พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 921


    ตอนที่ ๙๒๑

    ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๗


    ผู้ฟัง เรียนถามท่านอาจารย์ว่าถ้าไม่สนใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ก็จะกลายเป็นไปสนใจว่ามีจำนวนเท่าใดแล้วเรื่องอะไร แล้วเป็นอะไรที่ถึงจะสนใจสิ่งที่กำลังปรากฏ

    ท่านอาจารย์ หมายความว่าประโยชน์จริงๆ จากการที่เราได้ฟังเรื่องรูป ได้เข้าใจเรื่องรูป คืออะไร ไม่ว่าจะฟังเรื่องอะไรอีกมาก ไม่ใช่แต่เฉพาะเรื่องรูป ทั้งหมดในพระไตรปิฎก เพื่อให้รู้จริงในธรรม ได้ยินคำว่าธรรม แล้วก็เป็นภาษาที่ไม่ใช่ภาษาไทย เพราะฉะนั้นถ้าเราเปลี่ยนเป็นภาษาธรรมดา รู้จริงในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นไม่มีใครสามารถที่จะรู้จริงในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ โดยไม่ได้ฟังพระธรรมคือคำที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ให้ผู้ที่ได้ฟังเกิดความเข้าใจของตนเองในความเป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ในความเป็นเรา เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญก็คือว่า บางคนไม่เข้าใจเลยว่าที่ฟังพระธรรมเพื่ออะไร บางคนก็บอกว่าเพื่อเป็นคนดี เพื่อเป็นเรา เพื่อรู้แจ้งอริยสัจธรรม แต่ไม่ได้ฟังว่าสิ่งที่กำลังได้ฟังมีจริงๆ และไม่เคยรู้ความจริงของสิ่งนี้เลย

    เพราะฉะนั้นการที่มีผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ และทรงแสดงความจริง ให้เกิดความเห็นที่ถูกต้องในสิ่งที่มี แล้วก็จะรู้ว่าสิ่งที่มีในขณะนี้ไม่ใช่สิ่งที่เราเคยยึดถือว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งที่แสนยาก เพราะว่าเคยยึดถือ และเข้าใจ ว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่ตลอดเวลา เห็นใคร เห็นอะไร ทั้งหมดก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้นแม้ว่าสิ่งที่มีจริง มีเช่นนี้แสนโกฏิกัปป์มาแล้ว แต่ถ้าไม่มีการตรัสรู้ด้วยปัญญาที่รู้จริงในความเป็นจริงของสิ่งที่ปรากฏ ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าความจริงแท้ของสิ่งที่มีจริงๆ นี่คืออะไร

    เพราะฉะนั้นผู้ที่ต้องการความจริง สัจจะ ต้องการรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ เพื่ออะไร เพื่อไม่หลงไม่รู้ต่อไปอีกนานแสนนานในสังสารวัฎ จึงฟังพระธรรม และก็รู้ว่าสิ่งที่มีจริงมีมานานแล้วทำไมไม่รู้ ไม่ใช่ไม่เคยมี "เห็น" มีมาแสนนาน สิ่งที่ปรากฏต่างๆ ก็ปรากฏทุกชาติ ได้ยินคิดนึกทั้งหมดมีทั้งนั้น แต่ไม่เคยรู้ความจริง เพราะฉะนั้นควรไหมที่จะเข้าใจให้ถูกต้องในสิ่งที่มีจริง

    เพราะฉะนั้น ฟังธรรมทั้งหมดไม่ว่าจะโดยนัยใดทั้งสิ้น ปิฏกใดทั้งสิ้น เพื่อรู้จริง ใช้คำว่ารู้จริง ไม่ใช่เพียงฟัง และจำว่าธรรมคืออะไร คือสิ่งที่กำลังปรากฏมีจริงๆ แค่นั้นไม่พอ นั่นยังไม่ใช่ความรู้จริง ถ้าความรู้จริงต้องตรงตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่าสิ่งนี้คืออะไร เป็นสภาพธรรมที่มีแน่ๆ กำลังเห็นแน่ๆ และสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นก็มีแน่ๆ เพราะฉะนั้นถ้ากล่าวตามความเป็นจริง สิ่งที่มีจริงกำลังเห็น ถูกไหม ไม่เปลี่ยน ไม่ใช่เราเห็น แล้วสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏให้เห็นว่ามีจริงๆ รู้จริงๆ หรือไม่ ถ้ารู้จริงคือสิ่งนี้กำลังปรากฏในขณะที่จิตเห็นเกิด เพราะฉะนั้นจะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้ จะเป็นคนจะเป็นสัตว์จะเป็นวัตถุใดๆ ไม่ได้เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้จริง เราก็ได้ยินแต่คำจริง และบางครั้งก็คิดอย่างอื่นแทนที่จะคิดให้ตรง ฟังธรรมก็กลายเป็นแล้วเมื่อใดจะรู้ธรรม จะได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม นี่คือไม่เข้าใจแม้ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นแม้เพียงคำเดียว ถ้ามีความรู้จริงๆ ก็สามารถที่จะรู้ว่า รู้อย่างนี้ได้อย่างไร ถ้าไม่มีการได้ยินได้ฟัง ไม่มีการไตร่ตรอง ไม่มีการพิจารณา ไม่ใช่เป็นผู้ที่ตรงต่อความจริง ถ้าไม่ใช่ผู้ที่ตรงต่อความจริง จะไม่ได้สาระ เพราะว่าเป็นตัวตนซึ่งเคยเป็นมานานแสนนาน ไม่ว่าจะทำอะไรก็เพื่อตัวเอง ฟังธรรมก็เพื่ออย่างนั้นเพื่ออย่างนี้ แต่ถ้าเป็นผู้ที่ตรง ก็คือว่าฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงเพื่อความเข้าใจถูกต้อง รู้จริงไม่เหมือนกับแค่ฟังคำจริง

    ผู้ฟัง บางคนบอกว่ามาลงละเอียดว่ารูปเป็นเช่นนี้ วิถีจิตเป็นเช่นนี้ เขาบอกไม่ต้องไปสนใจตรงนั้น เพียงแค่ระลึกสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตรงนี้ก็พอแล้ว ตรงนี้จะเป็นการเข้าใจผิด

    ท่านอาจารย์ แล้วก็ลองฟังคำที่ว่าเพียงแค่ระลึก มาจากไหนระลึก ระลึกอะไร ระลึกแล้วรู้อะไร ถ้าใช้คำว่าเพียงแค่ระลึก ระลึกคืออะไรก็ไม่รู้ แล้วเพียงแค่ระลึกคืออะไรก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นจะเป็นผู้ที่รู้จริงๆ หรือว่ารู้เล่นๆ หรือว่ารู้เผินๆ หรือว่าคิดว่ารู้ แต่ความจริงไม่รู้ ถ้าพูดอย่างนั้นคือไม่รู้ ไม่ใช่รู้ เพราะฉะนั้นผู้ฟังก็ควรจะเป็นผู้ที่พิจารณาละเอียดทุกคำที่ได้ยินด้วย ฟังอย่างนี้เพื่ออะไร เพื่อสะสมความเห็นถูก เพราะว่าเดี๋ยวนี้เห็นก็มี ได้ยินก็มี ได้ฟังว่าเห็นไม่ใช่เราก็มี ได้ฟังว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริง แต่ว่ารู้จริงๆ หรือยัง

    เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้จริง ต้องมีการฟังจนไม่ลืม มั่นคงแล้วก็ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกนี้ไปด้วยการละความเป็นเรา เพราะเข้าใจว่าเป็นธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งไม่ใช่เรา เมื่อเข้าใจอย่างนี้ยังไม่พอ เพราะเวลาเห็นก็ยังเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่ ก็แสดงว่าการที่จะเห็นจริงๆ ว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นเพียงธรรมที่มีจริงๆ ไม่ใช่เรา ยาก แล้วก็ไม่ใช่เป็นไปด้วยความปรารถนาด้วยความจงใจ แต่จากความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยค่อยๆ สะสม จนกระทั่งเป็นกำลังที่สามารถที่จะเข้าถึงความเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ จากปริยัติการฟัง และรอบรู้ด้วย คือฟังแล้วไม่ผิด ไม่ใช่ฟังผิดๆ ถูกๆ หรือฟัง แล้วคิดเอง หรือฟังแล้วเข้าใจผิด แต่ต้องเป็นผู้ที่รอบรู้ในสิ่งที่ได้ฟัง ธรรมเป็นธรรมที่สอดคล้องกันทั้งหมด จะค้านกันเปลี่ยนไปไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจว่าเป็นธรรม จะเดือดร้อนหรือไม่ จะไปทำอะไรด้วยความเป็นตัวตนหรือไม่ เพราะว่าเพียงรู้ว่าธรรมไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่กว่าจะรู้อย่างนี้จริงๆ ได้ ก็ต้องสะสมความรู้ความเห็นถูกไปจนกระทั่งสามารถที่จะมีกำลังตามลำดับขั้น

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นฟัง ฟังถ้าไตร่ตรองตามก็จะไม่พ้นสิ่งที่กำลังปรากฏไม่ว่าจะกล่าวโดยนัยใด เพราะฉะนั้นถ้าผู้ฟัง ฟังด้วยความเข้าใจ ไม่ต้องทำอะไร ก็สามารถสะสมความเข้าใจไว้ได้

    ท่านอาจารย์ ต้องคิดให้ถูกต้องด้วย บางคนพอได้ยินบอกว่าไม่ต้องทำอะไรก็ดีใจมาก อยู่เฉยๆ เลย จะต้องไปทำอะไร แต่ลืม ได้ฟังหรือเปล่า ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่จะเกิดได้ สิ่งนั้นต้องมีเหตุปัจจัย อยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรไม่ฟังอะไร ไม่มีทางที่ปัญญาจะเกิดได้ ไม่ทำอะไรในที่นี้หมายความว่าไม่ทำด้วยความเป็นเรา เพราะมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นว่าไม่ว่าขณะใดทั้งสิ้นก็เป็นธรรม เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นธรรม ใครทำ ธรรมเกิดขึ้น ทำกิจการงานของธรรม ถ้าความรู้สึกไม่เกิดเลย ใครจะไปทำให้รู้สึกอย่างนั้นอย่างนี้ได้ไหม ถ้าสภาพที่จำไม่มีไม่เกิด อะไรจะไปจำ เพราะฉะนั้นให้ทราบที่ว่าทำอะไรไม่ได้ คือไม่มีเราที่เป็นตัวตนที่จะทำ เพราะเหตุว่าเป็นธรรมทั้งหมดทุกขณะ เพราะฉะนั้นกว่าจะทุกขณะเป็นธรรมไม่คิดอื่น เพราะเหตุว่าถ้าจะรู้ความจริงต้องรู้ธรรมที่เกิดแล้วเดี๋ยวนี้ ไม่มีใครไปทำ เกิดแล้ว เพราะฉะนั้นความจริงก็คือว่าเกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีใครทำ แต่ว่าเมื่อมีความเข้าใจว่าเป็นธรรมก็คือเข้าใจสิ่งที่มีเพราะเกิดแล้ว ก็จะไม่ขวนขวายไปไหน ใช่ไหม

    อ.ธิดารัตน์ สำหรับตนเอง บางทีเวลาที่เราสนใจเรื่องของปริยัติ เหมือนกับเราก็เป็นไปตามเรื่องของปริยัติ ก็ไม่ได้ระลึกสภาพธรรม

    ท่านอาจารย์ จะระลึกหรือ

    อ.ธิดารัตน์ ก็เป็นไปตามเรื่องอยู่ดี

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะฉะนั้นไม่เกี่ยว จะตัวเลข ไม่ตัวเลขไม่เกี่ยว เกี่ยวที่ความเข้าใจ มีมากพอที่จะทำให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏหรือไม่ ไม่ต้องใช้คำว่าสติ ไม่ต้องใช้คำว่าระลึก แต่ขณะใดที่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่ตัวเลข

    อ.ธิดารัตน์ แต่เหมือนกับบางครั้งเวลาเรียนพระสูตร เรียนพระอภิธรรม แต่เวลาที่มีการสนทนาเรื่องของลักษณะของสภาพธรรม เหมือนกับเวลาที่ท่านอาจารย์กล่าวถึงลักษณะของสภาพธรรม เหมือนกับจะเป็นปัจจัยให้ระลึกได้มากกว่า

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องไปคิดถึงระลึกอีก เข้าใจ สำคัญที่สุดคือเข้าใจ แฝงการจะระลึกเอาไว้หรือไม่ ว่าถ้าอย่างนี้แล้วจะระลึก ถ้าอย่างนั้นแล้วไม่ระลึก ไปเที่ยวไม่ระลึก ดูละครโทรทัศน์ไม่ระลึก ต้องมานั่งอยู่ตรงนี้ถึงจะระลึก แต่ที่ถูกแล้ว เข้าใจจริงๆ หรือไม่ ถ้าเข้าใจจริงๆ ต้องละ ต้องหาอะไรๆ หรือไม่ หรือว่ามั่นคงว่าขณะนี้สิ่งนี้ที่มีเกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย

    อ.ธิดารัตน์ ก็ต้องเข้าใจจริงๆ เหมือนกัน ไม่ว่าจะศึกษาเรื่องอะไร ก็ไม่เป็นเครื่องกั้น

    ท่านอาจารย์ แล้วก็รู้ดีหรือไม่รู้ดี

    อ.ธิดารัตน์ ก่อนจะรู้ก็ต้องศึกษาก่อน

    ท่านอาจารย์ แต่ว่ารู้กับไม่รู้อะไรดี

    อ.ธิดารัตน์ ก็ต้องรู้ขึ้น

    ท่านอาจารย์ รู้ใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นฟังเพื่อเข้าใจ ดีไหม ไม่ว่าจะกี่ตัวเลขก็ตามแต่ แต่ไม่ใช่จำแล้วไม่รู้ว่าอะไร แล้วไปนั่งจำ ใช่หรือไม่ โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ก็นั่งท่องแต่ไม่รู้ว่าอะไร กับการที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละหนึ่ง ในที่สุดก็ครบ เข้าใจขึ้นได้เพราะว่าเราจะเข้าใจทั้งหมดทีเดียวไม่ได้ และต้องเป็นความเข้าใจจริงๆ ไม่เคลือบแคลง ไม่สงสัย และต้องสอดคล้องกัน

    อ.ธิดารัตน์ หลายๆ ท่านบางครั้งจริงจังกับการเรียนแล้วก็เครียด แล้วก็อยากจะเข้าใจ ท่านอาจารย์จะให้คำแนะนำอย่างไร

    ท่านอาจารย์ โดยไม่รู้ว่าศึกษาธรรมคือศึกษาให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ตามความเป็นจริง ไม่เช่นนั้นไม่ได้สาระอะไรเลย ตัวเลขก็ไม่มีความหมายใช่ไหม ถ้าไม่สามารถที่จะทำให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้

    อ.ธิดารัตน์ การศึกษาปริยัติไม่ว่าจะละเอียดมากแค่ไหน ปัญญาจะต้องค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละระดับ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น สนทนากันเรื่องความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ เพื่อให้เข้าใจว่าสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้คืออะไร ไม่ต้องใช้ภาษาบาลีเลยสักคำ ไม่มีอะไรกั้น เข้าใจได้เลย มาสนทนากันเรื่องสิ่งที่มีจริง เพื่อรู้ว่าสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ความจริงคืออะไร

    ผู้ฟัง ประเด็นที่สนทนาเกี่ยวกับความเข้าใจสำคัญมาก เพราะว่าถ้าไม่เข้าใจจริงๆ แล้วก็จะฟังไม่ได้เข้าใจอะไรเลย ปัญหาที่ว่าเราฟังจนเป็นสังขารขันธ์ ฟังให้มีความเข้าใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อุปสรรคในการฟังต้องมีแน่นอน

    ท่านอาจารย์ ตอนนี้คุณชุณห์กำลังฟังหรือไม่

    ผู้ฟัง กำลังฟังครับ

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่คุณชุณห์ เข้าใจไหม เห็นไหม กว่าจะเข้าใจว่าไม่ใช่เรา แม้แต่ทุกคำที่เอ่ย เช่น สังขารขันธ์ จนกว่าจะเป็นสังขารขันธ์ ความจริงเป็นตลอดเวลา ไม่มีคุณชุณห์เลย แม้แต่ได้ยินก็เป็นจิตที่เกิดขึ้นเมื่อมีเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีโสตปสาทรูปที่สามารถกระทบเสียง ธาตุรู้จะเกิดขึ้นได้ยินไม่ได้เลย นี่คือฟังให้เข้าใจ ฟังเพื่อเข้าใจ เพื่อจะรู้ว่าไม่มีเรา ทั้งหมดเป็นไปเรื่อยๆ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกว่าจะรู้จริงๆ ตั้งจิตไว้ชอบไม่ใช่เรา แต่จากการฟังแม้แต่คำว่าธรรมสิ่งที่มีจริง ผู้ที่เข้าใจก็คือว่าเพื่อให้เข้าใจถูกต้องว่าเป็นสิ่งนั้นไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง ถ้าฟังเป็นธรรม และมีความเข้าใจธรรมมากเท่าใด ก็เป็นสังขารขันธ์

    ท่านอาจารย์ เป็นแล้ว ถึงอย่างไรเดี๋ยวนี้ก็เป็นสังขารขันธ์ เพราะเหตุว่าจิตเห็นไม่ใช่สังขารขันธ์ ความรู้สึกไม่ใช่สังขารขันธ์ ความจำเจตสิกที่จำไม่ใช่สังขารขันธ์ แต่สภาพธรรมที่เป็นธาตุที่เกิดกับจิตอื่นๆ ทั้งหมดเป็นสังขารขันธ์ ไม่มีคุณชุณห์เลย ไม่มีใครด้วย ไม่ใช่ไม่มีแต่เฉพาะคุณชุณห์ กำลังกล่าวถึงธรรมจริงๆ ซึ่งมีจริงๆ ในขณะนี้ทั้งหมด

    ผู้ฟัง ฟังให้เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ฟังเพื่อเข้าใจธรรม

    อ.วิชัย คำว่า "พุทธ" เพียงคำว่าพุทธ พุทโธต่างๆ เหล่านี้ ได้ยินคำนี้ แต่ว่าความหมายกว้างขวางมาก ทรงตรัสรู้สัจจะทั้งหลาย ทรงปลุกสัตว์ให้ตื่นขึ้น ทรงเห็นทุกอย่างรู้ทุกอย่าง ทรงตรัสรู้เองด้วยพระองค์เอง ดังนั้นคำต่างๆ เหล่านี้ เพียงคำหนึ่ง แต่ว่าถ้าบุคคลเริ่มที่จะเข้าใจคำว่า "พุทธ" หรือว่าคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเริ่มเข้าใจตรงไหนอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นแต่ละคำก็ต้องเข้าใจจริงๆ ขอถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่ง ขอถึงพระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่ง อย่างไร ไม่ใช่เพียงแต่ขอ ซึ่งส่วนใหญ่ขอใช่ไหม คือ "คัจฉามิ" ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง แต่จะพึ่งอย่างไร นี่เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะว่าถ้าไม่รู้จริงๆ ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าคือใคร พึ่งไม่ได้ เพราะว่าจะไปพึ่งให้พระองค์ให้เราพ้นทุกข์ยาก ให้เราได้ลาภได้ยศ หรืออะไรต่างๆ เหล่านั้น ก็คือว่าไม่ได้รู้จักความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ด้วยเหตุนี้ผู้ที่จะพึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องเห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงรู้ว่าที่พึ่งอื่นไม่มี นอกจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งได้จริงๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นบุรุษหรือเป็นบุคคลผู้เลิศที่สุดในจักรวาล ไม่ใช่เพียงจักรวาลเดียว แล้วก็ไม่ใช่ทุกกาลสมัย เมื่อสมัยที่พระศาสนาอันตรธาน ก็ไม่มีคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เป็นที่พึ่งอีกต่อไป เพราะฉะนั้นในกาลใดที่ยังมีคำสอน จากการที่ได้ทรงตรัสรู้แล้วได้ทรงแสดง ก็เป็นที่พึ่ง ในยุคสมัยที่ยังไม่ปรินิพพาน บุคคลที่ได้เฝ้าได้ฟังพระธรรม ก็มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ได้เห็นได้เฝ้า แต่ว่าแม้ว่าจะทรงดับขันธปรินิพพานแล้ว แต่พระธรรมที่ทรงแสดงไว้ยังอยู่ พร้อมที่จะให้รู้จักพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นการที่จะรู้คุณของบุคคลซึ่งเป็นที่พึ่งจริงๆ ซึ่งมองแล้วก็ไม่มีใครจะเป็นที่พึ่งได้นอกจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ด้วยการที่มีความเข้าใจถูกมีความเห็นถูกในพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งถ้าไม่ศึกษาธรรมไม่ได้ฟังธรรมเลย ใครเลยจะรู้จักคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นก็ต้องเริ่มจากการที่ฟังธรรม จึงสามารถที่จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่งได้

    อ.วิชัย ถ้ากล่าวถึงความรู้ หรือว่าทรงรู้สัจจะคือความจริงทั้งหลาย ถ้าได้มีโอกาสได้ศึกษาก็รู้ว่า กว่าที่จะทรงรู้เช่นนี้ ก็ต้องบำเพ็ญบารมีถึง ๔ อสงไขยแสนกัป แสดงว่าความรู้ความเห็นว่าการที่พระองค์จะตรัสรู้ ไม่ใช่บุคคลทั่วไปที่จะเข้าใจได้ง่าย ต้องมีความต่างสำหรับบุคคลที่เริ่มมาฟัง การที่จะรู้ว่าพระองค์ทรงรู้อะไร ทรงรู้ และก็เห็นอะไร และก็แสดงอะไร

    ท่านอาจารย์ ก็ต้องทราบว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนอะไร ทรงแสดงธรรมอะไร

    อ.วิชัย ความจริง

    ท่านอาจารย์ ความจริงอะไร คือการฟังธรรมไม่ใช่ฟังเผินๆ แต่ว่าฟังแล้วต้องเข้าใจแต่ละคำที่ได้ยินด้วย ถ้าพูดถึงความจริง ความจริงอะไร อยู่ดีๆ ก็บอกว่าความจริง ความจริงอะไร ทุกคำต้องเข้าใจ

    อ.วิชัย ความจริงหมายความว่าต้องมีจริงๆ

    ท่านอาจารย์ หมายความว่าความจริงของสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าในกาลใด เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ทุกชีวิตที่เกิดมา พ้นได้หรือไม่ ไม่มีทางที่จะพ้นไปได้เลย แต่กี่แสนชาติมาแล้ว ที่สิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็มี แต่ก็ไม่เข้าใจเพราะอะไร ชาตินี้เกิดมาก็ไม่รู้ ก็เป็นการพิสูจน์แล้วว่ากี่ชาติก็ตามในอดีตก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นแม้สิ่งที่มีในชาตินี้ที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่านี่คือคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่สอนเรื่องอื่น แต่สอนให้รู้ความจริงทุกขณะในชีวิตว่า เดี๋ยวนี้รู้หรือยัง แล้วจะรู้ได้อย่างไร อยากรู้หรือไม่อยากรู้ สนใจ และเห็นประโยชน์หรือไม่ เป็นสิ่งซึ่งไม่ใช่ตามกระแส ว่าใครศึกษาธรรมก็จะศึกษาธรรม ใครไปฟังธรรมก็ไปฟังธรรม ไม่ใช่ตามกระแสเช่นนั้น แต่ต้องเป็นผู้ที่ตรงจริงๆ โดยการเข้าใจว่าพระผู้มีพระภาคตรัสรู้อะไร เมื่อตรัสรู้สิ่งใดก็ทรงแสดงความจริงที่ได้ทรงตรัสรู้นั้น เพื่อให้คนอื่นได้รู้ด้วย

    เพราะฉะนั้นในชีวิตนี้ มีอะไรที่มีจริงๆ ถ้าไม่ใช่ทางตาที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ แล้วไม่เคยรู้ ทางหูก็ไม่เคยรู้ ทุกขณะแม้แต่คำที่พูดแต่ละคำ ก็พูดด้วยความไม่รู้ ไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมจึงต้องละเอียดที่จะรู้ว่าแต่ละคำที่ได้ยิน ต้องละเอียดว่าพระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ แค่นี้จบหรือยัง ไม่จบเลย เป็นแต่เพียงการตั้งต้นสำหรับคนที่เพิ่งฟังวันแรก ก็จะรู้ไหมว่าสิ่งที่มีจริงขณะนี้คืออะไร คิดไม่ออก แต่ถ้าบอกว่าเห็นมีจริงๆ ไหม ก็ตอบว่าเห็นจริงๆ แล้วเห็นเป็นอะไร ตอบไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นแต่ละคำสั้นมาก เพียงแต่แค่รู้ว่ามีจริง และความจริงของสิ่งที่มีจริงคืออะไร ใครตอบได้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ที่ทรงแสดงความจริงนี้ได้โดยประการทั้งปวงทั้งหมดด้วย ไม่ใช่แต่เฉพาะเห็นหรือได้ยิน ทุกขณะจิต

    อ.วิชัย ดูเหมือนว่าโดยปกติทุกคนก็ต้องเห็นอยู่แล้วเป็นปกติ แต่ที่ท่านอาจารย์ถามว่าเห็นเป็นอะไร ก็ดูเหมือนกับก็ยังไม่เข้าใจ เพราะว่าโดยปกติก่อนฟังพระธรรมก็เห็นเป็นปกติ แล้วก็รู้ว่าเห็นมีด้วย ถ้าถามว่าเห็นนี้เป็นอะไร ดูเหมือนกับเป็นคำถามที่ยังไม่รู้ยังไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าไม่ได้สะสมบุญมาแล้วแต่ปางก่อน ไม่เห็นน่าสนใจเลย อยู่ดีๆ พูดเรื่องของธรรมดาที่สุดที่ใครๆ ก็รู้ใช่ไหม ทุกคนก็เห็น แล้วจะพูดเรื่องเห็นมีประโยชน์อะไร แต่ถ้ารู้ว่าเห็นมี แต่ไม่รู้จักเห็น ไม่เข้าใจเห็นตามความเป็นจริง ซึ่งขณะนั้นอย่างอื่นไม่มี ในขณะที่กำลังเห็นจะมีได้ยินไม่ได้ จะมีโกรธ จะมีอะไรไม่ได้เลย มีแต่เห็น เพราะฉะนั้นถ้าสามารถที่จะรู้ความจริงของเห็นได้ ควรหรือไม่ เพราะว่าเกิดมาแต่ละชาติก็เห็นท้้งนั้น แล้วก็ไม่รู้ทั้งนั้น เมื่อใดจะถึงเวลาที่จะรู้ ว่าเดี๋ยวนี้เห็นเป็นอะไร เพราะฉะนั้นโอกาสกาลที่จะได้ฟังพระธรรม และได้มีศรัทธาที่จะเข้าใจประโยชน์ของการที่รู้ความจริง ไม่ใช่สำหรับคนทั่วไป แต่ต้องเป็นคนที่รู้ว่าเกิดมาแล้วมีอะไรบ้าง แล้วก็ก่อนนี้มีหรือไม่ แล้วก็จากโลกนี้ไปแล้ว มีหรือไม่ ก็เป็นสิ่งซึ่งแต่ละคน ถ้าพิจารณาจริงๆ จะเห็นประโยชน์ของการที่สามารถเข้าใจสิ่งที่มีจริงในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่

    อ.วิชัย เห็นประโยชน์ของการเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ บางท่านที่อาจจะเพิ่งได้ยินว่าเห็น แล้วก็พระผู้มีพระภาคก็ทรงแสดงว่าเป็นสิ่งที่มีจริง แล้วก็ไม่ใช่ของใครด้วย ฉะนั้นประโยชน์ที่จะให้เกิดความรู้ความเข้าใจตรงนี้ ประโยชน์คืออะไร อย่างไร

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็เริ่มจากการได้ฟังว่าเห็นมีจริง จะรู้หรือไม่ ถ้าไม่รู้ก็ไม่รู้ไปทุกชาติ ไม่มีทางที่จะรู้เลย แต่ถ้าเป็นคนที่สนใจที่จะเข้าใจสิ่งที่มี นี่คือต่างกันแล้วใช่ไหม เพราะแต่ละคนไม่เหมือนกันเลย ความสนใจของแต่ละคนหลากหลายมาก แต่คนที่ได้สะสมบุญมาแล้วแต่ปางก่อน ก็พอที่จะเห็นความไม่เที่ยง ความเป็นไปไม่ได้ของสิ่งที่ปรากฏว่าจะเป็นไปอย่างที่คิดหรือต้องการ นอกจากว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ใครเปลี่ยนแปลงได้ ถ้ามีการที่จะไตร่ตรองสักเล็กน้อยว่าเราเกิดมา เกิดมาได้อย่างไร แล้วทำไมเป็นเช่นนี้ และเป็นเช่นนี้อีกนานเท่าใด ทุกอย่างเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนถึงขณะที่ทุกคนที่เกิดมาแล้วต้องเห็นสิ่งที่ตาย เกิดแล้วตาย สัตว์ตายบ้าง คนตายบ้าง ใครไม่เคยเห็นบ้าง เห็นกันทุกคน แล้วคิดอย่างไร เราต้องตายด้วย หรือไม่ หรือลืมไป ใช่ไหม วันหนึ่งก็เป็นเช่นนั้น แล้วประโยชน์อะไรจากการที่มีชีวิตอยู่ แล้วก็ไม่เหลืออะไรเลยต้องจากไปหมด แม้แต่ร่างกายซึ่งเคยยึดถือว่าเป็นเรา ความจริงเอาไปไม่ได้เลย ไม่ใช่ของเราด้วย ถ้ามีการที่รู้ประโยชน์จริงๆ ว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เหลือ เพียงชั่วคราว เกิดมาก็บังคับบัญชาไม่ได้ แต่ละขณะจิตต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 194
    21 ก.พ. 2567

    ซีดีแนะนำ