พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 504


    ข้อความนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบแก้ไข

    ตอนที่ ๕๐๔

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ให้เห็นการเกิดดับซึ่งเร็วเหมือนมายากลที่หลอกลวงให้เห็นว่า สิ่งที่ปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ความจริงจิตเกิด ๑ ขณะ และก็รู้เฉพาะสภาพธรรมทีละอย่าง จะไปสังเกตอะไร หรือจะเข้าใจว่า ความจริงเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องไปกังวล จิตที่ดับแล้วก็ดับแล้ว รูปที่ดับแล้ว ก็ดับแล้ว แต่ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏให้เข้าใจความต่างกัน

    ผู้ฟัง มีความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏทางตา จะเรียนถามว่า จริงๆ แล้วสิ่งที่ปรากฏทางตาคืออะไร

    ท่านอาจารย์ มีตาหรือเปล่า

    ผู้ฟัง มี

    ท่านอาจารย์ เห็นหรือเปล่า

    ผู้ฟัง เห็น

    ท่านอาจารย์ เห็นอะไร

    ผู้ฟัง เห็นท่านอาจารย์

    ท่านอาจารย์ ไม่เข้าใจสิ่งที่ปรากฏใช่ไหม

    ผู้ฟัง ยังไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ เสียง ในขณะที่กำลังเงียบ มีไหม เงียบ ไม่มีเสียงใช่ไหม

    ผู้ฟัง ไม่มี

    ท่านอาจารย์ แล้ว ได้ยินเสียงไหม

    ผู้ฟัง ถ้าเงียบ ไม่ได้ยินเสียง

    ท่านอาจารย์ แล้ว หลังจากนั้นได้ยินเสียงไหม

    ผู้ฟัง ถ้ามีเสียงเกิดขึ้นก็ได้ยินเสียง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เสียงปรากฏให้รู้ว่า เป็นเสียง แม้ไม่เรียกชื่อ แต่ก็รู้ว่า ลักษณะนั้นเป็นธรรมอย่างหนึ่งที่ปรากฏแล้ว จากก่อนนี้ที่ไม่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้น คำว่า “ปรากฏ” ก็คือ มีธาตุรู้ที่กำลังรู้ในสิ่งนั้น ลักษณะของสิ่งนั้นจึงปรากฏว่าเป็นสิ่งนั้นไม่ใช่เป็นอย่างอื่น อย่างสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา เห็นอย่างนี้ เป็นธรรม ปรากฏให้เห็นได้ ซึ่งเสียงไม่สามารถที่จะปรากฏให้เห็นได้ แต่ปรากฏให้ได้ยินได้ ก็เป็นธรรมต่างประเภท จะให้เสียงเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ก็ไม่มีทางเป็นไปได้เลย ปรากฏเมื่อไร ก็ต้องปรากฏกับจิตที่ได้ยินเสียง เพราะมีโสตปสาท เช่นเดียวกับสิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้ ปรากฏได้กับจิตเห็นซึ่งอาศัยจักขุปสาท ถ้าไม่มีจักขุปสาท สิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้ปรากฏไม่ได้เลย

    นี่เป็นความเล็กน้อยของสิ่งที่สามารถจะปรากฏให้เห็นแล้วก็หมดไป คนตาบอดไม่มีจักขุปสาท สิ่งที่กำลังปรากฏธรรมดาอย่างนี้ ไม่ปรากฏเลย ไม่มีทางที่จิตเห็นจะเกิดขึ้น ถ้าไม่มีโสตปสาท เสียงที่กำลังปรากฏให้รู้ในลักษณะของเสียงที่เป็นเสียง ก็ปรากฏไม่ได้ แม้ว่ามีก็ไม่ปรากฏ เพราะจิตไม่ได้เกิดขึ้นได้ยิน ทุกอย่างที่มี ถ้าไม่มีธาตุรู้หรือสภาพรู้ ซึ่งเป็นจิตเจตสิก สิ่งนั้นๆ จะไม่ปรากฏเลย ขณะนี้มีอะไรปรากฏหรือเปล่า ทางตาเห็นอะไร สิ่งนั้นนั่นแหละปรากฏให้เห็น ถ้าหลับตาแล้วก็ไม่ปรากฏให้เห็น ต้องจิตเห็นเกิดเมื่อไร สิ่งนี้จึงปรากฏให้เห็นได้

    ผู้ฟัง แสดงว่า จิตเห็นปรากฏก่อน จะมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น

    ท่านอาจารย์ จะต้องไปคิดอะไรก่อนหลัง นั่นก็คือ คิด แต่จะมีเห็น โดยไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตาได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ แล้วจะมีสิ่งที่ปรากฏทางตาโดยไม่มีจิตเห็นได้หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ได้ แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่า จริงๆ แล้วสิ่งที่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ ตาบอดเมื่อไรจะเข้าใจว่า ไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตาอีกต่อไป เมื่อนั้นก็จะเข้าใจว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาซึ่งเคยปรากฏ ไม่ปรากฏอีกแล้ว เหมือนกับจะไปจับรูปที่ปรากฏทางตาให้ปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ใช้คำว่า “ปรากฏให้เห็น” ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย มีจริงๆ กำลังปรากฏ แล้วคิด แล้วจำ ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะไม่รู้ความจริงว่า เป็นเพียงสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ไม่จริง จริงเพราะอะไร เพราะกำลังเห็นสิ่งนั้น จึงกล่าวว่า สิ่งนั้นจริง

    อ.กุลวิไล กราบเรียนท่านอาจารย์ ถามถึงความเข้าใจที่เป็นพื้นฐานในชีวิตประจำวัน

    ท่านอาจารย์ พอพูดถึงธรรมก็คือเดี๋ยวนี้ อาจจะลืม แต่อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ การฟังพระธรรมก็คือ เพื่อวันหนึ่งจะได้เข้าใจถูก เห็นถูกตามความเป็นจริง ในลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริง ที่กำลังปรากฏ สิ่งใดที่หมดไปแล้ว ก็ไม่สามารถจะรู้ความจริงได้ สิ่งที่ไม่มีในขณะนี้ เพียงคิด แต่ไม่รู้ว่า ขณะที่คิดก็เป็นธรรม

    เพราะฉะนั้น ขณะที่จริงคือขณะที่คิด ไม่ใช่เรื่องที่คิด แต่เป็นตัวจิตที่คิด วันหนึ่งๆ ที่มีการฟังธรรมบ่อยๆ เนืองๆ ก็เพื่อที่จะให้เป็นความเข้าใจที่มั่นคง ว่าขณะนี้เองไม่ต้องไปหาธรรมที่ไหนเลย เป็นธรรมแท้ๆ จริงๆ แล้วรู้จักธรรม แล้วหรือยัง เท่านั้นเอง คือเป็นผู้ตรงต่อการที่จะรู้ว่า ฟังธรรมเพื่อเข้าใจสิ่งที่ปรากฏ เพื่อรู้ว่าเป็นธรรม ถ้าฟังแล้วบอกว่ารู้แล้ว จะฟังอีกไหม รู้แล้ว แต่ความจริงรู้อะไรแล้ว แม้แต่ลักษณะที่แท้จริงของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้เป็นอย่างไร คือ เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น

    ฟังแล้วฟังอีก ก็เพื่อละคลายการที่เคยไม่รู้ และยึดถือสภาพธรรมนั้นอย่างมั่นคงว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแน่นอน ตั้งแต่เป็นเรา ใช่ไหม อย่างที่วันก่อนก็หาใครที่เป็นคนที่มีกิเลสมากมาย หาไม่เจอ วิทยากรท่านหนึ่งก็บอกให้ส่องกระจกก็เจอเลย ไม่ใช่คนอื่นเลย

    วันนี้เราก็ไม่ได้ส่องกระจกที่นี่ แต่ธรรมทั้งหมด เหมือนกระจกที่จะส่องให้รู้ความจริงว่า สิ่งที่มีขณะนี้เป็นอย่างไร ไม่ว่าจะมีการเห็นอะไร เมื่อไร ที่ไหน ซึ่งไม่มีใครจะพ้นไปได้ ไม่ได้เกิดเป็นแข็งต้นไม้ หรือไม่ได้เกิดเป็นแข็งอิฐ จึงเป็นสภาพที่รู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏ ซึ่งขณะนี้กำลังเป็นอย่างนี้ ใครคิดจะเปลี่ยนธาตุรู้ที่กำลังเห็นให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม ไม่มีทางเป็นไปได้เลย เพราะเกิดแล้ว จะไปเปลี่ยนตอนไหน จะไปคิดบังคับตอนไหน เกิดแล้วเดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้ ก็ต้องเป็นอย่างนี้

    การรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏก็คือว่า ฟังจนกระทั่งละความต้องการ เพราะว่าพระธรรมที่ทรงแสดงทั้งหมดเพื่อถึงความไม่ติดข้อง ไม่มีโลภะ มิฉะนั้นแล้ว ก็จะไม่สามารถละการยึดถือสภาพธรรมได้เลย

    ด้วยเหตุนี้ถ้ารู้ว่า โลภะเกิดมาก เหมือนกับชื่อว่า อากาศ ซึ่งแทรกคั่นอยู่ทุกกลาป ก็จะเห็นได้ว่า ฟังจนกว่าเมื่อเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่มีเลย อวิชชา และโลภะ และกิเลสใดๆ ก็ไม่มี

    ขณะนี้ก็แสดงว่า เมื่อเห็นแล้วต้องมีอกุศล จะรู้หรือไม่รู้ก็ตามแต่ แต่ฟังแล้วเริ่มเข้าใจว่า มีแน่นอน เพราะเหตุว่า ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังเกิดดับ แล้วสิ่งที่กำลังเกิดดับปรากฏไม่ได้กับอวิชชา ความไม่รู้จะไปรู้การเกิดขึ้น และดับไป ไม่มีทางเป็นไปได้เลย แต่จะเกิดกับสติ และปัญญาที่ได้อบรมจนคลายความไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมถึงขั้นที่สามารถที่จะประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไปได้ เพราะความจริงคือ เกิดแน่นอน และดับแน่นอนด้วยทุกๆ ขณะ และก็เป็นสิ่งซึ่งรวดเร็วมาก ไม่สามารถมีใครคนใดคนหนึ่งเพียรหาทางทำ ซึ่งไม่ใช่ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก

    เพราะฉะนั้น หนทางเดียวที่จะรู้จักสภาพธรรม ตัวจริงของธรรมว่า เป็นธรรมก็ด้วยปัญญา คือ ความเห็นที่ถูกต้องทีละเล็กทีละน้อย ในขณะที่กำลังฟังมีสภาพธรรมเกิดดับอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อไม่รู้ความจริง ก็ฟังให้เข้าใจขึ้น เพื่อจะไม่ติดข้องเท่าแต่ก่อน ลองคิดดู ก่อนฟังรู้ไหม ว่าติดข้องในสภาพธรรมมากแค่ไหน ไม่เว้น ไม่ว่างเลย เป็นเรา เป็นเขา เป็นญาติพี่น้องเพื่อนฝูง

    เพราะฉะนั้น การฟังในขณะนี้เริ่มมีความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย เท่ากับความไม่รู้ที่ไม่เคยรู้ และเคยยึดถือมาหรือยัง ยังไม่เท่าเลย และไม่มีหนทางอื่นเลยด้วย นอกจากฟังให้เข้าใจเพิ่มขึ้นเพื่อละความไม่รู้ ซึ่งเวลานี้มากมายมหาศาล ถ้าไม่รู้เมื่อไร ก็คือนั่นแหละ ไม่รู้อีกก็คือนั่นแหละ ไม่รู้อีกก็คือนั่นแหละ เพราะฉะนั้น ไม่รู้จะมากมายสักแค่ไหน ก็อาศัยการฟังด้วยความอดทน ด้วยความเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย แล้วจะรู้ได้ว่า จากการที่ไม่เคยฟังมาก่อน แล้วก็ฟัง นานเท่าไรไม่ต้องคำนึงถึงเลย เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏเพิ่มขึ้นทีละน้อย เพราะว่ามีสิ่งที่ปรากฏจริงๆ ให้รู้ได้

    ยากหรือไม่ เพราะอะไร ก็ปรากฏแต่ไม่รู้ เพราะฉะนั้น จะเป็นตัวตนที่จะไปทำให้รู้ เป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่ายิ่งเป็นความไม่รู้เพิ่มขึ้น ก็ฟังต่อไปอีก ฟังกันไปเรื่อยๆ คือศรัทธาก็เจริญขึ้น ปัญญาก็เจริญขึ้น สติก็ค่อยๆ ระลึกได้ แม้ว่าจะไม่ใช่การระลึกลักษณะของสภาพธรรม แต่จากการฟังเกิดระลึกถึงเรื่องความเป็นจริงของธรรมที่กำลังปรากฏ ขณะนั้นก็เป็นธรรม จนถึงกาลซึ่งทั้งหมดเป็นธรรม นั่นคือผลของการฟังที่สามารถที่จะคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนได้

    ผู้ฟัง สภาพธรรมที่ปรากฏก็เข้าใจว่า เป็นเพียงลักษณะแต่ละลักษณะ ไม่มีสัณฐาน และรูปร่าง คือ เป็นเพียงลักษณะแต่ละลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ มันจะเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา หรือว่าจะเป็นรวมกันไปทั้งหมดของสภาพธรรมที่ปรากฏ

    ท่านอาจารย์ ธรรมเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ทุกกาละ ขณะนี้เห็น แน่นอนเหมือนมีรูปร่างสัณฐาน เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏทางตาเกือบจะกล่าวได้ว่า ปรากฏพร้อมสัณฐาน ทั้งๆ ที่เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา ยังไม่ใช่เสียง เพราะฉะนั้น เวลาที่เสียงปรากฏ ก็เหมือนกับพร้อมเห็น เห็นไหม ความห่างไกลกันของสิ่งที่ห่างจริงๆ คือ เห็นกับเสียง ก็ยังปรากฏเหมือนกับพร้อมกัน แต่ถ้าเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตาจริงๆ มาพร้อมกับสัณฐาน ไม่ได้หมายความว่า เป็นสัณฐานทันที แต่เพราะการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมาก เหมือนได้ยินกับเห็น เหมือนพร้อมกันฉันใด สิ่งที่เพียงเกิดกระทบจักขุปสาทได้ปรากฏแล้วหมดไป ความรวดเร็วของสิ่งที่มีอายุที่สั้นมาก ๑๗ ขณะจิต รูปๆ หนึ่งที่เกิดก็ดับไป ซึ่งใครจะประมาณได้ว่า ขณะนี้รูปกำลังเกิดดับ แม้รูปที่ปรากฏทางตา หรือรูปใดๆ ทั้งสิ้นก็ตาม เร็วกว่าการที่จะรู้ว่า เกิดแล้วดับแล้ว เพราะเหตุว่าขณะนั้นเห็นกับได้ยินก็เหมือนพร้อมกัน

    เพราะฉะนั้น รูปปรากฏเหมือนพร้อมกับสัณฐาน เพราะยังไม่ต้องไปถึงได้ยินเลย แต่ลักษณะของรูปก็คือ สิ่งที่เกิดร่วมกับธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม สิ่งที่ปรากฏทางตา เราจะใช้คำว่า “สี” หรือจะใช้คำว่า “วัณณะ” “นิภา” ก็แล้วแต่ภาษา แต่ก็หมายความถึง สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้เองทางตาให้เห็น รูปนี้แหละอยู่กับมหาภูตรูป ๔ เกิดร่วมกันเพราะว่าอาศัยมหาภูตรูปเกิด มหาภูตรูปที่เป็นใหญ่ เป็นประธาน มีเพียง ๔ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เป็นกลาปส่วนที่เล็ก ย่อย แตกละเอียดสักเท่าไรก็ไม่ปราศจาก หรือไม่แยกจากกัน ๔ รูปจะเล็กสักแค่ไหน แต่เมื่อมีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลมเมื่อไร ก็มีรูปที่รวมอยู่ อาศัยธาตุดิน น้ำ ไฟ ลมเกิดขึ้นอีก ๔ รูป คือ สิ่งที่สามารถกระทบกับจักขุปสาท ขณะใดที่ไม่กระทบ เช่น แข็งที่กำลังกระทบ แม้สี หรือกลิ่น หรือรส หรือโอชา ซึ่งมีรวมอยู่ในที่นั้นก็ไม่ได้ปรากฏ ต่อเมื่อใดกระทบกับรูปที่สามารถกระทบได้ แล้วจิตเกิดขึ้นขณะนี้เห็นสิ่งที่กระทบกับจักขุปสาทได้ ขณะนั้นจะไม่รู้เลยว่า ที่จริงแล้วสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็น เพราะมีอยู่ในมหาภูตรูป จะเป็นสัณฐานอะไรหรือเปล่า ก็เป็นไม่ได้เลย เป็นแต่เพียงสิ่งที่สามารถกระทบจักขุปสาทเท่านั้นเอง

    แต่การเกิดดับสืบต่อมากมายนับไม่ถ้วนเลย ที่ปรากฏสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้เห็น แล้วเวลานี้ก็เหมือนปรากฏพร้อมกันมากมายหลายอย่าง ก็แสดงให้เห็นการเกิดดับของจิตรวดเร็วแค่ไหน ความไม่รู้แค่ไหน เพราะขณะที่กำลังกล่าวอย่างนี้ ทั้งนามธรรม และรูปธรรมก็เกิดดับนับไม่ถ้วนไปแล้ว จิต ๑ ขณะ มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยกี่ประเภทก็ตาม ทั้งจิต และเจตสิกเกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน นับไม่ถ้วน รูปก็เช่นเดียวกันขณะนี้ เพราะฉะนั้น ก็อยู่ในโลกของนิมิต ของสิ่งที่เกิดดับสืบต่อ จนปรากฏ ที่ใช้คำว่า “นิมิต” หมายความถึง สิ่งที่รวมกันเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้เห็นเป็นรูปร่างสัณฐาน

    ทางตาก็มีรูปนิมิต ขณะนี้ ตัวจริงๆ นั้นเกิดแล้วดับแล้วตลอด เพราะเป็นเพียงรูปที่เกิดกับมหาภูตรูป แล้วก็กระทบจักขุปสาท แล้วก็ดับแล้ว แต่สิ่งที่ปรากฏเหมือนไม่มีอะไรที่ดับเลยสักอย่างเดียว

    เพราะฉะนั้น จะรู้ว่า อยู่ในโลกของความจริงหรือความไม่รู้ ว่าความจริง จริงๆ เป็นอย่างไร ความจริงก็คือว่า มีธาตุรู้เกิดขึ้น สิ่งหนึ่งสิ่งใดจึงปรากฏได้ ถ้าไม่มีธาตุรู้เลย สิ่งใดๆ ก็ปรากฏไม่ได้ แต่ธาตุรู้ก็ไม่ยั่งยืน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นลักษณะของสภาพธรรมที่เกิด ที่จะไม่ดับนั้นไม่มีเลย และดับอย่างเร็วด้วย แม้นามธรรม และรูปธรรม รูปขณะนี้เกิดดับ แต่ไม่ปรากฏ จึงเหมือนนิมิต หรือสัณฐาน เพราะว่าเกิดดับสืบต่อ จนกระทั่งลวงให้เห็นว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เพราะไม่ปรากฏการเกิดดับ

    เพราะฉะนั้น กว่าจะรู้ความจริง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า บำเพ็ญพระบารมีเพื่อจะรู้สิ่งที่มี ซึ่งตอนที่เป็นพระโพธิสัตว์ก็ไม่ได้ประจักษ์ความจริงนี้เลย แต่รู้ว่า สิ่งนี้มีจริงๆ และความจริงของสิ่งนี้ แท้จริงคืออะไรแน่ เวลาที่มีความผูกพันต้องการ ยึดมั่นในสิ่งหนึ่งสิ่งใด คนธรรมดาก็เพลิดเพลินไปแล้วกับสิ่งที่ปรากฏ แต่ผู้ที่มีปัญญาใคร่จะอบรมเพื่อรู้แจ้งในความจริงของสิ่งที่ปรากฏ จึงสามารถประจักษ์ความจริง ตรัสรู้ความจริงของธรรม เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประกอบด้วยพระญาณที่สามารถที่จะทรงแสดงความจริงของสภาพธรรมที่ปรากฏ โดยนัย โดยประการต่างๆ โดยละเอียดยิ่ง ที่จะให้ผู้ฟังค่อยๆ เข้าใจ แล้วก็อบรมเจริญปัญญาจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริง และดับกิเลสได้เช่นพระองค์ด้วย

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏเหมือนไม่มีอะไร เห็นก็เห็น คนก็คน คิดก็คิด แต่ความจริงแล้ว ความจริงของสิ่งต่างๆ เหล่านี้ลึกซึ้งมาก ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมเลย ก็ไม่มีใครสามารถเข้าใจความจริงนี้ได้เลย

    ขณะที่ฟังธรรม พิสูจน์สิ่งที่ได้ยินได้ฟัง จริงไหม ถูกต้องหรือเปล่า ถ้าเป็นความจริง เริ่มมีศรัทธาที่จะรู้ว่า สิ่งที่ประเสริฐที่สุดก็คือ การรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงในชีวิต ซึ่งเกิดมาชาติก่อนๆ ก็ไม่รู้กี่ชาติ ได้ยินได้ฟังมากน้อยแค่ไหน แต่ปัจจุบันขณะนี้กำลังมีโอกาสได้ฟัง และได้เข้าใจเพิ่มขึ้น ซึ่งไม่รู้ว่า ต่อไปจะเป็นอย่างไร ไม่มีใครสามารถรู้ได้เลยว่า ต่อจากขณะนี้ไปแล้ว อะไรจะเกิดขึ้น แต่ถ้าได้ยินได้ฟังต่อไป สิ่งที่ได้ยินได้ฟังไม่สูญหายไปเลย จิตเป็นธาตุที่เกิดแล้วดับจริง แต่เมื่อเกิดแล้วดับแล้วก็สะสมสืบต่อในจิตต่อไปซึ่งเกิดสืบต่อ เพราะว่าจิตทุกขณะที่ไม่ใช่จุติจิตของพระอรหันต์ เป็นอนันตรปัจจัย ใครจะยับยั้งไม่ให้เกิดไม่ได้เลย เมื่อดับแล้วก็เป็นปัจจัยให้จิตต่อไปเกิด

    เพราะฉะนั้น สิ่งใดที่เกิดแล้วกับจิตขณะใด ก็สะสมสืบต่อในจิตขณะนั้น มิฉะนั้นจะไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่มีการสืบต่อของพระบารมีที่ได้อบรมแต่ละพระชาติ หรือแม้แต่ผู้ที่กำลังฟังธรรมที่เข้าใจ ขณะที่เข้าใจก็ไม่ได้สูญหาย เวลาฟังอีก พบกันใหม่ ขณะนี้เป็นธรรม เดี๋ยวนี้เป็นธรรม ไม่ลืมว่า ขณะนี้เป็นธรรม แล้วผู้นั้นก็จะรู้ด้วยตัวเองว่า เข้าใจธรรม เริ่มชินกับลักษณะที่เป็นธรรมหรือยัง หรือว่ากำลังฟังเรื่องธรรม ทั้งๆ ที่ธรรมจริงๆ ก็เกิดดับ แต่ยังไม่รู้ความจริงของลักษณะของสภาพธรรมใดเลยทั้งสิ้น เพราะว่ากำลังฟังเพื่อที่จะเข้าใจ ถ้าไม่มีความเข้าใจ ไม่มีทางระลึก คือสติเกิด แล้วก็รู้ที่ลักษณะของสภาพธรรม เพราะเคยได้ฟังว่าเป็นความจริง เพราะเคยรู้ว่า เกิดขึ้นแล้วดับไป

    เพราะฉะนั้น ความจริงนี้สามารถพิสูจน์ได้ แต่ด้วยการละ ไม่ใช่ด้วยการติดข้อง หรือ ต้องการ และที่จะละได้ ก็เพราะรู้ คือเข้าใจถูก หนทางเดียว

    ผู้ฟัง พูดถึงเรื่องทางตาก็รู้ว่า เมื่อเห็นดับไปจะเป็นนิมิตเกิดขึ้น หรือตรงที่เห็นทางตานั้นเป็นนิมิตแล้ว

    ท่านอาจารย์ เพียง ๑ ขณะที่เห็น จะมีนิมิตใดๆ ไหม แต่เกิดบ่อยๆ รู้สิ่งนั้นบ่อยๆ การสืบต่อของสิ่งที่รู้ก็ปรากฏเป็นนิมิต เป็นสัณฐาน เพราะฉะนั้น จิตเกิดดับเร็วกว่ารูป ใช่ไหม

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ วิญญาณนิมิต การเกิดดับสืบต่อของจิต ซึ่งขณะนี้ก็เกิดดับสืบต่ออย่างเร็วยิ่งกว่ารูปอีก ขณะใดที่ระลึกได้ ก็จะรู้ในธาตุหรือสภาพที่รู้ เช่นกำลังเห็นขณะนี้มี แต่อวิชชาก็ปิดบังมิดชิดเลย ไม่สามารถที่จะเห็นได้ว่า ลักษณะของธาตุรู้หรือสภาพรู้ที่กำลังมีจริงๆ นั้นเป็นอย่างไร แต่จากการฟัง เห็นกำลังเห็น เห็นไหม ไปหาเห็นที่ไหน ไม่มีรูปร่างสัณฐานใดๆ เลย แต่เห็นมี ไปหาเห็นที่เป็นรูปร่างสัณฐานได้ไหม ไม่ได้ แต่สามารถเริ่มเข้าใจว่า เห็นมี กำลังเห็น

    เพราะฉะนั้น เพียงแค่นี้ไม่ต้องใส่ชื่อเลย ก็เริ่มที่จะค่อยๆ เข้าใกล้ถึงลักษณะที่เป็นธาตุรู้ เหมือนกับทางตา ไม่ใช่ตั้งต้นว่าเป็นรูป ไม่ใช่บอกว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นรูปธรรม และจิตเห็นเป็นนามธรรม ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ปิดบังไปเรื่อยๆ แต่ไม่มีอะไรปิดบังเลย สิ่งที่กำลังถูกเห็น กำลังปรากฏให้เห็นเดี๋ยวนี้จริง นี่คือค่อยๆ คุ้นกับลักษณะจริงๆ แต่ละทางที่ปรากฏ โดยไม่ต้องใส่ชื่อ หรือเรียกชื่อใดๆ

    ผู้ฟัง เช่นเดียวกับการนึกถึง หรือคิดถึงอะไรสักอย่างหนึ่ง ก็คือ นิมิตที่เป็นวิญญาณนิมิตเหมือนกัน

    ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่า จิตเกิดแล้วดับเร็วมาก และสืบต่อ แม้แต่คำ หรือเรื่องที่คิด ก็สืบต่อจนเป็นเรื่อง โดยไม่รู้เลยว่า แท้ที่จริงต้องมีจิตที่เกิดขึ้นรู้สิ่งที่กำลังรู้ ทีละอย่าง ทีละขณะรวดเร็ว

    ผู้ฟัง แต่ก็ยากมาก เพราะว่าต่อเนื่องกันตลอดเวลา จนกระทั่งเป็นเรื่องราวตลอด

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ยาก ต้องบำเพ็ญบารมีที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านานถึง ๔ อสงไขยแสนกัป โดยปัญญาเป็นใหญ่ หรือเป็นผู้ที่ยิ่งด้วยปัญญา และต้องหลังจากที่ได้รับคำพยากรณ์จากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งแล้ว แต่ละท่านที่อบรมมา ถ้ายิ่งด้วยปัญญาก็ ๔ อสงไขยแสนกัป ถ้ายิ่งด้วยศรัทธาก็ ๘ อสงไขยแสนกัป ถ้ายิ่งด้วยวิริยะก็ ๑๖ อสงไขยแสนกัป แล้วเราฟังธรรมนานเท่าไร แต่ว่าเริ่มจะเข้าใจได้ เหมือนท่านทั้งหลายก่อนที่จะเป็นพระอริยสาวก ท่านก็เหมือนธรรมดา


    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 170
    14 ม.ค. 2567