พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 908


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๙๐๘

    ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๗


    ท่านอาจารย์ ผู้ที่เจริญสมถภาวนามีปฐวีกสิณเป็นอารมณ์เพราะเขารู้ความจริงว่าทั้งหมดไม่ได้มีอะไรเลยอยู่ในโลกของรูปเสียงกลิ่นรสโผฐฐัพพะก็คืออยู่ในโลกของธาตุดินถ้าไม่มีธาตุดินแม้สิ่งที่ปรากฏทางตา หรือเสียง หรือกลิ่น หรือรสก็มีไม่ได้ เพราะฉะนั้นท่านเหล่านั้นเมื่อรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วไม่มีอะไรนอกจากดินจิตของท่านก็ใฝ่ใจเฉพาะการที่ไม่สนใจในสีสันวรรณในรูปร่างในอะไรเลยแต่น้อมระถึงสิ่งที่เป็นธาตุดินแต่วิธีการก็คือว่าสมมติทำเป็นกสินวงกลมตามที่มีข้อความปรากฏละเอียดในวิสุทธิมรรคเพื่อให้จิตไม่ไปคิดถึงสีสันวรรณแต่ให้รู้ความจริงว่าสมบัติทั้งหมดรูปร่างกายทั้งหมดสิ่งที่มีทั้งหมดที่เป็นรูปธรรมไม่พ้นจากธาตุดิน เพราะฉะนั้นการฟังธรรมก็จะมีนัยหลากหลายที่จะทำให้ค่อยๆ เข้าใจความจริงของสภาพธรรมซึ่งปกปิดไว้เนิ่นนานมากไม่สามารถจะรู้ได้เลยถ้าไม่มีการฟัง และไตร่ตรองคล้อยไปจริงๆ ว่าแท้ที่จริงแล้วไม่มีอะไรที่ยั่งยืนแม้แต่สิ่งที่ปรากฏก็เกิดขึ้นแล้วดับไปแต่ผู้ที่อบรมเจริญความสงบยังไม่สามารถจะรู้อย่างนี้ได้เมื่อไม่ได้ฟังพระธรรมยังไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นปัญญาของแต่ละท่านที่สะสมมาก็ไปแต่ละทางเช่นท่านที่ติดข้องในสีสันวรรณท่านก็รู้ว่าแท้ที่จริงก็เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นสีสันต่างๆ ท่านก็มีการที่จะน้อมนึกถึงในสีขาวบ้างในสีเหลืองบ้าง หรือว่าในสีเขียวบ้างก็แล้วแต่ก็คือว่าแล้วแต่จะสะสมมาที่เห็นโทษของโลภะของโทสะของความติดข้องในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะในรูปธรรมในนามธรรมซึ่งเป็นอุปาทานขันธ์ยึดมั่นอย่างเหนียวแน่น เหนียวแน่นจนกระทั่งว่าแล้วจะละได้อย่างไรยังละไม่ได้แล้วจะคลายได้อย่างไรยังไม่ต้องคิดเรื่องละ หรือดับเป็นสมุจเฉทแม้แต่เพียงจะค่อยๆ คลายได้อย่างไรจากการฟังพอสมควรคลายการติดข้องในอะไรบ้าง หรือยังพระไตรปิฎกเท่าไหร่มากมายกี่เล่มอรรถกถาเท่าไหร่การได้ยินได้ฟังมากเท่าไหร่แล้วคลายบ้าง หรือยังก็แสดงให้เห็นว่าแม้แต่การที่จะคลายความติดข้องก็ต้องมาจากการรู้ทีละเล็กทีละน้อย และเมื่อรู้แล้วก็ละความไม่รู้ชั่วขณะนั้นที่เรียกว่าละทีละเล็กทีละน้อยจนกว่าจะปรากฏในลักษณะของการคลายความติดข้องง่ายที่สุดก็คือเดี๋ยวนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้ฟังแล้วฟังอีกเป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้น หรือยังเพียงหนึ่งอย่าง และธรรมมากมายหลายอย่างที่เป็นที่ติดข้อง เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่จะหมดความติดข้องเป็นความจริงไม่ใช่เรื่องลวงเรื่องหลอกให้พอใจให้ดีใจแต่เป็นวาจาสัจจที่ต้องเข้าใจตามความเป็นจริงว่าถ้าไม่มีความเข้าใจถูกไม่มีความเห็นถูกไม่มีอะไรที่จะไปละคลายสิ่งที่ได้สะสมมาในจิตเอาออกไม่ได้เลยเหนียวแน่นติดยิ่งกว่ากาว หรือเปล่าก็แล้วแต่เพราะเหตุว่าวัตถุทั้งหลายก็ยังสามารถที่จะแก้ไขทำลายได้แต่ว่าสภาพของนามธาตุที่ได้สะสมมาแล้วมีหนทางเดียวก็คือว่าปัญญาค่อยๆ สะสมไป

    ผู้ฟัง เหมือนกับว่าที่ท่าอุปมาอุปไมยว่ามหาภูตรูปเหมือนอสรพิษเป็นสัตว์ที่เลี้ยงไม่เชื่องต้องดูแลเอาใจใส่อย่างดี และไม่ใช่ว่าเขาจะดีถึงเวลาก็กัดเอาตรงนี้เป็นอย่างไรในชีวิตประจำวันที่เกี่ยวกับมหาภูตรูปที่สนทนากัน

    ท่านอาจารย์ วันนี้ทะนุถนอมมหาภูตรูปมากไหมคะ

    ผู้ฟัง ตื่นมาก็ต้องดูแลอาบน้ำแต่งตัว

    ท่านอาจารย์ แล้ววันไหนป่วยไข้นั่นอะไรป่วย

    ผู้ฟัง ก็มหาภูตรูปแต่คิดว่าเป็นเรา

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีมหาภูตรูปไม่เป็นอย่างนั้นเลยใช่ไหมคะ

    ผู้ฟัง ค่ะกราบอนุโมทนา

    อ.อรรณพ ที่สนทนาไม่เกินไปจากในอรรถกถาเลยซึ่งข้อความในอรรถกถาท่านจะอธิบายที่ว่ามหาภูตรูปเพราะวิการใหญ่ก็หมายความว่าเป็นรูปหลักซึ่งทั้งรูปนอกกายนี้ และรูปในกายนี้ก็ตามต้องประกอบด้วยมหาภูตรูปซึ่งจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ใหญ่ๆ เช่นเกิดอุบัติติภัยมากๆ แผ่นดินถล่มอะไรอย่างนี้ หรือว่าถึงเวลาที่กัปพินาศไปด้วยไฟบ้างด้วยลมบ้างก็เห็นชัด หรือในกายนี้จะเห็นชัดก็ตอนที่เจ็บป่วยเป็นโรคตึงมากเลยตึงคอไปหมด หรือเป็นลมเป็นธาตุลมที่ไหวไปมากก็มีมหาภูตรูปเหมือนงูเหมือนอสรพิษทั้งสี่ตัวที่พี่อรวรรณได้สนทนาไปแล้วอันนี้ก็ความหมายหนึ่ง

    ท่านอาจารย์ เรากำลังพูดถึงรูปที่มีจริงที่เป็นใหญ่เป็นประธานต้องเข้าใจรูปที่มีจริงที่เป็นใหญ่เป็นประธานจนรู้จักรูปนั้นถ่องแท้แต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้นเวลานี้พูดถึงมหาภูตรูปสี่คุณชุณเข้าใจมหาภูตรูปไหน

    ผู้ฟัง ก็เข้าใจพอๆ กันทั้งสี่มหาภูตรูป

    ท่านอาจารย์ ไม่ชัดเจนนะคะ เพราะฉะนั้นจะแสดงให้เห็นว่าเข้าใจอย่างนี้เพียงแค่คิดยังไม่ใช่การที่เข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงซึ่งขณะนั้นเป็นสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่งแม้ไม่ต้องเรียกชื่อว่าอะไรเลยแต่ความเข้าใจในขณะนั้นรู้ว่าสิ่งนั้นมีชั่วคราวเพราะเกิดขึ้นแล้วดับไปแต่แม้ขณะนั้นที่กำลังเริ่มที่จะรู้ตรงลักษณะนั้นก็ยังไม่ได้ประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไปจึงไม่ใช่เป็นการรู้จักจึงไม่ใช่เป็นการเข้าใจสิ่งที่เราได้ยินได้ฟังจริงๆ เพียงแต่ว่าเราได้ฟังเรื่องของสิ่งที่มีจริงแต่สภาพธรรมที่มีจริงแต่ละหนึ่งขณะนี้เกิดแล้วดับอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นตลอดเวลาที่สภาพธรรมนั้นๆ เกิดดับไม่รู้จะกล่าวว่ารู้ไม่ได้เพียงแต่ว่าได้ฟังเรื่องของสภาพธรรมนั้นๆ แต่ยังไม่รู้สักหนึ่ง เพราะฉะนั้นก็ยังต้องเป็นเราไปจนกว่าเข้าใจสภาพธรรมไหนก็ค่อยๆ ละการไม่รู้ในสภาพธรรมนั้นจนกว่าจะทั่วหมด และประจักษ์จริงๆ ตามที่ได้ฟังทุกอย่าง

    อ.อรรณพ ก็มีผู้ส่งข้อความมาซึ่งก็ไม่ทราบว่าเป็นการแสดงความเห็น หรือว่าเป็นประเด็นคำถามเป็นข้อความที่เกี่ยวกับเรื่องรูปฟังเรื่องรูปแข็งว่ามีความละเอียดมากซึ่งโดยนัยเดียวกันถ้ามีความเข้าใจจริงคือเข้าใจลักษณะก็สามารถเข้าใจรูปอื่นๆ เช่นสีเสียงกลิ่นรสเย็นร้อนลักษณะเดียวกันแต่ละอย่างได้ท่านก็เขียนมาอย่างนี้กราบท่านอาจารย์ครับท่านอาจารย์ครับถ้ากล่าวว่าถ้าเข้าใจลักษณะของแข็งแล้วก็จะเข้าใจลักษณะของรูปอื่นๆ ด้วย

    ท่านอาจารย์ ลองทบทวนคำถามหน่อยสิคะ

    อ.อรรณพ คือก็เป็นคำปรารภมากกว่าแต่ก็คงถามไปในตัวว่าฟังเรื่องรูปแข็งว่ามีความละเอียดมากซึ่งโดยนัยเดียวกันถ้ามีความเข้าใจจริงถึงลักษณะของแข็งก็สามารถจะเข้าใจรูปอื่นๆ

    ท่านอาจารย์ ใช้คำว่าเข้าใจใช่ไหมคะ

    อ.อรรณพ ครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วไม่ใช่สิ่งที่ฟังเรื่องนี้แล้วเข้าใจเรื่องโน้นฟังเรื่องไหนก็เข้าใจเรื่องนั้นถ้าฟังเรื่องแข็งจะเข้าใจเรื่องจักขุประสาทรูปไหมคะ

    อ.อรรณพ ไม่ได้ครับ เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นความเข้าใจเป็นเรื่องๆ ไป และการที่จะรู้ลักษณะสภาพธรรมก็ต้องรู้เป็นลักษณะๆ ไป

    ท่านอาจารย์ ทบทวนตั้งแต่ต้นก็ได้

    อ.อรรณพ ฟังเรื่องรูปแข็งว่ามีความละเอียดมากซึ่งโดยนัยเดียวกันถ้ามีความเข้าใจจริงถึงลักษณะก็สามารถเข้าใจรูปอื่นๆ เช่นสีเสียงกลิ่นรสเย็นร้อนหลายๆ อย่างได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นผู้ที่ตรงฟังเรื่องไหนเข้าใจเรื่องนั้นฟังเรื่องแข็งไม่ใช่ฟังเรื่องจักขุประสาทรูปจะเข้าใจจักขุประสาทรูปไม่ได้แต่ฟังเรื่องแข็งก็เข้าใจเรื่องแข็ง เพราะฉะนั้นที่กล่าวว่าถ้ารู้จริงๆ หมายความว่าขณะนั้นรู้อะไรจริงก็ต้องรู้เฉพาะสิ่งนั้นจริงจะรู้สิ่งอื่นซึ่งไม่ปรากฏในขณะนั้นได้ไหม

    อ.อรรณพ คือคงจะหมายความว่าถ้ารู้ตรงลักษณะของแข็ง

    ท่านอาจารย์ รู้ตรงลักษณะที่แข็ง แข็งกำลังปรากฏตรงนั้นแข็งจริงๆ รู้จริงในลักษณะที่แข็งเท่านั้นไม่มีลักษณะอื่นปะปนเลย เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังรู้จริงในแข็งจะรู้จริงในอย่างอื่นได้ไหม

    อ.อรรณพ ขณะนั้นก็รู้จริงเฉพาะแข็ง

    ท่านอาจารย์ เฉพาะแข็งที่ปรากฏจริงๆ เท่านั้นจึงจะชื่อว่ารู้จริงมิฉะนั้นแล้วจะกล่าวได้ยังไงว่าไปรู้จริงเรื่องอื่นก็แสดงว่าขณะนั้นไม่ได้รู้แข็งจริงๆ ถ้ารู้แข็งจริงๆ เฉพาะแข็งที่ปรากฏจริงก็รู้จริงเฉพาะแข็งที่ปรากฏ

    อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ครับอันนี้ไม่ใช่กระผมจุกจิกนะครับ แต่ว่าจะได้ชัดเจนเขาอาจจะคิดว่าเหมือนเกลือ

    ท่านอาจารย์ นั่นคือความคิดแต่เหตุผลก็คือว่าต้องพิจารณาไตร่ตรองจริงๆ มิฉะนั้นแล้วจะทรงแสดงธรรมไหมคะว่ารู้ทั่ว ทั่วไม่ใช่หนึ่ง

    อ.อรรณพ เขาจะคิดว่าเกลือถ้าเม็ดหนึ่งเค็มอันอื่นก็เหมือนกัน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้ารู้แข็งจริงๆ ไม่ว่าแข็งที่ไหนก็รู้แข็งตรงนั้น

    อ.อรรณพ แต่ก็ไม่ใช่สีเสียง

    ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องทำอะไรเลยก็จบไปหมดเพียงรู้อย่างเดียวก็จบไปหมดก็เป็นสิ่งที่ไม่เป็นไปไม่ได้ต้องตรง และจากการที่ได้อบรมเจริญปัญญาจริงๆ ก็จะรู้ได้วิจิกิจฉานุสัยดับเมื่อไหร่

    อ.อรรณพ พระโสดาบันครับ

    ท่านอาจารย์ เป็นอนุสัยด้วยยังมีอยู่แม้ว่าไม่เกิดก็ยังมีพร้อมที่จะเกิดเมื่อมีเหตุปัจจัย

    อ.อรรณพ เชิญคุณประทีปครับ

    ผู้ฟัง จากคำถามนี้ท่านอาจารย์ครับ ความเข้าใจลักษณะของรูปธรรม และนามธรรมนั้นต้องเข้าใจลักษณะทีละลักษณะแล้วลักษณะใดที่ปรากฏจะไม่มีอะไรเจือปน

    ท่านอาจารย์ แม้แต่ข้อความที่ว่าเข้าใจลักษณะทีละลักษณะเมื่อไหร่อย่างไรไม่ใช่เพียงแต่กล่าวว่าเข้าใจลักษณะทีละลักษณะแต่ขณะไหนเข้าใจลักษณะไหนอย่างไรเวลานี้ทุกคนพิจารณาแข็งปรากฏไหมคะมีปรากฏนะคะ ไม่ใช่อย่างอื่นนอกจากแข็งใครไม่รู้บ้างธรรมดาที่สุดใช่ไหมฟังธรรม หรือไม่ฟังธรรมถามว่าแข็งไหมก็ตอบว่าแข็งก็มีสภาพที่รู้แข็ง แข็งจึงปรากฏให้รู้ เพราะฉะนั้นปัญญาอยู่ที่ไหนปรกติธรรมดารู้แข็งมีแน่ๆ ใครๆ ก็รู้แข็งทั้งนั้นแต่ว่าปัญญาที่รู้แข็งอยู่ที่ไหนต่างกันแล้วนี่เป็นเหตุที่ว่าแม้ว่าสภาพธรรมจะมีจริงมีชื่อให้เราเข้าใจได้มีสภาพธรรมที่ปรากฏให้รู้ว่าเป็นอย่างนั้นแข็งเป็นแข็งเสียงเป็นเสียงแต่ปัญญารู้อะไรนี่อีกเรื่องหนึ่ง

    ผู้ฟัง ปัญญาก็คงต้องรู้สภาพธรรมแข็งที่กำลังปรากฏ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีการฟังเลยจะมีการรู้แล้วละการยึดถือไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้แน่นอนครับท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะรู้เมื่อไหร่ว่าละการยึดถือแข็งที่เคยไม่รู้

    ผู้ฟัง ในขณะที่กำลังรู้แข็งที่กำลังปรากฏครับ

    ท่านอาจารย์ เป็นปัญญาระดับไหนที่สามารถจะละคลายการยึดถือ

    ผู้ฟัง เป็นปัญญาในระดับต้องอย่างน้อยก็เป็นพระโสดาบันครับ

    ท่านอาจารย์ ก่อนเป็นพระโสดาบันค่ะ

    ผู้ฟัง ครับก่อนเป็นพระโสดาบันก็ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่าเรากำลังเรียนเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงค่อยๆ ฟังค่อยๆ เข้าใจค่อยๆ ไตร่ตรองว่าขณะที่รู้แข็งเป็นธรรมดาเสียงปรากฏก็รู้ว่าเสียงร้อนปรากฏก็รู้ว่าร้อนแล้วปัญญาอยู่ไหนไม่มีเลยกับปัญญาค่อยๆ เข้าใจสภาพธรรมนั้นระดับไหนแต่ละหนึ่งจนกว่าจะหมดวิจิกิจฉา

    ผู้ฟัง ขออนุญาตครับเมื่อเวลาสภาพธรรมเกิดปรากฏไม่มีขั้นตอนไม่มีระเบียบแบบแผน

    ท่านอาจารย์ แต่ความเข้าใจต้องตามลำดับ เพราะฉะนั้นเราไม่คิดเองแต่เราฟังว่าการฟังธรรมมีสามระดับปริยัติฟังเข้าใจได้เกิดในประเทศที่สมควรได้พบได้ฟังธรรมที่สมควรแล้วก็ยังต้องพิจารณาเข้าใจธรรมที่ได้ฟังให้ถูกต้องด้วยแล้วจึงจะสามารถปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมได้จะขาดไม่ได้เลยค่ะเพียงได้ยินได้ฟังแต่ว่าไม่พิจารณาให้เข้าใจสิ่งที่เข้าใจตามความเป็นจริงโดยละเอียดโดยถูกต้องไม่มีทางที่จะปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เพราะฉะนั้นเวลาที่กล่าวถึงการรู้ลักษณะของสภาพธรรมให้ทราบว่ารู้โดยอะไรอย่างที่กล่าวถึงโดยสัญญาจำ หรือว่าโดยวิญญาณธาตุรู้ต้องเกิดขึ้นรู้แจ้งขณะนี้ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังปรากฏเพราะว่ามีธาตุรู้ที่กำลังปรากฏรู้เฉพาะสิ่งนั้นๆ แต่ละหนึ่งแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็วแต่ปัญญาเป็นความเห็นถูกความเข้าใจถูกซึ่งไม่ใช่เพียงสัญญา และวิญญาณ หรือสภาพที่กำลังรู้แจ้งเท่านั้น เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจความหมายของปัญญาด้วยปัญญาขั้นฟังต้องเข้าใจจริงๆ ฟังเพื่อละความไม่รู้เพราะไม่รู้จึงถามให้คนอื่นบอกนั่นไม่ใช่ฟังแต่ว่าฟังเพื่อละความไม่รู้แล้วเป็นปัญญาของตนเองเข้าใจด้วยตัวเองว่าอะไรคืออะไรนั่นจึงจะชื่อว่าปัญญาตราบใดที่ยังไม่สามารถที่จะรู้แล้วยังต้องถามคนอื่นก็แสดงว่าการฟังนั้นไม่ใช่ความเข้าใจของตนเองแต่ว่าเมื่อมีความเข้าใจแล้วก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าขณะนั้นเป็นปัญญาระดับไหนขั้นฟัง หรือว่าขั้นกำลังเข้าใจถูกในลักษณะสภาพธรรม เพราะฉะนั้นจะข้ามขั้นฟังไปถึงการที่จะไปรู้ลักษณะของธรรมแต่สงสัยเพราะเหตุว่าความเข้าใจขั้นฟังไม่พอ เพราะฉะนั้นเมื่อความเข้าใจขั้นฟังไม่มีพอเวลาที่มีสภาพธรรมปรากฏก็สงสัยว่านี่เป็นความรู้ขั้นไหน

    อ.อรรณพ ก็ต้องศึกษาธรรม และฟังไปไม่รู้จักจบก็จบจริงๆ ก็หมดกิเลสไม่มีทางหมดง่ายๆ ไม่จบง่ายๆ การศึกษาธรรมเราก็ได้ศึกษาเรื่องรูปกันเป็นพื้นฐานความเข้าใจรูปหลักๆ สี่รูปซึ่งท่านก็อธิบายไว้หลากหลายมากมายซึ่งแสดงถึงลักษณะของรูปนั้นต่างๆ ถ้าถามให้คิดดูว่าอะไรที่แอบอิงสิงอยู่ในสิ่งต่างๆ ทั้งสิ่งของ และบุคคลต่างๆ อะไรที่เหมือนแอบอิงสิงอยู่เหมือนนะเหมือนสิงเหมือนแอบอิงอยู่ไม่ให้เห็นในสิ่งต่างๆ วัตถุ และบุคคลต่างๆ ทั้งๆ ที่สิ่งที่แอบอิงอยู่เขาอาศัยพึ่งพิงกันเกิด

    อ.ธีรพันธ์ คือมหาภูตรูปนั่นเองคือธาตุดินอ่อนแข็งธาตุน้ำเอิบอาบเกาะกุมธาตุลมตึงไหวธาตุไฟเย็นร้อนนี่คือสภาพธรรมที่มีจริงๆ แต่ยากที่จะเข้าใจยากที่จะรู้จึงไม่เห็นความจริงของสิ่งที่ปรากฏอย่างเช่นสิ่งที่ปรากฏทางตาเห็นเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นสิ่งของเป็นวัตถุเป็นสัตว์บุคคลต่างๆ เมื่อไม่รู้ความเป็นจริงก็เหมือนกับสิ่งนั้นแอบอิงสิ่งที่แอบไว้ปกปิดไว้ไม่เห็นตามความเป็นจริงนั่นเองเพราะว่าไม่สามารถที่จะรู้ตามความเป็นจริงก็เป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งเลยถ้าได้สัมผัสก็แข็ง หรือเย็นร้อน หรือไม่ต้องรูปภายนอกที่กายที่ยึดถือว่าเป็นกายของเราก็มีสภาพธรรมที่อ่อนแข็งเย็นร้อนตึงไหวไม่ใช่สิ่งของภายนอกเป็นที่กายก็ไม่รู้ตามความเป็นจริงก็เหมือนแอบอิงเป็นเราเป็นของเราเป็นตัวตนของเราถ้าถูกเปิดเผยด้วยปัญญาเพราะว่ารู้ตามความเป็นจริงขณะนั้นจะไม่มีการแอบอิงของมหาภูตรูปเลยคือรู้ตามความเป็นจริงว่าเป็นเพียงสภาพธรรมที่เป็นอ่อนแข็งเย็นร้อนตึงไหวก็ไม่สามารถที่จะแอบอิงได้แต่ที่แอบอิงเพราะว่าไม่รู้ตามความเป็นจริงที่กายไม่รู้ตามความเป็นจริงแล้วภายนอกก็ไม่รู้ตามความเป็นจริงอีกเหมือนกันเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นบุคคลนั้นเป็นบุคคลนี้เรื่องราวก็เยอะแยะก็แอบอิงซ่อนเร้นเข้าไปอีก

    อ.อรรณพ ดีมากเลยครับ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นรูปภายนอก หรือภายในกายก็มีดินน้ำไฟลมซึ่งเขาอาศัยพึ่งพิงการเกิด และเป็นรูปหลักอยู่ตลอดเวลาแต่ไม่รู้เลยเหมือนแฝงเร้นอยู่ในสิ่งต่างๆ เห็นเข้าก็เป็นสีเป็นรูปร่างรูปทรง

    ท่านอาจารย์ ธรรมก็มีหลายสำนวนถ้าสำนวนตรงๆ คือว่าขณะใดที่รูปหนึ่งรูปใดที่มีอยู่ในที่นั้นแปดรูปปรากฏรูปอื่นก็ไม่ปรากฏเช่นขณะใดที่ธาตุแข็งปรากฏธาตุอื่นแม้มีอยู่ในที่นั้นก็ไม่ปรากฏขณะใดที่สีสันวรรณที่มีที่มหาภูตรูปปรากฏรูปอื่นก็ไม่ได้ปรากฏ เพราะฉะนั้นธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานสี่รูปนี่แน่นอนเพราะว่าปราศจากสี่รูปนี้ไม่ได้เลยคือแม้ธาตุดินธาตุน้ำธาตุไฟธาตุลมถ้ารูปหนึ่งรูปใดปรากฏรูปอื่นก็ไม่ปรากฏ หรือรูปที่มีอยู่ในที่นั้นคือสี หรือสิ่งที่กระทบตาได้กลิ่นก็มีรสก็มีโอชาสภาพธรรมซึ่งเมื่อกลืนกินเข้าไปแล้วสามารถที่จะทำให้กลุ่มของรูปกลุ่มต่อไปเกิดขึ้นได้แสดงให้เห็นว่าถ้ารูปนั้นๆ ไม่ปรากฏมีเฉพาะรูปเดียวที่ปรากฏรูปอื่นก็ปรากฏไม่ได้

    อ.อรรณพ ก็ค่อยๆ ได้เข้าใจขึ้นตามสมควรนิดๆ หน่อยๆ เพราะว่ารูปที่เป็นรูปหลักทั้งสี่รูปถ้าไม่มีรูปหลักทั้งสี่รูปรูปอื่นก็อาศัยเกิดไม่ได้ท่านอาจารย์เขาก็แปลกเขาเป็นรูปหลักที่รูปอื่นอาศัยเกิดอย่างสีเขาก็อาศัยดินน้ำไฟลมเกิดแต่ว่าสีกลับปรากฏตัวมากกว่าดินน้ำไฟลม

    ท่านอาจารย์ ก็เพราะเหตุว่าเป็นรูปที่สามารถกระทบจักขุประสาทได้

    อ.อรรณพ แข็งนี้ก็กระทบกายประสาทได้

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะฉะนั้นมีรูปพิเศษห้ารูปที่ใช้คำว่าประสาทรูปเป็นรูปที่ไม่ใช่ธาตุดินน้ำไฟลมแต่สามารถกระทบเฉพาะสิ่งที่กระทบกันได้เช่นสิ่งที่ปรากฏทางตาที่มหาภูตรูปรูปนี้เฉพาะรูปนี้เท่านั้นที่สามารถกระทบจักขุประสาทกลิ่นก็มีแต่กลิ่นกระทบจักขุประสาทไม่ได้แต่กลิ่นกระทบอีกรูปหนึ่งซึ่งมีความใสคือสามารถที่จะกระทบกับกลิ่นรูปนั้นก็คือฆานประสาทขณะใดก็ตามที่กลิ่นปรากฏต้องมีฆานประสาทกลิ่นกระทบฆานประสาทเป็นปัจจัยใหธาตุรู้เกิดขึ้นรู้แล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นประสาทรูปมีห้าซึ่งทุกคนชินตาหนึ่งหูหนึ่งจมูกหนึ่งลิ้นหนึ่งกายหนึ่งกายไม่ใช่ทั่วกายแต่เฉพาะส่วนที่สามารถกระทบกับเย็น หรือร้อนอ่อน หรือแข็งตึง หรือไหวจักขุประสาทก็ไม่ใช่ทั่วตัวเฉพาะตรงที่เกิดซึ่งปรกติก็จะอยู่ที่กลางตาไม่ใช่อยู่ข้างหลังไม่ใช่อยู่ที่บ่าไม่ใช่อยู่ในหูรูปนี้ก็เป็นรูปที่สามารถกระทบตาแล้วจิตเห็นก็เกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ได้กระทบกับตา เพราะฉะนั้นไม่ได้เห็นข้างหลังแต่ว่าจักขุประสาทอยู่ที่ไหนเห็นเกิดที่นั่นกระทบรูปนั้น และจิตก็เกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไปสำหรับกลิ่นรสก็โดยนัยเดียวกันถ้าเอารสไปใส่จมูกหวานไหมแต่ต้องกระทบลิ้นเพราะว่ามีรูปพิเศษที่กลางลิ้นที่สามารถกระทบได้เฉพาะรสแต่ถ้าจิตไม่เกิดขึ้นลิ้มคือรู้รสนั้นไม่ปรากฏเลย เพราะฉะนั้นก็เป็นธรรมทั้งหมดคือสิ่งที่มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วดับไปชั่วคราวแต่ละหนึ่งแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย และไม่ใช่ของใคร และไม่ได้อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครด้วย

    อ.อรรณพ ก็สนทนากันเรื่อยๆ บางทีก็เหมือนกับไม่ค่อยได้ฟังแบบนี้เลยทั้งๆ ที่ก็ฟังเรื่องรูปเรื่องมหาภูตรูปมาอยู่เรื่อยๆ ก็แสดงว่าการฟังธรรมต้องยังคงฟังต่อไปๆ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    ท่านอาจารย์ แล้วก็ละเอียดขึ้นด้วยเพราะแม้สิ่งที่มีจริงทั้งหมด ๒๘ รูปเป็นรูปหยาบ ๑๒ รูปหาเจอไหมถ้าไม่ทรงแสดงไว้แต่จากการฟังแล้วก็ไม่ลืมแล้วไตร่ตรองก็หาได้

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นการศึกษาแม้ในปรมัตอย่างหนึ่งคือรูปปรมัตถ์ก็มีความละเอียดเป็นอภิธรรมในวันนี้เราก็พอจะมีพื้นฐานความเข้าใจความเป็นอภิธรรมของรูปต่างๆ ต่างๆ ว่าเป็นแต่ละอย่างๆ

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวจะคิดมากก็ตอบเสียเลยก็ได้สิ่งที่ปรากฏทางตาหยาบไหม

    อ.อรรณพ หยาบครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะมองเห็น

    อ.อรรณพ เพราะมองเห็น

    ท่านอาจารย์ เสียงหยาบไหม

    อ.อรรณพ หยาบครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะปรากฏให้รู้ว่าเป็นอย่างนั้นกลิ่นหยาบไหม

    อ.อรรณพ หยาบ

    ท่านอาจารย์ หยาบรสหยาบไหม

    อ.อรรณพ ก็หยาบ

    ท่านอาจารย์ เย็นร้อนอ่อนแข็งตึงไหวเจ็ดรูป

    อ.อรรณพ อันนี้กระทบกายโดยตรง

    ท่านอาจารย์ ขาดธาตุน้ำเพราะไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นจะเป็นรูปหยาบไม่ได้ถึงแม้ว่าจะพูดทางตาหูจมูกลิ้นกายก็ยังต้องมีความเข้าใจในความละเอียดด้วยตามความเป็นจริงนอกจากเจ็ดรูปนี้แล้วจักขุประสาทรูปโสตะประสาทรูปฆานประสาทรูปชิวหาประสาทรูปกายประสาทรูปไม่เห็นเลยไม่มีทางจะรู้แต่รู้ว่าหมีได้ในขณะที่มีการเห็นการได้ยินจึงเป็นประเทศที่หยาบพอที่จะรู้ได้ว่ามีแน่นอน และเป็นรูปเฉพาะแต่ละรูปด้วยนับ หรือยังเท่าไหร่ ๑๒ รูปคงไม่ลืม และทางตาหูจมูกลิ้นกายตาหนึ่งหูหนึ่งจมูกหนึ่งลิ้นหนึ่งกายหนึ่งห้าอีกเจ็ดก็ต้องเป็นทางตาปรากฏได้หูจมูกลิ้นกายก็ครบทำให้ไม่ลืมว่าธาตุน้ำไม่สามารถที่จะกระทบกายประสาทได้

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นไหนๆ เกิดมาในภพภูมิที่มีรูป และได้ยินได้ฟังเข้าใจเรื่องรูปตามความเป็นจริงก็จะเป็นปัจจัยให้รู้ลักษณะของรูปทั้งที่รูปนั้นน่าพอใจแช่มชื่น และรูปนั้นไม่น่าพอใจก็จะเป็นปัจจัยให้ค่อยๆ มีการที่จะละคายสลัดออกจากความติดข้องในรูปในอนาคตอันไกล


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 194
    23 ธ.ค. 2566

    ซีดีแนะนำ