พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 515


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๕๑๕

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒


    ผู้ฟัง ที่ท่านแสดงเกี่ยวกับสภาพธรรมตามความเป็นจริง อย่างเห็นทุกครั้ง จริงทุกครั้ง ความรู้ความเข้าใจตรงที่ฟังว่า เห็นจริง มีจริง ปรากฏด้วย ตรงนี้จริงอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้จริงไหม

    ผู้ฟัง ยังไม่จริง

    ท่านอาจารย์ เห็นไม่จริงหรือ มีเห็นไหม กำลังเห็นหรือเปล่า

    ผู้ฟัง กำลังคิดคำว่า กำลังเห็น

    ท่านอาจารย์ แล้วไม่เห็นเลยหรือ

    ผู้ฟัง ไม่ได้เห็นตรงนั้น

    ท่านอาจารย์ มีเห็น ขณะนี้เห็นมีหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เห็น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ที่ว่าเห็นจริง ตรง เพราะเห็น

    ผู้ฟัง เห็นจริง แต่ยังไม่ตรง

    ท่านอาจารย์ อย่างไรไม่ตรง เห็นอะไรที่ว่าไม่ตรง

    ผู้ฟัง เห็นท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ไม่มีความเข้าใจถูก แต่เห็นต้องเป็นเห็น

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ช่วยขยายตรงนี้ได้ไหม เห็นต้องเป็นเห็น เป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้เลย ไม่ต้องเรียกเลย ไม่ต้องพูด ไม่ต้องอธิบายเลย นั่นคือเห็น แต่ไม่เข้าใจว่าเป็นธรรม ไม่เข้าใจว่า ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น การฟังธรรม ไม่ใช่ให้ไปทำอะไรขึ้นมาเลย สิ่งใดเกิดแล้วปรากฏ ไม่เคยรู้ว่าเป็นธรรม ก็ฟังเพื่อที่จะรู้ว่า เป็นสิ่งที่มีจริง ที่กล่าวว่าธรรม ก็คือ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนใดๆ ทั้งสิ้น เป็นแต่เพียงสภาพธรรมแต่ละลักษณะ ซึ่งกำลังปรากฏจริงๆ แต่ละทาง เสียงมีจริงไหม

    ผู้ฟัง มีจริง

    ท่านอาจารย์ แข็งมีจริงไหม

    ผู้ฟัง มีจริง

    ท่านอาจารย์ เสียงกับแข็งเหมือนกันหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่เหมือน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เสียงเป็นอย่างหนึ่ง แข็งเป็นอย่างหนึ่ง ตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายเป็นธรรมลักษณะต่างๆ

    ผู้ฟัง ยังไม่เข้าใจถึงความเป็นต่างๆ

    ท่านอาจารย์ เสียงมีไหม

    ผู้ฟัง เสียงมี

    ท่านอาจารย์ แข็งมีไหม

    ผู้ฟัง แข็งมี

    ท่านอาจารย์ เสียงกับแข็งต่างกันหรือเหมือนกัน

    ผู้ฟัง ต่างกัน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ต่างกันแล้วใช่ไหม หวานกับเปรี้ยว มีจริงๆ หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ตอนนี้ไม่มีหวาน ไม่มีเปรี้ยว แต่มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ตอนนี้มีอะไร

    ผู้ฟัง มีเห็น

    ท่านอาจารย์ มีเห็นจริง เป็นธรรมที่ไม่ใช่แข็ง พอจะเห็นว่าเป็นธรรมหรือไม่ เปลี่ยนลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ ไม่ได้เลย ฟังธรรม ไม่ใช่ให้ไปคิดเรื่องอื่นแล้วก็ไม่เข้าใจ สิ่งที่กำลังมี มีจริงๆ แต่ไม่เคยรู้ว่า ความจริงของสิ่งนั้นเป็นอย่างไร แต่ถ้ามีผู้ที่ได้ตรัสรู้ และทรงแสดงความละเอียดยิ่ง ก็จะเริ่มมีความเข้าใจที่ถูกต้องว่า เป็นธรรม เพราะเกิดตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีใครสามารถจะบังคับบัญชาได้ เห็นแล้วใช่ไหม

    ผู้ฟัง เห็นเป็นท่านอาจารย์แล้ว

    ท่านอาจารย์ ก่อนเป็นใครมีเห็นไหม

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เห็นเกิด ทำให้เห็นเกิดหรือเปล่า ทำให้เห็นเกิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ นั่นคือธรรม เริ่มเข้าใจทุกขณะที่มีลักษณะธรรมแต่ละทาง แต่ละอย่างเกิดขึ้นปรากฏว่า ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้ จึงไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เกิดแล้วก็หมดไป จริงหรือเปล่า หรือต้องบอกว่า จริง ถึงจะจริง

    ผู้ฟัง ถ้าจริงเมื่อไร ก็เมื่อนั้น ตอนนี้ยังไม่จริง

    ท่านอาจารย์ ตอนนี้เห็นจริง เสียงจริง ถูกไหม

    ผู้ฟัง ก็มีจริงตามท่านแสดง แต่ยังไม่เข้าใจว่าเป็นจริงอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก็ฟังมาตลอดว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏได้กับจิตที่กำลังเห็นเท่านั้น ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ ว่าจริงหรือเปล่า ถ้าจิตเห็นไม่เกิด สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้ก็ปรากฏไม่ได้เลย

    อ.กุลวิไล เรายึดเห็นว่าเป็นเรา จะเห็นว่า สักกายทิฏฐิเป็นสังโยชน์ที่เป็นเครื่องผูกอันหนึ่ง ผูกเอาไว้ ยึดถือว่าเห็นเป็นเรา

    ท่านอาจารย์ เข้าใจแล้วใช่ไหม สังโยชน์ ยึดถือผูกไว้ว่าเป็นเรา กำลังผูกไว้ด้วยอวิชชาความไม่รู้ว่าเป็นธรรม แล้วผูกไว้ด้วยความเห็นผิดว่าเป็นเรา ถ้าไม่เข้าใจธรรม ก็ไม่มีทางหมดสังโยชน์ได้

    ผู้ฟัง ถ้าเป็นเมื่อก่อน คือ อินทรีย์อ่อน หนูจะบอกตัวเองอย่างนี้เสมอ เวลาคุยกับคนไข้แล้วมีอารมณ์ร่วมกับเขา ก็จะบอกว่า ตัวเองอินทรีย์อ่อน แต่พอตอนนี้ก็บอกตัวเองว่า พัฒนาขึ้น อินทรีย์มันกล้าแข็งขึ้น

    ท่านอาจารย์ แล้วอินทรีย์คืออะไร

    ผู้ฟัง คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

    ท่านอาจารย์ แล้วแก่ (นาทีที่ ๐๕.๒๐ กล้า) ขึ้นอย่างไร

    ผู้ฟัง หมายถึงว่า ใจเข้มแข็งขึ้น ไม่ค่อยหวั่นไหว แต่ไม่ใช่เราเฉย แต่เรารู้สึกเมตตาสงสารเขา

    ท่านอาจารย์ แล้วเมตตาสงสารเป็นธรรม หรือเป็นเรา

    ผู้ฟัง เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ไม่เรียกว่าเมตตา แต่ความรู้สึกนั้นก็เป็นอย่างนั้นใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ชอบหาชื่อ ไม่ทราบว่า ทำไมต้องไปเรียกให้ถูก ฟังธรรมเพื่อเข้าใจให้ถูก หรือฟังธรรมเพื่อเรียกชื่อให้ถูก

    ผู้ฟัง ถ้าเกิดเราเข้าใจความหมาย ก็อาจจะทำให้เราเข้าใจถูกขึ้น

    ท่านอาจารย์ คือเข้าใจตัวธรรม ไม่ต้องเรียกอะไรเลย

    อ.กุลวิไล บางท่านบอกว่า อยากรู้จักชื่อ จะได้สนทนากับท่านอาจารย์ ท่านวิทยากร

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ จะมีคำสำหรับเรียกสภาพธรรมนั้นไหม

    อ.กุลวิไล ไม่มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ใช้คำอะไรก็ได้ ที่จะทำให้เข้าใจสภาพธรรมนั้น อย่างมีเสียใจ มีดีใจ เป็นธรรมหรือเปล่า เรียกชื่อได้ แต่ไม่รู้ลักษณะที่เป็นธรรม เพราะฉะนั้น ก็จะถูกปิดบังอย่างนี้ไปเรื่อยๆ มัวกังวลเรื่องชื่อ แต่ขณะนี้กำลังเห็น ใครจะต้องเรียกอะไรหรือเปล่า แต่ลักษณะเห็น มี แสดงว่าเป็นธาตุหรือเป็นธรรมอย่างหนึ่งซึ่งสามารถที่จะรู้ คือเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ได้ เท่านั้นเอง ใช้ชื่ออะไรก็แล้วแต่ จะเรียกว่า สติ จะเรียกว่า สังวร หรือสัมปชัญญะ หรือศีล ถ้ามีสภาพธรรมนี้เกิดขึ้นจริงๆ เวลาอ่านพระไตรปิฎกจะรู้ว่า หมายความถึง สภาพธรรมนั้นๆ อย่างไร ถ้ารู้จักแต่เพียงชื่อ ไม่รู้ลักษณะว่าเป็นธรรม ก็จะสับสน และพยายามนึกถึงแต่ชื่อ

    ผู้ฟัง ในครั้งพุทธกาล สุพรหมเทพบุตรกับเทพธิดาทั้ง ๕๐๐ ได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้มีโอกาสได้เข้าใจสภาพธรรม และได้มีโอกาสบรรลุเป็นพระโสดาบันทั้งหมด ถ้าไม่ได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะนั้นก็ไม่มีโอกาส พลาดโอกาสไปได้ไหม

    ท่านอาจารย์ คุณบุษกรเคยเจอหรือเปล่า

    ผู้ฟัง คิดว่าน่าจะเคย

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไรจึงคิดอย่างนั้น

    ผู้ฟัง เพราะในสังสารวัฏฏ์ ไม่ทราบว่าเกิดมานานเท่าไรแล้ว

    ท่านอาจารย์ คงไม่เหมือนคนที่เป็นเดียรถีย์ คือความคิดเห็นต่างจากความจริงต่างๆ ก็มีลัทธิความเชื่อต่างๆ เพราะว่าพวกนั้น แม้พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ก็ไม่ได้ไปเฝ้า นี่แสดงให้เห็นว่า ต้องมีการสะสมของการที่จะเห็นประโยชน์ของธรรม การที่จะเข้าใจสิ่งที่มีจริง ทั้งๆ ที่กำลังปรากฏ ใครจะบอก ใครจะแสดงให้รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง

    เพราะฉะนั้น แม้แต่คำว่า “ศึกษาธรรม” ต้องเป็นผู้ละเอียดที่จะรู้ว่า ศึกษา คือไม่ใช่ไม่สนใจ แล้วก็ฟังเผินๆ อย่างนั้นไม่ใช่ศึกษา แต่ศึกษา คือฟัง หรือว่าอ่านก็ได้ พิจารณาไตร่ตรองให้เข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟังหรือกำลังอ่าน ไม่ใช่ผ่านไป

    เพราะฉะนั้น ศึกษาธรรม ไม่ใช่อย่างอื่น ฟัง ได้ยิน พิจารณา ไตร่ตรองให้เข้าใจธรรม ซึ่งขณะนี้เป็นธรรม ซึ่งการฟังต้องไม่เผิน

    เพราะฉะนั้น แม้ในขณะนี้เอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุพรหมเทพบุตร คุณบุษกรฟังแล้วคิดถึง แต่ว่าอะไรเป็นธรรม เห็นไหม ถ้าศึกษาธรรม ก็จะเห็นว่า ไม่พ้นจากธรรม เพราะฉะนั้น ขณะนั้นเป็นธรรมอะไร

    ผู้ฟัง เป็นธรรมขณะที่คิด

    ท่านอาจารย์ อะไรอีก

    ผู้ฟัง คิดถึงเรื่องราว

    ท่านอาจารย์ คิดถึง ดับแล้ว หมดแล้ว มีสุพรหมเทพบุตรที่ไหน ถ้าไม่คิด

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ศึกษาธรรมให้เข้าใจว่า เป็นธรรม ไม่มีเรา นี่เป็นสิ่งซึ่งเป็นการเข้าใจธรรม ค่อยๆ เข้าใจขึ้น มิฉะนั้น ก็เหมือนการฟังพระธรรม รู้ว่าเป็นสิ่งที่มีในขณะนี้ แต่ฟังเพียงเล็กน้อย ผิวเผิน เหมือนลมที่ถูกตัว แผ่วเบามาก ไม่จรดกระดูกเลย แล้วก็หมดไป แล้วประเดี๋ยวก็ลืมอีก

    เพราะฉะนั้น จุดประสงค์ของการฟังเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ จนกว่าจะรู้แจ้งความจริงของสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง เพราะไม่มีอะไรจะจริงเท่าสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ตอนนี้มีสุพรหมเทพบุตรในความคิดไหม

    ผู้ฟัง เดี๋ยวนี้ไม่มี

    ท่านอาจารย์ คิดอีก มีอีก เฉพาะในความคิดที่มี ตัวจริงๆ ท่านอยู่ที่ไหน เดี๋ยวนี้

    ผู้ฟัง ไม่ทราบ

    ท่านอาจารย์ ท่านบรรลุเป็นพระอริยบุคคล

    ผู้ฟัง ก็น่าจะอยู่บนสวรรค์ ท่านอาจารย์ ขณะที่ทราบว่าเป็นอกุศลจิต ตรงนั้นเป็นกุศลได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ อยากรู้ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ขณะที่รู้ว่า อกุศลจิตเกิด

    ท่านอาจารย์ ขณะที่รู้ว่า ไม่ใช่รู้จักจิต คิดถึงจิตในขณะนั้น แล้วก็คิดว่า เป็นกุศลหรืออกุศล แต่ไม่ใช่รู้จักจิต ธรรมเป็นเรื่องละเอียด ขณะนี้มีจิต เดี๋ยวนี้เป็นจิตอะไร

    ผู้ฟัง เดี๋ยวนี้มีจิตได้ยินเสียง

    ท่านอาจารย์ ตอบได้เมื่อได้ยินหมดแล้ว ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เมื่อสักครู่นี้ได้ยินเสียง และรู้ว่า ขณะที่ได้ยินเป็นจิต ไม่ใช่เรา ในขณะที่ได้ยินหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ใช่ขณะนั้นเลย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ไม่ชื่อว่า รู้จักจิต แต่กำลังฟังเรื่องจิตจนกว่าจะรู้จักจิตจริงๆ พระศาสนางามพร้อมทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด ไม่ได้พูดถึงสิ่งที่ไม่มี พูดถึงสิ่งที่มี พูดถึงความจริงของสิ่งที่มีด้วย เพื่อที่จะให้รู้ว่า สามารถเข้าใจสิ่งที่มีจริง ได้ยินได้ฟังจนถึงที่สุด ตรงตามที่ได้ยินได้ฟังทุกอย่าง ไม่ใช่เพียงแต่ให้ฟัง แล้วไม่ให้รู้จริงๆ อย่างนั้น

    ผู้ฟัง การฟัง และให้เข้าถึงลักษณะของสภาพธรรมที่รู้จักจิตทุกๆ ขณะ

    ท่านอาจารย์ ฟังแล้วเข้าใจขึ้นไหม

    ผู้ฟัง เข้าใจขึ้น

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ จะรู้จักจิตได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น อาศัยการเข้าใจขึ้นนั่นแหละ วันหนึ่งก็จะค่อยๆ เข้าใจสภาพของจิตจริงๆ ได้

    ผู้ฟัง เหมือนกับมีตัวตน ก็คอยที่จะพยายามสังเกต สำเหนียก

    ท่านอาจารย์ แล้วฟังเพื่ออะไร

    ผู้ฟัง ฟังเพื่อความเข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ให้รู้ว่าไม่มีตัวตน

    ผู้ฟัง การที่จะฟังถึงไม่มีตัวตน ข้ามไปเรื่อย

    ท่านอาจารย์ กำลังเข้าใจแล้วใช่ไหมว่า ข้าม

    ผู้ฟัง เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ก็เข้าใจขึ้นมานิดหนึ่งว่า จริงๆ แล้วถ้าไม่เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่มีการสามารถรู้ความจริงของสิ่งนี้ได้เลย ปรากฏให้ไม่รู้ ปรากฏให้รู้ ทั้งๆ ที่สภาพที่ปรากฏก็ไม่มีเจตนาให้เป็นอย่างหนึ่งอย่างใด แต่ขึ้นอยู่กับผู้ที่สะสมความเข้าใจ ว่าขณะนี้ที่กำลังฟัง เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏมากน้อยแค่ไหน แล้วก็จะทำอย่างอื่น คืออยากให้รู้จนหมด ได้ไหม นอกจากฟังแล้วก็เข้าใจขึ้น

    ผู้ฟัง การฟังธรรมก็ต้องใจเย็นที่สุด แล้วก็ต้องมีความอดทนที่สุด

    ท่านอาจารย์ เป็นโอกาสที่มีในขณะนี้ที่จะเข้าใจขึ้นในสิ่งที่มีจริงๆ

    ผู้ฟัง ธรรมไม่เกิด แล้วปัญญาไม่รู้ตรง อยู่แค่ผิวนอก

    ท่านอาจารย์ เห็นแล้วก็หมดไปแล้ว ได้ยินอีก

    ผู้ฟัง เราก็ไม่รู้อีก ก็ต้องรู้ๆ ๆ เรื่อยๆ ไป คือ เพียรที่จะศึกษาเรื่อยๆ ไป จนกว่าจะทะลุผิวไปถึงกระดูกหรืออย่างไร ก็หมายความว่า ปัญญาจะต้องรู้ลักษณะที่เกิดตรง เรียกว่าจรดกระดูกหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ เวลาได้ยินว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แค่นี้จรดหรือยัง ยัง ใช่ไหม ได้ยินอีกหลายๆ ครั้ง แล้วธรรมก็ปรากฏจรดกระดูกหรือยัง แม้จะกล่าวว่า ขณะที่เห็นมีจริง เกิดแล้วดับแล้ว เพราะได้ยิน เป็นขณะที่ไม่ใช่ขณะที่เห็น เพราะฉะนั้น เห็นต้องดับไปก่อน แล้วได้ยินจึงจะเกิดได้ เป็นธรรมที่เป็นอนัตตา จรดกระดูกหรือยัง ทั้งๆ ที่จริง ทุกคนก็ยอมรับว่า เห็นขณะนี้ มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น แต่พอเสียงปรากฏ ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏแล้ว เสียงเป็นเสียง คนละขณะ

    เพราะฉะนั้น ความเป็นอนัตตาของธรรม ระหว่างนั้นมากมายแค่ไหน เป็นอนัตตาทั้งหมด แต่ก็ไม่มีลักษณะใดที่จะปรากฏว่า เป็นอนัตตา ถ้าปัญญาไม่มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น เพราะว่าสิ่งหนึ่งที่เป็นเครื่องกั้นก็คือ ทุกคนหวังจะประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับ ที่กล่าวว่ายากมาก แม้ฟังจริงก็ไม่ประจักษ์ เพราะเหตุว่า มุ่งหวังที่จะเห็น ที่จะทำ ที่จะให้รู้ แต่ลืมว่า เป็นความเข้าใจ มีหรือเปล่าในขณะนี้ ซึ่งขณะนี้สภาพธรรมก็เกิดดับแน่นอน แล้วหวังจะไปประจักษ์สิ่งที่กำลังเป็นขณะนี้ซึ่งเกิดดับ โดยไม่เข้าใจมากขึ้นในสิ่งที่มีจริงๆ

    เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีทางที่จะประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไปเลย นอกจากจะฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น เมื่อเข้าใจขึ้นต้องห่วงไหมว่า เมื่อไรจะประจักษ์การเกิดดับ เพราะเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย และเป็นความเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ด้วย

    เพราะฉะนั้น ถ้าขณะนี้ถามว่า มีแข็งปรากฏไหม มี เป็นธรรม เกิดดับ หรือปัญญาไม่พอที่จะรู้ว่า ขณะนั้นเป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริงๆ เกิดเป็นลักษณะนั้นแล้วก็ดับ ซึ่งขณะนั้นจะไม่มีสิ่งอื่นปะปนเลย เพราะว่ากำลังรอบรู้ลักษณะที่ปรากฏกับปัญญาที่รู้จริงๆ ว่า มีแต่เพียงสิ่งนั้นเท่านั้น สิ่งอื่นไม่มี

    เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องธรรมดา เป็นชีวิตธรรมดา ธรรมทั้งหมดเป็นธรรมดา ขึ้นอยู่กับว่า ปัญญาสามารถที่จะเข้าใจลักษณะนั้นพอ ที่จะละความติดข้อง จนกระทั่งธรรมทั้งหมดเสมอกัน เพราะว่าขณะนี้ทุกคนอาจจะรู้สึกว่า ทางตายาก ที่จะเข้าใจว่าเป็นธรรม เพราะเหตุว่า ไม่คุ้นกับความจริงที่ว่า ทำไมเวลาที่แข็งปรากฏ รู้ว่าแข็งเป็นธรรม แต่เวลาเห็น จะต่างอะไรกับขณะที่แทนที่จะเป็นแข็ง ก็เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ถูกไหม เวลาที่แข็งปรากฏบอกไม่ยาก เพราะแข็งเป็นแข็ง แล้วมีสภาพที่รู้แข็ง ถ้าเป็นการรู้ธรรมจริงๆ ไม่ยากที่จะเข้าใจว่า ขณะนี้แทนแข็งก็เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา

    เพราะฉะนั้น กำลังเห็น คือ รู้สิ่งที่ปรากฏทางตาว่าเป็นอย่างนี้ กับขณะที่แข็งปรากฏ ก็รู้ว่าแข็งเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น ก็ต้องเสมอกัน ถ้าเป็นปัญญาที่รู้จริงๆ แต่เวลาบอกว่ายาก หมายความว่า ขณะนั้นปัญญายังไม่ได้อบรมพอที่จะเห็นความเป็นธรรม

    ผู้ฟัง เมื่อแข็งกระทบ เหมือนมีความรู้สึกว่า ชัดกว่าเห็น

    ท่านอาจารย์ ชัดหมายความว่าอย่างไร

    ผู้ฟัง หมายความว่า รู้กระทบทันที

    ท่านอาจารย์ รู้กระทบด้วยหรือ

    ผู้ฟัง กระทบขณะที่มีแข็ง

    ท่านอาจารย์ รู้แข็งหรือรู้กระทบ

    ผู้ฟัง รู้ตรงที่แข็ง

    ท่านอาจารย์ แล้วทำไมว่าไม่ยาก และที่กำลังเห็น กำลังรู้แข็ง แข็งปรากฏ เพราะมีสภาพที่รู้แข็ง ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้น ขณะที่กำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ก็เหมือนกับแข็ง คือเพราะมีสภาพที่รู้ คือเห็นสิ่งที่ปรากฏ สิ่งนี้จึงปรากฏเป็นอย่างนี้ เหมือนแข็งปรากฏเป็นแข็ง สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ปรากฏเป็นสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ เหมือนแข็งที่สามารถปรากฏเมื่อกระทบ

    ผู้ฟัง ที่ต่างกันดูเหมือนว่า ลักษณะของเห็น เหมือนไม่มีอะไร

    ท่านอาจารย์ พูดได้อย่างไร สิ่งที่เห็นแข็งไหม

    ผู้ฟัง สิ่งที่เห็นไม่แข็ง

    ท่านอาจารย์ ตอบได้แล้วไง จะว่าไม่มีอะไรได้อย่างไร

    ผู้ฟัง คือมีแต่เห็นติดต่อกันนาน

    ท่านอาจารย์ ที่ตอบได้ว่าไม่มีอะไร หมายความว่าเห็นอะไร

    ผู้ฟัง เห็นเป็นท่านอาจารย์ เห็นเป็นไมโครโฟน เห็นเป็นโต๊ะ

    ท่านอาจารย์ แล้วถ้าไม่เห็น นึกถึงได้ไหม

    ผู้ฟัง ถ้าไม่เห็นก็นึกได้

    ท่านอาจารย์ เวลาที่นึก แล้วไม่เห็นต่างกับเวลาที่เห็นแล้วคิดใช่ไหม เหมือนกันเลยไหม ขาดแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่ความจำสัณฐานไม่ลืม ยังมีอยู่ในใจ เพราะฉะนั้น จึงคิดถึงได้ จะคิดถึงเก้าอี้สักตัว รูปร่างอย่างไรก็ได้ จะคิดถึงคน จะคิดถึงดอกกุหลาบ จะคิดถึงอะไร เพราะจำ แม้ไม่เห็นก็คิดได้ เดี๋ยวนี้ถ้าหลับตายังคิดได้ไหม

    ผู้ฟัง หลับตาคิดได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ต่าง คือมีสิ่งที่ปรากฏทางตาเพิ่มขึ้น ไม่ใช่เพียงแต่คิด แต่มีสิ่งที่ปรากฏทางตาด้วย สิ่งที่ปรากฏทางตาสามารถปรากฏให้เห็น แต่ไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น นี่คือกว่าจะเข้าใจธรรมจรดกระดูก

    ผู้ฟัง ตรงนี้เหตุต้องสมควรแก่ผล แล้วก็เกิดจริงๆ ในลักษณะของปรมัตถ์ คือ สติเกิด แต่ว่าเราก็ใจร้อนกันเอง แล้วจนตายก็ไม่รู้จักคำว่า อนัตตา คือเหตุสมควรแก่ผลอย่างไร ก็ไปติดอยู่ที่คิดเอง

    ท่านอาจารย์ กำลังกระโดดไปเรื่อยๆ หรือเปล่า เพราะว่าจริงๆ ธรรมต้องตรง และต้องเข้าใจจริงๆ อย่างละเอียดด้วย ไม่ข้าม และไม่เผิน เพราะแม้แต่ธรรมที่กล่าวว่า นามธรรม และรูปธรรม ได้ยินจนชินหู และขณะนี้ก็ต้องเป็นธรรมที่เป็นสภาพรู้ก็มี ที่ไม่ใช่สภาพรู้ก็มี พูดอย่างนี้ก็เหมือนกับปริยัติ หรือเรื่องราว แต่ตามความเป็นจริงมีลักษณะของธรรมที่ปรากฏจริงๆ แต่ขณะที่ฟัง ยังไม่เข้าถึงลักษณะนั้นเลย

    เพราะเหตุว่าแข็งมี เมื่อถามว่า มีแข็งไหม ก็ตอบว่า มี แต่ความรู้แข็งในขณะนั้น ระดับไหน เหมือนเดิม เมื่อกระทบแข็ง ก็ตอบว่าแข็ง ใครถามก็บอกว่าแข็ง เพราะฉะนั้น ความรู้เรื่องแข็งก็เหมือนเดิม หรือว่าเป็นความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นจากการฟังว่า ธรรม ก็คือ ธรรมดาอย่างนี้ทั้งหมด ไม่พ้นจากความเป็นปกติที่มีจริงๆ ใครจะไปทำให้ธรรมเปลี่ยน ผิดปกติไม่ได้ อย่างแข็งก็มี ตั้งแต่ไหนแต่ไรก็มี เดี๋ยวนี้ก็มี ต่อไปก็มี แต่รู้ความจริงของแข็งว่า เป็นเพียงธรรมอย่างหนึ่ง แล้วก็ปรากฏเพราะกำลังรู้แข็ง แต่ปกติเป็นเรารู้แข็ง หรือว่ารู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่แข็ง แต่เวลาเป็นความเข้าใจถูก เริ่มเข้าใจในขณะที่แข็งปรากฏ เพราะว่าแข็งเป็นธรรม ขณะนั้นอย่างอื่นไม่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้น เวลาแข็งปรากฏ จะไปเข้าใจอย่างอื่นไม่ได้ ใช่ไหม แต่ว่าจะรู้ว่า ขณะนั้นถ้าจงใจตั้งใจที่จะเข้าใจแข็งได้ไหม ไม่ได้ แต่จากการฟังก็รู้ว่า สภาพธรรมที่ชื่อว่า สติ เรียกว่าส ติ และเป็นตัวสติ ก็คือ สภาพที่ระลึกเป็นไปในกุศล เป็นธรรมอย่างหนึ่งซึ่งระลึกได้

    ถ้าเป็นเรื่องของทาน ทุกคนก็ไม่ยากเลย ระลึกที่จะให้ เหมือนปกติ มีวัตถุสิ่งของแล้วระลึกที่จะให้ แต่เข้าใจว่าเป็นเรา แต่จริงๆ แล้วเป็นธาตุหรือเป็นธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นธรรมฝ่ายดี ระลึกเป็นไปในการสละ ในการให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่คนอื่น และสติก็มีหลายขั้น แม้แต่ขณะที่กำลังฟังขณะนี้ ก็เป็นความประพฤติเป็นไป ที่ไม่ใช่เป็นการเบียดเบียนบุคคลอื่นเลย บางคนก็บอกว่า นั่งเฉยๆ จะเป็นกุศลได้อย่างไร


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 170
    14 ม.ค. 2567