พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 532


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๕๓๒

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๒๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๒


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็เหมือนอยู่ในโลกนี้ ใช่ไหม แต่โลกที่กำลังมี เหมือนกับว่ายั่งยืน ตั้งแต่เกิดมา โตมา สนุกมา เพลิดเพลินมา สุขบ้าง ทุกข์บ้าง เหตุการณ์ต่างๆ ก็เหมือนเป็นโลก อันอะไรกำจัดที่จะไม่ให้มีอีกต่อไปก็คือ ความตาย

    เพราะฉะนั้น ความคิดของแต่ละคนที่จะทำให้คล้อยไปสู่การเข้าใจความจริงก็ต้องตามลำดับ เราอยู่ในโลกนี้ไม่นาน แต่เหมือนว่าเราอยู่ในโลกนี้โลกเดียวนานมาก จนกว่าตายเมื่อไร เมื่อนั้นก็จะรู้ว่า ถูกมฤตยูกำจัด โลกนี้ไม่มีอีกต่อไป สำหรับคนที่จากไปเพราะความตาย ถูกต้องไหม ก็จะอยู่กันเพียงชั่วคราว เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง คิดบ้าง ได้ยินบ้าง อะไรต่างๆ สิ่งนั้นเป็นสิ่งสำคัญ เหตุการณ์นั้นสำคัญต่างๆ นานา

    แต่โลกนี้ โลกที่วุ่นวายมากมาย ก็จะถูกกำจัดด้วยความตาย พอตายแล้วก็ไม่มีการที่โลกนี้จะตามไปอีก ก็เป็นโลกอื่น เหมือนโลกก่อนที่จากมา เคยทำอะไรไว้ทั้งกุศลกรรม และอกุศลกรรม วุ่นวาย ปั่นป่วนสารพัดก็แล้วแต่ แต่เมื่อมฤตยู คือ ความตายเกิดขึ้นก็พ้นจากโลกนั้น แล้วก็แล้วแต่ว่ากรรมทำให้มาสู่ในโลกนี้ ก็เป็นอย่างนี้ จนกว่ากรรมจะทำให้พ้นจากโลกนี้ไปสู่โลกอื่น ถ้าไปสวรรค์ชั้นดุสิต หรือชั้นดาวดึงส์ก็ตามแต่ จะมีเรื่องของโลกนี้ตามไปอีกหรือเปล่าว่า เรายังอยู่ในโลกนี้หรือเปล่า จะไม่มีความคิดเลยว่า เรายังอยู่ในโลกนี้ แต่ตราบใดที่ยังไม่ตาย โลกนี้เป็นโลกของเรา มีเหตุการณ์อย่างนี้ เรากำลังอยู่ในโลกนี้

    เพราะฉะนั้น ไม่ว่าพระธรรมจะกล่าวถึงโดยนัยใดๆ ก็เพื่อให้น้อมไปสู่ความจริงว่า ทุกคนอยู่ในโลกก็ต่อเมื่อยังไม่ถึงวาระที่จะจากโลกนี้ไป ไม่ทราบว่ายังมีข้อสงสัย หรือคิดอย่างอื่นก็ได้

    ผู้ฟัง แล้วถ้าละเอียดที่อาจารย์อรรณพกล่าวถึงนิดหนึ่ง

    ท่านอาจารย์ คือต้องเข้าใจเป็นคำๆ เป็นตอนๆ เป็นเรื่องๆ ไม่อย่างนั้นเราก็จะไม่ได้สาระทั้งหมด หรือรสของธรรมทั้งหมด ถ้าเราข้ามไปเรื่อยๆ

    ผู้ฟัง ข้อความต่อไป อันอะไรหนอล้อมไว้ พระพุทธองค์ก็ทรงตอบว่า อันชราล้อมไว้แล้ว

    ท่านอาจารย์ เกิดแล้วก็แก่เลย แก่ไปแต่ละวันๆ พ้นไม่ได้

    ผู้ฟัง อันนี้อธิบาย มฤตยูปิดแล้ว อธิบายว่า กรรมกระทำอัตภาพให้ติดกันไปเป็นพืด

    ท่านอาจารย์ ใครรู้ขณะที่ตาย

    ผู้ฟัง ไม่ทราบ

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้ยังไม่ตาย และจิตก็เกิดดับสืบต่อไป จนถึงขณะสุดท้าย ซึ่งไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ ปิดบังไว้ไหม เพราะว่าเกิดแล้วสืบต่อทันที ไม่รู้เลยว่า ขณะที่ตาย ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ ปิดบังไม่รู้ว่าตายแล้วก็มีการเกิดสืบต่อเลย

    เวลาที่คุณอรวรรณจากโลกเก่ามา อาจจะมีทุกขเวทนาแรงกล้า อย่างข้อความในอรรถกถาที่กล่าวว่า ความรู้สึกเป็นทุกข์ เจ็บปวด จนกระทั่งทำให้ไม่คิดถึงอย่างอื่นเลย หรือถึงจะคิด ขณะที่จุติจิตเกิดปิดบัง ไม่เห็นเลย

    เพราะฉะนั้น เวทนาความทุกข์ก็ปิดบังอย่างหนึ่ง และแม้แต่จุติจิตก็ปิดบัง ไม่ให้รู้ว่าเกิดแล้วไง จากโลกนี้แล้ว แล้วก็เกิดต่อทันที ไม่มีใครสามารถจะรู้ขณะนั้นได้เลย ในขณะที่กำลังเป็นคนนี้ อาจจะเจ็บปวดมาก ใกล้ที่จะสิ้นชีวิต แต่ความเจ็บปวดนั้นก็สามารถปรากฏลักษณะของความเจ็บปวด แต่ลักษณะของขณะจิตสุดท้าย ใครรู้ เห็นหรือไม่ ปิดบังจนกระทั่งเกิดเลยทันที ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ขณะที่เป็นจุติจิตได้ เพราะกรรมทำให้สภาพธรรมที่เป็นวิบากเกิดสืบต่อจากชาตินี้ โดยไม่มีระหว่างคั่นเลย

    ผู้ฟัง ขออนุญาตอ่านซ้ำที่บอกว่า อันมฤตยูปิดแล้ว อธิบายว่า กรรมกระทำอัตภาพให้ติดกันไปเป็นพืด และอีกข้อความว่า ก็สัตว์ทั้งหลายย่อมไม่รู้ความเกิดติดต่อกันไปแห่งจิตดวงหนึ่ง ที่ไม่ห่างกัน เพราะถูกเวทนาในเวลาใกล้ต่อความตายที่มีกำลังปิดบังไว้ ท่วมทับแล้ว ราวกับถูกภูเขาปิดบังอยู่ ย่อมไม่รู้ความตายอันนั้น

    ท่านอาจารย์ เวทนาใกล้ที่จะตาย ทุกขเวทนาเกิดขึ้นเป็นผลของกรรม แต่ก็ยังมีโทมนัสด้วย ซึ่งก็ปิดบังหมด เหมือนเมื่อสักครู่นี้เอง จิตเกิดดับเท่าไร ใครตอบได้ เกิดดับสืบต่อปิดบังไม่เห็นเลย และเกิดแล้วดับแล้ว เกิดแล้วดับแล้ว เกิดแล้วดับแล้ว ติดต่อกันอยู่อย่างนี้แหละ ฉันใด เวลาที่จะจากโลกนี้ไป สำหรับตัวอย่างนี้จะใช้คำว่า ทุกขเวทนาที่มีมาก ทุกขเวทนาก็ปรากฏ แต่ความรู้สึกโทมนัสจะปรากฏไหม ทั้งๆ ที่มีก็ไม่ได้ปรากฏ

    เพราะฉะนั้น การเกิดดับสืบต่อของจิตขณะใดที่ไม่มีลักษณะปรากฏกับสติสัมปชัญญะ ขณะนั้นก็คือหมดไปโดยไม่รู้เลย เหมือนเมื่อสักครู่นี้ มีจิตเห็น เหมือนกับแค่มีจิตเห็น แต่โลภะ หรือโทสะ หรือปัญญา ก็มีได้ในระหว่างนั้น แต่ขณะที่สภาพนั้นๆ ไม่ปรากฏกับสติสัมปชัญญะ ก็เหมือนไม่มีเลย หรือเหมือนไม่ปรากฏเลย เพราะว่าเป็นการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็ว

    ด้วยเหตุนี้ สภาพธรรมที่กำลังได้ยินได้ฟัง ที่มีจริงขณะนี้จะปรากฏด้วยดีกับสติสัมปชัญญะ ด้วยดี คือ ลักษณะที่เป็นธรรมจริงๆ ขณะนั้นปรากฏความเป็นธรรม จะรู้หรือไม่รู้นั้นอีกเรื่องหนึ่ง ใช่ไหม หรือว่าจะรู้มากน้อยแค่ไหน ก็เป็นขณะที่เป็นอย่างนั้นจริงๆ

    เพราะฉะนั้น ก็คือ ชีวิตธรรมดาตามปกติ ทรงแสดงสั้นมาก แต่ความเข้าใจธรรมที่มีก็สามารถเข้าถึงความจริงของธรรม ในขณะที่กำลังฟัง ไม่ว่าในกาละไหน ครั้งโน้น หรือครั้งนี้ หรือครั้งต่อไป ก็สามารถที่จะเข้าใจความเป็นจริงว่า ขณะนี้เองเป็นธรรม ปกปิดไว้ด้วยการเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็ว แม้ขณะใกล้จะตายก็ไม่รู้ขณะที่ตายเลย เพราะว่าการเกิดดับสืบต่อของธรรมเร็วมาก โดยกรรมทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดต่อ จะรู้ไหมว่า จากโลกเก่านั้นมาด้วยจิต ๑ ขณะที่ทำจุติจิต พ้นสภาพความเป็นบุคคลนั้น เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจ จะฟังอย่างไร ข้อความอย่างไร ก็สามารถเข้าใจถึงความจริงของธรรม

    ผู้ฟัง ฟังท่านอาจารย์อธิบายแล้วดูเหมือนว่า พยัญชนะเพียงเท่านี้ แต่ความลึกซึ้งในการเข้าใจอรรถว่า พยัญชนะทรง หมายถึงอะไร ก็ต้องเป็นปัญญาที่อบรมว่าใครจะเข้าใจแค่ไหน

    ท่านอาจารย์ โดยไม่ข้าม เพราะคุณอรวรรณกำลังข้ามไปเลยใช่ไหม อรรถกถาประโยคนี้ กำลังไปถึงอีกข้อ เมื่อสักครู่นี้ จนต้องให้กลับมาทวนอรรถกถา ว่ามีความเข้าใจตรงนี้แล้วหรือยัง ที่อรรถกถากล่าวถึง ความละเอียดของธรรม จะทำให้ค่อยๆ เห็น และเข้าใจความจริงว่า เป็นธรรม ถ้าไม่ข้าม ทุกคำเหมือนย้ำ และซ้ำให้เข้าใจความเป็นธรรมนั่นเอง ไม่ใช่ให้เราไปเกิดความสงสัยต่อว่า แล้วประโยคนี้จะค้านกับประโยคนั้นไหม ข้อความในพระสูตรโน้นกับพระสูตรนี้ นั่นไม่ใช่จุดประสงค์ที่ทรงแสดงพระธรรม ทรงแสดงพระธรรม คือตามลำดับว่า ขณะนี้รู้จักธรรมหรือยัง ถ้ายังไม่รู้จักธรรมขณะนี้ พูดถึงเหตุใกล้ให้เกิดสติสัมปชัญญะ หรือโพชฌงค์มีอะไรบ้างอย่างนี้ แล้วจะเข้าใจอะไร ในเมื่อขณะนี้เป็นธรรมที่ยังไม่รู้จักว่า เป็นธรรม

    เพราะฉะนั้น การฟังทั้งหมดเพื่อให้คุ้นกับความเป็นธรรม ที่เป็นธรรมจริงๆ โดยฟังแล้วเข้าใจว่า ขณะนี้เป็นธรรมอย่างไร เมื่อมีความเข้าใจขั้นฟัง ก็ทำให้สามารถเข้าใจลักษณะที่เป็นจริงตามที่กำลังฟังในขณะนี้ ทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าจะรู้จักธรรมทั้งหมด ไม่ใช่เมื่อสักครู่ธรรมอะไรบ้าง ก็ดับหมดแล้ว ก็ไม่รู้เลยสักอย่าง แต่พูดถึงเจตสิกได้ เจตสิกนั้นเกิดกับจิตนั้น ขณะนั้นมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่าไร แต่ก็ดับไปหมดแล้ว

    เพราะฉะนั้น ต้องเริ่มต้นจริงๆ คือ เข้าใจสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ว่าเป็นธรรมอย่างมั่นคง ฟังแล้วก็เข้าใจ จุติจิตก็เป็นธรรม กุศลจิตก็เป็นธรรม ทุกขเวทนาก็เป็นธรรม จิตเกิดแล้วดับสืบต่อ ก็เป็นธรรมซึ่งเป็นอนัตตา ใครก็ไม่สามารถที่จะบังคับบัญชาหรือเปลี่ยนแปลงได้

    ผู้ฟัง ในหมู่ผู้ศึกษา หมายความว่า ฟังพระธรรมของพระพุทธเจ้า โดยมีสัตบุรุษมาเกื้อกูล ไม่เช่นนั้นถ้าลำพังศึกษาเองก็ไม่สามารถเข้าใจความลึกซึ้งของอรรถของพยัญชนะได้

    ท่านอาจารย์ ฟังจนกระทั่งเป็นความเข้าใจว่า ขณะนี้เป็นธรรมขึ้นเรื่อยๆ จนมั่นคง

    ผู้ฟัง ที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ฟังจนเข้าใจถึงว่าเป็นธรรม ท่านอาจารย์ช่วยขยายด้วย

    ท่านอาจารย์ เวลานี้อะไรเป็นธรรมบ้าง

    ผู้ฟัง ตามความเข้าใจขั้นปริยัติ คือ สภาพที่มีการเห็น การได้ยินเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ก็แสดงว่า พูดโดยปริยัติ รู้จักตัวธรรมที่ปริยัติกล่าวถึงหรือเปล่า ความคิดเป็นธรรม รู้จักความคิดหรือยัง

    ผู้ฟัง ถ้าท่านอาจารย์จะถามว่า รู้จักความคิดหรือยัง ก็แค่การศึกษา แต่ยังไม่รู้จักลักษณะ

    ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่า ความคิดมีแน่นอน จะกล่าวว่าความคิดไม่มี เป็นไปไม่ได้ และรู้ด้วยว่า ความคิดต้องเกิดคิด แต่ว่าคิดไม่มีรูปร่างลักษณะ แต่กำลังมีเรื่องที่คิด คิดเรื่องอะไร ขณะนั้นก็มีเรื่องนั้น

    อ.ธิดารัตน์ เมื่อวานนี้ตอนเย็น มีพี่คนหนึ่งถามน้องกล้าว่า คุณแม่ไปไหน น้องกล้าก็ตอบว่า ตอนนี้คุณแม่ไม่ได้อยู่ในโลกของเขา หนูเลยเรียกเขามาถามว่า เวลาที่ถามถึงคุณแม่แล้วน้องกล้าคิดถึงคุณแม่ ตอนนั้นคุณแม่อยู่ในโลกของน้องกล้าหรือเปล่า เขาก็บอกว่า อยู่

    ท่านอาจารย์ แสดงถึงความคิดที่เรากำลังกล่าวถึง ขณะใดที่คิดเรื่องอะไร ก็มีสิ่งนั้นในความคิด ขณะใดที่ไม่ได้คิดถึงสิ่งนั้น ก็ไม่มีสิ่งนั้นในความคิด

    เพราะฉะนั้น ทั้งหมดเป็นโลก ไม่ว่าขณะไหนก็ตาม มีเมื่อปรากฏ เวลาที่คิด จิตคิดเกิดขึ้นก็แล้วแต่ว่าคิดถึงอะไร เวลาที่คุณจงนภาถามถึงเรื่องธรรม โดยปริยัติกล่าวได้ว่า ทุกอย่างเป็นธรรม แต่ไม่อยากจะให้กล่าวรวมๆ แสดงว่า แม้ปริยัติก็กล่าวได้ว่า อะไรบ้างที่เป็นธรรมขณะนี้ แม้ยังไม่รู้จักตัวธรรมเลย ทั้งๆ ที่ธรรมก็กำลังปรากฏ แต่อวิชชาไม่สามารถที่จะรู้จักธรรมว่าเป็นธรรม เหมือนสิ่งที่ขวางกั้นไม่ให้เห็นความจริงว่า นี่เป็นธรรม ภูเขาใหญ่ที่ขวางกั้นไม่ให้เห็น เพราะอวิชชาไม่สามารถจะรู้ได้เลย

    ด้วยเหตุนี้ธรรมเป็นธรรม ใครจะเห็นหรือไม่เห็นก็ตามแต่ แต่เมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย สิ่งที่ขวางก็ค่อยๆ น้อยลง จนกระทั่งสามารถรู้ความจริงได้ ด้วยเหตุนี้จึงต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า การฟังธรรม และเข้าใจรอบรู้เรื่องอะไรต่างๆ ที่ไปจำมา แค่จำ แต่ไม่ใช่เข้าใจจริงๆ ไม่สามารถทำให้รู้จักตัวธรรมได้

    ด้วยเหตุนี้ การฟังธรรมตามลำดับจริงๆ คือ ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องชื่อมากมาย ปฏิจสมุปบาท คืออะไร ตอบได้หมด แล้วเดี๋ยวนี้ล่ะเป็นปฏิจสมุปบาทหรือเปล่า เห็นไหม เดี๋ยวนี้เป็นหรือเปล่า เวลาตอบได้หมดเลย อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร สังขารเป็นปัจจัยแก่วิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยแก่นามรูป แล้วเดี๋ยวนี้ล่ะเป็นปฏิจสมุปบาทหรือเปล่า ยังไม่รู้จักตัวธรรมเลย จำชื่อมา พูดชื่อ ตอบคล่อง แต่ขณะนี้ มีอะไรที่กั้นไม่ให้คุ้นเคย ไม่ให้รู้ว่าเป็นธรรม เพราะสนใจในชื่อ และในคำ โดยไม่รู้ว่า จริงๆ แล้วธรรมเป็นสิ่งที่มี พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มี ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตาย ให้คนที่แม้มีก็ไม่รู้ ตายไปก็ไม่รู้จักว่ามีอะไร ไม่รู้จักอะไรเลยทั้งสิ้นตั้งแต่เกิดจนตาย แต่จากการตรัสรู้ ทำให้รู้ว่า ขณะใดก็ตามเดี๋ยวนี้ก็เป็นธรรมที่ทรงแสดงความจริง ลึก และละเอียดจนถึงการเป็นธรรมซึ่งไม่ใช่เรา จนกว่าจะหมดความเห็นผิด และยึดถือว่าเป็นเรา

    เพราะฉะนั้น การฟังธรรมจึงต้องละเอียด และเข้าใจจริงๆ ว่า จุดประสงค์เพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ทางตาก็พูดเรื่องตา ทางหูก็พูดเรื่องหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็พูดเรื่องธรรมเดี๋ยวนี้นั่นเอง จนกว่าจะรู้จักตัวจริงของธรรม

    ผู้ฟัง ถ้าปริยัติแม่นยำ จะทำให้เวลาที่สภาพธรรมปรากฏ สติสามารถระลึกรู้ว่า อันนั้นเป็นสภาพธรรมอะไร

    ท่านอาจารย์ แล้วเข้าใจอย่างนี้ถูกหรือผิด

    ผู้ฟัง หนูว่าหนูเข้าใจอย่างนี้ถูก

    ท่านอาจารย์ ถูกหรือ ถ้าอย่างนั้นขณะนี้อวิชชาเป็นปัจจัยแก่อะไร

    ผู้ฟัง อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร

    ท่านอาจารย์ แล้วสังขารเดี๋ยวนี้อยู่ที่ไหน

    ผู้ฟัง สังขารกำลังปรุงแต่ง

    ท่านอาจารย์ แล้วสังขารอะไรกำลังปรุงแต่ง

    ผู้ฟัง ความคิด

    ท่านอาจารย์ ความคิดเป็นกุศลหรืออกุศล

    ผู้ฟัง ถ้าคิดไม่ถูก ก็เป็นอกุศล

    ท่านอาจารย์ และอกุศลนี้มีอะไรเป็นปัจจัย

    ผู้ฟัง ก็มีทั้งอวิชชา และโลภะ ความอยาก

    ท่านอาจารย์ และถ้าเป็นกุศล มีอะไรเป็นปัจจัย

    ผู้ฟัง กุศลก็ต้องเป็นปัญญา

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม ลืม ปฏิจจสมุปบาทเมื่อสักครู่นี้พูดคล่อง อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร ไม่เว้นสังขารใดๆ เลยทั้งสิ้น ซึ่งเป็นอปุญญาภิสังขาร และปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร เจตนาที่เป็นกรรมที่ทำให้เกิด ดับ ไม่พ้นจากสังสารวัฏฏ์ และพอตอบจะตรงกับที่เข้าใจไหม

    ผู้ฟัง ตรง

    ท่านอาจารย์ ตรงหรือ อย่างนี้ก็เป็นเรื่องคิดไปเรื่อยๆ แต่ว่าอยากให้ฟัง และเข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง และเห็นประโยชน์จริงๆ ว่า ถึงแม้ว่าเราจะพูดถึงปฏิจจสมุปบาทได้คล่อง แต่จริงๆ แล้วรู้จักธรรมหรือยัง ถ้าตราบใดที่ยังไม่รู้จักธรรม เกิดชาติหน้า พูดภาษาอะไรก็ไม่ทราบ ลืมหมดแล้ว ภาษาไทยที่ไปจำปฏิจจสมุปบาท ภาษาบาลี ก็ลืมไปแล้วหมดเลยว่า ปฏิจจสมุปบาทคืออะไร ก็ไม่รู้ แล้วจะรู้จักธรรมไหม เพราะจะต้องมีธรรมทั้งนั้น ไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้น จุดประสงค์ไม่ใช่เป็นการจำชื่อ แต่ว่าขณะนี้เป็นธรรม เมื่อไรที่อบรมจนกระทั่งสามารถเข้าใจ เพียงได้ยินคำที่ว่า ธรรมเกิด แค่นี้รู้เลย สิ่งที่กำลังปรากฏอย่างนี้ ลักษณะอย่างนี้ไม่ใช่ใครเลย แต่เป็นธรรม แล้วถ้าอบรมปัญญามาพอ ละคลายการยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด สามารถที่จะประจักษ์ความจริงของสภาพธรรม คือ การเกิดดับ ละคลายการติดข้อง ไม่ใช่ให้ฟังไป แล้วไม่มีการที่จะรู้ว่า การละคลายด้วยอะไร ถ้ายังไม่รู้จักตัวธรรมจริงๆ ละคลายไม่ได้เลย เอาชื่อมาละคลายไม่ได้ บอกให้ละ ก็ละไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่า ขณะนั้นเป็นเรา บางคนก็ดีใจ วันนี้ทำความดีมาก แล้วใครทำ ละหรือเปล่า ยังคงเป็นเรา เพราะฉะนั้น ก็มีความติดข้องว่า ความดีของเรา แต่ไม่ใช่ความดีเป็นธรรม กุศลก็เป็นธรรม อกุศลก็เป็นธรรม ทุกอย่างเป็นธรรม

    ผู้ฟัง ความหมายที่ท่านอาจารย์บอกว่าเป็นธรรม ก็ต้องหมายถึงสติปัฏฐานเกิดใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ยังไม่ใช่ เข้าใจสิ่งที่กำลังฟังก่อน

    ผู้ฟัง ก็เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ แล้วจะไปเรียกชื่อสติปัฏฐานไหม ถ้าสติเกิดรู้ลักษณะ แล้วต้องเรียกไหมว่า นี่ไงสติปัฏฐาน

    ผู้ฟัง สติเกิดก็จริง แต่ไม่ใช่สติปัฏฐาน

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่

    ผู้ฟัง เมื่อมันเกิด ขณะที่เกิดก็เข้าใจ และเดี๋ยวก็กลับมาเหมือนเดิม

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้สติเกิดหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ขณะที่ฟังท่านอาจารย์ก็เข้าใจ ก็คิดว่าเป็นสติ

    ท่านอาจารย์ ต้องมีคิดว่าด้วยใช่ไหม เพราะไม่รู้จักตัวสติ

    ผู้ฟัง แต่อีกสักครู่เดียวก็กลับมาอีก

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรมดาหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ก็ธรรมดา ที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า เรียนธรรมแล้วหนักอกหนักใจ

    ท่านอาจารย์ เพราะเป็นเราต่างหากที่หนักอกหนักใจก็เป็นธรรม ก็คือ เกิดแล้วดับแล้ว ทั่วหมดเลย

    ผู้ฟัง ก็เข้าใจที่ฟัง แต่ที่หนักอกหนักใจ จึงไม่อยากจะไปรู้มัน

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม กำลังของอกุศลมากมาย ปล่อยให้มาเพียงแค่นี้ ปล่อยให้ได้ยินได้ฟังด้วย แล้วก็ดึงกลับไปเลย เรื่องอะไรที่จะต้องมารู้ความจริงที่จะทำให้ละ จริงๆ แล้วทุกคนเหมือนมาด้วยความหวัง หวังว่าจะเข้าใจธรรม ทำไมไม่ฟัง แล้วจากไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจ ไม่เคยเข้าใจก็เข้าใจ เท่านั้นเอง ฟังแล้วก็เข้าใจ ฟังแล้วก็เข้าใจ ถ้าเข้าใจจริงๆ แล้วก็จะรู้ว่า เป็นธรรม ไม่เข้าใจเป็นธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่เข้าใจก็เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ แล้วทำไมหนักอกหนักใจ ก็เลยจะไม่ฟัง อีกแล้ว

    ผู้ฟัง ไม่ใช่ มันก็เป็นอนัตตา มันเกิดขึ้น สภาพธรรมมันเกิดแล้ว

    ท่านอาจารย์ พูดว่าเป็นอนัตตา แต่อะไรเป็นอนัตตาเดี๋ยวนี้ ไม่มีเลย มีแต่ชื่อว่าเป็นอนัตตา

    ผู้ฟัง ความที่ไม่อยากให้มันเป็น มันเลยไม่เป็นอนัตตา

    ท่านอาจารย์ เห็นกำลังของอกุศลหรือไม่ พูดเท่าไรก็แสดงถึงความลึกของอกุศล ไม่ใช่มีใครอยากจะหมดกิเลส เสียดายกิเลส เป็นอัตตา เป็นเรา เป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา เสียดายไหม เสียดายความเป็นเรา พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้กว่าจะรู้ว่าไม่ใช่เรานี่นานมาก แล้วเราก็ยังคงเสียดายความเป็นเรา ความเป็นเราไม่หมด ไม่ต้องเสียดาย ไม่หมดจริงๆ จนกว่าปัญญาจะค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย

    เพราะฉะนั้น ฟังเพื่อเข้าใจธรรม ไม่ต้องห่วงใยอะไรเลย ปัญญาเพิ่มขึ้น เข้าใจขึ้น กับมีแต่อวิชชา และไม่เข้าใจธรรม และยึดถือธรรม ควรจะเป็นอย่างไหน อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล บังคับบัญชาไม่ได้ก็จริง แต่สามารถที่จะไตร่ตรอง แล้วรู้ว่าไม่ใช่การฝืน ไปพยายามคิดว่าไม่มีเรา แต่ความเข้าใจถูกก็เป็นเพียงธรรม เท่านั้นเอง แล้วธรรมอะไรจะเกิด โลภะเกิดต่อได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นธรรม โลภะมากๆ เกิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นธรรม

    ผู้ฟัง เท่าที่ศึกษาบอกว่า จิตดับไปก็จริง แต่ก็สะสมในชวนวิถีใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ก็ต้องศึกษาให้ละเอียดว่า สะสมเมื่อไร สะสมอะไร ชาติก่อนใครเป็นที่รักของคุณจงนภาบ้าง

    ผู้ฟัง ไม่ทราบ

    ท่านอาจารย์ แต่โลภะมีเยอะเลย เพราะฉะนั้น เหมือนกับชาติก่อนเจาะจงเฉพาะบางบุคคลซึ่งเป็นที่รัก แต่ความจริงคนที่เป็นที่รักมีหรือเปล่า หรือมีโลภะซึ่งติดข้อง ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใคร หมดแล้ว ไม่เห็นแล้ว จากกันไปจริงๆ จากโลกนั้นมาโลกนี้ มีความติดข้องใหม่หรือเปล่า

    ผู้ฟัง ก็ต้องมี

    ท่านอาจารย์ ทำไมไม่เป็นอันเก่า ที่เคยติดข้องกับคนโน้น คนโน้นมา ทำไมมาติดข้องใหม่

    ผู้ฟัง ก็หมดสิ้นไปในภพนั้นๆ แล้วมาอีกภพหนึ่ง

    ท่านอาจารย์ เพราะความติดข้องยังมี แล้วก็สะสมไว้ เพราะฉะนั้น ไม่มีทางที่จะหมดความติดข้อง คิดว่าติดข้องในชาติก่อนมาก บางคนก็อาจจะร้องไห้เสียใจนาน หลายคนก็เป็นอย่างนั้นชาติก่อน พอถึงชาตินี้อีกแล้ว ก็ไม่พ้นจากอีกแล้ว คือ ตราบใดที่ยังมีความติดข้อง มีปัจจัยที่จะให้ติดข้อง เกิดที่ไหนก็ติดข้องที่นั่น โดยไม่เลือกบุคคลหรือวัตถุใดๆ เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น สะสมอะไร

    ผู้ฟัง ก็ต้องสะสมอกุศล ความติดข้อง

    ท่านอาจารย์ และกุศล

    ผู้ถามแต่การศึกษาพระไตรปิฎกเป็นการศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ วันก่อนกับวันนี้เข้าใจต่างกัน เพิ่มขึ้นหรือไม่

    ผู้ฟัง เพิ่มขึ้น

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร

    ผู้ฟัง เพราะการสะสม

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 170
    15 ม.ค. 2567