พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 537


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๕๓๗

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๒


    ท่านอาจารย์ ยังไม่ใช่ทุกอย่างเลย แล้วจะไปเกิดดับได้อย่างไร เพียงได้ยินว่า ทุกอย่างเป็นธรรม แล้วจะไปถึงการเกิดดับ เป็นไปไม่ได้

    ผู้ฟัง ผมก็เชื่อตามอาจารย์

    ท่านอาจารย์ เชื่อ แต่เป็นคุณเด่นพงศ์ ไม่ใช่ขณะคิด ไม่ใช่ขณะเห็น ไม่ใช่ขณะจำ ซึ่งเป็นสภาพธรรมแต่ละอย่าง ขณะนี้จำคำที่ได้ยิน

    ผู้ฟัง คือต้องเอาทุกอย่างเป็นธรรมจริงๆ

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    ผู้ฟัง ลืมตัวเองหมดเลย

    ท่านอาจารย์ ลืมเป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ลืมความเป็นตัวเองให้หมดเลย

    ท่านอาจารย์ ก็ไม่มีเรา กำลังฟัง

    ผู้ฟัง คิดเรื่องเกิดดับก็ไม่ใช่ผมคิด

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรม ถ้ายังไม่เป็นธรรม ก็คือไม่มีทางประจักษ์การเกิดดับ เพราะยังเป็นเรา ยังเป็นเพื่อน ยังเป็นเก้าอี้ แม้แต่คำว่า “ธรรม” ประมาทไม่ได้เลย ฟังเรื่องธรรมทั้งๆ ที่ธรรมกำลังปรากฏ แต่ไม่รู้จักตัวธรรม ว่าเป็นธรรมที่กำลังพูดถึง

    ผู้ฟัง ขณะนี้ผมก็ไม่ทราบว่าท่านอื่นจะเห็นเหมือนผมหรือเปล่า ผมก็ยังอธิบายเรื่องโต๊ะมันดับไม่ได้อยู่ดี

    ท่านอาจารย์ ขอถามนิดหนึ่งว่า คุณเด่นพงศ์เห็นโต๊ะไหม

    ผู้ฟัง เห็น

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ คุณเด่นพงศ์เห็นแล้วคิด มีเห็น แล้วก็คิดถึงรูปร่าง แล้วก็จำได้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แม้ไม่เรียกว่าโต๊ะ ก็มีเห็น แล้วก็มีการจำได้

    ผู้ฟัง ก็เป็นมหาภูตรูป

    ท่านอาจารย์ นั่นคือนึกอีกแล้ว ไม่ใช่ทุกอย่างเป็นธรรมแล้ว เป็นคุณเด่นพงศ์นึกต่อ พอได้ยินคำนี้ก็นึกต่อไปเลย

    อ.กุลวิไล การที่จะรู้ตัวจริงของธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เป็นสิ่งที่ค่อนข้างลึกซึ้ง และยากมาก เพราะส่วนใหญ่เราจะคิดเลย ทั้งๆ ที่ตัวจริงของธรรมแต่ละทางก็มีจริง เพราะฉะนั้น การจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่าง แต่ละทาง ต้องอาศัยการไตร่ตรอง แล้วพิจารณาในสภาพธรรมที่ปรากฏในขณะนี้ ถ้าเป็นสิ่งที่มีจริง เป็นธรรม สิ่งนั้นต้องเกิด และดับแน่นอน

    ท่านอาจารย์ มี ก็ไม่รู้จัก กำลังปรากฏก็ไม่รู้จักอีก ในลักษณะแท้ๆ ที่เป็นธรรม คิดดู แข็ง รู้จักลักษณะที่เป็นธรรมหรือเปล่า หรือว่าแข็งกระทบมาทั้งวันก็ลืมว่า ลักษณะนั้นมีจริง ต้องเป็นธรรม ยังไม่ต้องไปประจักษ์การเกิดดับ เพียงแต่ว่าไม่ว่าอะไรปรากฏ ก็ไม่ลืมที่จะเข้าใจให้ถูกต้องว่า เป็นลักษณะของธรรมหนึ่ง ทางหู มีอะไรปรากฏ นั่นก็เป็นลักษณะของธรรมหนึ่ง เสียงกำลังปรากฏ ไม่ต้องเรียกว่าเสียงเลย เป็นลักษณะของธรรมหนึ่ง แข็งปรากฏ ก็เป็นลักษณะของธรรมหนึ่ง

    ถ้าทุกอย่างเสมอกันหมด คือ ธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งมีลักษณะแต่ละหนึ่ง ก็จะค่อย คลาย และค่อยๆ เริ่มรู้จักลักษณะของสภาพธรรม ไม่ได้รู้จักธรรม เพราะเหตุว่าฟังเรื่องราวธรรม แต่ว่าเวลากระทบสัมผัสจริงๆ ลืมเข้าใจว่า ขณะนั้นเป็นลักษณะของธรรม

    อ.กุลวิไล เพราะฉะนั้น ที่เรียกว่า โต๊ะ ต้องรู้ว่า ตัวจริงของโต๊ะคืออะไร เพราะว่าโต๊ะ เก้าอี้ เราตั้งชื่อไว้มากมาย แต่สภาพธรรมที่เป็นจริง เป็นธรรมนั้น ต้องมีลักษณะ ขณะที่เห็น ที่เราเรียกว่า เห็นคน แต่จริงๆ แล้ว ต้องมีสิ่งที่ปรากฏทางตาก่อนแน่นอน แต่สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ไม่ใช่คน เพราะฉะนั้น ขณะทันทีที่เห็น ก็ไม่ใช่ขณะที่เสียงกำลังปรากฏ

    ถ้าเราไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ต่างกัน แม้แต่แข็งในขณะนี้ ถ้าแข็งปรากฏจะไม่มีเห็น นี่คือลักษณะที่ต่างกัน แต่ความรวดเร็วของสภาพธรรมที่เกิดดับในขณะนี้ และการที่จะรู้ถึงลักษณะของสภาพธรรมเป็นเรื่องของปัญญา และยิ่งเห็นความเกิด และดับของสภาพธรรม ก็ต้องเป็นปัญญาขั้นสูงด้วย เพราะฉะนั้น ขั้นแรกของตัวธรรมที่ต่างกันแต่ละทาง ก็เป็นสิ่งที่ต้องอบรมเพื่อเข้าถึงตัวจริงได้

    ผู้ฟัง เหมือนกับทุกอย่างอยู่ที่เราไม่รู้จักธรรม แล้วยังสลัดคำว่า ตัวตนของเราออกไปไม่ได้ ยังมองเห็นโต๊ะเป็นโต๊ะ เพื่อเอามาอธิบายกับธรรม ปรมัตถธรรมขั้นสูง ก็เลยอธิบายยาก อย่างนั้นหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ เพราะความจริง ธรรมเป็นธรรม แล้วกำลังมีธรรมปรากฏ ถ้าไม่มีการเข้าใจจากขั้นการฟัง ไม่สามารถรู้ความเป็นธรรมของธรรมที่กำลังปรากฏได้เลย นี่แสดงให้เห็นถึง ความไม่รู้มากมายแค่ไหน ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทุกชาติ ไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียว ความไม่รู้ก็คือ ไม่รู้จักตัวธรรมว่าเป็นธรรม

    เพราะฉะนั้น ถ้าจะรู้ ไม่ได้รู้อื่นเลย เริ่มรู้ลักษณะที่มีจริงๆ แต่ละลักษณะ จากการที่เข้าใจแล้วว่า เป็นสิ่งที่มีจริง และเป็นธรรมแต่ละอย่าง อย่างแข็ง เป็นเราหรือเปล่า หรือเป็นโต๊ะ หรือเป็นเก้าอี้ หรือเป็นจาน หรือเป็นถ้วยแก้ว เวลาที่แข็งปรากฏเป็นอะไร

    ผู้ฟัง เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ถ้าเราคุ้นเคยกับธรรมบ่อยๆ นั่นเริ่มรู้จักธรรม ตัวจริงๆ ของธรรมมี และเริ่มรู้จักธรรมด้วย

    ผู้ฟัง เมื่อสักครู่ที่ผมกราบเรียนท่านอาจารย์ว่า เราพยายามปนธรรมกับสมมติสัจจะกับปรมัตถสัจจะ แล้วเอาสมมติที่โต๊ะมาอธิบายลักษณะที่เป็นปรมัตถ์ ก็เลยเป็นคนอธิบายเสียอีก ก็เลยอธิบายไม่ออก

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นเรา แต่ถ้าคิดว่า ธรรมสามารถปรากฏให้รู้ได้ ๖ ทาง เราจะไม่ใช้คำว่า “บัญญัติ” ไม่ใช่อะไรหมดเลย มีสิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ต้องใช้คำอะไรทั้งสิ้น แล้วก็จำ มีจริงๆ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ จำอะไรในขณะที่มีสิ่งที่ปรากฏทางตา จำสิ่งที่ปรากฏทางตา

    ผู้ฟัง รูปารมณ์

    ท่านอาจารย์ เอารูปารมณ์เข้ามาอีกแล้ว ก็มาปิดบังถอยห่างจากการที่จะถึงตัวธรรมที่กำลังปรากฏจริงๆ โดยเอาชื่อเข้ามาใส่แล้ว แต่เอาชื่อออกหมดเลย ก็มีสิ่งที่กำลังปรากฏ โดยไม่ต้องเรียก นี่คือการจะรู้จักธรรมจริงๆ ว่าธรรมไม่มีชื่อที่จะต้องเรียก แต่เมื่อไรนึกถึงชื่อ ขณะนั้นไม่ใช่รู้จักลักษณะ ไม่ใช่รู้ตัวจริงของธรรมซึ่งไม่มีชื่อ

    ผู้ฟัง ขอต่อไปอีกนิด ที่ท่านอาจารย์เคยสนทนากับพวกเรานานมาแล้ว คือเรื่องวิบาก ตาเห็น ก็บอกว่าเป็นวิบากกรรม ที่จริงไฟไหม้บ้านไม่ใช่วิบาก แค่ตาเห็นเป็นวิบาก ผมถามว่า อย่างนั้นไฟไหม้บ้านเป็นอะไร ก็เป็นธรรม เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมา แล้วบ้านเป็นของใคร ไฟเป็นอะไร ทุกอย่างเป็นธรรม ผมก็พยายามว่าจริง แต่ก็ไม่จำ ก็กลับไปที่เก่า ถ้าไฟไหม้บ้าน คนมาตีหัว ก็เป็นวิบาก ที่จริงไม่ใช่เป็นการเห็น การเจ็บมากกว่า

    ท่านอาจารย์ คุณเด่นพงศ์นึกถึงคำว่า วิบาก แต่ไม่รู้จักตัววิบาก

    ผู้ฟัง รู้สึกอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ วิบากเป็นอะไร

    ผู้ฟัง เป็นจิตที่เห็น จิตได้ยิน

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้เป็นจิตที่เห็นหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็น

    ท่านอาจารย์ ต้องเรียกวิบากหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เรียก ถ้าเห็นเดี๋ยวนี้ก็เป็นวิบาก

    ท่านอาจารย์ ต้องเรียกไหม

    ผู้ฟัง ไม่ต้อง

    ท่านอาจารย์ แต่สามารถที่จะเข้าใจได้ไหม ว่าขณะเห็นเป็นธรรมที่กำลังมี ที่กำลังเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด นี่คือการรู้จักตัวธรรม

    ผู้ฟัง กระผมกำลังจะกราบเรียนท่านอาจารย์ว่า พอเห็นขณะนั้น เราไปนึกถึงคำว่า “วิบาก” คือผลของกรรมที่เราไปเอาไฟจุดเผาบ้านใครต่อใครสมัยก่อน แล้วมาไหม้บ้านเราสมมติ หรือเราไปตีหัวใคร แล้วเขามาตีหัวเรา เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องอธิบาย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ตอนนี้คุณเด่นพงศ์กำลังเรียนเรื่องไฟไหม้บ้าน เรียนเรื่องคนตีหัว เรียนเรื่องอะไรๆ แต่ไม่ได้เรียนธรรมไง ก็ไปเรียนเรื่องคนตีหัว กับเรื่องไฟไหม้บ้าน

    อ.กุลวิไล ดูเหมือนมีผู้ที่จะร่วมสนทนาประเด็นของคุณเด่นพงศ์

    ผู้ฟัง คำถามของคุณเด่นพงศ์ ที่จริงผมฟังเอ็มพี ๓ เก่าๆ ได้ประโยชน์มาก คำถามของคุณเด่นพงศ์ทำให้ผมมีความรู้มากมาย เมื่อมาพูดเรื่องโต๊ะ ทุกคนคงยังมีความสงสัยอยู่ว่า ทำไมโต๊ะไม่ดับ ไม่เกิด จากการศึกษามานิดๆ หน่อยๆ ก็คิดว่า ปัญญาขั้นสูงเท่านั้นถึงจะรู้ว่า รูปเกิดดับอย่างไร แต่ความคิดของกระผมถ้าเราเปรียบเทียบกับภาพยนตร์ได้ไหมว่า มันเกิดดับเร็วมาก แต่ละรูปๆ อาจจะเป็น ๒๐ – ๔๐ รูปต่อวินาที ภาพแต่ละภาพซ้อนๆ กัน ถึงแม้จะนั่งเฉยๆ การเคลื่อนไหวทางตา เรามองไม่เห็น รูปจะเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ เกิดดับตลอดเวลา ส่วนโต๊ะก็เหมือนกัน แม้จะอยู่เฉยๆ แต่ก็ต้องเกิดดับ มีฝุ่นจับ ตาเราไม่สามารถจะมองเห็นได้ อันนี้ไม่ทราบว่า เป็นการเปรียบบเทียบ จะเข้าหลักหรือไม่

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นความคิด ในสิ่งที่จะทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังพูดถึง ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะหรืออะไรก็ตามแต่ แต่ความละเอียดที่จะต้องไตร่ตรองก็คือว่า เห็นโต๊ะ หรือว่า เห็นอะไร เห็นไหม เราพูดถึงโต๊ะ เหมือนมีโต๊ะ เหมือนรู้จักโต๊ะ เหมือนคิดถึงโต๊ะ จะเห็นหรือไม่เห็น ก็จำไว้ว่าเป็นโต๊ะ แต่ถ้าถามว่า ขณะนี้เห็นโต๊ะหรือเห็นอะไร

    ผู้ฟัง เห็นแต่สี โต๊ะก็เป็นเพียงสัญญา

    ท่านอาจารย์ มีสิ่งที่ปรากฏ นี่คือเริ่มเข้าใจถูกที่จะรู้ว่า โต๊ะจริงๆ คืออะไร ไม่มี แต่มีสิ่งที่ปรากฏทางตาเมื่อเห็น ถ้าไม่เห็น ก็จะไม่มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นในขณะนี้ได้ แต่มีสิ่งอื่นที่กำลังปรากฏ เช่น เสียง

    เพราะฉะนั้น สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่กำลังปรากฏ ก็เป็นธรรมซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เลือกก็ไม่ได้ ที่จะให้เห็น ให้ได้ยิน หรือให้คิด แต่ต้องรู้จริงๆ ว่า อะไรเกิด โต๊ะไม่ได้เกิดแน่นอน แต่สิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้ แม้ไม่รู้ว่าเกิด แต่ก็ต้องเกิด จึงปรากฏได้ คือเริ่มเข้าใจว่า มีสิ่งที่เราไม่รู้มากมาย อย่าไปเจาะจงเข้าใจให้โต๊ะเป็นรูปที่เกิดดับ แต่ต้องมีความเข้าใจว่า สิ่งที่มีจริงๆ คืออะไรก่อน อย่างเราบอกว่า โต๊ะมี แต่จริงๆ โต๊ะไม่เกิด แต่ว่ามีสิ่งที่ปรากฏทางตาที่เห็นสิ่งที่เกิด ปรากฏให้เห็น แล้วก็เห็นสิ่งที่เคยจำได้ในรูปร่างสัณฐานนี้ ไม่ต้องเรียกว่า โต๊ะ เพราะอะไร เพราะโต๊ะมีหลายรูปแบบ เก้าอี้ก็มีหลายรูปแบบ โต๊ะยาว โต๊ะเหลี่ยม โต๊ะกลม ก็เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ต้องมีสิ่งที่ปรากฏทางตาแน่นอน เพราะฉะนั้น อะไรจริงๆ เกิด โต๊ะกลมไม่ได้เกิด โต๊ะเหลี่ยมไม่ได้เกิด แต่ว่ามีสิ่งที่ปรากฏทางตาเกิด จึงปรากฏจริงๆ เห็นได้

    แต่เพราะเหตุว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏซ้ำมากมาย นับไม่ถ้วนขณะจิต ทำให้มีเป็นนิมิต ที่จะทำให้สัญญาไม่ได้เข้าใจถูก ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ เพราะนั่นต้องเป็นหน้าที่ของปัญญา สัญญาเพียงจำ ไม่ว่าอะไรจะปรากฏ จิตรู้อะไรขณะไหนสัญญามีหน้าที่จำทุกอย่าง เพราะว่าเกิดกับจิตทุกประเภท แต่ปัญญาไม่ได้เกิดในขณะนั้นเลย เพราะไม่เคยได้ยินได้ฟัง ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตามี เป็นลักษณะหนึ่ง และเพราะการเกิดดับสืบต่อเร็วมาก เพราะฉะนั้น จึงเป็นนิมิตของรูปที่เกิดดับ ทำให้จำแยกออกไปได้เลยว่า นี่เป็นคน นั่นเป็นโต๊ะ นั่นเป็นเก้าอี้ นั่นเป็นดอกกุหลาบ นั่นเป็นกิ่งไม้ นั่นเป็นพื้น นั่นเป็นข้าว นั่นเป็นกุ้ง นั่นเป็นปลา ฯลฯ นี่คือการจำสัณฐานของแต่ละอย่าง ซึ่งเกิดดับสืบต่อเร็วมาก เป็นอัตตสัญญา จำว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะเหตุว่าปัญญาไม่เกิด จึงไม่สามารถที่จะรู้ว่า แท้ที่จริงแล้วสิ่งที่ปรากฏ ความจริงเพียงปรากฏให้เห็นได้เท่านั้นเอง ในบรรดาสิ่งที่มีจริงทั้งหมด มีสิ่งเดียวคือสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นทางตาเท่านั้นที่สามารถปรากฏให้เห็นได้

    เพราะฉะนั้น ความจริงของธาตุชนิดนี้ หรือรูปชนิดนี้ คือเป็นสิ่งที่มีจริงที่กระทบจักขุปสาทรูป แล้วก็เป็นปัจจัยทำให้ธาตุชนิดหนึ่งเกิดขึ้นเห็น ธาตุอื่นเกิดจะเห็นไม่ได้เลย นอกจากธาตุนั้นๆ ซึ่งจะเรียกเต็มๆ ก็ได้ว่า จักขุวิญญาณธาตุ เพราะว่าเป็นวิญญาณ คือจิต ธาตุรู้ซึ่งอาศัยจักขุปสาทรูปเกิดขึ้นเห็น

    ในขณะนี้ ลองนึกถึงความน่าอัศจรรย์ของธรรม เห็นขณะนี้ ใครจะรู้ จักขุวิญญาณ สภาพเห็นเกิดที่จักขุปสาทรูป พร้อมเจตสิก เห็นแล้วดับ แต่จิตซึ่งเกิดสืบต่อไม่ได้ทำทำทัสนกิจ ไม่ได้เห็น แต่รู้ต่อ เพราะเหตุว่า อาศัยทวารนั้น และการกระทบกับรูปนั้น และทำให้เมื่อจิตเห็นดับไปแล้ว ก็เป็นปัจจัยให้จิตซึ่งเกิดต่อรู้รูปนั้นต่อ แล้วก็ดับไป แต่ไม่ได้เกิดที่จักขุปสาทรูป เกิดที่รูปอื่น คือที่หทยวัตถุ

    นี่คือความละเอียดของธรรม เพื่อที่จะให้เห็นว่า ไม่มีตัวตน เพราะฉะนั้น จะไปมุ่งที่จะไปประจักษ์โต๊ะเกิดดับไม่ได้ เพราะว่าโต๊ะไม่ได้เกิดขึ้นเลย แต่ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป และจิตที่คิดนึก และจำรูปร่างสัณฐานก็เกิดขึ้น ขณะนั้น ก็นึกถึงสิ่งที่เคยรู้ โดยไม่ต้องเรียกชื่อเลย ตื่นขึ้นมาไม่มีใครเรียกอะไรเลย สามารถที่จะตื่นขึ้นมาแล้วรับประทานอาหาร ทำอะไรได้ทุกอย่าง โดยไม่ต้องเรียกอะไรเลย แต่ก็จำได้หมดว่า อะไรเป็นอะไร แล้วมีชีวิตดำเนินไป แต่ด้วยการไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมซึ่งเกิดดับสืบต่อที่เร็วสุดที่จะประมาณได้

    เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องของปัญญา ไม่ใช่เป็นเรื่องของเราพยายามจะไปให้คนอื่นที่ไม่ได้ฟังธรรม แล้วสามารถมีปัญญาไปเห็นการเกิดดับของสภาพธรรมได้

    ผู้ฟัง ที่จะถามก็คิดว่าเป็นธรรม แต่ว่าไม่ทราบว่าเป็นกฎเกณฑ์ให้ตัดสินหรือเปล่า คือ จะถามเรื่องการแต่งกายไว้ทุกข์ให้แก่ผู้ถึงแก่กรรม ซึ่งจริงๆ แล้วอยู่ที่บ้านก็ยังไม่เป็นเอกภาพ หมายถึงว่าเป็นอิสระ ใครจะเชื่อเรื่องแต่งกายไว้ทุกข์ก็แต่ง คนที่เชื่อว่า ไม่เป็นกุศลหรืออกุศล ก็ตามสบาย จึงขอเรียนถามท่านอาจารย์ถึงความเป็นธรรมของการแต่งการไว้ทุกข์เป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก็เหมือนโต๊ะ เก้าอี้

    ผู้ฟัง ในความเข้าใจที่คิดว่าเป็นกุศลจิต ที่อุทิศส่วนกุศลให้คุณแม่ แต่การแสดงออกด้วยการแต่งกายไม่ได้บ่งบอกว่าเราได้ทำอะไรให้คุณแม่หลังจากที่เสียชีวิต แสดงว่าการแต่งกายไว้ทุกข์ก็เป็นโต๊ะ เพราะไม่มีจริง มีเมื่อคิด

    ท่านอาจารย์ แต่งกายไว้ทุกข์ โต๊ะ เก้าอี้ ศาลา วัด เป็นอะไร ศึกษาธรรมเพื่อที่จะเข้าใจธรรม

    ผู้ฟัง เป็นคำตอบที่ชัดเจน

    ผู้ฟัง อย่างเมื่อก่อนเราไม่ได้ศึกษาธรรม เราจับมะม่วงมาก็ปอก แล้วก็ทานเลย อย่างเมื่อวันศุกร์ เราจับมะม่วงมา เราก็ระลึกรู้ว่าเป็นแข็ง แล้วรู้แข็ง มีสี สีเขียว รู้สี เวลาเราปอก เวลาทานเข้าไป ก็รู้ว่ามีสภาพรู้หวานกับมัน แล้วก็มีรสนั้น ทีละทวาร และต่อมาก็คิด ก็รู้ว่ากำลังคิดว่า อันไหนมะม่วง มีตั้ง ๓ ทาง ก็ถามตัวเองอย่างนี้ ก็คิดว่า เมื่อก่อนนี้ไม่ได้เรียนถึงรวมกันเป็นมะม่วงเลย แต่หนูก็ยังสงสัยว่า การที่รู้ว่าเป็นมะม่วงต้องมีอยู่ตลอดไป แต่อนัตตสัญญาจะเพิ่มมากขึ้นใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    ผู้ฟัง อยากให้ท่านอาจารย์เพิ่มพูนความรู้ในความเป็นธรรม เพราะรู้สึกว่า ยังอยู่ห่างไกลจากความเป็นธรรมมากๆ เลย

    ท่านอาจารย์ คือความเป็นจริงเป็นอย่างไร ก็รู้ตามความเป็นจริงอย่างนั้น ก็จะทำให้ที่เริ่มรู้ขึ้นเจริญขึ้นได้ ไม่ไปคิดว่า เรารู้แล้วหมด

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์พอจะกล่าว แยกทีละทวารได้หรือไม่

    ท่านอาจารย์ ทางตากำลังเห็น ทำไมถึงพูดบ่อย ใช่ไหม แม้แต่ในพระไตรปิฎกก็ตั้งต้นด้วยทางตา เพราะยากไหมที่จะไถ่ถอนการที่เห็นแล้วจำว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แม้แต่กำลังฟังอย่างนี้ แล้วก็มีสภาพธรรมจริงๆ ที่ปรากฏให้เห็น แต่ก็ไม่ได้เข้าใจหรือเข้าถึงว่า สิ่งที่ปรากฏนี้เป็นธรรม เป็นธรรม ก็คือไม่ใช่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ถูกต้องไหม

    แต่ก่อนนี้ เป็นคนซึ่งไม่เกิดดับ เป็นโต๊ะ เก้าอี้ ซึ่งไม่เกิดดับเลย เพราะว่าไม่รู้ว่า แท้ที่จริงแล้วสิ่งที่ปรากฏเป็นอย่างหนึ่ง และการจำรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งไม่มีใครไปห้ามหรือไม่มีใครไปยับยั้งไม่ให้เกิด ธรรมไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย ขณะใดก็ตามที่มีรูปร่างสัณฐานปรากฏ เพราะเมื่อสักครู่ก็ได้กล่าวว่า กว่าจะปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานได้ สภาพของสิ่งที่ปรากฏทางตาต้องเกิดดับ เกิดดับ เกิดดับซ้ำมากมาย และใครไปรู้ เรียกว่าระหว่างนั้นก็ไม่รู้เลย และเวลาที่เป็นรูปร่างสัณฐาน สัญญาก็จำ ด้วยความไม่รู้อีกว่า เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา

    ด้วยเหตุนี้ ขณะที่เห็นเป็นวิญญาณธาตุ เป็นจิต มีลักษณะที่รู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นจิตของใครขณะไหน ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ของรูปพรหม อรูปพรหม สภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ เพียงรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏว่า เป็นอย่างนี้ไม่เป็นอย่างอื่น นั่นคือจิต และสัญญาก็จำในสิ่งที่จิตเห็น แต่ไม่มีปัญญาที่จะรู้ความจริง

    เพราะฉะนั้น ที่ขาดในชีวิตประจำวัน ก็คือ ความเห็นที่ถูกต้องในความเป็นจริงของสิ่งนั้น เพราะฉะนั้น ก็เห็นได้ว่า เวลาที่มีรูปร่างสัณฐานแล้วจำ ก็จำไว้ โดยไม่ต้องเอ่ยชื่อเลยว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร เหมือนเด็กที่เพิ่งเกิด รู้ไหมว่าเห็นอะไร แต่มีเห็น แล้วไม่รู้เลย ได้ยินเสียงรู้ไหมว่า เสียงนั้นหมายความว่าอะไร เสียงก็ปรากฏ แต่ไม่รู้เสียงสูงต่ำว่า เสียงนั้นหมายความว่าอะไร จนกว่าจะคุ้น จนกว่าจะชินด้วยสัญญาที่จำ แต่ก็เป็นสัญญาวิปลาส เพราะเหตุว่าไม่ได้จำตามความเป็นจริงของธรรมซึ่งปรากฏแต่ละอย่าง แล้วก็เปลี่ยนไป แล้วไม่ได้กลับมาอีกเลย

    อย่างสิ่งที่ปรากฏทางตามีรูปร่างสัณฐานที่จำ แม้ไม่เห็นยังจำได้ ยังนึกถึง แสดงให้เห็นถึงความจำมั่นคงแค่ไหน กว่าจะไถ่ถอนว่าจำในสิ่งที่เห็น แม้ในขณะที่สิ่งนั้นไม่ปรากฏ แล้วก็เข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วย แสดงว่ากว่าจะไถ่ถอนความจำที่เข้าใจว่า สิ่งนั้นเที่ยง มีปรากฏ ก็ต้องเป็นความเข้าใจ ที่ค่อยๆ สะสมมากขึ้น

    อย่างที่เคยถามว่า ขณะนี้มีฟันไหม จะตอบว่าอย่างไร แสดงถึงสัญญาแล้ว จำไว้มั่นคงว่า มี และอยู่ที่ไหนถ้ามี มีก็ต้องอยู่ที่ไหน มีหรือเปล่า เห็นไหม แค่จำไว้ แต่สิ่งที่กำลังปรากฏทางตามีจริงๆ ไม่ได้จำความเป็นจริงของธรรมที่ปรากฏ เพราะขณะนั้นไม่มีปัญญา ไม่มีความเห็นถูก

    เพราะฉะนั้น กว่าจะเปลี่ยนจากอัตตสัญญา เป็นอนัตตสัญญา ไม่มีใครเลยในสิ่งที่ปรากฏ เพราะเป็นธาตุที่สามารถกระทบจักขุปสาทได้ แล้วถ้าจิตเห็นไม่เกิด สิ่งนี้ปรากฏไม่ได้ แต่ถ้าขณะใดก็ตามที่จิตเห็นเกิด สิ่งนี้จึงปรากฏให้เห็นเท่านั้นเอง ถ้าเข้าใจอย่างนี้ สัญญาเริ่มจำความหมายของคำว่าอนัตตา แต่ตราบใดที่ยังไม่รู้จักตัวธรรมจริงๆ คือ เห็น


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 170
    15 ม.ค. 2567