พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 920


    ตอนที่ ๙๒๐

    ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๗


    ท่านอาจารย์ ขณะที่ทำความดี ขณะนั้นก็ไม่ใช่เราที่ทำ แต่ก็เป็นกุศลธรรมที่เกิดขึ้น และในขณะที่รู้ว่าขณะนั้นเป็นธรรม ขณะนั้นก็ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา

    อ.วิชัย หมายความว่าบุคคลที่ไม่ได้ฟังธรรมจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่สามารถจะรู้เข้าใจได้ว่าแม้ขณะที่กระทำกรรมชั่วก็เป็นธรรม แม้ขณะที่เว้นจากการกระทำความชั่วก็เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ จนกว่าไม่เป็นเรา ไม่ว่า "เห็น" "ได้ยิน" ไม่ใช่เพียงแค่ขณะนั้นขณะนี้ เพราะว่าดับความเห็นผิดที่เกิดเพราะความไม่รู้จนไม่เกิดอีกเลย ไม่มีเชื้อที่จะทำให้เห็นผิดได้อีกเลย ลองคิดดู และความเห็นผิดมีมานานเท่าใด ชาตินี้ก็แล้วกัน เดี๋ยวนี้ก็แล้วกัน ใช่ไหม แล้วดับความเห็นผิดไม่เกิดอีกเลย ขณะนี้ผู้ที่รู้ความจริงค่อยๆ สะสมการรู้ว่าขณะนี้เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เสียงใช่ไหม เกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย ก็เพียงปรากฏให้ได้ยินเท่านั้นเองแล้วก็หมดไป เสียงปรากฏเกิดขึ้นให้ได้ยิน และหมดไปฉันใด สิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้ก็เหมือนอย่างนั้น ทุกอย่างเป็นธรรมแต่ละอย่าง

    อ.คำปั่น ในการศึกษาในการฟังก็เพื่อเข้าใจถึงความเป็นจริงของธรรมที่ไม่ใช่เรา แต่ว่าธรรมก็หลากหลายมาก ทั้งสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมบ้าง รูปธรรมบ้าง ซึ่งก็เกิดขึ้นเป็นไปอยู่ทุกขณะในขณะนี้ การที่จะเข้าใจถึงความจริงของตัวธรรมจริงๆ ที่ไม่ใช่เรา เป็นสิ่งที่ยากอย่างยิ่ง แม้แต่ที่ท่านอาจารย์กล่าวถึงความดีความชั่วก็มีจริงๆ แต่ก็ไม่รู้เลยว่าเป็นธรรมที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ของธรรมเท่านั้น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเห็นพระคุณไหม พุทธานุสสติ ถ้าไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครจะมาบอกความจริงนี้ได้

    อ.คำปั่น ก็เป็นการศึกษาให้เข้าใจตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง พระองค์ทรงตรัสรู้ธรรมตามความเป็นจริง แล้วก็ทรงแสดงความจริงให้สัตว์โลกซึ่งเป็นผู้ที่ได้สะสมเหตุที่ดีมามีโอกาสได้ยินได้ฟัง ได้สะสมปัญญา และก็ได้รับประโยชน์จากพระธรรมตามกำลังปัญญาของตนเอง

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้ที่เข้าใจก็กำลังสะสมไป ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้เลย นอกจากปัญญาค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏตรงตามที่ได้ตรัสไว้ทุกคำ

    อ.คำปั่น ความจริงเป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น ไม่มีใครที่จะไปเปลี่ยนแปลง หรือว่าบังคับบัญชาได้ เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยจริงๆ ไม่ว่าจะกล่าวถึงธรรมใดก็ตาม ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น เมื่อมีโอกาสได้ยินได้ฟังความจริงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งเมื่อสักครู่ท่านอาจารย์ได้ปรารภถึงคุณของพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เวลาที่ได้ฟังพระธรรมได้อ่านข้อความจากพระไตรปิฎก หรือว่าแม้แต่เรื่องของพราหมณ์ที่ชื่อว่าสังคารวะพราหมณ์นี้ก็เช่นเดียวกัน จากที่ท่านมีความเห็นผิดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงของธรรม เมื่อได้ฟังความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็ทำให้ท่านได้เข้าใจตามความเป็นจริงแล้วก็ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต นี่ก็เป็นผลที่เกิดขึ้นจากการที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรมที่เป็นสิ่งที่หาฟังได้ยากจริงๆ ยากที่จะได้ฟัง แล้วก็ยากที่จะเข้าใจตามความเป็นจริง

    ผู้ฟัง เพราะอะไรถึงไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ว่าในการอาบน้ำไม่ใช่หนทาง

    ท่านอาจารย์ ก่อนฟัง พราหมณ์เข้าใจว่าอย่างไร

    ผู้ฟัง ก่อนฟัง ยังไม่เข้าใจ แต่คงต้องมีการสะสมที่ดีมาก่อน

    ท่านอาจารย์ ก่อนฟัง ไม่เหมือนฟังแล้ว ทุกคนไม่ว่าจะเป็นพราหมณ์คนนั้นพราหมณ์คนนี้ ไม่ใช่พราหมณ์คนนั้นไม่ใช่พราหมณ์คนโน้นแต่เป็นคนนี้ ก่อนฟังกับที่ได้ฟังแล้วก็ต้องต่างกัน ตามกำลังของการสะสมของปัญญา

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วถ้าเราศึกษาพระสูตรแต่ละพระสูตร ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องราวในพระสูตร แต่ความสนใจต้องเน้นไปอยู่ที่ว่าเป็นธรรมอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นพระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม ทั้งหมดเป็นธรรม หรือแม้จะไม่กล่าวว่าพระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม ในสมัยที่ศาสนาอันตรธานไปแล้ว ก็ยังเป็นธรรม แต่ไม่มีใครรู้ความจริงว่าเป็นธรรม คุณชุณห์เคยได้ยินคำว่าอกุศลศีลไหม

    ผู้ฟัง เคยครับ

    ท่านอาจารย์ กุศลศีล

    ผู้ฟัง เคยครับ

    ท่านอาจารย์ อัพยากตศีล

    ผู้ฟัง ก็เคยครับ

    ท่านอาจารย์ อยู่ไหน

    ผู้ฟัง ก็เป็นธรรมทั้งนั้น

    ท่านอาจารย์ เมื่อใด

    ผู้ฟัง ขณะนี้ เดี๋ยวนี้

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    อ.คำปั่น ก็เป็นพระดำรัสที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสกับสังคารวะพราหมณ์ "ดูกรพราหมณ์ ห้วงน้ำคือธรรม มีศีลเป็นท่า ไม่ขุ่น สัตบุรุษสรรเสริญต่อสัตบุรุษ ซึ่งเป็นที่ที่บุคคลผู้ถึงเวทอาบแล้ว บุคคลผู้มีตัวไม่เปียกเท่านั้นจึงจะข้ามถึงฝั่งได้"

    ท่านอาจารย์ แล้วก่อนนั้น

    อ.คำปั่น ก่อนหน้านั้นก็เป็นการสนทนาของพราหมณ์กับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามก่อนว่า "ดูกรพราหมณ์ ท่านเห็นอำนาจประโยชน์อะไร จึงได้มีลัทธิถือความบริสุทธิ์ด้วยน้ำ ปรารถนาความบริสุทธิ์ด้วยน้ำ ประพฤติการลงอาบน้ำ ชำระร่างกายทั้งเวลาเย็น เวลาเช้า เป็นนิตย์"

    ท่านพราหมณ์ก็เลยกราบทูลพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า "ท่านพระโคดม บาปกรรมใดที่ข้าพระองค์ทำในเวลากลางวัน ข้าพระองค์ลอยบาปกรรมนั้นเสียด้วยการอาบน้ำในเวลาเย็น บาปกรรมใดที่ข้าพระองค์ทำในเวลากลางคืน ข้าพระองค์ลอยบาปกรรมนั้นเสียด้วยการอาบน้ำในเวลาเช้า ท่านพระโคดม ข้าพระองค์เห็นอำนาจประโยชน์นี้แหละ จึงได้ชื่อว่า มีลัทธิถือความบริสุทธิ์ด้วยน้ำ ปรารถนาความบริสุทธิ์ด้วยน้ำ ประพฤติการลงอาบน้ำชำระร่างกาย ทั้งเวลาเย็น เวลาเช้า เป็นนิตย์"

    ท่านอาจารย์ เหมือนทุกคนไหม ก็ธรรมดา แต่ไม่ได้เข้าใจว่ากิเลสไม่ได้ล้างด้วยน้ำ เท่านั้นเอง ไม่ยุ่งยากอะไรใช่ไหม คนที่เข้าใจผิดคิดว่ากิเลสล้างด้วยน้ำ ก็อาบน้ำเพราะว่าทำบาปตอนกลางวันก็ไปอาบตอนเย็น

    อ.คำปั่น และในอรรถกถาในส่วนอื่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้แสดงถึงความเป็นจริงว่า สิ่งที่จะชำระสิ่งที่เป็นอกุศลได้ ก็ต้องเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกัน สิ่งที่ตรงกันข้ามกับอกุศลไม่ใช่ห้วงน้ำที่ลงไปอาบ สิ่งที่ตรงกันข้ามกับอกุศลที่จะสามารถดับอกุศลได้ ก็ต้องเป็นปัญญาเป็นความเข้าใจถูกเห็นถูกเท่านั้น เพราะฉะนั้นหนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญาเท่านั้น ที่จะเป็นไปเพื่อชำระล้างบาปธรรมได้อย่างหมดสิ้นจริงๆ

    ท่านอาจารย์ เมื่อเช้ามีบาปไหม กลางวัน เย็น กลางคืนด้วย ก็มี แต่ว่าอะไรจะชำระล้าง ก็เท่ากับสูตรนี้ที่ได้ฟัง

    ผู้ฟัง ธรรมที่เกิดขึ้นก็เป็นสิ่งที่บังคับบัญชาไม่ได้

    ท่านอาจารย์ บังคับบัญชาไม่ได้ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ค่ะ

    ท่านอาจารย์ แต่เข้าใจว่าเป็นธรรมได้ไหม

    ผู้ฟัง เข้าใจได้ว่าเป็นธรรม จริงๆ แล้วเมื่อขณะที่อกุศลจิตเกิด เมื่อมีความเข้าใจว่าในเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นบังคับไม่ได้

    ท่านอาจารย์ นี้เป็นปัญญาหรือไม่

    ผู้ฟัง ก็คือความเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ อย่าไปบังคับ เพราะเมื่อสักครู่พูดว่าบังคับไม่ได้

    ผู้ฟัง แต่เมื่อเรามาศึกษาธรรม เราก็เข้าใจว่าเลือกไม่ได้ที่จะเกิด แล้วนอกจากเลือกไม่ได้แล้ว ยังล่วงทั้งกาย และวาจาด้วยซ้ำไป แต่ว่าการชำระจิตล่ะ

    ท่านอาจารย์ แล้วใครที่เป็นเช่นนั้น

    ผู้ฟัง ก็ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตน

    ท่านอาจารย์ นั่นคือการชำระด้วยความเข้าใจถูก ก่อนอื่นไม่ใช่ไปดับกิเลสอื่นทั้งหมด โทสะดับไม่ได้ โลภะระดับไหนก็ดับไม่ได้ ความติดข้องในรูปที่กำลังเห็น ในเสียงในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ดับไม่ได้ ถ้ายังไม่ได้ดับการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน

    ผู้ฟัง แล้วการชำระจิตจริงๆ คือความเห็นถูกเข้าใจถูก

    ท่านอาจารย์ ใครชำระ

    ผู้ฟัง ปัญญา

    ท่านอาจารย์ เป็นเราหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ เมื่อใดที่รู้ว่าไม่ใช่เรา เมื่อนั้นเป็นความเห็นถูก

    ผู้ฟัง คือคิดว่าเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ คิดเกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัย อยากจะคิดอะไรก็ได้ หรือว่าที่คิดอย่างนี้เพราะเหตุปัจจัยไม่ใช่เรา ความเข้าใจอย่างนี้ค่อยๆ ละว่าเป็นเราคิด เพราะเหตุว่าความจริงคิดก็ต้องเกิดเพราะเหตุปัจจัย ทั้งหมดเป็นธรรมจนกว่าจะทั่ว ไม่เหลือความเป็นเรา หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงเลย เห็นอะไร

    ผู้ฟัง เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ตอบเพราะว่าคิด

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นคิดเป็นคิด แต่ว่ายังไม่รู้ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เราเคยยึดถือว่าเป็นสิ่งที่เที่ยง กว่าจะเห็นว่าทั้งหมดเกิดดับ คิดดู ที่จะละความเป็นตัวตน และการยึดถือได้ ถ้าไม่ประจักษ์อย่างนั้นจริงๆ ไม่มีทางเลยที่จะละการที่เคยยึดถือสิ่งหนึ่งสิ่งใดว่าเป็นนั่น เป็นนี่เ ป็นเรา จิตคิดถูกหรือคิดผิด เวลายึดถือสิ่งหนึ่งสิ่งใดว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้เที่ยง ถูกหรือผิด

    ผู้ฟัง ผิด

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นชำระ เมื่อเห็นถูกว่าไม่ใช่สิ่งที่เที่ยง เพียงเกิดขึ้นปรากฏแล้วก็หมดไป

    อ.ธิดารัตน์ ถ้าไม่ได้มีโอกาสฟังธรรม ก็จะไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่าขณะใดเป็นกุศล ขณะใดเป็นอกุศล ขณะใดที่ค่อยๆ ที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง ขณะนั้นจิตก็ประกอบด้วยความผ่องใส ค่อยๆ ขัดเกลาอกุศล และธรรมทั้งหลายในขณะนั้นเพิ่มขึ้นๆ อันนี้ก็คือประโยชน์จากการที่ว่าค่อยๆ ที่จะเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น จนถึงเข้าถึงลักษณะของสภาพธรรม นี้ก็ยังเป็นเบื้องต้นอยู่ ยังไม่ถึงการดับกิเลส เพราะว่าเป็นการแค่รู้จักลักษณะของธรรมตามความเป็นจริง รู้จักกิเลสที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง แล้วก็ต้องรู้ลักษณะของกุศลตามความเป็นจริงด้วย

    อ.คำปั่น ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่ปัญญาจะนำพาไปในทางที่ผิด เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าปัญญามีแต่จะนำไปสู่ความถูกทั้งหมด นำไปสู่คุณความดีทั้งปวง นี่คือคุณของปัญญา

    มีคำถามที่จะกราบเรียนถามท่านอาจารย์ ถึงการที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังได้ศึกษาพระธรรม เบื้องต้นก็ฟังให้เข้าใจถึงความเป็นจริงของธรรมที่มีจริงที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ซึ่งก็ไม่พ้นจาก ๖ ทางนี้เลย แต่บ่อยครั้งที่มีผู้ร่วมสนทนามาถามท่านอาจารย์ถึงประเด็นธรรมประการต่างๆ ท่านอาจารย์ก็จะถามว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นธรรม ขณะนี้ก็มีความสงสัยว่าในประเด็นที่ท่านอาจารย์กล่าวถึงว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นธรรม จะมีความละเอียดอย่างไร เพราะว่าจริงๆ ก็มีแต่ธรรมที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ จากที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวให้ได้คิดว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นธรรม จะมีความละเอียดอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ธรรมดาถ้าได้ถาม ก็จะตอบว่าเป็นธรรม

    อ.คำปั่น ใช่ครับ

    ท่านอาจารย์ แต่พอมีเรื่องราวเกิดขึ้น ก็ลืมแล้ว เป็นเราแล้ว เรื่องเราทั้งนั้น อย่างบางคนก็ถามว่าถ้าโกรธเกิดขึ้นจะทำอย่างไร นี่หรือธรรม ใช่ไหม เพราะฉะนั้นก็เป็นการเหมือนเตือนให้คนนั้นไม่ลืม ที่จะคิดออกว่าขณะนั้นควรจะเข้าใจให้ถูกต้องว่าไม่มีเรา ไม่ต้องหาวิธีที่จะไม่โกรธ ใช่ไหม เพราะว่ามีเหตุที่จะให้โกรธ โกรธก็ต้องเกิดขึ้นโกรธ แต่หนทางที่จะไม่ให้มีโลภะ โทสะ โมหะ หรือกิเลสใดๆ เลย ต้องตามลำดับขั้น ยังเป็นเราแท้ๆ แล้วจะไม่ให้โกรธได้อย่างไร แต่ถ้ารู้ว่าเป็นธรรม ความโกรธจะน้อยลง แต่เพราะรู้ด้วยว่าขณะนั้นโกรธก็ไม่ใช่เรา แต่ว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นจะขาดความรู้ความเข้าใจว่าเป็นธรรมไม่ได้

    อ.คำปั่น ท่านอาจารย์กล่าวถึงว่าเมื่อเข้าใจถูกเห็นถูกในความเป็นจริงของธรรม ความโกรธก็จะน้อยลง ในตรงนี้ความเกื้อกูลกันจะเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ถ้าคนที่เราโกรธเป็นธรรมที่เกิดดับ โกรธอะไร เสียเวลาใช่ไหม บังคับไม่ให้ธรรมนั้นเกิดก็ไม่ได้ ธรรมนั้นเกิดแล้วก็หมดไป แล้วโกรธอะไร คนที่เราโกรธเขาเป็นธรรมหรือไม่ ขณะนั้นมีอะไรที่ไม่เกิดดับบ้าง แล้วโกรธอะไร เพราะฉะนั้นต้องเป็นปัญญาตามระดับขั้นที่ไม่หลงลืมด้วย เพราะฉะนั้นการที่เราฟังธรรมบ่อยๆ ก็เพื่อให้ไม่ลืมสิ่งที่เป็นความจริงที่เราได้เริ่มเข้าใจแล้ว แต่ว่าเริ่มเข้าใจแค่นั้นไม่พอ จนกว่าจะมีความมั่นคง จนกระทั่งรู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง

    อ.คำปั่น ก็เป็นประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่ง เพราะว่ามีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ไม่มีสัตว์ไม่มีบุคคลไม่มีตัวตนเลย แต่ว่ากว่าจะประจักษ์แจ้งถึงความเป็นจริงของธรรมที่ไม่ใช่ตัวตน ก็ต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานในการที่จะสะสมความเข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อย

    อ.กุลวิไล จำที่ท่านอาจารย์เคยกล่าวว่าโกรธใคร เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้นเอง เพราะจริงๆ แล้วเราไม่รู้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ความไปยึดถือว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นบุคคลใดบุคคลหนึ่งก็เลยทำให้ขุ่นเคืองใจ เพราะฉะนั้นท่านอาจารย์ก็เลยกล่าวว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาทำอะไรเราก็ไม่ได้เพราะว่าเป็นธรรม

    อ.คำปั่น จากคำถามที่ว่าอะไรคือความเป็นสากลของพระพุทธศาสนา ท่านอาจารย์ก็กล่าวถึงว่าคือความจริง

    อ.วิชัย ไม่ว่าจะเป็นคนนี้กลุ่มนี้กลุ่มไหนก็แล้วแต่ในประเทศนี้ หรือมนุษย์ในประเทศไหนหรือสัตว์ในอบายภูมิ หรือเทวโลก หรือแม้แต่พรหมโลก มีจิตที่เกิดขึ้น จิตไม่ใช่ของใคร ไม่ได้เป็นใครเลย แต่เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งเกิดแล้วด้วยมีเหตุปัจจัย แต่ที่กล่าวว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ก็คือโดยสมมติ แต่ความจริงแท้ๆ ก็มีเพียงจิตคือธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ และยังมีธรรมที่เกิดร่วมกันกับจิตด้วยที่ปรุงแต่งจิต ก็แสดงถึงว่าสิ่งที่เป็นสากลคือความจริงไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม บุคคลไหนก็ตาม โดยแท้จริงก็มีปรมัตถธรรมคือธรรมที่มีจริงๆ แล้วก็ไม่แปรผันเป็นอย่างอื่น

    ท่านอาจารย์ คุณธิดารัตน์คะ เรื่องสุปปพุทธะยังมีต่อบ้างไหม

    อ.ธิดารัตน์ ท่านก็ไปที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอยู่ แล้วก็คิดว่าจะลองเข้าไปดูเผื่อจะได้อาหาร แล้วก็เข้าไปก็นั่งฟังธรรม แล้วก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน แล้วก็ยังมีพระอินทร์ก็มาทดสอบว่า สุปปพุทธะได้ฟังธรรมแล้ว บรรลุธรรมหรือไม่ ก็มาถามว่าท่านจะกล่าวได้ไหมว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไม่มีจริง หรืออะไรเช่นนี้ ให้กล่าว เขาก็บอกว่าไม่ได้ พระอินทร์ก็บอกว่าท่านเป็นคนจนเช่นนี้ เข้ามาในที่นี้ สุปปพุทธะเขาก็บอกว่าบัดนี้เขาไม่ใช่คนจนแล้ว เพราะว่าได้อริยทรัพย์ พระอินทร์ก็ยังไม่แน่ใจ ก็ยังไปทูลถามพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พยากรณ์อีกครั้งหนึ่ง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้พยากรณ์ว่าสุปปพุทธะกุฏฐิบรรลุเป็นพระโสดาบัน เพราะฉะนั้นก็เป็นผู้ที่มีทรัพย์

    อ.คำปั่น ความยากจนก็ไม่ได้เป็นเครื่องกั้นในการที่จะมีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ขึ้นอยู่กับการสะสมของผู้นั้นจริงๆ ว่าจะเป็นผู้เห็นประโยชน์ของพระธรรมมากน้อยแค่ไหน เพราะว่าจริงๆ แล้วไม่มีใครรู้ถึงการสะสมของตนเองว่าจะเป็นอย่างไร จากเบื้องต้นที่มีความประสงค์ที่จะไปขออาหาร ซึ่งมีการถวายภัตตาหารแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระภิกษุสงฆ์ที่เป็นบริวาร ท่านก็มีความมุ่งหมายที่จะขออาหาร ซึ่งในวันนั้น ในอรรถกถาก็ได้แสดงว่าท่านก็ได้รับอาหารด้วยจากอาหารที่เหลืออยู่ และท่านก็คิดว่าในเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม เราก็ควรที่จะฟัง ท่านได้ฟังธรรม ได้รู้แจ้งธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคลคือได้เป็นพระโสดาบัน เป็นผู้ที่มีทรัพย์อันประเสริฐเกิดขึ้นพร้อมถึงความเป็นพระอริยบุคคลก็เป็นผู้ที่มีทรัพย์ของพระอริยะ จากชีวิตที่ยากจนเข็ญใจในโลกมนุษย์ แล้วได้รู้แจ้งธรรมถึงความเป็นพระโสดาบัน แต่ก็ไม่มีใครที่จะรู้ว่าความตายจะมาถึงเมื่อใด ก็เป็นกาลที่กรรมจะให้ผล ก็ทำให้ท่านสิ้นชีวิตจากคนยากจน ก็ไปเกิดเป็นเทวดาซึ่งก็มีความพร้อมทุกอย่าง เหนือเทวดาองค์อื่นๆ ก็เป็นความเป็นไปของผู้ที่เป็นพระอริยบุคคลในอดีต เห็นถึงการสะสมมา แล้วก็เห็นถึงคุณของพระธรรมที่ทำให้ผู้ฟังผู้ศึกษาได้รับประโยชน์จากพระธรรม ตามกำลังปัญญาของตนอย่างแท้จริง

    ท่านอาจารย์ แล้วก็สำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอริยบุคคล เกิดในสวรรค์ เมื่อสิ้นชีวิตก็ตกนรกได้ ประมาทไม่ได้เลย

    อ.คำปั่น ท่านอาจารย์ก็กล่าวในช่วงท้ายว่าจะเป็นผู้ประมาทไม่ได้เลย ก็ลองพิจารณาดูถึงคำสนทนาที่เกิดขึ้น ณ สถานที่ตรงนี้ ที่ท่านอาจารย์ได้ถามว่าในห้องนี้มีนกหรือไม่ มีผีเสื้อหรือไม่ ทุกคนก็มองหาว่านกอยู่ตรงไหน ผีเสื้ออยู่ตรงไหน ก็เป็นคำเตือนให้ได้เข้าใจว่า ไม่มีใครที่จะรู้ได้ว่าภพภูมิข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่ว่าขณะนี้โอกาสนี้ที่เป็นมนุษย์ มีโอกาสที่จะได้สะสมปัญญา มีโอกาสที่จะได้สะสมความดีในชีวิตประจำวัน ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย ก็ตรงกับคติธรรมของชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ว่า "ทำดี และศึกษาพระธรรม" เป็นคำที่มีค่า เป็นคำที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง แล้วก็เป็นคำที่ไม่ควรลืม ควรที่จะได้ใส่ใจอยู่ตลอดว่า ศึกษาธรรมแล้วก็น้อมประพฤติตามพระธรรม เป็นคนดีแล้วก็ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ

    ในวันนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่มีค่า ที่ได้สะสมปัญญาได้สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริง ก็ขอฝากประโยคที่ควรเก็บไว้ในหทัย ซึ่งท่านอาจารย์ก็ได้สนทนาที่นี่เมื่อหลายปีที่แล้ว ท่านอาจารย์กล่าวถึงว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรม ทรงแสดงธรรม ดังนั้นผู้ฟังก็ควรที่จะฟังธรรม เพื่อจะได้เข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่พระองค์ทรงแสดง ก็เป็นคำที่กล่าวซ้ำๆ เพื่อให้เข้าใจถึงความเป็นจริงของธรรมนั่นเอง

    ท่านอาจารย์ แล้วต้องเป็นผู้ตรง นับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่ นับถือแล้วฟังธรรมหรือไม่ ถ้าไม่ฟังชื่อว่านับถือหรือไม่ เพราะฉะนั้นไม่ใช่เพียงแต่นับถือ แต่ต้องรู้ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าคือใคร เมื่อนับถือแล้วก็ต้องศึกษาพระธรรมด้วย มิฉะนั้นไม่ชื่อว่าเคารพ เพียงนับถือแต่ไม่ศึกษาพระธรรม จะเคารพได้อย่างไร


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 194
    21 ก.พ. 2567

    ซีดีแนะนำ