พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 947


    ตอนที่ ๙๔๗

    ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๗


    ท่านอาจารย์ เราพูดถึงอกุศล ไม่มีใครไม่รู้จักใช่ไหม รู้จักชัดๆ ก็คือโลภะโทสะโมหะได้ยินบ่อยๆ ๓ คำนี้ใครยังไม่รู้บ้าง โลภะไม่ใช่โทสะไม่ใช่โมหะ โมหะก็ไม่ใช่โลภะไม่ใช่โทสะ ๓ คำนี้เข้าใจได้ใช่ไหม แต่ ๓ คำที่ทรงแสดง ไม่ใช่กล่าวลอยๆ แต่กล่าวให้ละเอียดขึ้นเพื่ออะไร เพื่อให้เห็นว่ากว่าเราจะค่อยๆ อบรมเจริญปัญญา จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมได้ เราต้องมีความเข้าใจจริงๆ ในอกุศลที่ได้สะสมมาแล้วมากมายมหาศาลว่า อกุศลเหล่านั้นอยู่ที่ใด ก็อยู่ที่จิตแต่ละหนึ่งขณะนี้เอง เพียงหนึ่งขณะทำไมทรงแสดงมากมายมหาศาลละเอียดอย่างยิ่ง เช่น กามาสวะ กามโอฆะ กามโยคะ ทั้งๆ ที่ก็คืออกุศลนั่นเอง แต่ว่าอกุศลนั้นเป็นอกุศลประเภทใด ไม่เหมือนกันหรือเหมือนกันก็แล้วแต่ว่าเป็นอกุศลประเภทใดที่สามารถที่จะเป็นเช่นนั้นได้ เช่น กามาสวะ "อาสวะ" หมายความถึงอกุศลที่เคยเกิดแล้ว เกิดแล้ว เกิดแล้วไม่ได้หายไปไหนเลย หมักดองอยู่ในจิตพร้อมที่จะไหลออกไปทันที เหมือนยางที่ไหลออกจากต้นยางทันทีที่มีอะไรกรีดหรือกระทบ

    เพราะฉะนั้นยังไม่มีอะไรกระทบ ไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยิน ไม่มีการได้กลิ่น ไม่มีการลิ้มรส ไม่มีการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่มีการคิดนึก พวกนี้จะออกมาได้อย่างไร แต่อยู่ที่จิตพร้อมเลย เพราะฉะนั้นมีความต่างของขณะที่หลับสนิทกับขณะที่ตื่น นี่คือชีวิตประจำวัน พูดแล้วมีใครรู้บ้าง ตอนที่หลับ ตอนที่ตื่น ไม่ได้พูดครั้งนี้ครั้งเดียวเลย แต่พูดแล้วพูดอีกหลายครั้งถึงความต่างกันของขณะที่หลับกับขณะที่ตื่น หลับเป็นจิตที่ไม่มีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส การคิดนึก อยู่ที่ใดไม่รู้ ทรัพย์สมบัติมีหรือไม่ พี่น้องมีหรือไม่ ไม่มีความรู้ใดๆ เลยทั้งสิ้น แล้วถ้าได้ยินคำว่าสิ่งต่างๆ ไม่มี แล้วมี แล้วหามีไม่ หมายความว่าเมื่อยังไม่เกิดก็ไม่มี เกิดแล้วก็ดับไปเหมือนไม่เคยเกิดหรือไม่เคยมีเลย แล้วมีความติดข้องแล้ว เห็นไหม

    ตลอดเวลาเป็นเช่นนี้หรือเปล่า หลับสนิททุกขณะที่คั่นระหว่างเห็นกับได้ยินต้องมีจิตที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่ว่าอะไรทั้งนั้นจิตเกิดดับในกระแสของความที่ไม่มีอะไรปรากฏ แล้วก็มีสิ่งที่เกิดขึ้นปรากฏแล้วก็หมดไป แต่เร็วมากสั้นมากจนไม่ปรากฏว่าขณะที่ไม่รู้อะไรเป็นอย่างไร เพราะเวลานี้เหมือนเห็นตลอด ได้ยินตลอด ได้กลิ่นตลอด ลิ้มรสตลอด แล้วแต่ว่าอะไรมีปัจจัยเกิดขึ้น ไม่เคยขาดไปเลย เกิดดับสลับกันอยู่ตลอดเวลา และอกุศลที่สะสมไว้ ทันทีที่มีการเห็น มีรูปกระทบจักขุปสาท ซึ่งใครก็ทำให้เกิดไม่ได้ แล้วก็อยู่ที่กลางตา เป็นปัจจัยให้กรรมที่ได้ทำแล้ว อย่าลืมใครทำกรรมใดไว้ก็ได้รับผลของกรรมนั้น คือเป็นปัจจัยให้กรรมที่ได้ทำแล้วหนึ่งกรรม ทำให้จิตเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่กระทบจักขุปสาท เห็นความละเอียดไหม

    แล้ววันนี้ที่ได้ฟังมาเป็นเช่นนี้หรือยัง แทนที่จะต้องไปไกลมากๆ แต่ก็สามารถที่จะรู้ความจริงได้ว่า ขณะนั้นจิตที่เกิดก่อนจิตเห็นต่างกับจิตเห็นใช่ไหม แต่เราคิดแค่ต่าง แต่ความจริงทรงแสดงไว้ว่าก่อนนั้นมีจิตเกิดกี่ขณะ และก็จิตเห็นดับไปแล้วมีจิตเกิดต่อไปกี่ขณะซึ่งเราก็ไม่รู้เลย แต่ถึงอย่างนั้นกิเลสที่สะสมมาแล้วก็เกิดได้ทันที เป็นอาสวะ ป้องกันไม่ได้ ใช่ไหม เพราะไม่มีปัญญาพอที่จะป้องกัน ไม่มีการได้ยินได้ฟังพระธรรม ไม่มีการเข้าใจเลยว่าเกิดมาเพื่ออะไร แล้วก็เกิดแล้วเป็นอะไร แล้วก็ตายไปแล้วก็เป็นอะไรต่อไปอีก ก็ไม่มีการที่จะรู้เลย แต่จากการที่ฟังโดยละเอียด ค่อยๆ สะสมการที่จะคลายการติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ เพราะเหตุว่ารู้แล้ว เพียงแค่ปรากฏแล้วหมด แต่ว่าเป็นปัจจัยให้กิเลสเกิดแล้วสะสมอยู่ในจิต

    เพราะฉะนั้นเกิดมาแต่ละชาติ ก็สะสมอกุศลไปเรื่อยๆ มากมายมหาศาล ตราบใดที่ยังไม่มีการอุบัติการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โลกก็มืด ไม่มีใครสามารถที่จะคิดว่าสภาพธรรมจริงๆ ไม่มีอะไร เหมือนขณะกำลังนอนหลับสนิท แต่แล้วก็มีเมื่อปรากฏแล้วสิ่งนั้นก็หายไปไม่กลับมาอีกเลย แต่เยื่อใยความติดข้องสะสมไว้ทุกอย่างที่ปรากฏ ไม่ว่าจะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

    เพราะฉะนั้นทรงแสดงไว้ว่า อกุศลที่เป็นประเภทอาสวะมีเท่าใด ใครจะคิดได้ กามาสวะ ภวาสวะ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ อาสวะ ๕ มีไหม เพราะเหตุว่าเป็นผู้ที่ฟังพระธรรมก็รู้แน่ ไม่มีทางเป็นไปได้เลย เพราะเหตุว่าแม้แต่อกุศลเจตสิกแต่ละหนึ่งทรงแสดงโดยความเป็นประเภทต่างๆ กันว่า ถ้าเป็นประเภทอาสวะต้องมี ๔ จริงหรือไม่ อาสวะเดี๋ยวนี้อะไร กามาสวะ รูปที่ปรากฏทางตา เสียงที่ปรากฏทางหู กลิ่นที่ปรากฏทางจมูก รสที่ปรากฏทางลิ้น สิ่งที่กระทบสัมผัสกายทุกวัน พ้นจากนี้หรือไม่ ตื่นมาอะไร กามาสวะ ไม่รู้เลย ไม่ได้ปรากฏให้รู้สึกตัวสักนิดว่า ขณะนั้นอกุศลเกิดแล้วโดยที่ยังไม่รู้เลยว่าสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเป็นอะไร ยังไม่เป็นดอกไม้ ยังไม่เป็นเสื้อผ้า ยังไม่เป็นนก ยังไม่เป็นอะไรเลยสักอย่าง เพียงแค่มีสิ่งที่ปรากฏเมื่อกระทบ อาสวะก็เกิดแล้ว

    เพราะฉะนั้นแม้แต่อกุศลเจตสิกทั้งหลาย ก็เป็นประเภทต่างๆ ตามความเป็นจริงของอกุศลนั้นๆ แล้วภวาสวะ ใครไม่มีบ้าง ในขณะที่กำลังเป็นนั่นเองคือภวาสวะ เป็นอะไร เห็น ถ้าไม่มีความเป็นที่นั่น จะมีเห็นไหม เพราะฉะนั้นแม้แต่ภวาสวะก็ไม่รู้ เป็นความติดข้องในความเป็น เกิดแล้วเป็น เป็นเห็น เกิดแล้วเป็น เป็นได้ยิน เพราะฉะนั้นภพหรือภพของกาม กามภพ ก็มีกามาสวะอยู่ด้วย ไม่รู้สึกตัวเลย แล้วปัญญาใดที่สามารถที่จะดับกิเลสได้ไม่เหลือเลย อาสวะยังไม่ใช่กิเลสที่ละเอียดยิ่ง แม้ว่ามี แต่ว่ายิ่งกว่านั้นคืออนุสยะหรืออนุสัย ซึ่งไม่เกิดแต่มีเชื้อสะสมไว้พร้อมที่จะเกิดทันที ถ้าดับอนุสัยเมื่อใด กิเลสใดๆ ก็ไม่มีเลยท้้งสิ้น แต่แม้กิเลสที่ไม่เกิดรู้ไม่ได้ใครก็รู้ไม่ได้ แล้วก็เป็นปัจจัยให้อาสวะเกิด แม้อาสวะก็ยังรู้ไม่ได้ใช่ไหม เห็นไหม

    นี่ก็ต้องรู้ว่าความละเอียดของธรรม การที่ใครก็ตามที่จะดับกิเลส จะค่อยๆ เข้าใจธรรม จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมไม่ใช่โดยความเป็นอัตตา ไม่ใช่โดยความเป็นอวิชชา ไม่ใช่โดยความเป็นทิฏฐิที่ยึดถือว่ามีเรา แต่ว่าต้องเป็นความเริ่มเข้าใจธรรม มีบุญที่ได้สะสมมาแล้วแต่ปางก่อน ชาติไหนก็ได้ เมื่อวานนี้ก็ได้ เมื่อใดก็ได้ บุญที่ได้เกิดแล้ว ค่อยๆ สะสมมา เป็นเหตุให้แต่ละคนไม่รู้เลยว่าในชีวิตนี้จะได้ฟังพระธรรม ตอนเป็นเด็กทุกคนเคยคิดไหมจะได้ฟังพระธรรม แต่ทำไมได้ฟัง เช่นที่ว่าน่าจะรู้จักสมาชิกที่หมุนเจอ หมุนเจอนี่คือเปิดวิทยุ แล้วก็หมุนไปพอดี ได้ฟังพระธรรม ไม่มีใครไปบังคับบัญชาเลย มาจากไหน มาได้อย่างไร ในขณะที่บางคนวิทยุก็ดังในบ้าน แต่ไม่ฟังเลยก็ได้

    เพราะฉะนั้นธรรมก็เป็นธรรมจริงๆ แต่ต้องละเอียด จึงจะรู้ว่าเป็นพุทธบริษัทหรือว่าเป็นสาวก เป็นผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ควรแก่การได้ฟังพระดำรัสของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดจริงๆ เพราะฉะนั้นถามมาตอบไป แต่เขาไม่เข้าใจอะไรเลย ไม่มีประโยชน์ แต่ว่าอย่างไรอย่างไรขอให้เขาได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง แล้วก็จะเห็นความต่างกันไกลมากสุดที่จะประมาณได้ของปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับปัญญาของปุถุชน จนกว่าจะมีการอบรมเจริญขึ้น คือปัญญานั่นเองเจริญขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ฟังด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ด้วยความละเอียดแล้วไม่เผิน เพราะสิ่งที่ได้ยินได้ฟังยังน้อยไม่สามารถที่จะละกิเลสได้ แต่ก็สามารถที่จะค่อยๆ สะสมไป

    เมื่อวานนี้เราได้พูดถึงเรื่องมาร ๕ มารใดสำคัญที่สุด

    อ.อรรณพ กิเลสมาร

    ท่านอาจารย์ กิเลสมาร นี่ก็แสดงให้เห็นว่าในการศึกษาธรรม เราไม่ใช่เพียงแต่ฟังชื่อ และเรื่อง และจำนวน เมื่อกล่าวถึงมาร มารเป็นใคร มารอยู่ที่ใด มารมาเมื่อใด นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่จะได้เข้าใจอย่างถูกต้องว่า มารที่มาบ่อยๆ หรือว่ามารที่อยู่ประจำในใจก็คือ กิเลสมาร เพราะฉะนั้นกุศลใดๆ ที่จะทำให้ค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ เพราะเหตุว่ากิเลสดับไม่ได้แน่นอน ถ้าไม่มีความเข้าใจถูกความเห็นถูก เพราะฉะนั้นการศึกษาพระธรรมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะเหตุว่าเป็นการอบรมเจริญปัญญา เพื่อขัดเกลาชำระกิเลส เพราะว่ากิเลสอยู่ในจิตแน่น หนามาก แล้วก็เพียงแค่เราฟังธรรมเล็กๆ น้อยๆ นิดๆ หน่อยๆ แต่ละชาติไม่พอ

    เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้จริงๆ ว่า วาจาสัจจะพระธรรมที่ทรงแสดงทั้งหมดมีค่าประมาณไม่ได้เลย ที่สามารถจะทำให้กิเลสซึ่งอยู่ในใจ หาทางออกไปให้ดับหมดไม่ได้เลยถ้าไม่มีการได้เข้าใจพระธรรม เพราะฉะนั้นการได้เข้าใจพระธรรมแต่ละชาติที่สะสม ก็จะทำให้ค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ แต่ไม่ใช่ไปหวังว่าเมื่อใดจะหมดกิเลส หวังอย่างไร แสนโกฏกัปมาแล้วที่อวิชชา และกิเลสทั้งหลายสะสมทุกวัน วันนี้มีหรือเปล่า ก็มี เมื่อวานนี้ก็มี พรุ่งนี้มีอีกไหม ก็มี แต่ว่าในขณะเดียวกันก็มีการอบรมเจริญหนทางที่จะทำให้กิเลสนั้นๆ ค่อยๆ เบาบาง ค่อยๆ ขจัดออกไปทีละเล็กทีละน้อยจนกว่าจะดับหมดสิ้น ด้วยความมั่นคงในการที่เห็นประโยชน์ว่า ตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่ สุขหรือไม่ เกิดมา ถ้าพิจารณาจริงๆ แล้วจะเห็นได้เลย ไม่รอด ถ้าไม่ดำรงรักษาชีวิตอย่างเต็มความสามารถ การเจ็บป่วยแม้เพียงเล็กน้อยก็ทำให้ถึงสิ้นชีวิตได้ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าจริงๆ แล้วชีวิตง่อนแง่น ไม่มีอะไรที่จะประกันได้เพราะเหตุว่าเพียงแค่จิตขณะนี้ดับ สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ แต่ก็มีจิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อไม่มีใครสามารถที่จะไปหยุดยั้งจิตซึ่งจะต้องเป็นเช่นนี้ เป็นธรรมดาเป็นธรรมที่จะต้องเกิดดับสืบต่อพร้อมทั้งกิเลสที่สะสมมาด้วย

    เพราะฉะนั้นกิเลสที่ได้สะสมมาแล้วมาก กำลังสะสมก็มี หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็เป็นผู้ที่มั่นคงอย่างยิ่งในการที่จะเห็นประโยชน์ของการได้ฟังธรรม ได้เข้าใจธรรมเท่าที่สามารถที่จะเป็นไปได้ เพราะเหตุว่า ชาติหน้าอาจจะเป็นเย็นนี้ พรุ่งนี้ หรือเมื่อใดก็ได้ แล้วจะอยู่ที่ใด แล้วมีโอกาสที่จะได้ฟังหรือไม่ เพราะฉะนั้นสำคัญที่สุดก็คือว่าฟังธรรมเพื่อเข้าใจธรรม ธรรมไม่ใช่เราแน่นอน มีปัจจัยเกิดบังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นกุศลอกุศลใดๆ ทั้งสิ้น มากน้อยอย่างไรก็ตาม ก็ต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้นการฟังที่ได้สะสม ก็จะเป็นอุปนิสสยโคจร เพราะเหตุว่าอารมณ์ของจิตมีได้ทุกอย่างทุกวัน แต่ว่าอุปนิสสยโคจรกล่าวเฉพาะอารมณ์ที่ควรจะเป็นอุปนิสัยที่มีกำลัง จากการค่อยๆ เก็บเล็กผสมน้อยสะสมจนกระทั่งมั่นคง ไม่ทอดทิ้งไปหาอารมณ์อื่น คือเมื่อใดที่มีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม ก็ลองเปรียบเทียบดูว่า มีความมั่นคงที่จะฟังหรือไม่ เพราะว่าโอกาสที่จะได้ฟัง บางครั้งอาจจะไม่มี อาจจะมีธุระมีเหตุจำเป็น หรือมีอะไรก็ได้เป็นเครื่องขัดขวาง

    เพราะฉะนั้นก็เข้าใจว่าจริงๆ แล้ว ถ้าไม่มีธรรมฝ่ายกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา ชีวิตก็จะเป็นเช่นนี้ แล้วก็แต่ละขณะไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังฟังธรรม เป็นขณะที่มีค่าที่สุดสำหรับผู้ที่เห็นประโยชน์ของพระธรรม เพื่อความเข้าใจ เพราะฉะนั้นทั้งหมดที่ฟัง เพื่อความเข้าใจค่อยๆ สะสม ไม่ใช่สะสมเรื่องราวด้วยความเป็นตัวเรา ด้วยความเป็นตัวตน แต่เพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามปกติตามความเป็นจริง ยากไหม เข้าใจอื่นง่ายกว่ามาก แต่ถ้าจะเข้าใจสิ่งที่เดี๋ยวนี้กำลังปรากฏซึ่งไม่ใช่เราแต่เป็นธรรม ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดง ความลึกซึ้งความละเอียดต้องมาก เพราะฉะนั้นเป็นไปเพื่อการละความไม่รู้

    อ.อรรณพ เป็นโอกาสที่ดี ที่เกิดมาแล้วชาติหนึ่งก็ยังมีโอกาสได้ศึกษาพระธรรม แล้วก็ได้ร่วมกันเจริญกุศลซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์แท้จริงของชีวิต มิฉะนั้นเกิดมาก็ เป็นไปเป็นไปอยู่อย่างนั้น ทำมาหากินหาเงินหาทอง ทุกข์บ้างสุขบ้างก็อยู่ไปอย่างนั้น แต่ว่าไม่มีโอกาสที่จะได้เข้าใจ และเมื่อมีความเข้าใจแล้ว ปัญญาก็นำไปในกิจทั้งปวง ก็คือจะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างหนึ่งอย่างใดก็เป็นไปได้ ด้วยความเข้าใจ และด้วยศรัทธา เพราะฉะนั้นก็น่าปลื้มปิติที่มีโอกาสได้ศึกษาแล้วก็เข้าใจพระธรรม

    ท่านอาจารย์ ตอนนี้ก็คงจะเข้าใจอุปนิสสยโคจร และอุปนิสสยปัจจัยก็มีความต่างกันโดยพยัญชนะ แต่ความหมายก็คือว่ายังคงเป็นอุปนิสสยปัจจัยนั่นเอง เพราะเหตุว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่จะเกิดขึ้นโดยไม่มีปัจจัยเป็นไปไม่ได้เลย แม้การไม่ฟัง แม้การไม่ยอมฟัง แม้การคิดเรื่องอย่างไรก็ตามแต่ จากการที่ไม่ได้เข้าใจธรรมก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แต่เมื่อฟังแล้วก็มีปัจจัยอื่นที่จะทำให้เปลี่ยนไปได้ เพราะว่าธรรมดาอารัมมณะคือสิ่งที่จิตรู้ ก็เป็นปกตูปนิสสยปัจจัยเป็นธรรมที่เป็นสิ่งที่อาศัยที่มีกำลังตามปกติ เกิดมาตรงไหน ใช้ภาษาอะไร อาหารอย่างไร อากาศอย่างไร ล้วนแล้วแต่เป็นที่อาศัยของจิตที่จะทำให้จิตโน้มเอียงไปในทางนั้น

    เพราะฉะนั้นก็เป็นปกตูปนิสสยปัจจัย แต่สำหรับคำว่าอารัมมณะหมายความถึงทุกอย่างที่จิตรู้ แต่ว่ามีคำพิเศษที่ใช้คำว่าอุปนิสสยโคจร อารักขโคจร อุปนิพันธโคจร เปลี่ยนจากคำว่าอารมณ์มาเป็นคำว่าโคจร เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดงโดยนัยหลากหลายเพื่อที่จะส่องถึงว่า ขณะนั้นกล่าวถึงอุปนิสสย อุปนิสัยที่มีกำลังประเภทเป็นใด เป็นประเภทที่สามารถที่จะทำให้บุคคลนั้น ได้มีความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ จนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสได้ แต่ต้องเป็นไปโดยลำดับโดยละเอียดยิ่งจริงๆ เช่น ยังไม่คุ้นเคยกับการฟังธรรม ก็ได้ยินได้ฟัง ไม่คุ้นเคยกับภาษาบาลี ก็ได้ยินได้ฟัง แต่ไม่กังวลเลย เพราะเหตุว่าทุกคนสามารถที่จะเข้าใจธรรมในภาษาของตนของตน จะเข้าใจได้แจ่มแจ้ง

    ข้อความในพระไตรปิฎก ก็มีคำว่าโคจรของบิดา หรือ อารมณ์ของบิดา ทุกคนมีบิดาเดียวกัน คือใคร พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เห็น เราก็เห็น แต่ว่าสิ่งที่ปรากฏกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นโคจร โคจรของบิดา แต่ถ้าขณะนั้นไม่มีปัญญาก็เป็นอารมณ์ธรรมดาที่เคยเห็น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาก็เป็นเช่นนี้ แต่สำหรับผู้ที่มีปัญญา โคจรของบิดาคืออารมณ์ของการเห็นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริง ทรงตรัสรู้ความจริงว่าสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ไม่ใช่ใครไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย แต่เป็นเฉพาะลักษณะที่สามารถกระทบจักขุปสาทปรากฏแล้วดับไป เพราะฉะนั้นอารมณ์เดียวกัน แต่ยังไม่ถึงอารมณ์ของบิดาสำหรับผู้ที่ยังเพิ่งเริ่มที่จะศึกษา แต่ถ้ามีความเข้าใจเพิ่มขึ้นแล้ว อารมณ์นี้สามารถที่จะเข้าใจได้ว่าอารมณ์ของบิดาต่างกับอารมณ์ที่ไม่ใช่อารมณ์ของบิดาคืออย่างไร นี่ก็เป็นเรื่องที่มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น แล้วก็จะรู้ว่าวาจาสัจจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่ต้อง แล้วแต่กำลังของปัญญา

    ผู้ฟัง ชีวิตอยู่แต่ในครัวเป็นส่วนใหญ่ ทำไส้ขนมเทียน กำลังทำอยู่ก็จะเป็นกิเลสของเราใช่ไหม ชอบไม่ชอบอะไรประมาณนั้น แต่เมื่อวานนี้ก็ทำไปเรื่อย แล้วก็ฟังเสียงท่านอาจารย์ในเทปด้วย ช่วงหนึ่งก็มองลงไปในกระทะที่กำลังผัดไส้ขนมเทียนอยู่ เพราะว่าเม็ดนั้นละเอียดมาก ทำให้ไปนึกถึงกลาป

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีธาตุทั้ง ๔ ธาตุดิน ปฐวีธาตุ ธาตุน้ำ อาโปธาตุ ธาตุไฟ เตโชธาตุ ธาตุลม วาโยธาตุ ที่เราว่าดินน้ำไฟลมก็คือปฐวีอาโปเตโชวาโย ต้องมีทั้ง ๔ ธาตุ แยกกันไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นที่ใดมีธาตุน้ำต้องมีธาตุไฟธาตุดินธาตุลม ที่ใดมีธาตุลมต้องมีธาตุไฟธาตุน้ำธาตุดิน แยกไม่ได้ทั้ง ๔ ธาตุ และถ้าไม่มี ๔ ธาตุนี้ รูปใดๆ ก็มีไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืม เสียงเป็นธาตุชนิดหนึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้คือเป็นรูปธาตุ แต่ถ้าไม่มีธาตุดินธาตุน้ำธาตุไฟธาตุลม เสียงมีไม่ได้ แต่ธาตุดินน้ำไฟลมกระทบหูไม่ได้ เหมือนกับวัณโณ หรือสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาก็อยู่ที่มหาภูตรูป ๔ ซึ่งมหาภูตรูป ๔ กระทบตาไม่ได้ แต่รูปที่อยู่ที่มหาภูตรูปรูปหนึ่งสามารถกระทบตาปรากฏให้เห็น และถ้าเป็นเสียงก็เป็นเสียงที่ต้องมีที่มหาภูตรูปนั่นเอง แต่เป็นรูปที่สามารถกระทบโสตประสาท

    เพราะฉะนั้นแม้เสียงก็ปราศจากธาตุดินน้ำไฟลมไม่ได้ แต่ธาตุดินน้ำไฟลมก็กระทบหูไม่ได้ แต่เสียงที่มหาภูตรูปนั้นต่างหากที่กระทบหู เพราะฉะนั้นได้ยินเฉพาะเสียง เห็นเฉพาะสิ่งที่ปรากฏให้เห็น หรือจะเรียกสั้นๆ ว่าสีก็ได้ กลิ่นปรากฏก็ต้องมีมหาภูตรูปที่กลิ่น แต่มหาภูตรูปกระทบจมูกฆานปสาทไม่ได้ เฉพาะรูปกลิ่นที่อยู่ที่มหาภูตรูปอาศัยมหาภูตรูปเกิดขึ้นพร้อมกันนั่นเอง สามารถกระทบฆานปสาทได้ เมื่อใดก็ตามกลิ่นปรากฏ กลิ่นนั้นต้องมีมหาภูตรูปด้วย แต่มหาภูตรูปกระทบไม่ได้จึงไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นก็เป็นจิตประเภทที่สามารถอาศัยฆานปสาทรูป เมื่อกลิ่นกระทบฆานปสาทรูป กรรมเป็นปัจจัยทำให้จิตเกิดได้กลิ่นขณะนั้น ชั่วขณะเดียวแล้วก็หมดไป เพราะฉะนั้นไม่คิดเอง แต่ก็ดีที่ไม่ลืมธรรมแม้ขณะที่กำลังทำขนม แต่ว่าต้องคิดให้ถูกต้อง แล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    ผู้ฟัง กราบขอบพระคุณค่ะ


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 194
    21 เม.ย. 2567

    ซีดีแนะนำ