟัง แล้วปุถุชนจะต้องมีทั้ง ๘ ดวงเลยใช่ไหม หรือว่าขณะที่อย่างที่ท่านอาจารย์บรรยายว่าไม่ได้มีเราตลอดเวลา

    อ.วิชัย ขณะนี้คิดว่าเป็นเราไหม หรือยังไม่ได้คิดว่าสิ่งนั้นเป็นเรา

    ผู้ฟัง ก็เป็นเราทุกอย่าง

    อ.วิชัย ยัง ขณะที่จับไมค์ ขณะที่พูดคุย ยังไม่ได้สำคัญอะไรว่าเป็นเราเลย ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ถ้าเช่นนั้น จะเกิดขณะใด

    อ.วิชัย แล้วแต่ปัจจัยจะให้เกิดขึ้น

    ผู้ฟัง ปัจจัยคืออะไร

    อ.วิชัย ขณะที่มีความสำคัญว่าเป็นตัวเรา นี่คือตัวเรา

    ผู้ฟัง ก็คือ ๓ อย่าง ก็คือ ทิฏฐิ โลภะ แล้วก็มานะ ใช่ไหม

    อ.วิชัย แล้วแต่ว่าขณะใดจะมีปัจจัยให้เกิดความสำคัญตนเกิดขึ้นว่าเป็นเรา ด้วยตัณหาหรือมานะหรือด้วยทิฏฐิ

    ท่านอาจารย์ ใครยืนอยู่ตรงนี้

    ผู้ฟัง จิต เจตสิก รูป

    ท่านอาจารย์ เป็นไปได้หรือ

    ผู้ฟัง เป็นตามความเข้าใจที่ศึกษา

    ท่านอาจารย์ ขณะนั้นคิดใช่ไหม แล้วใครคิด

    ผู้ฟัง ก็เป็นจิตคิด

    ท่านอาจารย์ ใครบอกว่าจิตคิด

    ผู้ฟัง คุณหมอดวงทิพย์

    ท่านอาจารย์ จะพ้นเราได้ไหม แต่ว่าขณะนั้นมีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วยหรือเปล่า หรือไม่มี การศึกษาธรรมไม่ใช่ไปศึกษาตัวหนังสือ แล้วมาหาว่ามันอยู่ตรงไหนใช่ไหม แต่ขณะนี้เดี๋ยวนี้ เราหรือเปล่าที่กำลังยืนอยู่ตรงนั้น

    ผู้ฟัง เราค่ะ

    ท่านอาจารย์ มีความเห็นผิดหรือเปล่า


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 194
    21 ก.พ. 2567

    ซีดีแนะนำ