พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 521


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๕๒๑

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จึงต้องเป็นผู้ที่ละเอียดไม่เผินที่จะเข้าใจว่า ธรรม คืออะไร ไม่ใช่ข้าม แล้วก็ไปสงสัยปรมัตถธรรม อภิธรรมเหมือนกันหรือเปล่า หรือว่าฟังธรรม แต่ไม่ต้องศึกษาอภิธรรม นั่นก็คือว่า ไม่เข้าใจความหมายของธรรมเลย คิดว่าเป็นคำ แต่ความจริงคนที่ได้ฟังธรรม หาธรรมหรือเปล่า ฟังแล้วหาธรรมหรือเปล่า หรือว่าก่อนฟังหาธรรมหรือเปล่า

    อ.กุลวิไล ก่อนฟังก็หาธรรม

    ท่านอาจารย์ ได้ยินคำว่า “ธรรม” ก่อน แล้วก็หาธรรม

    อ.กุลวิไล แต่ก่อนดิฉันคิดว่า ธรรมมีเฉพาะกุศลธรรมเท่านั้น ต้องไปที่วัด ต้องไปทำบุญกับพระภิกษุ นั่นคือได้ธรรม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า เพียงคำเดียว ประมาทได้ไหม เพราะว่าเข้าใจเพียงส่วนเดียว คือกุศลธรรมเท่านั้น การที่จะศึกษาต้องรู้จริง ถ้าไม่รู้จริงก็เป็นโทษ เพราะเหตุว่าเข้าใจผิด อย่างไปหาธรรม จะไปหาที่ไหน ในเมื่อเดี๋ยวนี้เป็นธรรม เกิดมาก็เป็นธรรม แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม แล้วไปหาธรรมที่ไหน แล้วจะเจอไหม

    อ.กุลวิไล ไม่เจอ

    ท่านอาจารย์ ถ้าเจอ ก็เข้าใจได้เลยว่า ไม่พ้นจากธรรมตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกอย่างเป็นธรรม ขณะนี้มีธรรม หาหรือไม่ ไม่ต้องหา เพราะมี แล้วรู้จักธรรมหรือเปล่า เห็นไหม ทั้งๆ ที่มีธรรม ไม่ต้องไปหาที่ไหนอีก พบแล้ว แต่ไม่รู้จัก การที่จะรู้จักว่า เป็นธรรมได้ต้องอาศัยการฟัง แล้วการฟังเราก็ไม่ทราบว่า เราเคยฟังมาแล้วมากมายสักเท่าไร แต่ถ้าฟังธรรมแล้วเข้าใจได้ทันที ก็หมายความว่า รู้ว่าธรรมขณะนี้เป็นอะไร ไม่ใช่เพียงแต่หาเจอ แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร นี่คือความละเอียด เจอแล้ว พบแล้ว ขณะนี้มีแล้ว แต่เป็นอะไร ลักษณะจริงๆ ใครเปลี่ยนแปลงได้ ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้เลย

    เพราะฉะนั้น ธรรมสามารถที่จะพิสูจน์แล้วเข้าใจว่า การฟังเรื่องธรรม เราเข้าใจระดับไหน เข้าใจว่ามี แต่ยังไม่รู้ความจริงของธรรมว่า ธรรมที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เป็นอะไร แม้แต่เพียงแค่เห็น เพราะจะต้องเห็นแน่นอน เกิดมาก็จะต้องเห็น แล้วก็เคยเห็นแล้ว แล้วต่อไปก็เห็นอีก ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ทั้งๆ ที่มีเห็น

    นี่แสดงให้เห็น ถึงการสะสมมาของแต่ละคนซึ่งต่างกัน ถ้ายังเป็นผู้ที่ละเอียด ได้ยินคำว่า ไม่กระทำบาปทั้งปวง แต่ว่าขณะนั้นอกุศลจิตก็เกิด หรือบางครั้งบางคราวก็อาจจะทำบาป เคยฆ่ามดไหม ไม่ได้ตั้งใจ อาจจะอยู่ในอ่างน้ำ แล้วไล่ไม่ทัน ก็มีโอกาสที่อกุศลกรรมจะเกิดได้ แม้ว่าเจตนาที่จะฆ่าน้อยกว่าเวลาที่มีความเพียรความพยายามมากๆ ก็จริง แต่ขณะนั้นบาปเป็นบาป อกุศลกรรมเป็นอกุศลกรรม

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่ตรงก็คือว่า แม้ฟังธรรมแล้ว เข้าใจธรรมแล้วก็ยังมีปัจจัยที่จะทำให้อกุศลกรรมเกิดได้ ผู้ที่ไม่ประมาทจริงๆ ฟังแล้วเข้าใจ แล้วเห็นความละเอียดของธรรมทุกอย่าง แม้อกุศลเพียงเล็กน้อย ก็เห็นว่าเป็นอกุศล เพราะทั้งๆ ที่เข้าใจธรรม อกุศลก็ยังมี

    ด้วยเหตุนี้ ผู้นั้นมีความละเอียดที่จะรู้ว่า คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่เพียงเท่านี้ อย่าประมาทว่าเพียงเท่านี้ ไม่กระทำบาปทั้งปวง โดยไม่รู้อะไร แต่จะรู้ว่า กุศลถึงพร้อมหรือยัง ปกติก่อนฟังธรรม มีกุศลขั้นไหนบ้าง ขั้นทานก็มี ขั้นศีลก็มี การสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้อื่นก็มี แต่ไม่เข้าใจธรรม ทั้งๆ ที่ขณะนั้นเป็นธรรม นี่คือความลึกซึ้งของธรรม ที่ว่าแม้เป็นธรรมก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม

    ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่รู้สึกตัวว่า มีอกุศล คุณนิรันดร์ก็มีเยอะ ใช่ไหม ไม่อยากมีอกุศล แต่ไม่ได้ฟังธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในสมัยของผู้ที่ยังไม่เคยได้ยินได้ฟังเลย เพราะว่ายังไม่มีการตรัสรู้ ถูกต้องไหม ท่านเหล่านั้นมีปัญญาระดับที่เห็นโทษของอกุศล ซึ่งเราขณะนี้ที่กำลังฟังธรรม มีปัญญาถึงระดับนั้นหรือยัง เห็นไหม ทั้งๆ ที่ได้ยินได้ฟังแล้วมีอกุศลที่สะสมมามาก แล้วก็รู้ว่า อกุศลเกิดแล้วก็เดือดร้อน ไม่มีใครชอบ แต่ก็ยังไม่มีปัญญาถึงระดับที่เห็นโทษ และรู้ว่า จิตสงบจาก อกุศลจะมีได้อย่างไร ขณะใดที่ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ขณะนั้นจะไม่เป็นทางที่จะทำให้อกุศลที่สะสมมาในจิตเกิดขึ้นได้ และไม่คิดนึกในขณะที่ติดข้องด้วย

    เพราะฉะนั้น ผู้นั้นสามารถที่จะรู้ความละเอียดของจิต แม้เห็น ก็รู้ว่าหวั่นไหวแล้วตามสิ่งที่ปรากฏ ได้ยิน หวั่นไหวไหม นี่ เสียง ไม่รู้เลยว่า ขณะนั้นเพราะความไม่รู้เป็นอวิชชา จึงทำให้ยินดียินร้ายนิดหน่อย ถ้าเป็นเสียงที่ไม่น่าฟัง ไม่ชอบ แต่ไม่มาก เพราะว่าหมดแล้ว แต่ก็ยังมีความไม่ชอบนิดหนึ่งเกิดขึ้นในเสียงที่ไม่น่าพอใจ ซึ่งรวดเร็วมาก

    เพราะฉะนั้น ผู้มีปัญญาเห็นโทษของอกุศลในครั้งนั้น แต่ยังไม่ได้ฟังพระธรรม ก็รู้ว่า จิตจะสงบได้อย่างไร เพราะฉะนั้น มีการบำเพ็ญกุศลทั้งปวงให้ถึงพร้อมในขั้นของทาน ในขั้นของศีล ในขั้นของความสงบ แต่ก็ไม่สามารถที่จะชำระจิตให้บริสุทธิ์ได้ เพราะเหตุว่าไม่มีปัญญาที่รู้ว่า ขณะนั้นเป็นธรรม

    ด้วยเหตุนี้ คนที่เกิดมาก็เป็นไปตามการสะสม จะมีปัญญาระดับไหน จะเข้าใจระดับไหน เมื่อฟังแล้วจะเกิดศรัทธาที่จะไม่ใช่เพียงฟัง แต่เป็นผู้ที่พร้อมที่จะเป็นธรรมบูชา เพราะเหตุว่าอามิสบูชาเป็นปกติ แต่ว่าธรรมบูชาของแต่ละคนมากน้อยแค่ไหน ธรรมบูชาไปเอาธรรมที่ไหนมาบูชา เมื่อมีความเข้าใจธรรม ประพฤติปฏิบัติตามเมื่อไร นั่นคือธรรมบูชา ไม่ให้สิ่งอื่น แต่ให้สิ่งซึ่งยากที่จะกระทำได้ คือ ฟังธรรมแล้วเห็นพระคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กว่าจะได้ตรัสรู้ กว่าจะได้แสดงแม้ความละเอียดของธรรมในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ขั้นต้น ขั้นทาน ขั้นศีล จนถึงขั้นความสงบของจิต จนกระทั่งการที่จะให้บริสุทธิ์จากความเห็นผิดที่ไม่รู้สภาพธรรม และยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน

    เพราะฉะนั้น พระคุณมากมายมหาศาล แล้วผู้ฟังเห็นแค่ไหน ถ้าเห็นมาก ประพฤติตามเท่าที่จะทำได้ แต่ถ้าเห็นน้อยก็เหมือนเดิม นี่แสดงให้เห็นว่า อามิสบูชาไม่ยาก แต่ธรรมบูชายากกว่า แต่เกิดได้ ไม่ใช่เกิดไม่ได้ ตามกำลังของปัญญา

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นหนทางที่จะรู้จักตัวเองก่อนว่า จริงๆ แล้วโลภะจะเกิดเป็นของจริง เป็นธรรม โทสะจะเกิด ก็เป็นของจริง ก็เป็นธรรม จะได้ไม่หวั่นไหวเพราะว่าเป็นธรรม แต่พอเป็นคุณนิรันดร์เมื่อไร ก็ทุกข์มาก เดือดร้อนมาก หวั่นไหวมาก ต่อเมื่อใดที่เป็นธรรม เมื่อนั้นก็จะรู้ได้เลยว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เพราะไม่มีเรา ปัญญาก็เจริญขึ้นตามกำลัง

    ผู้ฟัง การฟังที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ที่เรายึดถือโลภะ โทสะ โมหะเป็นเราแล้วเดือดร้อน แล้วหนทางในฐานะสาวก หนทาง คือการฟังเพื่อให้เข้าใจความจริงจนนำไปสู่การหวั่นไหว อย่างนั้นใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าเป็นธรรม

    ผู้ฟัง แล้วไม่มีหนทางอื่นที่ผู้ฟังจะทำ มีความเป็นตัวตนที่มุ่งมั่นจะขัดเกลา มุ่งมั่นจะละกิเลส พยายามลดโลภะ ลดความต้องการ ไม่ว่าจะทำอะไรอย่างนั้น ก็กลับไม่ใช่หนทางเลย

    ท่านอาจารย์ แน่นอน ไม่ใช่ธรรมเดช ถึงแม้ว่าบุคคลนั้นจิตจะสงบจนถึงขั้นอรูปฌาน เป็นอรูปพรหม ไม่รู้จักสภาพธรรม

    ผู้ฟัง ผมกราบขอโทษจริงๆ แต่ว่าก่อนหน้านี้ผมพยายามฟังท่านอาจารย์กล่าวให้เกิดความเข้าใจ แต่ตรงนี้ผมศึกษาพระสูตร ศึกษาพระไตรปิฎกแล้ว

    ท่านอาจารย์ ขอประทานโทษ ศึกษา คืออ่านเองใช่หรือไม่

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ อ่านเอง คิดเอง เข้าใจเอง พระธรรมเป็นอย่างนั้นได้ไหม ลึกซึ้งกว่านั้นหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ขอโทษจริงๆ ผมจะเชื่อพระพุทธเจ้ามากกว่าท่านอาจารย์มากล่าว เพราะผมไม่แน่ใจว่า ที่ท่านอาจารย์กล่าวจะตรง พระพุทธเจ้าก็สอนว่า ไม่ให้โกรธ ไม่ให้โลภ ไม่ให้หลง แสดงไว้ตลอดเลยในพระไตรปิฎก แล้วทำไมท่านอาจารย์มากล่าวอีกอย่างหนึ่ง ผมฟังเท่าไรก็ไม่เข้าใจ คิดว่าท่านอาจารย์คงจะคิดเอาเอง แล้วก็พิจารณาเอาเอง แล้วมาสอน ผมก็จะเชื่อท่านอาจารย์หรือจะเชื่อพระพุทธเจ้า ผมเลยเชื่อพระพุทธเจ้าไว้ก่อน แต่ตอนหลังฟังจริงๆ แล้ว ที่ท่านอาจารย์แสดงไม่ได้ขัดอะไรเลยกับพระพุทธเจ้าแสดง เพียงแต่ผมผู้ฟัง ผมไม่เข้าใจจริงๆ เลยเข้าใจไปว่า มีตัวตนที่ไปทำสิ่งที่ต้องการ

    ท่านอาจารย์ เอาความเป็นตัวตนไปละตัวตนได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ แค่นี้ก็ถูกต้องแล้ว

    ผู้ฟัง สอดคล้องกับพระธรรมที่เป็นอนัตตา ตามที่ท่านอาจารย์แสดง

    ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้นหมายความว่า จริงๆ แล้วพระธรรม ก็คือสิ่งที่ปรากฏขณะนี้ การที่แยกเป็นพระวินัย พระสูตร หรือพระอภิธรรม หรือวิสุทธิมรรค รายละเอียดที่เป็นตำรา ซึ่งเป็นเรื่องราวของลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เมื่อเข้าใจจริงๆ แล้วก็จะรู้ว่า เป็นพยัญชนะที่พระพุทธองค์ทรงแสดง เพื่อส่องให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏเท่านั้น ไม่มีอย่างอื่น เมื่อเข้าใจจริงๆ แล้ว จะไม่มีคำถามว่า จะเริ่มศึกษาอย่างไร หรืออย่างเพื่อนสนิทเขาบอกว่า ไม่ชอบอภิธรรมเลย แต่อ่านพระสูตรนี่สนุก รู้สึกว่าจะน่าสนใจมากกว่า เป็นการเข้าใจผิดที่ไม่ศึกษาเป็นลักษณะที่เป็นพยัญชนะเป็นการส่องถึงลักษณะของสภาพธรรมอย่างไร การชอบพระสูตรเหมือนติดในเรื่องราวที่มีคนนั้น คนนี้ ในพระสูตรจะมีสัตว์ ตัวตน บุคคล เพราะว่าทรงตรัสเป็นบุคคล สถานที่ต่างๆ ตรงนี้รบกวนให้ท่านอาจารย์ขยายความว่า เมื่อมีความเข้าใจแล้ว ปัญหาเหล่านี้ก็จะหมดไป

    ท่านอาจารย์ แน่นอน เมื่ออ่านพระวินัยก็รู้ว่า ต้องเป็นสภาพธรรม พระสูตรก็ต้องเป็นสภาพธรรม ถ้าไม่มีสภาพธรรมอะไรๆ ก็ไม่มี

    ผู้ฟัง เพราะท่านอาจารย์ก็จะถามว่า ถ้าไม่มีจิต เจตสิก รูป จะมีพระเจ้าปเสนทิโกศลไหม จริงๆ แล้วการกล่าวถึงแต่ละคนก็เป็นจิต เจตสิกที่สะสมปัญญามานานมาก ถ้าดูประวัติเพื่อน ๗ คนแล้วไปภูเขา ก็ไม่ต้องคิดถึงเวลา อย่างที่คุณนีน่าบอก เพราะการคิดถึงเวลาว่า ฟังมากี่ปีแล้วยังไม่รู้อะไร ก็เป็นการเสียเวลาที่จะอบรมเจริญปัญญา สู้ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ สะสมการฟังแล้วให้ปัญญาเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ก็จะเป็นประโยชน์มากกว่าในการเข้าใจธรรม แต่ถ้าคิดว่า ฟังมาแล้ว ๑๐ ปี ๒๐ ปี ทำไมไม่ไปไหนสักที ก็เสียเวลาตรงนั้นมากกว่า

    ท่านอาจารย์ คือไม่รู้ว่า ขณะนี้เป็นธรรมที่ฟังเพื่อจะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ให้ถูกต้องว่า เป็นธรรม เมื่อไม่เข้าใจอย่างนี้ก็ฟังเรื่องจิต และมีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น ก็ไม่รู้ว่า ขณะนั้นเป็นธรรมหรือเป็นจิต

    เพราะฉะนั้น กว่าจะรู้จักตัวธรรม ทั้งๆ ที่เป็นธรรมทั้งหมด ก็ต้องอาศัยการฟัง ถึงจะรู้ว่า ไม่ใช่เราแน่นอน แน่นอนจริงๆ จิตทุกประเภทเกิดขึ้นทำหน้าที่ของจิตนั้นๆ โดยปัจจัยต่างๆ ไม่ใช่ใครเลยสักคนแน่นอน ต้องมีความที่ (นาทีที่ ๑๓.๔๙ ตัดคำที่เกินมาออก) มั่นคงที่จะรู้ว่า ธรรม เป็นธรรม

    ผู้ฟัง แม้ขั้นฟังเข้าใจ เพราะจริงๆ การที่จะรู้ว่า เป็นเพียงรูปนามที่เกิดดับ ปัญญาต้องเป็นขั้นสติสัมปชัญญะ หรือสติปัฏฐาน แต่ในขั้นปริยัติ หรือขั้นฟังเข้าใจ คือต้องมีความมั่นคงว่า มีแต่ธรรมจริงๆ ไม่มีอย่างอื่น เหมือนที่ท่านอาจารย์ใช้คำว่า ถ้าเป็นรูปธรรมก็จะมาแบ มากางให้ดูว่า ธรรมเป็นอย่างนี้จริงๆ แต่ผู้ฟังก็ต้องพิจารณาตาม จะใช้คำว่า จินตนาการ คงไม่ถูก เพราะว่าต้องเข้าใจตามนั้น แม้ขั้นฟังว่า ธรรมเป็นอย่างนี้ เช่น เสียง เสียงที่กล่าวเป็นอดีต ก็ดับไปแล้ว ขณะนี้ก็เป็นเสียงปัจจุบัน หรืออย่างคิดนึกก็จะเป็นเช่นนั้น ตรงนี้ก็อาศัยการฟังบ่อยๆ เนืองๆ และมากพอ จึงจะทำให้สัญญาที่มั่นคงแม้ขั้นปริยัติว่า ทุกอย่างเป็นธรรม และเป็นอนัตตาจริงๆ

    ท่านอาจารย์ จนกว่าจะรู้จักตัวธรรม หาไม่ยากเลยตัวธรรม ไม่ต้องหาด้วย ไม่ต้องทำด้วย มีแล้ว จนกว่าจะรู้จัก คุณอรวรรณรู้จักคุณนีน่าใช่ไหม

    ผู้ฟัง รู้จัก

    ท่านอาจารย์ รู้จักตัวธรรมหรือเปล่า ที่จะกล่าวว่าเป็นคุณนีน่า

    ผู้ฟัง ก็มีสิ่งที่ปรากฏทางตาอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ ใช่ แล้วก็คิดนึกว่าเป็นคุณนีน่า ใช่ไหม เพราะฉะนั้น กว่าจะรู้จักสิ่งที่ปรากฏทางตา ซึ่งเป็นธรรม ไม่ใช่คุณนีน่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา แล้วก็คิด เวลาที่จิตเกิดขึ้น ๑ ขณะ อยู่คนเดียว หรืออยู่กับหลายๆ คน ๑ ขณะจิตที่เกิดขึ้น อยู่คนเดียว แต่เวลาที่เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา อยู่คนเดียวหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ถ้าเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ก็มีจิตขณะเห็น

    ท่านอาจารย์ แต่ความจริงเป็นอย่างนั้นหรือเปลา

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ เป็นคุณนีน่า ใช่ไหม เพราะฉะนั้น จึงไม่ได้อยู่คนเดียว เพราะเหตุว่า ไม่ได้เข้าใจสภาพธรรมที่ปรากฏว่า ขณะนั้นไม่มีใครเลยทั้งสิ้น เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เกิดปรากฏเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น การฟังก็เพื่อจะให้เข้าใจความจริงของธรรมที่กำลังเป็นจริงในขณะนี้ จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    นี่เป็นหนทางเดียวที่จะคลายการที่เคยจำไว้ว่า มีคนนั้นคนนี้ เพราะว่าความจริงคือไม่มีใครเลย นอกจากจิตเห็นแล้วก็คิด จิตเห็นกับจิตคิด ไม่ใช่จิตประเภทเดียวกัน เพราะว่าจิตคิดไม่ใช่จิตเห็น แต่เมื่อมีเห็น ดับแล้วก็มีจิตที่คิด จึงมีคนมากมาย มีเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะในหนังสือพิมพ์ หรือทางไหนก็ตาม ทางตา ทางหู ก็เต็มไปด้วยคนมากเยอะแยะ แต่ว่าตามความเป็นจริงถ้าเข้าใจว่าอยู่คนเดียว ก็คือขณะนั้นไม่มีใคร นอกจากธาตุหรือธรรม ซึ่งเป็นธาตุรู้กำลังรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้วก็ดับไป เพราะแม้แต่ที่เคยเป็นคนเดียว ก็คือเป็นธรรมที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    คุณนีน่า ยากที่สุดที่อยู่คนเดียว และคิดว่าต้องฟังบ่อยๆ เรื่องการเห็น ดิฉันมีคำถามว่า อยู่คนเดียว และไม่มีคน เห็นสีเท่านั้น สำหรับทุกคนยากมาก ต้องฟังบ่อยๆ เรื่องนี้ เรื่องการเห็น

    ท่านอาจารย์ กำลังมีสิ่งที่ปรากฏทางตา กำลังมีเสียงคุณนีน่า คิดเรื่องอื่นได้ไหม เร็วอย่างนั้น ฉันใด ทั้งๆ ที่กำลังเป็นคุณนีน่า ก็เกิดเริ่มเข้าใจว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา เหมือนกับแทนที่จะระลึกได้ว่าเป็นเรื่องนั้นเรื่องนี้ เพราะว่ามีเรื่องนั้นเรื่องนี้เกิดแทรกคั่นระหว่างที่กำลังฟังธรรม ทั้งๆ ที่กำลังเห็น ทำไมความคิดนั้นๆ แทรกเกิดขึ้นมาได้ และถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคงขึ้น ทั้งๆ ที่กำลังเห็นเป็นคุณนีน่า ก็ยังมีความเข้าใจแทรกคั่นขึ้นตามที่เคยจำได้ว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ เริ่มค่อยๆ ชิน ค่อยๆ คุ้นกับลักษณะแท้ๆ ของสิ่งที่ปรากฏ

    คุณนีน่า เราเข้าใจโดยทฤษฎีบอกได้ว่า เป็นธรรมชนิดหนึ่ง ไม่เหมือนกำลังคิดเรื่องคน และเห็น เข้าใจนิดหน่อย แต่ไม่เข้าใจจริงๆ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จะเห็นความต่างของปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ไม่ใช่อย่างเดียวกัน

    คุณนีน่า เพราะว่าเห็นอะไร ก็ไม่เข้าใจจริงๆ ครั้งหนึ่งอาจารย์บอกว่า หลับตาแล้วก็ลืมตา แล้วก็เห็นนิดเดียว ยังไม่เห็นเป็นสิ่งของ เป็นสีเท่านั้น แต่ยังไม่เข้าใจดี แต่สี คนได้ยินว่าเป็นสี คิดว่าเป็นสีแดง สีเหลือง สีขาว หรืออะไร แต่ไม่ใช่อย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ จริงๆ เห็นคนเดียว หรือเห็นหลายคน มีคุณนีน่าคนเดียวในห้องนี้ หรือมีหลายคน ตามความเป็นจริง มีหลายคน กว่าจะเป็นหลายคน คิดดูก็แล้วกันว่า จะเห็นมากมายสักเท่าไร กว่าจะเป็น ๑ คน และเป็นหลายคน ไม่ใช่มีแต่เพียงคนเดียว

    เพราะฉะนั้น จะเข้าใจได้เลยว่า ถ้าไม่มีปัญญาที่จะเข้าใจธรรมจริงๆ อยู่ในโลกของนิมิต ของสภาพธรรมซึ่งเกิดดับสืบต่อ ทำให้หลงเข้าใจว่า มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ไม่ดับเลย มีคนจริงๆ แต่ตามความเป็นจริงก็คือว่า ไม่ได้ให้เปลี่ยนไปพยายามให้เห็นว่าไม่มีคนจริงๆ แต่ในขณะที่เห็นคนจริงๆ ต้องมีจิตเกิดดับนับไม่ถ้วน เพราะขณะนี้ก็มีหลายคน

    เพราะฉะนั้น จึงทรงแสดงวิถีจิต พระมหากรุณาสำหรับพวกปทปรมะบุคคลในสมัยโน้น ที่ไม่สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ แต่สะสมความเข้าใจ เพราะฉะนั้น ขณะที่กำลังฟังเดี๋ยวนี้ ยังไม่ได้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ เป็นปทปรมะบุคคลทั้งหมดที่ไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล แต่ก็สะสมการที่จะเป็นพระอริยบุคคลข้างหน้าเมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น แต่ต้องรู้ตามความเป็นจริงโดยไม่ประมาทว่า ความไม่รู้ ไม่รู้มาก และยากจริงๆ เพราะเหตุว่าสภาพธรรมเกิดดับเร็วมาก แม้แต่สิ่งที่ปรากฏแล้วก็ดับไป โดยไม่รู้เลย เมื่อสักครู่นี้คนที่ศึกษาธรรม จิตกี่ประเภท เจตสิกเท่าไร เกิดกับจิตขณะไหน ดับไปมากมายโดยไม่รู้สักอย่างเดียว

    ผัสสเจตสิกกระทบกับอะไรบ้าง มีเวทนา มีสัญญา มีเจตสิกอื่นๆ เกิดร่วมด้วยสืบต่อดับไปอย่างเร็วเท่าไร ก็ไม่รู้เลย กว่าจะค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจ จนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจตามความเป็นจริง แม้แต่เพียงคำที่ว่า สิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ต้องใช้คำนี้ แต่มีสิ่งที่กำลังปรากฏแล้วลืม ฟังอีกก็ลืมอีก เพราะว่าเป็นคน เป็นสิ่งของมานานแสนนาน แล้วจะเกิดระลึกสักนิดหนึ่ง เข้าใจขึ้น ขณะนั้นคือไม่ใส่ใจในความจำที่เคยจำว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะเริ่มรู้ว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ แม้ว่าจะน้อยมาก แต่ก็เป็นความจริงขณะนี้

    เพราะฉะนั้น ธรรมจะทำให้เป็นผู้ที่องอาจ ร่าเริงที่จะรู้ว่า เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้ แต่เมื่อมีความคุ้นเคยกับธรรมมากขึ้น จะค่อยๆ คลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เรามีสุข มีทุกข์ เพราะมีตัวตนที่เป็นคนนั้นบ้าง คนนี้บ้าง ใช่ไหม แต่ความจริงมีหรือไม่มี ไม่มี เพราะฉะนั้น เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ กล้าพอที่จะรู้ว่า ไม่มีใคร แม้แต่เรา เป็นแต่เพียงธรรมหรือเปล่า

    นี่คือผู้ที่สามารถที่จะเข้าใจธรรมจรดเยื่อในกระดูกได้ ความจริงต้องเป็นความจริง ยังมีโลภะมาก ยังมีโทสะ ยังมีทุกอย่าง มีมานะ มีความติดข้อง ก็เป็นธรรมทั้งหมด ไม่ใช่ให้ใครไปทำลายโดยความไม่รู้ หรือว่าพยายามให้ลดน้อยลง แต่เข้าใจขึ้นเมื่อไร ก็สามารถที่จะมีความมั่นคงที่จะถึงความเป็นสัจจญาณได้

    คุณนีน่า เข้าใจว่า เห็นนิดเดียว แล้วก็มีจิตอื่นที่รู้ว่าเป็นอะไร รู้เรื่องความหมาย แล้วแต่สติ ถ้ามีสติสัมปชัญญะเข้าใจได้ มีการเห็นที่ไม่เหมือนกับการคิดเรื่องสิ่งต่างๆ ใช่ไหม


    Tag  นีน่า  
    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 170
    15 ม.ค. 2567