พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 907


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๙๐๗

    ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๗


    ท่านอาจารย์ ที่สำคัญที่สุดคือฟังเพื่อมีความเข้าใจที่มั่นคงไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนอย่างไรก็สามารถที่จะระลึกถึงธรรมได้วันก่อนก็มีคนบอกว่าเขาโกรธแต่เขาก็นึกได้ว่าขณะนั้นเป็นธรรมเขาก็หายโกรธนั่นชั่วขณะที่นึกอารักขาชั่วคราวแต่อุปนิพันธโคจรคืออารมณ์ซึ่งผูกจิตไว้ที่อารมณ์นั้นเกิด หรือยังมี หรือยังเพราะว่าพูดเรื่องเห็นแต่ว่าอารมณ์คือสิ่งที่ปรากฏทางตาแม้ขณะที่กำลังฟังว่าเป็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้แต่ก็ไม่ได้เข้าใจอย่างนี้ไม่ได้นึกถึงอย่างนี้เพราะเหตุว่าไม่คุ้นเคยต่อการที่จะเข้าใจไม่คุ้นเคยต่อการที่จะรู้ความจริงว่าสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ปรากฏจริงๆ แต่เพียงปรากฏให้เห็นหนึ่งขณะจิตที่ภาษาบาลีใช้คำว่าจักขุวิญญาณหนึ่งขณะที่ทำทัสสนกิจดับขณะต่อไปไม่ได้ทำกิจนี้เลย เพราะฉะนั้นกว่าการที่ได้ยินได้ฟังแล้วสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ผูกจิตให้อยู่ที่สิ่งที่กำลังปรากฏเพื่อเข้าใจขึ้นมี หรือยังอุปนิพันธฟังเพื่อไม่ลืมแข็งกำลังปรากฏหลายวันหลายครั้งฟังไปเรื่อยๆ แข็งมีจริงๆ ก็มีจริงๆ และกำลังปรากฏด้วยธาตุที่รู้แข็งมีไหมคะก็ต้องมีในขณะนั้นแต่ฟังอย่างนี้แล้วสิ่งที่ได้ยินได้ฟังผูกจิตไว้ด้วยสติสัมปชัญญะที่ผูกไว้ที่แข็ง หรือว่าผูกไว้ที่สภาพที่รู้แข็ง หรือยังทิ้งไปเลย หรือว่าไม่เกิดเลยก็เป็นได้การฟังธรรมนอกจากจะเข้าใจพยัญชนะคือคำที่ทรงแสดงยังต้องเข้าถึงอรรถความหมายว่าการฟังนี้เพื่ออะไรเพื่อเข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่กำลังมีจริงๆ เฉพาะแต่ละหนึ่งถ้าแต่ละหนึ่งขณะนั้นก็คือว่าขณะนั้นสติสัมปชัญญะอยู่ที่อารมณ์นั้นไม่ไปที่อารมณ์อื่นอารมณ์นั้นก็ผูกสภาพของสติสัมปชัญญะอยู่ตรงนั้นอยู่เฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะฉะนั้นเรากล่าวว่าจิตใจไปสู่อารมณ์ไหน และไปสู่อารมณ์นั้นบ่อยๆ เหมือนผูกจิตไว้กับอารมณ์นั้นไม่ไปที่อารมณ์อื่น เพราะฉะนั้นกว่าจะผูกจิตไว้ที่สภาพธรรมที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ได้ก็ต้องอาศัยการฟัง และเข้าใจขึ้นเรื่อยๆ อย่าไปคิดที่จะรู้แจ้งเมื่อไหร่จะละกิเลสเมื่อไหร่จะเข้าใจอะไรเมื่อไหร่แต่จากการฟัง และเข้าใจขึ้นก็เป็นผู้ที่รู้ด้วยตัวเองว่าขณะนี้ฟังเรื่องเห็นเป็นโคจรเป็นอารมณ์ของจิต หรือยังโดยเป็นอุปปนิสัย หรือเป็นอารักข หรือว่าเป็นอุปนิพันธเป็นภาษาบาลีก็จริงแต่ความหมายก็คือว่าเวลาที่ได้ฟังเห็นแล้วรู้จริงๆ หรือยังว่าขณะนั้นไม่มีอย่างอื่นเลยไม่ใช่ใครจะกะเกณฑ์ได้แต่ต้องเป็นไปตามการอบรมณ์ว่าถ้าเริ่มรู้ลักษณะของสภาพธรรมเฉพาะหนึ่งการใส่ใจในสิ่งอื่นก็ไม่มี และก็เริ่มที่จะค่อยๆ เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมนั้นแต่ทั้งหมดนี้โดยความเป็นอนัตตาถ้าฟังผิดนิดเดียวโดยความเป็นอัตตาต้องการที่จะให้เป็นอย่างนั้น

    อ.อรรณพ กราบท่านอาจารย์ต่อเนื่องอีกนิดครับที่พูดถึงว่าทำไมต้องมีพื้นฐานพระอภิธรรมทำไมไม่สนทนาอภิธรรมที่สูงขึ้น หรืออะไรอย่างนี้ครับ

    ท่านอาจารย์ คำถามของคุณอรรณพก็ได้เรื่องรูปเป็นสิ่งที่มีจริงทำไมเป็นอภิธรรมเหรอคะ

    อ.อรรณพ กราบเรียนท่านอาจารย์ครับว่ารูปไม่รู้อะไรเลยแต่ก็เป็นอภิธรรมอย่างหนึ่ง

    ท่านอาจารย์ ใครไปตั้งรูปให้เป็นอภิธรรม หรือเปล่าใครไปเรียกชื่อตั้งชื่อว่านี่อภิธรรม หรือเปล่า หรือว่าลักษณะของรูปมีจริงๆ ธรรมคือสิ่งที่มีจริงไม่ต้องไปเรียกชื่อไม่ต้องไปยกตำแหน่งไม่ต้องไปปิดป้ายแต่ว่าสิ่งที่มีจริงรูปมีจริง หรือเปล่ารูปหมายความถึงสภาพธรรมที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยเกิดจริงๆ มีลักษณะเฉพาะแต่ละรูปไม่เหมือนกัน และไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยใครจะเรียกรูปว่ารูปไม่เรียกว่ารูป หรืออะไรก็ไม่รู้ทั้งสิ้นแต่ว่าสิ่งที่มีจริงซึ่งเกิดขึ้นแต่ไม่สามารถรู้อะไรมี หรือเปล่าถ้ามีก็คือภาษาไทยว่ามีจริงแล้วก็เป็นเรา หรือเปล่า หรือว่าเป็นสิ่งที่แข็งเกิดเป็นแข็งที่เมืองไทยมีแข็งไหมที่ประเทศอื่นมีแข็งไหมในน้ำมีแข็งไหมที่ไหนมีแข็งก็มีอยู่ทั่วไปแล้วไม่รู้ว่านั่นแหละคือสิ่งที่มีจริงคือเป็นธรรมเมื่อไม่รู้ก็เพราะความลึกซึ้งของธรรมนั้นเป็นอภิธรรมเพราะเหตุว่ากว่าจะรู้ว่าแข็งเกิดขึ้นปรากฎไม่ใช่รู้แข็งแล้วแข็งจะเป็นอะไรได้แข็งเป็นดอกไม้ หรือเปล่าแข็งเป็นโต๊ะ หรือเปล่าแข็งเป็นอาหาร หรือเปล่าแข็งเป็นผม หรือเปล่าแข็งเป็นแข็ง เพราะฉะนั้นจะว่าแข็งไม่เป็นธรรมได้ไหม

    อ.อรรณพ ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เวลาที่เห็นดอกไม้แล้วไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นอย่างหนึ่งคือเป็นสิ่งที่สามารถปรากฏได้กระทบสัมผัสเป็นอีกอย่างหนึ่งคือเป็นเพียงแข็ง เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้ความจริงอย่างนี้ก็เป็นสภาพที่ลึกซึ้งมาก และก็ยึดถือแข็ง หรือเปล่าว่าเป็นเราพอใจแข็ง หรือเปล่ารบราฆ่าฟันกันเพราะแข็ง หรือเปล่าประเทศนั้นประเทศนี้เกาะนั้นเกาะนี้ทะเลมหาสมุทรอะไรทั้งหมดต้องการแค่แข็งถ้าไม่มีแข็งจะต้องการไหม

    อ.อรรณพ คือต้องมีสภาพแข็งแน่นอนก็เป็นธาตุดินที่เป็นที่ทำให้เกิดกลุ่มก้อนเรื่องราวอะไรต่างๆ มามากมายแต่ว่าที่เขาแสวงหากันเขาก็ไม่ได้คิดว่าเขาจะหาแข็งท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ แล้วหาอะไรยกตัวอย่างค่ะ

    อ.อรรณพ หาทรัพย์สมบัติพื้นที่ผู้คน

    ท่านอาจารย์ ไม่มีแข็งเลยแล้วเอาคนมาจากไหนทรัพย์สมบัติมาจากไหน

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นก็ที่มีคนมีสิ่งของมีอะไรก็ต้องเพราะว่ามีธาตุมีแข็งเป็นต้น

    ท่านอาจารย์ รูปทุกรูปไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งหมดมองเห็น หรือไม่มองเห็นก็ตามถ้าไม่มีรูปที่เป็นใหญ่เป็นประธานสี่รูปคือธาตุดินธาตุน้ำธาตุไฟธาตุลมรูปใดๆ ก็มีไม่ได้ดอกไม้มีไม่ได้ต้นไม้มีไม่ได้ภูเขามีไม่ได้คนมีไม่ได้รูปทุกรูปจะต้องอาศัยรูปสี่รูปซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานแต่เมื่อวานนี้เราก็สนทนาธรรมกันเรื่องรูปสี่รูปธาตุดินน้ำไฟลมแต่ละรูปธาตุดินมีลักษณะที่อ่อน หรือแข็งเป็นที่รองรับรูปอื่นๆ ไฟร้อนก็ต้องอยู่ตรงธาตุดินหวานขมก็ต้องอยู่ที่ตรงธาตุดิน เพราะฉะนั้นธาตุดินเป็นที่รองรับของรูปอื่นเช่นนอกจากธาตุดินน้ำไฟลมก็ยังมีสิ่งที่สามารถกระทบกับจักขุประสาทเดี๋ยวนี้อยู่ที่มหาภูตรูปตัวมหาภูตรูปไม่ได้ปรากฏว่าขาว หรือดำเขียว หรือแดงแต่ว่าเพราะว่าสิ่งที่มีที่มหาภูตรูปหลากหลายมากจึงปรากฏเป็นสีสันวรรณต่างๆ ใช้คำว่าเหมือนยักษิณีแปลงกายตัวธาตุก็คือธาตุดินน้ำไฟลมเท่านั้นเองแต่ว่าสิ่งที่ปรากฏไม่ได้ปรากฏว่าเป็นธาตุดินน้ำไฟลมแต่ปรากฏเป็นสีสันวรรณต่างๆ รูปร่างสัณฐานนิมิตต่างๆ เมื่อวานนี้สนทนาธรรมกับชาวต่างประเทศเขาก็ใช้คำว่าแข็งก็แต่งตัวออกมาเป็นตัวต่างๆ ด้วยสีสันต่างๆ เหมือนดินเราเอามาแต่งเป็นตุ๊กตาอ้าปากก็มีร้องไห้ก็มีก็แล้วแต่ แต่ทั้งหมดก็คือแข็งแต่ก็แปลงตัวไปได้สารพัดเป็นหญิงเป็นชายเป็นคนเป็นโต๊ะเป็นดอกไม้เป็นภูเขาซึ่งถ้าไม่มีธาตุแข็ง หรือธาตุดินน้ำไฟลมรวมกันอยู่ก็ไม่สามารถที่จะมีสิ่งที่สามารถกระทบจักขุประสาทตามส่วนสัดของแต่ละกลาปที่ผสมกันรวมกันทำให้มีสีสันต่างๆ ซึ่งทำให้จำได้ว่าเป็นนิมิตรูปร่างต่างๆ แล้วต้องการแข็ง หรือเปล่าแต่คิดว่าต้องการลาภต้องการยศต้องการสรรเสริญต้องการสิ่งต่างๆ แต่ความจริงถ้าเป็นสิ่งที่เป็นรูปธรรมซึ่งไม่ใช่สภาพรู้ก็จะขาดธาตุดินน้ำไฟลมไม่ได้ซึ่งเป็นมหาภูตรูปแล้วเป็นธรรม หรือเปล่า

    อ.อรรณพ เป็นครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไรว่าเป็นธรรม

    อ.อรรณพ เป็นธรรมเพราะว่าไม่ใช่ใคร และเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย และมีจริงๆ

    ท่านอาจารย์ คือเป็นสิ่งที่มีจริงบังคับบัญชาไม่ได้ และแต่ละหนึ่งก็เป็นธรรมซึ่งไม่ปะปนกัน เพราะฉะนั้นรูปจึงมีหลากหลายไม่ใช่รูปเดียว

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นคำว่าเป็นธรรม หรืออภิธรรมแม้ในข้อความที่ท่านอาจารย์เพิ่งกล่าวไปว่ามีจริงใครจะไปเปลี่ยนไม่ได้แข็งก็เป็นอย่างนี้จริงๆ มีลักษณะมีสภาพแข็งไฟก็เป็นธาตุที่มีความเย็นร้อนก็เป็นอย่างนั้นใครจะไปเปลี่ยนจะไปแปลงจะไปอะไรก็ไม่ได้เลยจริงๆ เพราะฉะนั้นก็พื้นฐานจริงๆ นะครับ วันนี้พื้นฐานจริงๆ เลยท่านอาจารย์พูดว่าพื้นฐานอภิธรรมคืออะไรทำไมค่อยๆ เข้าใจธรรมที่เป็นพื้นฐานก่อนบางท่านก็พื้นฐานมาหลายปีแล้วเดี๋ยวก็พื้นฐานอยู่อย่างนี้ไม่เห็นขึ้นขั้นอื่นบ้างเลย

    ท่านอาจารย์ มั่นคง หรือยังคะพื้นฐานมั่นคงคือสัจญาณ และจะรู้ว่ามั่นคงก็ต่อเมื่อกิจญาณเกิด

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นใครที่จะคิดว่าพอแล้วพื้นฐานถ้าพื้นฐานพระอภิธรรมเข้าใจพอเพียงเป็นพื้นฐานจริงๆ สติปัฏฐานเกิด หรือยังประจักษ์สภาพธรรม หรือยัง เพราะฉะนั้นความเข้าใจอภิธรรมที่เป็นพื้นฐานก็ยิ่งใหญ่ไพศาลมากสำหรับระดับพวกเราเพราะใครจะไปเข้าใจอภิธรรมละเอียดได้เหมือนผู้ที่มีเรียกว่าบุญญาธิการสะสมมาที่จะเข้าใจสภาพธรรมอย่างละเอียดอย่างท่านพระสารีบุตรเป็นไปไม่ได้เลยข้อความในอรรถกถาอ่านแล้วเข้าใจอ่านอีกก็เข้าใจอีกแต่น้อยมากถ้าเทียบกับบุคคลสมัยพุทธกาลที่ท่านสะสมปัญญามามาก เพราะฉะนั้นพื้นฐานถ้าเข้าใจจริงๆ เป็นปัจจัยให้มีการที่จะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ก็พื้นฐานอย่างนี้ไปแต่ถ้าคิดจะข้ามเมื่อไหร่พื้นฐานก็ไม่มีเมื่อนั้นเชิญพี่อรวรรณ

    ผู้ฟัง สนใจที่ท่านอาจารย์กล่าวมีสองประเด็นอันแรกที่บอกว่าโคจรสามก็มีอุปปนิสัยยอารักข และอุปนิพันธสงสัยคุยกับอาจารย์อรรณพว่าเหตุให้ปัญญาเจริญกับมีเหตุให้ปัญญาเสื่อมเมื่อท่านอาจารย์กล่าวถึงอุปปนิสยโคจรความเข้าใจก็หมายถึงว่าอารมณ์นั้นที่ทำให้ฟังแล้วเข้าใจความจริงที่เป็นอยู่ขณะนี้ท่านอาจารย์คะแต่ความเป็นจริงส่วนใหญ่จะไม่เป็นอุปปนิสยโคจรคือจะอกุศลก็เพลิดเพลินไปกับอารมณ์ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจการที่จะให้อารมณ์เป็นอุปปนิสยโคจรยังไงคะในผู้ศึกษา

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีความเข้าใจก็เหมือนเดิมแต่ว่ามีคำใดที่เป็นคำจริงคบหากัลยาณมิตรคือผู้ที่สามารถที่จะให้ความเข้าใจได้ และความจริงคำว่ามิตรในทางธรรมที่เป็นกัลยาณมิตรก็ยังมีสองอย่างมิตรในปริยัติอย่างหนึ่ง และมิตรในอธิคม หรือปฏิเวธอีกอย่างหนึ่งในปริยัติหนึ่งในปฏิเวธหนึ่ง เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าถ้าเราได้มิตรที่สามารถที่จะทำให้เราเข้าใจสิ่งที่มีจริงเพราะว่าสิ่งที่มีจริงมีจริงๆ แต่ว่ากับความไม่รู้ หรือโลภะ หรืออกุศลมากกุศลน้อยมากไม่ว่าใครจะมีอกุศล หรือกุศลก็ยังไม่ได้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีจริงๆ จนกว่าจะได้ฟังกัลยาณมิตรผู้สูงสุดคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้าได้ฟังธรรม และค่อยๆ เข้าใจขึ้นขณะนั้นก็สะสมเป็นอุปนิสัยทำให้เรารู้ว่าแท้ที่จริงแล้วสิ่งที่มีจริงๆ คืออะไรอย่างเห็นเกิดเห็นชั่วคราวแล้วก็หมดไปได้ยินก็เกิดได้ยินขึ้นชั่วคราวแล้วก็หมดไปทุกอย่างแต่ละหนึ่งปรากฏสั้นมากเร็วมากสืบต่อเหมือนกับปรากฏพร้อมกันแต่จากปัญญาที่อาศัยการฟังค่อยๆ เข้าใจเป็นอุปนิสัยทำให้เป็นผู้ที่มีศรัทธาสภาพจิตที่ผ่องใสปราศจากโลภะโทสะโมหะ และมีสติที่รู้ว่าสิ่งใดควรฟังสิ่งใดควรเข้าใจสิ่งใดควรรู้ ขณะนั้นก็มีการฟังจนกระทั่งมีความเข้าใจความเห็นถูกทั้งหมดเป็นอุปนิสัยซึ่งแต่ละคนสะสมมาตามแต่ว่ากุศลจิตจะเกิดเมื่อไหร่เรื่องอะไรอกุศลจิตมากน้อยแค่ไหนก็ทำให้อุปนิสัยต่างกันแต่อุปนิสัยในการเข้าใจธรรมเป็นอุปนิสัยซึ่งมีไม่ได้ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมซึ่งเป็นวาจาสัจจะ เพราะฉะนั้นการฟังก็ฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงจนกระทั่งทำให้มีความเข้าใจในคำนั้นเป็นปริยัติคือสามารถที่จะเข้าใจรอบรู้ในแต่ละคำในแต่ละพระวาจาที่ตรัสที่เป็นวาจาสัจจะจนกระทั่งไม่เข้าใจผิดจนกระทั่งสามารถเป็นปัจจัยให้เกิดกิจญาณได้คือสติสัมปชัญญะกำลังรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่เข้าใจไม่ใช่ไม่เข้าใจแล้วก็ไปรู้เป็นไปไม่ได้ที่จะไปเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมโดยไม่มีความเข้าใจขั้นพื้นฐาน หรือขั้นปริยัติเบื้องต้น

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์คะ เพราะฉะนั้นอย่างที่อาจารย์อรรณพเริ่มต้นว่าพื้นฐานพระอภิธรรมกับการถ้าติดคำก็คือเป็นอุปนิสัยยโคจรต้องตั้งต้นที่การคบกัลยาณมิตรคือคำสอนของพระพุทธเจ้าที่สูงสุดถึงจะมีอุปนิสัยที่ฟังเรื่องของความจริงให้เข้าใจความจริงที่ถ้าไม่ฟังก็จะไม่รู้ และไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ และก็ไม่สนใจด้วย และก็คิดเรื่องอื่นไป

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นดูเหมือนว่าก็ย้อนไปเหตุปัจจัยก็คือสะสมบุญมามีเหตุปัจจัยปัจจุบันให้ได้ฟังก็ค่อยๆ สะสมความเข้าใจไปแต่ละขั้นๆ ขออีกเรื่องหนึ่งที่ท่านอาจารย์บอกว่าที่เกิดสงครามสู้รบกันมากมายก็เพื่อแข็งท่านอาจารย์คะถ้าฟังจริงๆ เป็นคำที่ลึกซึ้งเมื่อเข้าใจชีวิตประจำวันของทุกคนถ้ารู้ว่าอะไรไปก็เพื่อแข็งก็คงจะไม่ต้องไปดิ้นรน หรือว่าไปต่อสู้เพื่อให้ได้แข็งแต่จริงๆ อะไรคะที่ทำให้ไม่รู้เลย และทำให้ไปต่อสู้ หรือไปทำอะไรดิ้นรนมากมายเพื่อแข็ง

    ท่านอาจารย์ อวิชชาความไม่รู้ และแข็งก็เกิดดับก็ไม่รู้ ไม่รู้ไปหมดทุกอย่าง

    ผู้ฟัง ทีนี้แต่แข็งเองเขาสามารถหลอกลวงแปลงร่างให้น่าพึงพอใจ

    ท่านอาจารย์ เพราะมีรูปที่เกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้นก็ปรากฏแทนที่จะเป็นแข็งปรากฎก็กลายเป็นสีสันวรรณต่างๆ ปรากฏ

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นในความไม่รู้ถ้าไม่ศึกษาก็จะทำให้แช่มชื่นกับมหาภูตรูปสี่โดยที่เขาเกิดแล้วดับด้วยเป็นทุกข์เกิดแล้วดับแต่ผู้ไม่รู้ก็ไปหลงใหลได้ปลื้ม หรือว่าแช่มชื่นกับสิ่งที่เพียงเกิดแล้วดับ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีแข็งเลยจะมีอย่างอื่นได้ไหมที่เป็นรูปธรรมทั้งหลายไม่ว่าเสียงไม่ว่ากลิ่นไม่ว่ารสแต่เวลาที่รับประทานอาหารไม่ได้คิดถึงแข็งซึ่งเป็นธรรมใช่ไหมคะคิดถึงกลิ่นบ้างคิดถึงรสบ้าง

    ผู้ฟัง ก็ทราบว่าถ้าไม่มีมหาภูตรูปสี่เป็นใหญ่เป็นประธานให้รูปอื่นเกิดรูปธรรมอะไรทั้งหลายก็ไม่มี

    อ.อรรณพ กราบท่านอาจารย์เพิ่มเติมอีกนิดนะครับ ท่านอาจารย์สนทนาตั้งแต่เมื่อวานว่าเหมือนยักษิณีดินน้ำไฟลมนะครับ ซึ่งยักษิณีก็คือนางยักษ์ นางยักษ์ร้ายไหมครับร้ายนะแปลงหลอกมาเสร็จแล้วจับกินหมดเลยอันนี้อุปมานะครับ ก็จะกราบเรียนท่านอาจารย์ว่าผมสรุปเป็นสาระในเรื่องของนางยักษิณีคือท่านบอกว่าเป็นสภาพที่ปกปิดสภาพที่น่ากลัวโดยการที่หลอกลวงซึ่งเมื่อสักครู่ท่านอาจารย์ก็อธิบายแล้วว่าโดยให้สีสันทรวดทรงให้เป็นสิ่งของเป็นบุคคลเป็นอะไรต่างๆ ให้ติดให้หลงให้ชอบในสีสันรูปร่างทรวดทรงของวัตถุสัตว์บุคคลต่างๆ แต่ปกปิดสภาพที่น่ากลัวของเขาไว้ยังไงเพิ่มตรงนี้

    ท่านอาจารย์ คุณอรรณพเห็นตุ๊กตาแล้วคิดถึงดิน หรือเปล่า

    อ.อรรณพ ไม่ได้คิดถึง

    ท่านอาจารย์ เห็นไหมคะทั้งๆ ที่แข็งแค่ดินธรรมดายังไม่แต้มสีอะไรเลยเอามาทำให้เป็นรูปร่างต่างๆ ยังไม่พออีกแต้มสีไป และยังมีเครื่องประดับต่างๆ แล้วแต่ว่าจะให้ตุ๊กตาตัวนั้นเป็นอะไร

    อ.อรรณพ ไม่คิดถึงดินเลย

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    อ.อรรณพ ไม่คิดถึงแข็งอะไรเลย

    ท่านอาจารย์ แต่ความจริงก็คือว่าถ้าไม่มีธาตุดินตุ๊กตาตัวนั้นก็ไม่มีแต่พอเห็นทันทีเลยนี่เป็นตุ๊กตาถ้าเป็นตุ๊กตาทหารแต่งตัวทหารทหารบกทหารเรือทหารอากาศถ้าเป็นนางละครก็เป็นตัวนั้นตัวนี้มีชฎามีอะไรใช่ไหมคะแต่ว่าไม่ได้คิดถึงดินเพราะสิ่งที่ปรากฏที่กระทบตาได้ไม่ใช่ธาตุดินแต่เป็นสิ่งที่มีอยู่กับธาตุดินไม่ได้แยกจากกันเลย เพราะฉะนั้นส่วนผสมของธาตุดินแต่ละกลาปเล็กๆ ที่รวมกันก็ทำให้สิ่งที่ปรากฏทางตาหลากหลายมากโดยที่ว่าไม่ได้คิดถึงความจริงว่าที่แท้จริงก็คืออ่อน หรือแข็งเย็น หรือร้อนนั่นเอง

    อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ครับประเด็นตรงนี้ชัดเจนอย่างผมก็เห็นพวกนิสิตที่เขาเล่นโขนกันก็มีหัวโขนซึ่งเป็นหัวหนุมานเป็นหัวทศกัณฐ์อะไรต่างๆ ประดับประดาเราก็ไม่ได้คิดถึงสภาพแข็ง หรืออะไรคิดเป็นกลุ่มก้อนทรวดทรงว่าเป็นหัวโขนของตัวไหนๆ อะไรอย่างนี้ท่านอาจารย์อันนี้ชัดเจนพอเข้าใจแล้วแต่ว่ามหาภูตรูปมีความน่ากลัวอย่างไรปกปิดความน่ากลัว

    ท่านอาจารย์ เกิดดับเท่านั้นเองไม่มีอะไรมากกว่านั้นทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นอะไรก็เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    อ.อรรณพ เพราะว่าที่น่ากลัวเป็นของน่ากลัวคือเกิดแล้วดับ

    ท่านอาจารย์ ก็ลวงได้ให้เห็นว่าเป็นสิ่งต่างๆ ที่น่าพอใจ

    อ.อรรณพ แต่ที่แท้แล้วเป็นสภาพแข็งซึ่งเกิดแล้วดับไม่เหลือนี่คือต้องเป็นปัญญาจริงๆ ที่จะรู้ว่าเป็นแข็งแล้วแข็งนั้นเกิดดับจึงน่ากลัวเป็นภัยเป็นอะไร

    ผู้ฟัง กราบเรียนท่านอาจารย์อีกครั้งท่านอาจารย์คะฟังแล้วก็วิตกระลึกไปว่าพระสูตรนี้ฟังบ่อยมากว่ามหาภูตรูปสี่อุปมาเหมือนกับอสรพิษร้ายแต่คนที่ไม่รู้ก็นึกว่าเป็นเครื่องประดับตรงนี้จะขอความกรุณาท่านอาจารย์ว่าให้พวกเราเข้าใจยังไง

    ท่านอาจารย์ ก็เกิดมารูปร่างหน้าตาต่างกันที่แท้ก็คืออ่อน หรือแข็งเย็น หรือร้อนตึง หรือไหวงูแต่ละตัวใช่ไหมคะงูตัวแข็งงูตัวร้อนงูตัวไหวงูที่เกาะกุมคำอุปมาทั้งหลายเพียงเพื่อให้จิตน้อมไปที่จะรู้ว่ากว่าสามารถที่จะละความติดข้องในสิ่งที่มีจริงๆ ที่ปรากฏให้เห็นให้ได้ยินพวกนี้ต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องในขณะที่สภาพนั้นๆ กำลังปรากฏเช่นในขณะที่สีสันวรรณะกำลังปรากฏแล้วมีความติดข้อง เพราะฉะนั้นจะละความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้อย่างไรนี่ก็อย่างหนึ่งทางเสียงด้วย ด้วยเหตุนี้ผู้ที่อบรมเจริญสมถภาวนามีปฐวีกสิณเป็นอารมณ์


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 194
    23 ธ.ค. 2566

    ซีดีแนะนำ