พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 522


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๕๒๒

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒


    คุณนีน่า เข้าใจว่า เห็นนิดเดียว แล้วก็มีจิตอื่นที่รู้ว่าเป็นอะไร รู้เรื่องความหมาย แล้วแต่สติ ถ้ามีสติสัมปชัญญะเข้าใจได้ มีการเห็นที่ไม่เหมือนกับการคิดเรื่องสิ่งต่างๆ ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ คนใหม่ได้ยินคำว่า “สติสัมปชัญญะ” สนใจไหม สนใจอยากจะมี หรือจะเข้าใจว่าคืออะไร คุณนีน่าฟังมานานก็เข้าใจว่า สติ คืออะไร แต่ถ้าเพิ่งมาฟังวันนี้ แล้วได้ยินคำว่า สติ เขาจะรู้ไหมว่า สติ คืออะไร เพราะเขายังไม่รู้จักธรรมเลย แม้แต่จะเข้าใจธรรมว่าเป็นธรรม ก็ยังไม่มี เพราะฉะนั้น สติขั้นที่จะรู้ความจริงของธรรม ยังมีไม่ได้ ถ้าใครพยายามจะให้มี ผิดหรือถูก ในเมื่อแม้ธรรมมี ก็ยังไม่ได้เข้าใจละเอียดขึ้น

    เพราะฉะนั้น สำคัญที่สุด คือเข้าใจ ไม่ต้องไปคิดฝันอยากจะมีโน่น มีนี่เยอะๆ ให้เข้าใจธรรมเมื่อไร วันหนึ่งก็จะมีการรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏได้

    ผู้ฟัง กราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า เมื่อพูดถึงปฏิบัติบูชา หรือธรรมบูชา หรืออามิสบูชา ก็ทำให้นึกว่า ตัวเองฟังธรรมก็ต้องไปอินเดียทุกครั้งที่มีโอกาส แต่เมื่อไม่มีโอกาสแล้ว จะเรียนถามว่า การไปอินเดีย หรือธรรมบูชา หรืออามิสบูชาเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก็ต่างกันที่อามิสเป็นวัตถุสิ่งของที่คิดว่ามีค่า และเหมาะควรแก่การบูชา

    ผู้ฟัง ความละเอียดของอามิสบูชาก็เหมือนต้องมาจากจิตใจที่ศรัทธา

    ท่านอาจารย์ แล้วจะบูชาใคร เห็นไหม ทำอย่างนี้เพื่อบูชาใคร

    ผู้ฟัง ก็บูชาพระพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ ใครเป็นคน ที่ควรบูชา เห็นไหม ก็เป็นกุศลจิตที่ระลึกถึงคุณ จึงได้บูชาสักการะทั้งอามิสบูชา และธรรมบูชา เวลาฟังธรรมเป็นธรรมบูชาหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ถ้าฟังธรรมเข้าใจก็ใช่ จริงๆ แล้วการที่พระองค์ทรงแสดงธรรม ก็เพื่อให้สัตว์โลกรู้ตามที่ทรงตรัสรู้ เรื่องการไปอินเดีย เมื่อฟังเรื่องปัจจัยที่ว่า อกุศลเป็นปกตูปนิสสยปัจจัยให้เกิดกุศล กุศลทำให้เกิดอกุศล ที่เป็นไปได้ในชีวิตประจำวัน

    ถ้าพูดถึงเรื่องการไปอินเดียตอนนี้จะชัดเจนมาก เพราะว่าจริงๆ แล้วทุกคนก็เป็นกุศลที่จะต้องไปนมัสการสังเวชนียสถาน และเจดีย์ต่างๆ เนื่องจากต้องมีอกุศลมากมายสลับกันตามเหตุปัจจัย คำถามก็คือ ถ้าไปอินเดียแล้วเป็นปฏิบัติบูชาแล้วไม่ได้ไป ดูเหมือนจะเป็นความทุกข์

    ท่านอาจารย์ การไปอินเดียเป็นปฏิบัติบูชา หรืออย่างไร

    ผู้ฟัง ไปอินเดียก็เพราะว่า ซาบซึ้งในพระคุณแล้วไปกราบเจดีย์ ก็คือการเตือนให้ระลึกถึงพระคุณ

    ท่านอาจารย์ กุศลทั้งหลายที่เกิดจากการระลึกถึงพระคุณจะไม่ใช่อกุศล

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้น ก็อยู่ที่กุศลจิตที่ระลึกถึงพระคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความรู้สึกว่าอยากจะไป เพราะมีการสนทนาธรรมตามสถานที่สำคัญ เป็นความประทับใจ รู้สึกว่า ถ้าได้ไปก็จะดี ถ้าไม่ได้ไปก็เป็นความเดือดร้อน

    ท่านอาจารย์ คนที่ไปนมัสการสังเวชนียสถานไปเที่ยว หรือไปทำอะไร หรือว่าเป็นสถานที่ ที่ไม่มีที่อื่น แม้ในสวรรค์ เป็นที่ๆ ผู้ที่ได้บำเพ็ญบารมี ได้ตรัสรู้ด้วยพระปัญญาคุณที่สะสมมาพร้อมด้วยพระมหากรุณาคุณอย่างยิ่ง ที่จะให้ผู้อื่นได้มีโอกาสรู้ และเข้าใจธรรม และพ้นจากสังสารวัฏด้วย

    เพราะฉะนั้น เป็นสถานที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าขณะนั้น ก็เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ประสูติ และตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรม และดับขันธปรินิพพาน แล้วก็ยังมีสถานที่อื่น เช่น พระวิหารเชตวัน ซึ่งทรงประทับที่นี่นานมาก และพระธรรมทั้งหลายที่ทรงแสดงก็มีจารึกมาจนถึงบัดนี้ เป็นเครื่องแสดงยืนยันว่า พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้น การที่ไป ก็คือไปเคารพระลึกถึงพระคุณ อย่างที่ตรัสรู้ได้ทรงบำเพ็ญบารมีมานานเท่าไร มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระองค์ได้เข้าเฝ้า ได้ฟังธรรม อบรมเจริญบารมีมากเท่าไร

    เพราะฉะนั้น ก็ได้เห็นจริงๆ ว่า เมื่อไปถึงที่นั่นแล้ว ก็คือระลึกถึงพระคุณ จะระลึกถึงที่นี่ก็ได้ แต่ที่นี่ก็ไม่ใช่ที่ประสูติ ไม่ใช่ที่ตรัสรู้ ไม่ใช่ที่ปรินิพพาน

    ผู้ฟัง ขณะมีสิ่งที่คิดนึก แต่ผมไม่เข้าใจลักษณะคิดนึกขณะนั้น ลักษณะคิดนึกมีจริง แต่สิ่งที่เราคิดนึก อย่างเช่นเห็นท่านอาจารย์ เห็นดอกไม้ เห็นวิทยากรเป็นสิ่งที่ไม่มีจริง และการฟังธรรมของผมตั้งแต่กลับจากอินเดีย ก็มีความเข้าใจขึ้น พิจารณากิเลส การพิจารณากิเลสก็คือว่า ถ้าเราเข้าใจกิเลสของตัวเราเอง เราก็จะเข้าใจกิเลสของบุคคลอื่น สิ่งที่ผมพูดมานี้ มีความถูกต้องหรือว่าไม่เข้าใจ ผิดพลาดอย่างไรก็ขอความรู้จากท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วจริงๆ เพราะฉะนั้น ขณะนี้ก็ไม่ใช่ขณะนั้น เพราะฉะนั้น ก็จะต้องสะสมความเข้าใจต่อไปอีก เพื่อที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมในขณะนั้น ไม่ใช่กลับมาแล้วคิดถึง คิดถึงก็ห้ามไม่ได้ ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมทั้งหมด

    ผู้ฟัง แต่ก็ยังขอยืนยืนว่า การไปอินเดียมีประโยชน์มหาศาลสำหรับผม

    ท่านอาจารย์ ประโยชน์อย่างหนึ่ง ก็คือมีโอกาสได้ฟังธรรม และสนทนาธรรมกัน และเป็นกันเองที่จะถามจะตอบอะไรก็ได้ เพราะว่าเป็นกลุ่มเล็กๆ

    อ.กุลวิไล มีผู้ฝากมาถามว่า การสนทนากัน จำเป็นต้องมีชื่อไหม เพื่อให้เข้าใจสภาพของชื่อนั้นๆ ถ้าไม่มีชื่อ จะให้เข้าใจสภาพธรรมนั้นๆ ได้หรือไม่

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้มานั่งเงียบๆ ใช่ไหม มามูลนิธิมานั่งเงียบๆ หรือเปล่า และเกิดมาพูดหรือเปล่า เป็นของธรรมดา ธรรมไม่ใช่ผิดปกติ ขณะที่กำลังรู้ลักษณะของสภาพธรรม มีชื่อไหม แต่เมื่อสภาพธรรมนั้นมีจริง ต้องอาศัยชื่อเพื่อที่จะให้รู้ว่า หมายถึงสภาพธรรมอะไร

    เพราะฉะนั้น ฟังเผิน เหมือนกับจะไม่ให้พูด ไม่ให้มีชื่อ ไม่ให้ใช้คำอะไรเลย ถ้าอย่างนั้นก็ไม่สามารถเข้าใจธรรมได้ แต่ที่จะเข้าใจธรรมได้ เพราะชื่อนั้นบ่งแสดงถึงลักษณะของสิ่งที่มีจริง โดยละเอียดขึ้นๆ โดยประการทั้งปวง เพราะว่าไม่ได้ใช้คำว่า “ธรรม” อย่างเดียว ยังมีอีกหลายคำที่ทำให้สามารถที่จะเข้าใจลักษณะของธรรมมากขึ้น จนกระทั่งสามารถรู้ความจริงของลักษณะของสภาพธรรมได้ เช่น ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ก็เป็นชื่อ ไม่มีชื่อจะรู้ได้อย่างไรว่า ปริยัติไม่ใช่ปฏิบัติ และไม่ใช่ปฏิเวธ

    เพราะฉะนั้น การฟังต้องเข้าใจ ไม่มีใครห้ามพูด ไม่ใช่ให้มานั่งเฉยๆ แต่ว่ามาเพื่อจะได้ยินคำที่ทำให้รู้ว่า ธรรมไม่มีชื่อ ใช่ไหม เวลาที่พระผู้มีพระภาคตรัสรู้ ธรรมปรากฏทั้งหมดกับพระญาณ ไม่มีชื่อ แต่เมื่อจะทรงแสดงธรรม ต้องอาศัยคำซึ่งเป็นชื่อต่างๆ เพื่อที่จะให้รู้ว่า หมายความถึงอะไร

    เพราะฉะนั้น ก็ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า มีชื่อเพื่อให้รู้ตัวธรรมจริงๆ นั้นไม่มี จะเรียกธรรมอะไรก็ได้ เพื่อให้รู้ความหมาย ไม่ว่าจะในภาษาใดก็ได้

    เพราะฉะนั้น ตัวธรรมจริงๆ ถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงบัญญัติคำเรียก เราก็จะไม่รู้ว่า หมายความถึงอะไร เช่น สภาพของผัสสเจตสิก เวทนาเจตสิก สัญญาเจตสิก ซึ่งมีจริงๆ ในขณะนี้ แล้วใครจะรู้ถ้าไม่มีชื่อว่า ผัสสะคืออะไร ต่างกับเวทนา ต่างกับสัญญา

    ไม่ว่าใครจะอยู่ที่ไหน อย่างไรก็ตาม ก็จะต้องมีธรรมซึ่งเป็นนามธรรม และรูปธรรม ซึ่งเคยยึดถือว่าเป็นเรา เมื่อวานนี้เราพูดถึงเรื่องให้เห็นบาปว่าเป็นบาป เพื่อที่จะละบาป และเมื่อวานก็ผานพ้นไปแล้ว วันนี้ดีกว่าเมื่อวานนี้หรือเปล่า ดีกว่า คือเข้าใจขึ้น และดีกว่าในการกระทำคำพูด และใจหรือเปล่า ไม่ใช่เพียงแต่เข้าใจว่า เข้าใจธรรมดีขึ้นกว่าเมื่อวานนี้ แต่เมื่อมีการเข้าใจธรรมแล้ว สังขารขันธ์จากการเข้าใจแล้วรู้ว่า บาปเป็นบาป อกุศลเป็นอกุศล แล้วเมื่อวานนี้ผ่านไปแล้ว ละบาปบ้างไหม เห็นไหม ทางกาย ทางวาจา ทางใจ

    เพราะฉะนั้น ธรรมเป็นประโยชน์แต่ละวันด้วย ไม่ใช่ว่าเราจะไปคอยถึงปีหนึ่ง แล้วเราจะมาสำรวจตัวเราเองว่า เราดีขึ้นหรือเปล่าจากปีหนึ่งๆ เพียงแต่แม้วันหนึ่งๆ ถ้ามีความเข้าใจธรรม ก็จะเห็นคุณของพระธรรม ถ้ามีปัญญาแล้ว สิ่งที่เคยเป็นอกุศล ก็จะเห็นว่า เป็นสิ่งที่ควรละ แม้ว่ายังไม่สามารถละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา แต่การละอกุศลทางกาย ทางวาจา ทางใจมีเพิ่มขึ้นบ้าง ถ้าสังขารขันธ์ปรุงแต่งทำให้กาย วาจาดีขึ้น

    เพราะฉะนั้น แต่ละวันเป็นที่สังเกตได้จากการเข้าใจธรรม ไม่ต้องคอยไปจนกระทั่งถึงจะดับกิเลสหมดเสียก่อน แต่กายก็มีประจำทุกวัน วาจาก็มีประจำทุกวัน จะเห็นได้ว่า การฟังธรรมไม่มีวันจบ จะมีความเข้าใจธรรมละเอียดขึ้น ซึ่งจะเป็นทางเดียวที่ทำให้ค่อยๆ ละบาปจนกว่าสามารถละได้ ซึ่งที่จะละได้จริงๆ ก็คือปัญญาสามารถที่จะเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริง

    สภาพธรรมเมื่อวาน ไม่สามารถจะกลับมาได้อีกเลย ขณะนี้ก็กำลังเป็นอย่างนี้ โดยไม่มีร่องรอยว่า หมดไปๆ แต่ก็มีสภาพธรรมที่เกิดเพราะสังขารขันธ์ ซึ่งก็จะต้องเป็นไปตามการปรุงแต่ง ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร

    เพราะฉะนั้น พระธรรมก็จะทำให้กุศลทั้งหลายเจริญขึ้น เมื่อมีความเข้าใจถูก โดยที่ว่าไม่มีความเป็นเราที่คิดว่าจะทำอย่างหนึ่งอย่างใด เพราะอะไร ธรรมเกิดแล้ว ถ้าสามารถรู้ว่า ธรรม คือเดี๋ยวนี้ที่เกิดแล้วกำลังปรากฏ ความเข้าใจธรรมของเราก็จะไม่ไปถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ก็จะเข้าใจที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ไม่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว และสิ่งที่ยังไม่มาถึง

    เพราะเหตุว่า สิ่งล่วงแล้ว ไม่สามารถทำให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่ตัวตน เพราะไม่ปรากฏให้เห็น สิ่งที่ยังไม่มาถึงก็ไม่ทำให้เราสามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมได้ เพราะเหตุว่ายังไม่ปรากฏ เพราะยังไม่เกิดขึ้น แต่ขณะนี้ ถ้าไม่ลืมก็คือ ทั้งหมดเป็นธรรม คือฟังแล้วฟังอีก ก็เพื่อให้ไม่ลืมว่า ขณะนี้เป็นธรรม เมื่อไม่ลืม มีสภาพธรรมกำลังปรากฏใช่ไหม ฟัง แม้ว่าจะยังไม่เห็นว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่ลักษณะจริงๆ เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ใครเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ให้ปรากฏไม่ได้เลย เพียงปรากฏให้เห็น สิ่งที่ปรากฏเป็นของใครหรือเปล่า แต่พอเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ของเรา ใช่ไหม เก้าอี้ของเรา ขวดของเรา ดอกไม้ของเรา ของเราหมด

    เพราะเหตุว่าไม่เข้าใจว่า ธรรมทั้งหมดไม่มีเจ้าของ ไม่มีของใคร แต่มีปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้นในความว่างเปล่า ซึ่งเป็นอากาศธาตุซึ่งไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นมาเลย ไม่มี ว่างเปล่าจริงๆ แต่พอมีปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้น เพราะไม่รู้ความจริงก็เห็นสิ่งนั้นว่า เป็นสิ่งที่น่าพอใจ อย่างสิ่งที่ปรากฏทางตามีเป็นปกติ ถ้าไม่มี จิตเห็นเกิดขึ้น สิ่งนี้ไม่ปรากฏ

    คนตาบอด ไม่สามารถจะเห็นสิ่งที่คนอื่นกำลังเห็น แม้ว่า มีสิ่งที่คนอื่นเห็นได้ แต่คนตาบอดไม่สามารถเห็นได้เลย เพราะว่าไม่มีธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้นเห็น เพราะฉะนั้น ขณะนี้ก็ไม่ลืมว่า เป็นนามธาตุ เป็นรูปธาตุ ถ้าแตกย่อยร่างกายเป็นส่วนที่เล็กที่สุด อากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ แล้วส่วนที่เล็กที่สุดแต่ละส่วนเกิดดับเร็วมาก

    นี่คือความจริง ที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดง จึงสามารถที่จะเห็นว่าเป็นธรรม ซึ่งไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่เป็นใครเลย เป็นธรรมที่มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้น การฟังธรรม เริ่มจากการมีความเข้าใจถูกต้อง และเมื่อเข้าใจก็ไม่ลืมว่า สิ่งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์ ขณะนี้ปัญญาของใครประจักษ์บางหรือเปล่า ในความเกิดขึ้น และดับไปของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ ถ้ายัง ก็เริ่มจากการรู้ว่า ขณะนี้เป็นธรรม ไม่ต้องไปหาธรรมที่ไหนเลย สิ่งที่ปรากฏทางตาเกิดแล้วเป็นธรรมอย่างหนึ่งที่ปรากฏให้เห็นด้วย ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ของใคร เพียงปรากฏให้เห็น ไม่ว่าจะเมื่อไรก็ตาม เดี๋ยวนี้มีสมบัติหรือไม่ ฟังธรรมอยู่อาจจะไม่มี กลับไปถึงบ้าน ของเราทั้งนั้นเลย แต่ที่ว่าเป็นของเรา ปรากฏให้เห็น ทำอะไรไม่ได้เลย และความจริงสภาพธรรมที่ปรากฏให้เห็น ก็อายุสั้นมาก เกิดแล้วดับ รวมทั้งสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมซึ่งเกิดขึ้นเห็นก็ดับไปด้วย

    เพราะฉะนั้น ถ้าเมื่อเช้านี้ใครฟังธรรม ก็จะได้ยินว่า เรื่องของอินทรีย์ ๖ ตา ๑ หู ๑ จมูก ๑ ลิ้น ๑ กาย ๑ ใจ ๑ เพราะเหตุว่า ถึงแม้มีใจ แต่ถ้าไม่มีตา ไม่มีการเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ มีใจแต่ไม่มีโสตปสาท จะได้ยินเสียงได้ไหม ก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้น แต่ละทางแยกขาดจากกัน ไม่ปะปนกันเลย ถ้าคิดถึงสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตา ค่อยๆ ฟังจะได้พิจารณาสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ที่ปรากฏทางตา สภาพธรรมที่ปรากฏทางตาเพราะจิตเห็นเกิดขึ้น แล้วดับไป จะรู้ไหมว่า ต่อไปจิตได้ยินจะเกิด

    เพราะฉะนั้น จิตเห็น มีหน้าที่อย่างเดียว เกิดขึ้นเห็นแล้วดับ ไม่เกี่ยวข้องทวารใดๆ อื่นทั้งสิ้น มีหน้าที่เพียงแต่ว่า มีปัจจัย เพราะเหตุว่า มีจักขุปสาทซึ่งกรรมเป็นปัจจัย แล้วก็มีสิ่งที่สามารถกระทบจักขุปสาทเป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นเห็น สิ่งที่กำลังปรากฏ ถ้าเราเข้าใจอย่างนี้ว่า จะขาดธรรมหนึ่งธรรมใดไม่ได้ ที่จะเป็นปัจจัยทำให้ขณะนี้เห็นเกิดขึ้น ก็จะเข้าใจความหมายของอายตนะ เพราะเหตุว่า จักขุขณะที่ยังไม่ดับกระทบกับรูปซึ่งยังไม่ดับ และจิตเห็นเกิดขึ้นพร้อมเจตสิก

    เพราะฉะนั้น ขณะนั้นจักขุปสาทก็เป็นจักขวายตนะ และรูปที่กระทบก็ต้องมีอยู่ตรงนั้น โลกอื่นไม่มีเลย มีแต่ธรรมตรงนี้ ซึ่งอยู่ในขณะนั้น คือ รูปยังไม่ดับ เพราะฉะนั้น รูปก็เป็นรูปายตนะ และจิตก็เกิดขึ้นเป็นมนายตนะ พร้อมเจตสิกซึ่งเป็นธัมมายตนะ ในชั่ว ๑ ขณะที่ไม่มีอย่างอื่นรวมอยู่ในที่นั้นเลย โลกอื่นไม่มีเลย เพียงชั่ว ๑ ขณะจิตที่มีการเห็นสิ่งที่ปรากฏในขณะนี้ ต้องมีขันธ์ มีธาตุ และอายตนะ เป็นอายตนะ

    นี่คือการเข้าใจธรรม แล้วเริ่มที่จะรู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และได้มีกุศลที่ได้กระทำแล้วทำให้สามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังฟังในความเป็นอนัตตา ถ้าเป็นปัญญาที่อบรมแล้ว สามารถจะประจักษ์ความจริง เพราะว่าขณะนี้เป็นความจริง ตรงกับที่ได้ศึกษาทั้งหมด ได้ฟังมาแล้วทั้งหมด สภาพธรรมไม่เปลี่ยน หรือไม่ผิดจากปกติเลยนี่คือขณะไหนก็ตาม ฟังธรรมก็รู้ว่า ขณะนี้เป็นธรรม จนกว่าจะรู้ความจริงของธรรม พอถึงหู เห็นไหม ไม่เกี่ยวกับทางตาเลย จิตอีกประเภทหนึ่งอาศัยโสตปสาทที่ยังไม่ดับ เสียงยังไม่ดับ แล้วจิตเกิดขึ้นได้ยินพร้อมเจตสิก ขณะนั้นก็เป็นอายตนะ เท่านี้เองในแต่ละขณะ ซึ่งไม่กลับมาอีกเลย

    เพราะฉะนั้น จะเป็นใคร จะเป็นเรา หรือว่าจะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้ ตราบใดที่ยังคงเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด นั่นคือ อัตต สัญญาจำ แล้วก็ยังมีความเห็นตามสัญญาก็เป็นอัตตานุทิฏฐิ เห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่ตอลดเวลา ทันทีที่เห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วถ้าเป็นที่ตัว สักกายะ ก็คือเห็นว่าเป็นเรา หรือของเรา สภาพธรรมที่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน แล้วยึดถือสิ่งนั้นว่าเป็นเรา ก็เป็นสักกายทิฏฐิ

    เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นชาวพุทธนับถือพระพุทธศาสนา แต่ถ้าไม่ได้ศึกษาธรรม ไม่ได้เข้าใจ ไม่รู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเห็นคุณของพระรัตนตรัยหรือเปล่า ไม่รู้ว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีถึงพร้อมด้วยญาณซึ่งไม่มีใครเปรียบเสมอได้เลยทั้งสิ้น ทั้งโลก ทั้งจักรวาล แล้วทรงแสดงความจริงของธรรมเพื่อให้คนที่มีโอกาสได้ฟัง อย่างขณะนี้แม้ว่าปรินิพพานไปแล้ว ๒,๕๐๐ กว่าปี แต่พระธรรมที่ทรงแสดงก็ทำให้คนที่สะสมมาแล้วสามารถที่จะได้ฟังอีก แล้วสะสมความเข้าใจอีก จนกระทั่งถึงการรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้

    ตอนนี้เริ่มเห็นแล้วใช่ไหมว่า ๑ ขณะจิตที่เกิดขึ้นแล้วไม่กลับมาอีก แล้วก็แยกกันไปเลยทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย

    คุณนีน่า ดิฉันมีคำถามเรื่องคำนิดหนึ่ง เป็นธรรมเท่านั้นๆ ให้รู้โดยไม่คิดคำ โดยรู้ตรง ยังไม่เข้าใจ เพราะว่าไม่ต้องคิดคำ หรือคิดเร็วๆ หรือจำเสียงของอาจารย์ได้ แต่คำเท่านั้น

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ไม่ต้องนะ ต้องไม่ได้ หรือจะไม่ต้องก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้น ขณะนี้ฟังให้เข้าใจ ถ้าไม่มีคำ คุณนีน่าจะไม่ได้ยินอะไรเลย เวลาที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อนุตตร (นาทีที่ ๒๑.๕๐ ไม่มีคำว่า "สัมมา") สัมโพธิญาณเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์ ปัญญาขณะนั้นรู้ลักษณะของสภาพธรรม มีคำหรือเปล่า ตัวธรรมมีคำหรือเปล่า เห็นมี ไม่มีคำ ใช่ไหม เพราะว่าขณะใดก็ตามที่คิดถึงคำ ขณะนั้นไม่ได้รู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ เพราะว่าจิตเกิดขึ้นทีละ ๑ ขณะ จะรู้ ๒ อย่างไม่ได้เลย ขณะใดก็ตามที่กำลังคิดเรื่องราวต่างๆ ขณะนั้นก็มีคำที่นึกถึง ขณะนั้นจิตก็รู้คำ

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ต้องไม่คิด แต่มีความเข้าใจที่ถูกต้องว่า การที่จะอบรมความเข้าใจสิ่งที่ปรากฏ เพราะมีสิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ จากการไม่รู้เลย นานแสนนาน ถูกปกปิดไว้ด้วยอวิชชาซึ่งเป็นธรรมที่มีจริง อวิชชาตรงกันข้ามกับปัญญา อวิชชาไม่สามารถที่จะรู้ และเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ถูกต้องไหม ขณะใดที่ไม่เข้าใจ ขณะนั้นจริง และไม่ใช่เราด้วย แต่เป็นอวิชชา แต่เมื่อได้ฟังธรรมเริ่มเข้าใจ ทีละเล็กทีละน้อย แต่ว่าถ้าไม่สามารถรู้ และเข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพียงเข้าใจเรื่องราวของสิ่งที่กำลังปรากฏเท่านั้น ขณะนั้นก็เป็นปัญญาระดับหนึ่ง


    Tag  นีน่า  
    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 170
    15 ม.ค. 2567