พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 929


    ตอนที่ ๙๒๙

    ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๗


    ผู้ฟัง ธรรมจริงๆ แล้วลักษณะของธรรมเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องติดคำว่าธรรมเลย ขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงๆ หรือไม่

    ผู้ฟัง มีสิ่งที่มีจริง

    ท่านอาจารย์ นั่นคือสิ่งที่ภาษาบาลีใช้คำว่าธรรม ภาษาบาลีไม่มีคำว่าสิ่งที่มีจริง แต่มีคำว่าธรรมหมายความถึงสิ่งที่มีจริงๆ

    ผู้ฟัง แต่ ในความรู้สึกดอกไม้ ก็คือมีจริง เพราะว่าเรียกดอกไม้

    ท่านอาจารย์ ทำไมจึงเรียกว่าดอกไม้

    ผู้ฟัง เป็นเพียงแค่สมมติ ทุกคนจะรู้จัก ถ้าไปเรียกดอกไม้ว่าโต๊ะ ก็ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ อยู่ดีๆ เรียกดอกไม้ หรือว่าเห็น

    ผู้ฟัง เห็นค่ะ

    ท่านอาจารย์ ต้องมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แล้วก็จำได้ว่านั่นเป็นดอกไม้ หรือว่าถ้าไม่ใช่ดอกไม้ อย่างอื่นก็จำได้ว่าเป็นสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นตามความเป็นจริงก็คือว่าสภาพธรรมที่มีจริงคือเห็น กับสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้นอะไรเป็นธรรม

    ผู้ฟัง เห็น

    ท่านอาจารย์ เห็นเป็นธรรมเพราะมีจริง แล้วอะไรอีกเป็นธรรม

    ผู้ฟัง สิ่งที่ปรากฏให้เห็น

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นมีจริงก็เป็นธรรม แล้วอะไรอีกเป็นธรรม

    ผู้ฟัง คิด

    ท่านอาจารย์ คิดมีจริงๆ ใช่ไหม คิดเป็นธรรม แล้วอะไรอีกเป็นธรรม

    ผู้ฟัง ได้ยิน

    ท่านอาจารย์ ได้ยินเป็นธรรม แล้วอะไรอีกเป็นธรรม

    ผู้ฟัง เย็น

    ท่านอาจารย์ เย็น เพราะมีจริงๆ ก็เป็นธรรม แล้วอะไรอีกเป็นธรรม

    ผู้ฟัง แข็ง

    ท่านอาจารย์ แข็ง มีจริงๆ เป็นธรรม ยังมีธรรมอีกมากมายไหม ที่มีจริงๆ ในชีวิตตั้งแต่เกิดมา

    ผู้ฟัง มีค่ะ

    ท่านอาจารย์ ลองคิดดู จะได้หายความสงสัยความเคลือบแคลงว่าธรรมคืออะไร เพราะว่าหมายความถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมดที่มีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่างซึ่งไม่ปะปนกันเลย เช่น ได้ยินไม่ใช่เห็นแน่นอน เสียงก็ไม่ใช่กลิ่นแน่นอน เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง เกิดขึ้นปรากฏว่ามีจริงๆ เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่รู้ว่ามีจริงๆ ในขณะที่สิ่งนั้นปรากฏเป็นธรรมทั้งหมด ความสุข ความทุกข์ ความโกรธ ความดีใจ ความเสียใจ ตั้งแต่เกิดจนตายสิ่งที่มีจริงทั้งหมดมีจริงๆ ปฏิเสธไม่ได้เลย แต่เพียงชั่วคราว ไม่มีอะไรที่ยั่งยืนเลยแม้เพียงอย่างเดียว แต่ไม่เคยคิดถึงการที่สภาพธรรม แม้มีก็เพียงปรากฏแล้วก็หมดไป

    ผู้ฟัง แต่จริงๆ แล้ว มันเป็นเรา

    ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้วเป็นธรรม หมดแล้ว เราอยู่ไหน เสียงเป็นธรรมมีจริงๆ เกิดแล้วหมดแล้ว เสียงอยู่ไหน เสียงไม่ได้กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นจะเป็นเราได้ไหม เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    ผู้ฟัง ยังเป็นเราได้ยินอยู่

    ท่านอาจารย์ ได้ยิน ถ้าไม่เกิดขึ้น มีเราได้ยินไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ได้ยินเป็นเรา หรือว่าได้ยินเป็นได้ยิน

    ผู้ฟัง ได้ยินก็เป็นได้ยิน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่ใช่เราได้ยิน แต่ได้ยินเกิดได้ยิน แล้วก็ดับไป

    ผู้ฟัง สิ่งนี้ก็คือเกิดจากความเข้าใจที่ฟังธรรม แต่ว่าในเมื่อธรรมมีจริง แล้วก็สามารถที่จะพิสูจน์ได้ แล้วก็ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง แต่ว่ายังไม่ได้ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้เห็นหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เห็น

    ท่านอาจารย์ จะบอกว่าไม่เห็นไม่ได้ ปรากฏหรือยังว่าเห็นมีจริงๆ

    ผู้ฟัง ปรากฏแล้ว

    ท่านอาจารย์ แต่ไม่รู้ว่าเห็นไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องตรงขึ้นจนกระทั่งไม่มีเราจริงๆ จึงจะเป็นความตรง และความถูกต้อง

    ธรรมเปลี่ยนได้ไหม

    ผู้ฟัง การเห็นกับสิ่งที่ปรากฏทางตา กับลักษณะของนามธรรม

    ท่านอาจารย์ นามธรรมคืออะไร พูดคำไหนเข้าใจคำนั้น เมื่อสักครู่นี้เข้าใจว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง คราวนี้พูดว่านามธรรม หมายความว่าอะไร คืออะไร

    ผู้ฟัง ก็คือสิ่งที่มีจริงเหมือนกัน เป็นลักษณะหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากรูปธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นธรรมมี ๒ อย่างที่ต่างกัน รูปธรรมหมายความถึงทุกอย่างที่เกิดขึ้นมีจริงๆ แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ นามธรรมก็มีจริงๆ เช่นกัน แต่ไม่ใช่รูปธรรมเพราะเหตุว่าไม่มีรูปร่างใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น เกิดแล้วต้องรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ต้องมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งกำลังถูกรู้ ตอนนี้ก็เข้าใจคำว่าธรรม แล้วก็รู้ว่าธรรมก็มี ที่เป็นนามธรรมก็มี ที่เป็นรูปธรรมก็มี เป็นเราหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ ต้องตรงตั้งแต่คำแรกจนถึงคำสุดท้ายที่สุด เปลี่ยนไม่ได้เลย

    ผู้ฟัง แต่ว่าความเข้าใจที่ว่าจะไม่ใช่เป็นเรา

    ท่านอาจารย์ ความเห็นผิด มีจริงๆ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง มีจริง

    ท่านอาจารย์ เป็นสภาพธรรมที่มีจริงคือเห็นผิด

    ผู้ฟัง แต่ถ้าตอบท่านอาจารย์ได้ก็หมายความว่า มีความเข้าใจ แต่ว่าความลึกซึ้ง ในสภาพจริงๆ ที่จะปรากฏ หรือว่าประจักษ์แจ้งก็เป็นอีกส่วนหนึ่งใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ยังไม่เกิดขึ้นใช่ไหม ถ้าไม่มีความเข้าใจขั้นฟังเลย จะเกิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นความรู้ความเข้าใจต้องตามลำดับ

    อ.วิชัย ก็เริ่มต้นด้วยธรรม ก็คงไม่ลืมเพราะเหตุว่าต้องกล่าวบ่อยๆ และก็เมื่อกล่าวทุกครั้ง ก็เป็นความเข้าใจขึ้นทุกครั้งที่ได้ยินได้ฟังว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ ฉะนั้นการเริ่มที่จะเข้าใจสิ่งที่มีจริงก็คือเข้าใจเดี๋ยวนี้นั่นเอง เพราะเหตุว่ากำลังมีปรากฏให้เข้าใจได้

    ถ้ากล่าวถึงอภิธรรม ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เรื่องของธรรมดาที่เป็นปกติในชีวิตประจำวัน แข็งบ้าง เห็นบ้าง ฉะนั้นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงอภิธรรม แสดงว่าต้องเป็นความพิเศษ ที่จะให้เกิดความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน

    ท่านอาจารย์ เมื่อสักครู่เข้าใจคำว่าธรรมแล้วใช่ไหม ยังมีใครสงสัยไหม สิ่งที่มีจริงทั้งหมด แล้ว "อภิ" เป็นภาษาอะไร

    อ.วิชัย ภาษาบาลี

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ภาษาไทยใช่ไหม ขอเชิญคุณคำปั่นให้ความหมายด้วย

    อ.คำปั่น คำว่า "อภิ" โดยศัพท์ หมายถึง ละเอียดยิ่ง เพราะฉะนั้นเมื่อรวมกับคำว่า "ธรรม" ก็จะมีความหมายว่าสิ่งที่มีจริงที่ละเอียดยิ่ง ซึ่งโดยอรรถโดยความเป็นจริง ก็คงจะเคยได้ฟังท่านอาจารย์ได้สนทนาว่าสิ่งที่มีจริงๆ นั่นเองมีความละเอียดลึกซึ้งอย่างไร เพราะว่าเป็นสิ่งที่มีจริงที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ปฏิเสธความเป็นสัตว์เป็นบุคคลเป็นตัวตนอย่างสิ้นเชิง นี่คือความละเอียดลึกซึ้งของธรรมที่เป็น "อภิธรรม"

    ท่านอาจารย์ "อภิ" หมายความถึงละเอียดยิ่ง ไม่ใช่เล็กน้อยเลย เพราะลึกซึ้งด้วย ด้วยเหตุนี้สิ่งที่มีจริงที่เราได้ยินแล้ว ว่าสิ่งที่มีจริงทั้งหมดมีจริงๆ ตั้งแต่เกิดจนตาย แต่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงหรือไม่ แม้ว่ามีจริง เช่น เพียงขั้นต้น เดี๋ยวนี้เห็น ก่อนเห็นไม่มีเห็น แล้วก็มีเห็น แล้วก็ไม่มีอีกต่อไป ลึกซึ้งไหม ละเอียดไหม เพราะว่ากล่าวถึงเพียงชั่วหนึ่งขณะที่เห็น ซึ่งตลอดวันมีตั้งมากมายเลย ไม่ใช่มีแต่หนึ่งขณะที่เห็น ได้ยินด้วย คิดด้วย ชอบด้วย ไม่ชอบด้วย สารพัดธรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แต่ทำไมไม่รู้ ไม่เข้าใจว่า ไม่ใช่เราเลย นั่นก็คือสิ่งที่มีจริงนั่นเอง ลึกซึ้ง และละเอียดยิ่ง ละเอียดจนถึงกับว่าเป็นหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง รวมกันไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นในขณะนี้ เห็นไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น ต่างกันแล้ว ๒ อย่าง อย่างหนึ่งเป็นธาตุที่สามารถรู้ว่าสิ่งที่ปรากฏขณะนี้เป็นเช่นนี้ เพราะขณะนั้นเกิดขึ้นเห็น ไม่ใช่เกิดขึ้นได้ยิน ต้องอาศัยตา เพราะฉะนั้นขณะนี้สิ่งที่กำลังปรากฏเมื่อกระทบกับตา แล้วก็มีธาตุที่เกิดขึ้นเห็น เพราะว่าสิ่งที่ปรากฏก็ไม่เห็นอะไร ตาก็ไม่เห็นอะไร แต่ยังมีอีกธรรมหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้น และกำลังเห็นซึ่งไม่ใช่ทั้งตา และไม่ใช่ทั้งสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น นี่คือความลึกซึ้ง แล้วก็ดับไปแล้วด้วย ลึกซึ้งไหม เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหมดเป็นอภิธรรม มีธรรมใดที่ไม่ลึกซึ้งบ้าง เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหมดนั่นเองเป็นอภิธรรม

    อ.วิชัย สิ่งที่มีจริงไม่ใช่เรา แต่ว่าโดยปกติทั่วไปก็ยังคิดแล้วก็สำคัญแม้จะที่ตัวทั้งหมดเป็นเรา

    ท่านอาจารย์ เพราะคิดใช่ไหม คิดไม่ใช่เห็น เห็นแล้วไม่รู้จึงคิดว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้นเพราะไม่รู้ความจริงที่ลึกซึ้งของสิ่งที่มีจริงๆ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมเลย ใครจะรู้ความลึกซึ้งของสิ่งที่มีจริง แม้แต่ได้ยินคำว่าธรรมก็ไม่รู้ว่าอะไร อภิธรรมก็คือสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เอง ก็ไม่รู้เพราะความลึกซึ้ง ด้วยเหตุนี้ไม่มีรัตนะใดเสมอด้วยพระพุทธรัตนะ สิ่งที่ใครก็ไม่รู้ แต่ว่าความลึกซึ้งอย่างยิ่งของแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดขึ้น แล้วก็ดับไปอย่างเร็วสุดที่จะประมาณได้ เป็นอภิธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้

    อ.วิชัย หมายความว่าต้องเข้าใจทีละหนึ่ง ถ้าคิดทั้งหมดก็คือที่เป็นเราเพราะคิด แต่ว่าถ้าเพียงเข้าใจทีละหนึ่งที่ท่านอาจารย์กล่าว เช่น เห็น หรือว่าสิ่งที่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ เห็นก็ไม่รู้ คิดก็ไม่รู้ ชอบก็ไม่รู้ เพราะไม่รู้จึงเป็นเรา หรือเข้าใจผิดว่าสิ่งที่เกิดมีนั่นเองเป็นเรา ถ้าไม่เกิดเลยจะมีเราแต่ที่ไหน แต่เพราะไม่รู้ความจริงของสิ่งซึ่งเกิดเพราะมีปัจจัยให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นแล้วก็ดับไป ก็เลยเข้าใจว่าทั้งหมดเป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นเขา เป็นต้นไม้ เป็นอะไรก็แล้วแต่ เพราะไม่รู้ความจริงที่มีจริงๆ แต่ละหนึ่ง ซึ่งลึกซึ้งมาก แข็งเป็นคุณวิชัยหรือไม่

    อ.วิชัย แข็งเป็นแข็งครับ

    ท่านอาจารย์ ที่ตัวคุณวิชัยมีแข็งไหม

    อ.วิชัย ก็มีครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นแข็งเป็นคุณวิชัยที่ตัวคุณวิชัย เป็นแข็งของคุณวิชัย ซึ่งความจริงไม่มีคุณวิชัยเลย ไม่เรียกก็ได้ แต่แข็งมี เพราะฉะนั้นแข็งจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย นอกจากเป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งเกิดขึ้นเป็นเช่นนั้นแล้วก็ดับไป

    อ.วิชัย หมายความว่าแข็งก็เสมอกันหมด คือโดยเป็นธาตุแข็ง

    ท่านอาจารย์ แน่นอน

    อ.วิชัย ไม่ว่าจะเป็นในตัว นอกตัวทั้งหมด

    ท่านอาจารย์ เปลี่ยนไม่ได้เลย ปรมัตถธรรม ธรรมซึ่งมีลักษณะเฉพาะของตนของตนซึ่งเปลี่ยนไม่ได้ แข็งจะไปเป็นหวานไม่ได้ จะไปเป็นเสียงไม่ได้ เกิดขึ้นเป็นแข็ง ต้องเกิดด้วย เกิดเป็นแข็งก็ต้องเป็นแข็งแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง จะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดนอกจากนั้นไม่ได้เลย

    อ.วิชัย ความรู้ความเข้าใจในการเริ่มต้นที่ว่ากล่าว แม้ว่ากล่าวไม่ใช่เรา แต่ว่าคือความสำคัญ หมายถึงว่าความรู้ความเข้าใจยังไม่เพียงพอที่จะรู้ แล้วก็เข้าใจว่าสิ่งนั้นไม่ใช่เรา

    ท่านอาจารย์ รู้แค่ไหนจึงจะไม่ใช่เรา แค่ได้ยินได้ฟังไม่มีทางที่จะไม่ใช่เราเลยเพราะอะไร ไม่ได้เข้าใจความลึกซึ้งว่าแข็งมีจริงๆ เกิดแน่นอน แต่ต้องกระทบกาย เพียงแต่เห็นน้ำแข็ง โต๊ะ แข็งไหม แค่เห็น แข็งไม่ได้ปรากฏเลย ต่อเมื่อใดกระทบสัมผัส เมื่อนั้นอย่างอื่นไม่ได้ปรากฏนอกจากแข็งปรากฏ เพราะฉะนั้นยังไม่ได้รู้ความจริงแท้ของสภาพธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดดับสืบต่อเร็วมาก ก็เลยยึดถือสภาพธรรมทั้งหมดว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดรวมทั้งเป็นเรา เป็นเขา เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นทุกอย่าง ตามแต่จะนึกคิดถึงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เพราะเกิดดับเร็วมาก จึงปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ ให้จำ และรู้ความจริง ตามกำลังของการที่สามารถจะรู้ได้ในชาติหนึ่งชาติหนึ่ง

    อ.วิชัย ดังนั้นที่ทรงแสดงเพื่อให้บุคคลที่ยังไม่เข้าใจให้เกิดความรู้ความเข้าใจ บางครั้งเราคงเคยได้ยินเรื่องของพระวินัย และพระสูตรทรงแสดงในสถานที่ต่างๆ แต่ว่าอภิธรรมบางท่านอาจจะเพิ่งเคยได้ยิน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเข้าใจธรรมหรือยัง ถ้ายังไม่เข้าใจว่าธรรมคืออะไร จะเข้าใจอภิธรรมหรือไม่

    อ.วิชัย ก็จะจำชื่อได้แต่ไม่รู้จักตัวจริง

    ท่านอาจารย์ แยกกันเลย บางคนก็บอกธรรมไม่ใช่อภิธรรม เพราะไม่รู้ความจริง ประเทศไทยมีชาวพุทธมากมาย พระพุทธศาสนาเจริญหรือไม่ ต้องเป็นคนที่ตรง ถ้าไม่ตรงไม่ได้สาระจากพระธรรมเลย เพราะทั้งหมดมีความถูกต้อง และความไม่ถูกต้อง ๒ อย่าง ถ้าไม่ถูกต้องก็คือไม่ตรงตามความเป็นจริง แต่ถ้าจะศึกษาให้เข้าใจความจริงต้องเป็นผู้ที่ตรง เรียกว่าชาวพุทธ แต่ถ้าไม่ศึกษาธรรมจะเข้าใจธรรมไหม ถ้าไม่เข้าใจธรรม เป็นชาวพุทธอย่างไร เป็นชาวพุทธที่ไม่ศึกษาธรรม ก็ตอบได้ตามความเป็นจริง ผิดไหม ใครที่ไม่ศึกษาแล้วจะบอกว่าเขารู้ธรรมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แล้วเมื่อไม่รู้ธรรมก็เป็นชาวพุทธที่ไม่ศึกษาธรรม และไม่รู้ธรรม

    อ.วิชัย ดังนั้นจุดประสงค์การได้ยินได้ฟัง เพื่อเข้าใจธรรม

    ท่านอาจารย์ ต้องเป็นคนตรง และก็รู้ด้วยว่าธรรมคืออะไร ไม่ใช่คิดเอง แต่ต้องรู้จริงๆ ธรรมมี และอภิธรรมเป็นธรรมหรือไม่

    อ.วิชัย ก็ต้องเป็น

    ท่านอาจารย์ จะบอกว่าอภิธรรมไม่ใช่ธรรมได้ไหมเมื่อเข้าใจ

    ผู้ฟัง มีความสงสัยเกี่ยวกับเรื่องภูมิที่มีขันธ์ ๕ จิตจะไปเกิดนอกรูปเลยไม่ได้ แต่ในภูมิของอรูปพรหม ซึ่งไม่มีรูป มีแต่นาม อยากจะทราบว่า อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้สภาวธรรมภูมินั้นดำรงอยู่หรือสืบอายุอยู่

    ท่านอาจารย์ ก่อนอื่นต้องเข้าใจความต่างกันของสภาพธรรม สภาพธรรมที่เกิดมีจริงๆ แต่ไม่รู้อะไรเลย มีใช่หรือไม่ แล้วก็สภาพธรรมที่เกิด และไม่มีรูปใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น แต่เป็นสภาพที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องรู้ แยกขาดจากกันหรือไม่ รูปธรรมจะเป็นนามธรรมไม่ได้แน่นอน และนามธรรมจะเป็นรูปธรรม ก็ไม่ได้แน่นอน แต่เวลาใช้คำว่าภูมิหมายความว่าที่เกิด ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ หมายความว่ามีทั้งรูปธรรม และนามธรรม มีทั้ง ๒ อย่าง เพราะฉะนั้นรูปธรรมที่เกิดโดยไม่อาศัยนาม มีหรือไม่ นี่คือความเข้าใจของเรา ที่ต้องค่อยๆ เข้าใจตามลำดับ แม้แต่นามธรรมกับรูปธรรมก็จะมาจากการที่เราต้องไตร่ตรอง โดยการที่คิดว่ารูปเกิดขึ้นโดยไม่มีนามเกิดร่วมด้วย ไม่ได้เกิดกับนามธรรม รูปเปล่าล้วนๆ เกิดขึ้นได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ เช่น

    ผู้ฟัง ภูเขา

    ท่านอาจารย์ ภูเขา ไม่ได้มีใครไปทำให้เกิดขึ้นใช่ไหม แต่มีปัจจัยที่จะเกิดขึ้น ถูกต้องไหม มีอุตุหรือความเย็นความร้อนเป็นปัจจัยให้เกิดขึ้น ไม่เกี่ยวข้องกับนามเลย ถูกต้องไหม

    ผู้ฟัง ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ มีปัจจัยเกิดขึ้น แต่ภูมิใดก็ตามที่มีนามธรรม และรูปธรรมทั้ง ๒ เช่น ขณะนี้มนุษย์แต่ละหนึ่งคนที่เกิดมา มีรูปร่างกายหรือไม่ ที่ว่าเป็นมนุษย์มีรูปร่างกายหรือไม่

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ รูปนั้นเกิดจากกรรม เกิดจากจิต เกิดจากอุตุ เกิดจากอาหาร เพราะฉะนั้นก็มีหลากหลายมาก เช่น จักขุปสาทเกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น จึงมีธาตุรู้เกิดขึ้นเห็นที่จักขุปสาท แล้วก็เห็นสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นในขณะที่เราใช้คำว่าภูมิที่มีขันธ์ ๕ หมายความถึงมีทั้งรูปธรรม และนามธรรม รูปธรรมหนึ่งไม่ว่ารูปใดๆ ที่เกิดขึ้นไม่ใช่สภาพรู้เป็นรูปธรรมทั้งหมด ส่วนนามธรรมก็ได้แก่จิต ๑ และเจตสิกที่เกิดร่วมกัน เพราะฉะนั้นจึงเป็นขันธ์ ๕ รูปขันธ์ ๑ วิญญาณขันธ์ ๑ คือ ธาตุรู้ ส่วนเจตสิกเป็นเวทนาความรู้สึก สัญญาเป็นความจำ และสภาพธรรมอื่นๆ ที่อาศัยเกิดกับจิตก็เป็นสังขารขันธ์ รวมเป็นขันธ์ ๕ รูปขันธ์ ๑ เป็นรูป เวทนาขันธ์ ๑ เป็นเจตสิก สัญญาขันธ์ ๑ สภาพที่จำเป็นเจตสิก สังขารขันธ์ ๕๐ คือเจตสิกทั้งหมดมี ๕๒ เป็นเวทนาขันธ์ ๑ ที่รู้สึก เป็นสัญญาขันธ์ ๑ ที่จำ เจตสิกอื่นทั้งหมดเป็นสังขารขันธ์ แล้วก็วิญญาณขันธ์ จึงรวมเป็นนามขันธ์ ๔ รูปขันธ์ ๑ ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ จะมีแต่จิตเกิดขึ้นโดยไม่มีรูปไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องอาศัยรูปเกิดขึ้นในภูมิที่มีขันธ์ ๕ นี่ต่างกันแล้วใช่ไหม

    ผู้ฟัง ต่าง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็สามารถที่จะเข้าใจได้ว่าภูมิหมายถึง สภาพธรรมซึ่งเกิดขึ้นเป็นจิตระดับต่างๆ ในโลกที่มีรูปเกิดร่วมด้วย ก็เป็นภูมิที่มีขันธ์ ๕ ถ้าในโลกหรือที่ไม่มีรูปเกิดเลย ก็เป็นนามขันธ์ไม่มีรูปใดๆ เลย แต่ต้องมีเหตุที่จะให้นามเกิดโดยไม่มีรูป และมีอีกภูมิหนึ่งซึ่งมีแต่รูปไม่มีนามเลย แต่ก็ต้องมีเหตุปัจจัยที่จะให้รูปนั้นเกิดขึ้น โดยไม่มีนาม เพราะว่าปกติแล้วก็มีทั้งนามธรรม และรูปธรรมซึ่งอาศัยกันเกิดขึ้น ท่านผู้ถามมีกี่ขันธ์

    ผู้ฟัง ๕ ครับ

    ท่านอาจารย์ ต้นไม้ใบหญ้ามีกี่ขันธ์

    ผู้ฟัง มีขันธ์เดียว

    ท่านอาจารย์ ก็ถูกต้อง พอที่จะเข้าใจความต่างของนามขันธ์ และรูปขันธ์ แต่เมื่อมีทั้ง ๕ ขันธ์ จะขาดไปได้ไหม ไม่ให้มีได้ไหม ให้มีแค่ขันธ์เดียวได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ แล้วให้มีแค่ ๔ ขันธ์ ไม่ให้มีรูปขันธ์ได้ไหม

    ผู้ฟัง ก็ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะเป็นธรรมจึงมีภูมิที่มีขันธ์ ๕ ภูมิที่มีขันธ์ ๑ ภูมิที่มีขันธ์ ๔ ต่างกันไปตามปัจจัย ถ้าในภูมิที่มีขันธ์ ๕ จิตต้องเกิดที่รูป เกิดนอกรูปไม่ได้เลย อาศัยรูปนั้นเกิดขึ้น มีรูปเป็นปัจจัยเป็นที่อาศัย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงหนทาง ซึ่งคนอื่นไม่มีทางที่จะรู้ความจริงถ้าไม่ได้ฟัง และกว่าจะได้ถึงหนทางนั้น ต้องบำเพ็ญบารมีที่จะมีความเห็นที่ถูกต้อง เพื่อละความติดข้อง เพราะขณะนี้สภาพธรรมแม้เกิดดับก็ไม่ได้ปรากฏ เพราะมีความติดข้อง และความไม่รู้ เป็นม่านทึบใหญ่ที่กำบัง ที่ทำให้ไม่เห็นความจริง เพราะยังเต็มไปด้วยความไม่รู้ แต่ผู้ที่ได้ฟังพระธรรม และรู้ตามมีมากในอดีต เพราะฉะนั้นทุกคนในขณะนี้ ก็กำลังรู้ว่าหนทางที่จะทำให้รู้ความจริงของสภาพธรรม ก็คือขณะนี้นั่นเอง ที่กำลังเริ่มฟัง และเริ่มเข้าใจความจริง จนกว่าจะเข้าใจเพิ่มขึ้น

    เป็นบุญของทุกท่าน ซึ่งดิฉันก็อนุโมทนาจริงๆ ที่กรรมของแต่ละท่าน คือบุญที่ได้กระทำไว้แต่ปางก่อน นำมาสู่การได้ยิน ได้ฟัง ได้มีศรัทธา มั่นคงในพระรัตนตรัยเพิ่มขึ้น ที่จะทำให้เป็น "นิรันตรภาวนา" หมายความว่า ไม่ขาดสาย เมื่อมีโอกาสที่จะได้ฟังอีก ก็ได้ฟัง ได้อบรม ได้เข้าใจ จะมากจะน้อยไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ แต่ว่าทุกครั้งที่ฟังด้วยความเคารพในความจริง ก็จะทำให้มีความเข้าใจที่มั่นคงขึ้น ชาติหน้าจะเกิดเป็นอะไร ก็ไม่รู้ เกิดเป็นม้าได้ไหม ที่ยกตัวอย่างก็เคยกล่าวถึงเรื่องม้ากัณฐกะ ได้ฟังพระธรรมมานาน มีความเข้าใจ แต่ว่าในชาตินั้นไม่สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ แต่เมื่อจากชาตินั้นไปแล้ว สิ้นชีวิตแล้ว เกิดเป็นเทพ ธรรมที่ได้ฟังมาไม่สูญหายเลย ยังสามารถสืบต่อเป็นปัจจัย ให้ได้มาเฝ้าฟังธรรมแล้วก็เข้าใจ

    เพราะฉะนั้น ความตั้งใจที่มั่นคง ก็จะทำให้แม้ว่าชาติต่อไปไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดที่ใด แต่จากการที่ได้เคยได้ยินได้ฟัง และมีความมั่นคง ก็จะทำให้สามารถมีการอบรมเจริญสืบต่อไปได้

    อ.วิชัย ถ้ากล่าวถึงธรรม ก็จะมีอยู่ ๒ อย่าง คือ นาม และ รูป ถ้ากล่าวถึงกุศล โดยตามความเข้าใจคือเป็นนามธรรม ซึ่งไม่มีโทษ คือการที่จะเข้าใจลักษณะของนามธรรมที่เป็นกุศลจริงๆ คืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ คงไม่ใช่จากตำรา แต่ต้องจากสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ได้ยินคำว่า ธรรมที่ไม่มีโทษ ต้องดีแน่


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 194
    13 ก.พ. 2567

    ซีดีแนะนำ